ผู้เขียน หัวข้อ: "ตอน" (ทำหมัน) หมา.. เป็นบาป  (อ่าน 1361 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
"ตอน" (ทำหมัน) หมา.. เป็นบาป
« เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2011, 01:28:10 pm »

                       

ปัญหาว่าด้วยเรื่องการรักษาศีล
"ตอน" (ทำหมัน) หมา.. เป็นบาป

ผู้ถาม: หนูมีอีกเรื่องหนึ่งนะคะ อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อคะ คือหนูอยู่ที่โรงเรียนหนูสอนเด็กคะ ทีนี้เวลาโรงเรียนเลิกก็สอนให้แกนั่งสมาธิ แต่ก่อนจะนั่งสมาธิ หนูก็นำสวดมนต์ ขึ้นด้วยบท โยโส, อะระหัง, แล้วก็ นะโม แค่ ๓ อย่างนี้ใช้ได้ไหมคะ…?
หลวงพ่อ: โอ๊ะ…ว่านะโม ๓ จบ ยังใช้ได้เลย ใช้ได้ๆ ไม่ต้องสวดมากหรอก สวดมากเด็กมันจะรำคาญ สวดมนต์แค่ตั้งนะโมก็เป็นการเคารพพระพุทธเจ้าแล้ว แค่ว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ก็ใช้ได้แล้ว ถ้าจะให้ดีอีกทีก็ต่อด้วยศีล ให้ตั้งใจว่าวันนี้เราจะรักษาศีลไม่ให้ศีลขาด ตั้งแต่เวลานี้จนถึงโรงเรียนเลิก

ผู้ถาม: แต่หนูก็สอนให้แกถือศีลอยู่ ๓ ข้อคะ แต่อีก ๒ ข้อ หนูเห็นว่าแกยังไม่ถนัดคะ บอกว่าโตขึ้นค่อยถือคะ
หลวงพ่อ: อีก ๒ ข้อ ที่ไม่ต้องถือนะ อะไร…?
ผู้ถาม: ข้อกาเม กับ ข้อสุราคะ
หลวงพ่อ: โถ…ไปบั่นทอนความดีเขานะ
ผู้ถาม: เพราะเห็นว่าแกยังเล็กอยู่คะ

หลวงพ่อ: เล็กก็เล็ก ถ้าเขาไม่ละเมิดแสดงว่าศีลเขาทรงตัว ก็บอกให้เขารักษาทั้ง ๕ ข้อเลย ไปหดศีลเขาน๊า…ศีลข้อใดที่เขาไม่มีสิทธิ์ละเมิด ถ้าเขาสมาทานด้วยศีลนั้นบริสุทธิ์แน่ เขาจะได้มีความมั่นใจ
ทีนี้ถ้า หากว่าเรามีแค่ศีล ๓ ถ้าข้อใดเขาไม่ละเมิดข้อนั้นเขาบริสุทธิ์แน่ ให้เขาสมาทานไว้ด้วยเขาจะได้ภูมิใจ แต่ข้อที่เขาอาจจะต้องทำอีก ๓ ข้อ นี่ต้องระวังนะ อย่าให้พลาด อีก ๒ ข้อเขามีแน่นอนแล้วไม่ขาดแน่ นี่บั่นทอนความดีของเด็ก เขาเรียกว่าทำลายความมั่นคง
ผู้ถาม: (หัวเราะ) ตอนนี้เข้าใจแล้วคะ ต้องกลับไปบอกใหม่


ผู้ถาม: หลวงพ่อคะ อย่างทำหมันหมา บาปไหมคะ…?
หลวงพ่อ: ทำหมันหมา ฉันฟังนึกว่าจับหมัดหมา ทำหมันเขาทำกันยังไง…?
ผู้ถาม: การตอนนะคะ
หลวงพ่อ: ตอนก็ตอนบอกทำหมัน เอ…ต้องไปถามหมามันก่อนซิ หมามันพอใจไหมละ
ผู้ถาม: (หัวเราะ)
หลวงพ่อ: เอ้า…จริงๆ ต้องไปถามมันก่อน ถ้าหมาพอใจ อันนี้ไม่บาป
ผู้ถาม: แล้วจะรู้ได้ยังไงคะว่าหมามันพอใจ…?
หลวงพ่อ: อ้าว…ก็ต้องไปเรียนภาษาหมาก่อนซิ
ผู้ถาม: (หัวเราะ)

หลวงพ่อ: การตอนสัตว์ ท่านพูดไว้ในตติยสามน ตายแล้วต้องตกนรกก่อน เพราะเป็นการทรมานสัตว์ พอออกจากนรกก็มาเป็นเปรต ออกจากเปรตมาเป็นอสุรกาย ออกจากอสุรกายก็มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะถูกทำลายเพศ ใช่ไหม…พอพ้นจากนั้นแล้วก็มาเป็นบัณเฑาะก์ มี ๒ เพศ มีทั้งเพศผู้ชายและผู้หญิง จากนั้นก็มาเป็นกะเทย แล้วจึงมาเป็นคนปกติ

ผู้ถาม: แล้วถ้าเราทำหมันตัวเองจะบาปไหม…?
หลวงพ่อ: ทำหมันตัวเองใครเขาจะว่าละ ไม่บาปหรอก อันนี้เราพอใจต่างหากละ ช่วยทำหมันให้ทีเถอะ ฉันลูกมากๆไม่เป็นเรื่องแล้ว
ผู้ถาม: ถ้ากันหมาไม่ให้ผสมกันเล่าคะ…?
หลวงพ่อ: นี่ละ ไฟไหม้บ้านกันหลายหนก็แบบนี้ละ มีตากับยายคู่หนึ่ง เขาฝากคนไปถามปัญหาพระกาลว่า เขาทั้งสองทำอะไรมา ไฟมันจึงไหม้บ้านอยู่เสมอ พระกาลก็บอกคนที่ไปถามว่า สมัยชาติก่อนแกมีลูกสาว แต่ว่าหวงไม่ยอมให้แต่งงาน ใครมาขอก็ไม่ให้ เหตุเพราะอาศัยการตัดทอนกำลังใจในด้านความรักของเขา ชาตินี้มาไฟจึงไหม้บ้านเรื่อยๆ ฉะนั้นคุณก็ต้องระวังนะ

ผู้ถาม: แล้วอย่างเรากินยาถ่ายพยาธิ อย่างนี้จะถือเป็นการทำลายชีวิตสัตว์ไหมคะ…?
หลวงพ่อ: อันนี้พระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นเชื้อโรคเป็นการรักษาโรคในร่างกายของเรา ไม่เป็นบาป
ผู้ถาม: ถ้าเราทรมานสัตว์หรือตีสัตว์ อย่างนี้ศีล ๕ จะขาดไหมครับ…?
หลวงพ่อ: อย่างนี้เรียกว่าศีลทะลุยังไม่ขาด
ผู้ถาม: หมายความว่าศีลยังไม่บริสุทธิ์ใช่ไหมครับ…?

หลวงพ่อ: ยังไม่บริสุทธิ์ ศีลยังมีอยู่แต่ว่ามันทะลุ ไม่ใช่ขาดเพราะมันยังไม่ตาย แต่ว่าศีลมันทะลุไปแล้ว
ผู้ถาม: เป็นยังไงครับ ศีลทะลุ
หลวงพ่อ: ตีให้เจ็บแต่ยังไม่ตาย อันนี้เรียกว่า ศีลทะลุ ถ้ามันเข้ามา นึกโมโหเงื้อมือจะตี ไอ้นี่ ศีลด่าง แต่ถ้านึกๆเดี๋ยวพ่อตีเสียดีหว่า…ไอ้นี่ ศีลพร้อย คือตัวเมตตามันหลวมไปหน่อย แต่ถ้ามันเดินมาเราเมตตาให้อาหารแก่มัน อันนี้ศีลบริสุทธิ์

ผู้ถาม: ครับ…เข้าใจแล้วครับ กระผมเรียนถามอีกข้อว่า ถ้าเรารักษาศีล ๕ อยู่ แต่ว่าไม่มีพรหมวิหาร ๔ จะรักษาศีล ๕ ได้ไหมครับ…?
หลวงพ่อ: ไม่ได้ ถ้าคุณไม่มีพรหมวิหาร ๔ ศีล ๕ มันก็ไม่อยู่แล้ว ถ้าคุณมีศีล ๕ อยู่ แสดงว่าพรหมวิหาร ๔ คุณมีแต่คุณไม่รู้จักหน้ามันเอง คนไม่มีเมตตามันจะมีศีลได้ยังไงล่ะ…

ผู้ถาม: คือเราไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ตัดชีวิตนะครับ…
หลวงพ่อ: ก็นั่นแหละ มันเป็นตัวพรหมวิหาร ๔ อยู่แล้วเราอาจจะไม่รู้ว่าเป็นพรหมวิหาร ใช่ไหม…เราจะคิดว่าฉันไม่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แต่ความจริงมันมี ถ้าไม่มีพรหมวิหาร ๔ เรารักษาศีล ๕ ไม่ได้ ถ้าหากว่าศีล ๕ บริสุทธิ์ ก็ชื่อว่าเรามีพรหมวิหาร ๔ แต่ว่ากำลังตัวท้ายมันจะเข้มข้นหรือไม่ไอ้ตัวหนึ่งกับตัวสองมันดีแน่นอนคือ ใช้ได้
คนที่จะมีศีล ๕ ได้ต้องมีเมตตา กรุณา แล้วก็สันโดษ ไม่งั้นศีลมันทรงอยู่ไม่ได้ แต่ว่ามันจะมีโดยที่เราไม่รู้สึกตัว เราไม่รู้จักหน้ามันเอง เพราะเรามุ่งแต่สิกขาบท ใช่ไหม…แต่ความจริงมันต้องมีพรหมวิหาร ๔ หนุน ไม่งั้นศีล ๕ มีไม่ได้

ผู้ถาม: หลวงพ่อคะ ศีล ๕ มันตกโกหกอยู่เรื่อยคะ จะทำยังไงคะ…?
หลวงพ่อ: ตกโกหกนี่แสดงว่าไม่ได้โกหก นี่แสดงว่ารักษาโกหกไว้มันจึงโกหก

ผู้ถาม: (หัวเราะ) อย่างค้าขายนี่มันอดโกหกไม่ได้คะ…?
หลวงพ่อ: ค้าขายทำไมจะต้องโกหก
ผู้ถาม: คือการค้าขาย ถ้าหากว่าเราไม่พูดรู้สึกมันขัดๆคะ
หลวงพ่อ: ไม่พูดก็ขายไม่ได้ซิ
ผู้ถาม: (หัวเราะ) ไม่ใช่ไม่พูดคะ ถ้าไม่พูดโกหกมันก็ไม่มีกำไรซิคะ
หลวงพ่อ: คุณใช้ภาษามันไม่เป็นเอง อย่างของเราซื้อมา ๑ บาท ตามท้องตลาดเขาขายกัน ๑๐ บาท คนจะมาซื้อเรา ๕ บาท เราบอกไม่ได้หรอก เขาขายกัน ๑๐ บาท เพราะต้นทุนมันแพง มันแพงขนาดไหนก็ช่าง มันแพงก็แล้วกัน มันแพงสำหรับเรา ใช่ไหม…แม่ค้าบางคนบอกไม่ได้ๆ ฉันซื้อมา ๙ บาท ๙๙ สตางค์ ได้กำไรสตางค์เดียว นี่ละไปลิ่วเลย

ผู้ถาม: (หัวเราะ)
หลวงพ่อ: ฉันเคยไปซื้อของเจ๊ก เจ๊กบอก “ตกลง…ตกลง…ผมยอมขาดทุน” เลยบอก เก็บๆ ฉันไม่ทรมานแกขนาดนั้นหรอกแกขาดทุน แล้วลูกเมียเอาอะไรกินละ “ไม่เป็นไร…ไม่เป็นไร…ได้กำไรน้อยหน่อย” หนอยแน่…พอไม่เอาบอกว่าได้กำไรน้อยหน่อย อันนี้เขาเรียกว่า ขาดทุนกำไร ใช่ไหม…การค้าขายมันก็ต้องมีกำไร ไม่ใช่ของเลว บอกว่าของดี ของราคาถูกบอกของราคาแพง อันนี้ผิดแน่

ผู้ถาม: ระหว่างที่อยู่ที่บ้าน ถ้าเราไม่ขอศีลจากพระสงฆ์ จะขอศีลจากพระพุทธรูปได้ไหมคะ…?
หลวงพ่อ: ได้โยม พระพุทธรูปท่านใจดี ความจริงคำว่าศีลมันอยู่ที่ตัวเว้นนะโยม ถ้าหากว่าเราขอจากพระแล้ว ถ้าเราไม่เว้นมันก็ไม่เป็นศีล ถ้าอยู่ที่บ้านไม่ต้องขอจากใครเลยตั้งใจเว้นทั้ง ๕ ข้อหรือ ๘ ข้ออันนี้เป็นศีลแน่นอน แต่ความจริงขอศีลจากพระพุทธรูปนี่ดีนะ เป็นศีลเยอรมันไม่ค่อยขาด

ผู้ถาม: หลวงพ่อคะ ศีล ๘ กับศีลอุโบสถ ต่างกันไหมคะ…?
หลวงพ่อ: ต่างกันอยู่นิดหนึ่ง อุโบสถใช้อิมัญจรัตติง อิมัญจทิวสัง คือ กำหนดเวลาว่าวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง หรือว่า ๗ วัน กับ ๗ คืน หรือว่า ๓ เดือน ๕ เดือน แต่ศีล ๘ มีสิกขาบทเท่ากัน แต่ไม่กำหนดเวลา ถ้าเอาความเข้มข้นกันจริงๆ พวกรักษาศีล ๘ มีกำลังใจเข้มข้นมากกว่าพวกรักษาอุโบสถ เขาเก่งสิกขาบทเท่ากัน แต่กำหนดเวลาไม่เท่ากัน
คำว่า อุโบสถ เขาแปลว่า อยู่จำ ตั้งใจจะรักษาแค่ ๑ วัน กับ ๑ คืน หรือ ๗ วันกับ ๗ คืน หรือ ๑ เดือน ก็ว่าไป ทีนี้ถ้าหากว่าเราไม่กำหนดเวลา เราก็สมาทานแค่ศีล ๘ เมื่อไรก็ได้ สบาย

ผู้ถาม: รักษาช่วงไหนก็ได้ ใช่ไหมคะ…?
หลวงพ่อ: ไม่ได้ๆ คือว่าตั้งแต่หลับถึงตื่นเขาห้ามรักษา ถ้าเราตั้งใจสมาทานดีแล้ว ในช่วงหลับเขาถือว่ามีศีล ในช่วงหลับมันไม่มีกังวลอยู่แล้ว ใช่ไหม…
เมื่อ ตอนเด็กๆ ฉันก็รักษาศีล ๕ เหมือนกัน ก่อนจะหลับ ฉันก็สมาทานศีล ๕ แล้วบริสุทธิ์ตลอด มันจะไปขาดยังไง เพราะในช่วงหลับ ไม่มีการทำอะไรอยู่แล้ว ใช่ไหม เพราะฉันโกงมาแล้วเลยห้ามคนอื่นทำตามฉัน

ผู้ถาม: (หัวเราะ) แล้วอานิสงส์ ต่างกันไหมคะ…?
หลวงพ่อ: ต่างกันหนู เพราะเรียกไม่เหมือนกัน ตัวท้ายนะ อานิสงส์ท่านว่าอย่างนี้

“สีเลนะ สุคติง ยันติ สีเลนะ โภคสัมปทา
สีเลนะ นิพพุติงยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย”
ท่านว่าอย่างนี้เหมือนกันหมด มันต่างกันตรงไหนละ

ผู้ถาม: รักษาศีล ๘ นี่คงยากนะคะ เพราะว่าต้องทาแป้งทาปากเวลาไปทำงานคะ…?
หลวงพ่อ: ทาแป้ง ทาปาก เราทาเพื่ออะไรละ…ทาเพื่อยั่วกิเลสคนอื่นหรือเปล่า หรือทาเพื่อให้เหมาะสมกับสังคมป้องกันการเก้อเขิน…?

ผู้ถาม: ทาเพื่อไม่ให้เขาดูว่าผิดปกติคะ
หลวงพ่อ: ไอ้ที่ทานะผิดปกติ เพราะปกติหน้าไม่มีแป้งใช่ไหม…ก็หมายความว่าทาเพื่อไม่ให้เกิดความเก้อเขิน และสังคมนั้นเขาอย่างนั้น เวลาที่เราทาเราไม่ได้หวังว่าจะยั่วให้ใครเขาเกิดกิเลส อันนี้ไม่เป็นไร
การแต่งตัวสวยๆ อย่างนางวิสาขา ท่านมีเครื่อง มหาลดาปสาธน์ ราคา ๑๖ โกฎิ เฉพาะแก้วมณีก็ ๒๐ ทะนานแล้ว เวลาไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ท่านก็แต่งไปพระพุทธเจ้าไม่เคยตำหนิเห็นไหม

ผู้ถาม: หลวงพ่อ การแต่งตัวสวยๆ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคม อย่างนี้เรียกว่าเป็นพวกราคะจริตหรือเปล่าคะ…?
หลวงพ่อ: อันนี้เป็น ถือว่าเป็นราคะจริต ความจริงการแต่งตัวนี่นะ แต่งตัวปกติเขาไม่ถือว่าเป็นราคะจริต และเราก็ไม่ถือว่าขาดศีล ๘ ถ้าสังคมนี้เขาแต่งตัวแบบนี้ เพื่อไม่ให้เก้อเขิน เราก็แต่งตัวแบบนั้น เราทำเพื่อความเหมาะสม ไอ้แต่งตัวหน่อยต้องสะอาดหมด ทุกอย่างต้องเรียบร้อย แต่ราคะจริตเขาไม่ตำหนิว่าเลว ถือว่าเลวไม่ได้นะ คือเขาเป็นคนชอบสวยชอบสะอาด แต่บางคนคิดว่าคนที่มีราคะจริต เป็นคนมักมากในกามารมณ์ก็ยุ่งซิ มันคนละเรื่อง คือราคะจริตแค่รักสวยรักงาม รักความสะอาดเท่านั้นไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ บางคนเขาสวยแสนสวย แต่ก็ไม่ยุ่งอะไรมากเป็นไปตามกฎธรรมดา


ตัวอย่างพระลูกชายนายช่างทอง เป็นคนสวยด้วยเป็นคนหนุ่มด้วย เป็นคนรวยด้วย พระสารีบุตรท่านเข้าใจว่าเป็นคนที่มีราคะจริตท่านจึงให้กรรมฐาน อสุภกรรมฐาน ท่านเลยไม่ได้อะไร แต่เนื้อแท้จริงๆ ท่านเป็นคนโทสะจริต พอไปหาพระพุทธเจ้า ท่านให้เพ่งโลหิตกสิณ เดี๋ยวเดียวก็ได้ฌาน ๔ อีกเดี๋ยวเดียวก็ได้เป็นอรหันต์ นี่คนละเรื่องเลย ใช่ไหม
ผู้ถาม: ตอนแรกเข้าใจว่าอย่างนั้นคะ ก็นึกเสมอว่า ตัวเองยังเป็นพวกราคะจริต แล้วก็ยังตัดราคะจริตยังไม่ได้ ตอนนี้เข้าใจแล้วคะ


ผู้ถาม: หลวงพ่อครับ ศีลอย่างเดียวสามารถเป็นอรหันต์ได้ไหมครับ…?
หลวงพ่อ: ศีลอย่างเดียวเป็นเทวดาได้
ผู้ถาม: บางสำนักเขาว่า เขาอ้างในบาลีว่า สีเลนะ นิพพุติง ยันติ เขาแปลบาลีคำนี้แหละครับ
หลวงพ่อ: นี่อย่าไปเถียงพระพุทธเจ้าดีกว่า พระพุทธเจ้าบอกศีลไปแค่สวรรค์ สมาธิไปพรหม วิปัสสนาญาณไปนิพพานขืนแปลไปแปลมาถึงได้ลงนรกกันเป็นแถวไงละ

ผู้ถาม: เขาแปลผิดใช่ไหมครับ…?
หลวงพ่อ: แปลนะ ไม่ผิดหรอก แต่เข้าใจผิด พระพุทธเจ้าท่านวางไว้แล้วไม่ต้องไปวางซ้อนหรอก ดีไม่ดีจะไปแย่งที่พระเทวทัตอยู่จะลำบาก ที่อเวจีต้องแย่งกันอยู่ก็เพราะเหตุนี้แหละ

ผู้ถาม: แต่ผมก็ว่ามันยากนะครับ ถ้าใช้ศีลอย่างเดียว อย่างน้อยก็ต้องครบองค์ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
หลวงพ่อ: ใช่ต้องมีพร้อม
ผู้ถาม: จะมากน้อยก็แล้วแต่ใช่ไหมครับ…?
หลวงพ่อ: ไม่ได้ ต้องพอดีๆ ต้องตามขนาด ศีลต้องบริสุทธิ์ สมาธิต้องมีกำลังพอ วิปัสสนาญาณ อาจจะอ่อนไปนิดอ่อนไปหน่อย ถ้าฝึกมโนมยิทธิก็ไปช้า มัวไปหน่อยแต่ว่าไปได้ แต่ศีลนี่ไม่ได้เลย ศีลต้องทรงตัว สมาธิต้องกำลังพอ ไม่พอไปไม่ได้
ผู้ถาม: ครับ…เข้าใจแล้วครับ ทีนี้ผลจากการฝึกมโนมยิทธิ จะทำให้ได้ฌานสมาบัติไหมครับ…?
หลวงพ่อ: ก็มันลัดไปหาสมาบัติ ๔ ทันทีเลย แค่สมาบัติ ๔ มันยังไม่พอ ยังได้อารมณ์ทิพย์ที่พิเศษอีก สมาบัติ ๔ เฉยๆ มันใช้อะไรไม่ได้ ไอ้ตัวนี้เป็นทิพจักขุญาณ สามารถทำให้ได้อภิญญา

ผู้ถาม: แล้วจะต้องมีศีลหรือเปล่า…?
หลวงพ่อ: ศีลต้องมี
ผู้ถาม: แล้วทานเล่าครับ…?
หลวงพ่อ: ทานเราก็มีอยู่แล้วเป็นปกติ คุณไม่เคยเอาข้าวให้หมาบ้างเลยรึ…?
ผู้ถาม: (หัวเราะ) เคยครับ
หลวงพ่อ: คือถ้าเราสามารถให้ทานได้ มันต้องมีศีลได้ คุณต้องดูว่า คนที่จะให้ทาน ให้ด้วยกำลังใจแบบไหน เราจะให้ทานได้ด้วยเหตุ ๒ ประการ

๑. เมตตา ความรัก
๒. กรุณา ความสงสาร

ถ้า คนที่เรารักเราให้ เราไม่เคยรักเลยเห็นเขาลำบาก เราสงสารเราให้ ตัวรักกับตัวสงสารมันคุมศีลนะ ศีลจะมีได้ต้องมีเมตตากับกรุณา ๒ ตัว ถ้าขาดเมตตากับกรุณา ๒ ตัว มันจะมีศีลไม่ได้ ใช่ไหม…
ฉะนั้น คนที่มุ่งในการให้ทาน รักษาศีลได้ง่าย เพราะทุนเขามีอยู่แล้วเท่านี้พอแล้ว ถ้าเราพอใจในการให้ทานการรักษาศีลก็ทรงตัว มันตัวเดียวกันเท่านี้เองไม่ยาก ใช่ไหม…ของง่ายๆ


แต่ว่าถ้าฌานโลกีย์ก็อย่าลืมนะ ถ้าฌานโลกีย์ศีลเขาขาดง่าย ถ้าวันไหนศีลบกพร่อง วันนั้นก็จางไปนิด มัวไปหน่อย ถ้าฌานโลกีย์เฉยๆ มันพิสูจน์ได้ยาก ได้ฌานโลกีย์ด้วย ได้ทิพจักขุญาณด้วย ได้มโนมยิทธิด้วย พิสูจน์ง่ายถ้าวันไหนศีลบกพร่องมันมืด ไปไหนก็ไปไม่ไหวก็เกิดกลุ้ม ต้องชำระศีลให้บริสุทธิ์ไว้เสมอ

อย่าง เป็นพระนี่เห็นชัด แค่อาบัติทุกกฎตัวเดียว มันมั่วตั้วเลย ทำยังไงมันก็ไม่ทรงตัว เอาไม่อยู่ต้องเลิก อาตมาโดนแล้ว พอเลิกแล้วก็มานั่งนึก ตั้งแต่เมื่อเช้ามาถึงเวลานี้ทำอะไรบ้าง พอนึกขึ้นมาได้ ต้องไปหาเพื่อนพระแสดงอาบัติ ถ้าเป็นอาบัติต้องออกชื่อข้อนั้นตรงเลยนะ จะว่ามวยหมู่รวมหมดไม่ได้ คิดว่าจะไม่ทำต่อไป พอปลงอาบัติแล้ว มันสว่างจ้าไปได้ นี่มันดีแบบนี้ เป็นการคุมอารมณ์ไปในตัวเสร็จ
ถ้าสุกขวิปัสสโกนี้ไม่แน่นะ เหมือนเอาผ้าผูกตาเดินใช่ไหม…อย่างนี้ทางไวกว่าเยอะ

ผู้ถาม: เห็นหลวงพ่อเคยบอกว่า ถ้าฝึกอภิญญาต้องฝึกการเข้าฌาน ออกฌาน โดยวิธีสลับฌานผมก็อยากเอาบ้าง
หลวงพ่อ: โอ…อย่าๆ ทำเท่าที่ได้นะพอแล้ว เดี๋ยวพัง อย่าไปหากินเลยมันง่ายเมื่อไรละ เขี้ยวเลย ต้องคนบวมๆ จัดๆ ถึงจะได้ คนดีทำไม่ได้ จะเอาตามฉันไม่ได้ รุ่นฉันบวมๆทั้งนั้น บวมขั้นปริเลย อาจารย์บอกเบาๆ อย่าให้หนักนัก แต่ทีคนอื่นบอกขยันๆ เข้า ทีพวกเราบอกเบาๆ

คัดลอกจาก
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 20, 2011, 02:02:27 pm โดย ฐิตา »

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
Re: ว่าด้วยเรื่อง.. ผีหลอก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2011, 02:26:05 pm »

                       
ปัญหาของการสวดมนต์กันผีหลอก
ว่าด้วยเรื่อง.. ผีหลอก

ผู้ถาม: หลวงพ่อคะ อย่างบท วิปัสสิสสะ เราจะสวดแค่ไหนดีคะ
หลวงพ่อ: ก็สวดหมดนั่นแหละ แต่อย่าไปสวดกันผีนะ เพื่อกันผีไม่ได้ เราสวดเพื่อความเคารพพระพุทธเจ้า
ผู้ถาม: ที่อยากสวดบทนี้ก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องกันผีคะ เพราะกลัวผี
หลวงพ่อ: ถ้าไปสวดเพื่อกันผีนะ อาจารย์สำราญโดนมาแล้ว ที่เขาวงพระจันทร์แน่ะ เขาลือกันถ้าสวดได้ยินเสียงที่ไหนผีเข้าไม่ได้นะ แกก็สวดทุกวัน เลยบอกอาจารย์ไม่ดีนะ ถ้าสวดเพื่อพรรณาความดีของพระพุทธเจ้า สวดเพื่อความเคารพพระพุทธเจ้า บทนี้คุ้มครอง ถ้าสวดเพื่อไล่ผีเมื่อไรผีตีเมื่อนั้น แกก็ไม่ฟัง

มีวันหนึ่ง เผลอ…พวกเรากำลังทำงานอยู่ได้ยินเสียงร้อง โอ๊ยๆ พอเราวิ่งเข้าไปดูแล้ว นุ่งแดง ห่มแดงผ้าคาด แหม…หวายเบ้อเร่อ ล่อเสียบวมทั้งตัว พอเราก้าวเข้าไปท่านหันมามอง บอกว่าพี่ชาย…ไปเถอะ ไม่ใช่หน้าที่ของแก นี่อาจารย์สำราญโดนมาแล้ว
ถ้าเรากันผี ไม่ช้าก็ถูกผีกัน เข้าพวกผีไม่ได้ ใช่ไหม…นี่ สมัยก่อน กันกูไว้ กูห้ามเข้าพวก เสร็จ ไม่ยอมรับเข้าสมาคมผีกลายเป็นผีจรไป

ผู้ถาม: แล้วจะทำยังไงละคะ จะไม่ให้ผีมาหลอก…?
หลวงพ่อ: ความจริงไม่มีผีคนไหนหลอกคน ฉันถามเขาแล้ว ถ้าเรารู้เรื่องสภาวะของผีจริงๆ ผีนี่เขาไม่หลอกอะไรเลย ไอ้ที่แสดงตนให้ปรากฎนี่เขาต้องการความช่วยเหลือ เพราะเขาลำบาก นี่เขารู้ว่าคนไหนมีบุญพอที่จะช่วยเขาได้ สมมติว่าคนนี้ถูกรถชนตายตรงนี้ ความจริงเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่เขาจะมาอยู่ที่ตรงนั้นแสดงตนให้ปรากฏ ไอ้เราเลยหาว่าผีหลอกแช่งต่อไปเลย ให้พร ไอ้ผีเป็นไง…ผีก็ร้องไห้เขาก็เสียใจ เพราะแกอดอยาก ใช่ไหม…ไปถามเขาแล้ว เขาบอกเวลาที่จะหลอกนะไม่มี แต่พวกที่ล้อพวกนี้ก็ไม่ใช่ผี เป็นพวกเทวดาแล้วก็เป็นเทวดาที่เป็นเพื่อนกันมาก่อน ชอบพอกันมาก่อน หมายความว่าเคยเกิดเป็นเทวดามากับเขา หรือว่าเขาไปเกิดเป็นเทวดา แต่เราไม่ได้เกิดเป็นเทวดาเป็นพวกเป็นพ้องกันมาก่อน พวกนี้จึงมาล้อเล่น

ผู้ถาม: ถึงรู้อย่างนี้แล้วก็ยังกลัวอีกแหละคะ ตอนเป็นเด็กๆเขามักจะพูดว่า เดี๋ยวผีหลอกๆ
หลวงพ่อ: ไอ้ตัวนี้แหละเป็นตัวอุปาทาน  จิตมันข้องอยู่ก็กลัวอยู่เรื่อย ความจริงผีมันไม่น่ากลัว
แล้ว ก็ผีที่คอยติดตามเราอยู่ เราก็ใช้ศัพท์ว่าผี คือพวกเทวดาและพรหมที่เป็นญาติ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นเพื่อน พวกนี้เขาติดตามอารักขา แต่ว่าบางทีมันจะมีอันตรายเกิดขึ้น อาจจะมีคนดักมาทำร้ายบ้าง เขาแสดงตัวให้เราเห็นเขาก็เห็นไม่ได้ เขาพูดเราก็ไม่ได้ยินบางทีเดินไปใกล้ต้นไม้ เขาอาจจะเขย่าต้นไม้ ไอ้การเขย่าต้นไม้นี่เขาต้องการให้เรารู้สึกตัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เราก็ตกใจ อ๊ะ อะไรไม่มีลม ทำไมต้นไม่เขย่าได้ ถ้าเดินต่อไปก็เกิดการระแวง มองหน้ามองหลังกลัวผีหลอก อันตรายก็จะไม่มี เขาให้เราระแวง บางทีเดินใกล้บ้านก็ทุบฝาเรือนบ้าง อะไรบ้าง ทำให้เรารู้สึกตัว แสดงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น อันตรายก็จะไม่เกิด นี่เขาเล่าให้ฟังแบบนี้นะ ถ้าไม่เชื่อไปถามเขาดู


ผู้ถาม: หนูเคยโดนหลอกมาอย่างหนักคะ คือทีแรกนะคะไปเยี่ยมเพื่อนคะ แม่เขาไม่สบาย บางคืนแกก็ร้องโหยหวน
หลวงพ่อ: ถ้าร้องแสดงว่าเขาไม่สบายมาก เขาต้องการความช่วยเหลือ เขาอยู่ในเกณฑ์ของความทุกข์ อย่างนี้เขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา เราก็แอบไปกลัวเสียอีก อีตานั่นก็เลยร้องฟรีไปเลย
ผู้ถาม: (หัวเราะ) แต่หนูก็ยังสงสัย เพราะเห็นมีคนแก่นั่งอยู่ตรงปลายเท้า ถ้าเป็นผีเข้า ทำไมถึงไม่อยู่ในตัวของแม่เพื่อนคะ…?
หลวงพ่อ: คือว่าผีจริงๆนะ เขาไม่ได้เข้าอยู่ในตัว เขาอยู่ข้างนอก เขาใช้กำลังจิตเขาบังคับ คนที่กำลังจิตสู้เขาไม่ได้ เขาจะให้เป็นยังไงก็เป็นยังงั้น ฉันก็เคยเจอมาแล้วเหมือนกัน ที่เขาเรียกว่าผีเข้าๆ นึกว่าอยู่ในตัว แต่ความจริงไม่ใช่นะ คืออยู่ใกล้ แต่ว่าใช้กำลังจิตบังคับ ให้ปฏิบัติตามเขา คนป่วยนี่กำลังสติสัมปชัญญะนี่มันไม่มี เพราะเวทนามาก ใช่ไหม…เขาก็บังคับง่าย แต่ก็น่าสงสัย เพราะว่าอาการเป็นยังงั้น มันมีอาการเป็น ๒ ประเภท คือถ้าเป็นคนตายที่ไม่ใช่เทวดาก็ต้องเป็นสัมภเวสี ถ้าสัมภเวสีเขามาเข้าแบบนั้น พวกนี้ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าเป็นเทวดาเขาไม่กวนแบบนั้น ที่บอกว่ามีเสียงร้องก็ต้องเป็นสัมภเวสีมากกว่า

ผู้ถาม: แล้วเราจะทำอย่างไรดีคะ ถ้าเขาต้องการความช่วยเหลือ
หลวงพ่อ: ก็อุทิศส่วนกุศลโดยเฉพาะเลย ต้องตรงเขานะ ให้ตรงแล้วก็ไม่แบ่งคนอื่น อย่างนี้เขาจึงจะได้ ไม่เหมือนพวกปรทัตตูปชีวีเปรตพวกนี้เราให้แล้วเราก็ให้คนอื่นต่อไป แต่ว่าสัมภเวสีนี่เขาต้องบอกว่า เขาต้องการอะไร เมื่อให้แล้วก็ให้ตรงโดยเฉพาะเขาจึงจะมีส่วนได้รับ เพราะเขายัง(บาป) หนาอยู่มาก

ผู้ถาม: ที่โค้งบางปิ้ง เมื่อก่อนมีผีเยอะครับ ตั้งแต่หลวงพ่อลีไปทำบุญแล้วค่อยหายไป พวกนี้คงเป็นพวกสัมภเวสีนะครับ…?
หลวงพ่อ: ถ้าทำบุญแล้วหายไป แสดงว่าเป็นพวกสัมภเวสี หรือปรทัตตูปชีวีเปรต แต่อย่าลืมนะว่าที่เขาแสดงภาพให้ปรากฎนะ แสดงว่าคนที่เห็นนะมีบุญพอที่จะช่วยเขาได้ มันเป็นลักษณะแบบขอทานเข้าบ้าน เรานึกว่าเป็นโจรนะ เสร็จเขาหิวเกือบตาย เราคิดว่าเป็นโจรเสียได้ อย่างที่หลวงพ่อลีทำบุญให้แล้วหายไป พวกนี้ถ้าเขามีความสุขแล้วเขาไม่มากวนอีก

มันมีเรื่องอยู่เรื่อง หนึ่ง ตอนนั้นฉันอยู่ที่วัดบางนมโค มีคนไข้คนหนึ่งมารักษา หลวงพ่อปานท่านก็ดู แล้วท่านก็บอกว่า รักษาด้วยยานี่มันไม่หาย เพราะเป็นอำนาจของความกลัวผี ฉันก็เลยไปถามแกว่า ก่อนที่จะป่วยมันเป็นยังไง แกบอกว่า วันหนึ่งตอนกลางวัน นั่งไปในเรือกันหลายคน แกเห็นว่ามีคนบรรเลงปี่พาทย์อยู่บนยอดไผ่ต้นไผ่มันมาก ตั้งวงปี่พาทย์บรรเลงแกเห็นคนเดียว คนอื่นไม่เห็น ก็เกิดความกลัวเลยป่วย อย่างนี้ผีมันบันดาลให้เห็นคนเดียว แต่ไปกลัวเสียนี่

ผู้ถาม: บางคนเขาก็บอกว่า ถ้าสวดมนต์บทวิรูปักเขแล้วไม่มีอันตราย เพราะบทนี้เป็นการแผ่เมตตา อันนี้ถูกไหมครับ…?
หลวงพ่อ: ใช่…วิรูปักเขนี่แผ่เมตตาตั้งแต่สัตว์ไม่มีเท้า สัตว์มีเท้าน้อยจนกระทั่งสัตว์มีเท้ามาก เรียกว่าแผ่เมตตาไปในสัตว์ทั้งหมด
ผู้ถาม: หลวงพ่อคะ หนูได้ยินพระสวดมนต์ว่า “ชาติ ทุกขา ชราปิ ทุกขา มรณัมปิ ทุกขัง” เขาแปลว่าอะไรคะ…?
หลวงพ่อ: ถ้าให้ฉันแปลมันไม่เหมือนกับชาวบ้านเขาหรอก “ชาติปิ ทุกขา” ความเกิดเป็นทุกข์ที่ขา “ชราปิทุกขา” พอแก่แล้วก็ทุกข์ที่ขาอีก “มรณัม ทุกขัง” พอตายแล้วก็ถูกขังในโลงอีกถูกไหม…ท่านว่าของท่านถูกจริงๆ ชาติ แปลว่า เกิด เกิดมาแล้วก็ทุกข์ที่ขา ความจริงขามีงานหนักจะไปไหนเขาก็ใช้ขาเดิน พอจะพัก พับขาเสียอีก เมื่อยอีก ไอ้ขานี่แหม…โชคร้ายจริงๆ ทุกข์หมด

ผู้ถาม: คนไม่มีขาทุกข์ไหมคะ…?
หลวงพ่อ: ทุกข์ซี มันอยากมีขากับเขานะ ทุกข์เพราะอยากมีขา ทุกข์หนักเลย มันไม่มีอะไรจะเดิน มันเคยเดินมาแล้วนี่ มันไม่ได้เดินมันกลุ้มบรรลัยเลย อย่าไปคิดนะว่าสิ่งที่มีแล้วมันเกิดใช้อะไรไม่ได้ มันจะเป็นสุขนะ ถ้าตาเราเห็นมาแล้ว ตาบอดปุ๊บ แหม…กลุ้ม “ใครวะ…รูปร่างยังไง…สูงหรือต่ำ…ดำหรือขาว…” นี่ถามเขาตะพึด ถ้าไม่มีตาตั้งแต่ต้นก็ไม่วิตกกังวลใช่ไหม นี่ของเคยมีมาแล้ว หมดไปยิ่งกลุ้มใหญ่ คนที่ไม่มีขาเห็นคนอื่นเขามีขา เดินไปไหนต่อไหนได้ เราเดินไม่ได้ต้องคลานดุ๊บๆ ใช้แขนแทน ก็ต้องมานั่งเป็นทุกข์นึกในใจ ถ้ากูมีขาอย่างเขาบ้างจะวิ่งให้ปรื๋อเลย
สรุปแล้ว มีขาก็มีทุกข์ ไม่มีขาก็มีทุกข์ มีขาทุกข์เพราะขา ไม่มีขาทุกข์เพราะอยากมีขาเดิน เป็นอันว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์หาความสุขไม่ได้ ถูกไหม…?
ผู้ถาม: ถูกคะ
หลวงพ่อ: รีบตายเสีย จะได้ไม่ทุกข์ดีไหม…?
ผู้ถาม: (หัวเราะ) ยังไม่อยากตายคะ

คัดลอกจาก
หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๓
:http://www.dhammatan.net/
อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ