วิถีธรรม > แนวทางปฏิบัติธรรม

คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท

(1/3) > >>

ฐิตา:



คำศัพท์ ปฏิจจสมุปบาท ก
กรรม - การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือทำด้วยความจงใจหรือจงใจทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตาย เป็นกรรม  แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้ สัตว์ตกลงไปตายเอง ไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้อยู่ว่าบ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคนจะพลัดตกได้ง่าย แล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปตาย ก็ไม่พ้นเป็นกรรม)
       การกระทำที่ดีเรียกว่า “กรรมดี”   ที่ชั่ว เรียกว่า “กรรมชั่ว”
กรรม ๒- กรรมจำแนกตามคุณภาพ หรือตามธรรมที่เป็นมูลเหตุ มี ๒ คือ
       ๑. อกุศลกรรม กรรม(การกระทำ)ที่เป็นอกุศล กรรมชั่ว คือเกิดจากอกุศลมูล
       ๒. กุศลกรรม กรรม(การกระทำ)ที่เป็นกุศล กรรมดี คือเกิดจากกุศลมูล

กรรม ๓ - กรรมจำแนกตามทวารคือทางที่ทำกรรม มี ๓ คือ
       ๑. กายกรรม การกระทำทางกาย
       ๒. วจีกรรม การกระทำทางวาจา
       ๓. มโนกรรม การกระทำทางใจ

กรรมฐาน - กัมมัฏฐาน - ที่ตั้งแห่งการงาน, อารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งการงานของใจ, อุบาย(วิธี)ทางใจ, วิธีฝึกอบรมจิต มี ๒ ประเภทคือ
           ๑. สมถกรรมฐาน อุบาย(วิธี)สงบใจ ๑  เพื่อเป็นบาทฐานหรือเครื่องเกื้อหนุนในการวิปัสสนาหรือวิปัสสนากรรมฐาน
           ๒. วิปัสสนากรรมฐาน อุบาย(วิธี)เรืองปัญญา ๑  เพื่อให้เกิดปัญญาในการดับทุกข์

กรรมฐาน ๔๐ - สิ่งที่ใช้เป็นอารมณ์ในการเจริญภาวนา,  ที่ตั้งแห่งการทำงานของจิต,  อุปกรณ์ในการฝึกอบรมจิต แบ่งออกเป็น  กสิณ ๑๐   อสุภะ ๑๐   อนุสสติ ๑๐   พรหมวิหาร ๔   อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑   จตุธาตุววัตถาน ๑   อรูป ๔

กฐินทาน - การทอดกฐิน, การถวายผ้ากฐิน คือการที่คฤหัสถ์ผู้ศรัทธาหรือแม้ภิกษุสามเณร นำผ้าไปถวายแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว ณ วัดใดวัดหนึ่ง เพื่อทำเป็นผ้ากฐิน เรียกสามัญว่า ทอดกฐิน (นอกจากผ้ากฐินแล้วปัจจุบันนิยมมีของถวายอื่นๆ อีกด้วยจำนวนมาก เรียกว่า บริวารกฐิน)
กสิณ - วัตถุอันจูงใจ คือ จูงใจให้เข้าไปผูกอยู่   เป็นชื่อของกัมมัฏฐาน(กรรมฐาน)ที่ใช้วัตถุสำหรับเพ่ง เพื่อจูงจิตให้เป็นสมาธิ

กุปปธรรม - ผู้มีธรรมที่ยังกำเริบได้  หมายถึง ผู้ที่ได้สมาบัติแล้วแต่เสื่อมได้,    อกุปปธรรม ผู้มีธรรมที่ไม่กำเริบ คือ ผู้ที่เมื่อได้สมาบัติแล้ว สมาบัตินั้นจะไม่เสื่อมไปเลยได้แก่พระอริยบุคคลทั้งหมด
กุปปวิโมกข์ - ความหลุดพ้นจากกิเลสที่ยังกำเริบได้  (วิโมกข์ = ความหลุดพ้นจากกิเลส)

กาม - ความใคร่, ความอยาก, ความปรารถนา, สิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่,  กามมี ๒ คือ  ๑.กิเลสกาม กิเลสที่ทำให้ใคร่(เกิดแต่จิตและอาสวะกิเลส)เป็นเหตุ   ๒.วัตถุกาม วัตถุอันน่าใคร่ ได้แก่กามคุณ ๕
กามคุณ - ส่วนหรือสิ่งที่น่าปรารถนาน่าใคร่ มี ๕ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ (สัมผัสทางกาย) ที่น่าใคร่ น่าพอใจ
กามตัณหา - ความทะยานอยากในกามหรือทางโลกๆ คือใน รูป,รส,กลิ่น,เสียง,สัมผัส ทั้ง ๕
กามฉันทะ - ความพอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็นต้น, ความพอใจในกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (ข้อ ๑ ในนิวรณ์ ๕)

กามราคะ - ความกำหนัดด้วยอำนาจกิเลสกาม, ความใคร่กาม  (ข้อ ๔ ในสังโยชน์ ๑๐, ข้อ ๑ ในอนุสัย ๗)
กามภพ - ที่เกิดของผู้ที่ยังเกี่ยวข้องอยู่ในกาม, โลกเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เสพกาม ได้แก่  อบายภูมิ ๔   มนุษยโลก   และสวรรค์ ๖ ชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ถึงชั้นปรนิมมิตสวัตดี  รวมเป็น ๑๑ ชั้น (ข้อ ๑ ในภพ ๓)
กามาวจร - ซึ่งท่องเที่ยวไปในกามภพ, ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับกาม

กายทวาร - ทวารคือกาย, กายเป็นฐานในการทำกรรมทางกาย
กายสังขาร - ๑. ปัจจัยปรุงแต่งกาย ได้แก่ลมหายใจเข้า หายใจออก   ๒. สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางกาย ได้แก่ กายสัญเจตนา หรือความจงใจทางกาย ซึ่งทำให้เกิดกายกรรม
กายสัมผัส - สัมผัสทางกาย, อาการที่กาย๑ โผฏฐัพพะ๑ และ กายวิญญาณ๑  ทั้ง ๓ ประจวบกัน

กายานุปัสสนา - สติพิจารณากายเป็นอารมณ์(ที่ยึดเหนี่ยว,ที่กำหนด)ว่า กายนี้ก็สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา เป็นสติปัฏฐานข้อหนึ่ง ดู สติปัฏฐาน
กามุปาทาน - ความยึดมั่นถือมั่นในกามหรือทางโลก อันคือกามคุณ ๕ ในรูป เสียงกลิ่น รส สัมผัส ฯ. ไปยึดถือว่าเป็นเราหรือของเรา จนเป็นเหตุให้เกิดริษยา หรือหวงแหน ลุ่มหลง เข้าใจผิด ทําผิด,  เป็นหนึ่งใน อุปาทาน ๔

กาลามสูตร - เกสปุตตสูตร - พระสูตรหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตัดสอนชาวกาลามะในแคว้นโกศล  ไม่ให้เชื่อถืองมงาย ไร้เหตุผล(อธิโมกข์) ตามหลัก ๑๐ ข้อ  อันมีอย่าปลงใจเชื่อในสิ่งใดโดย   ๑.ด้วยการฟังตามกันมา   ๒.ด้วยการนับถือสืบๆกันมา   ๓.ด้วยการเล่าลือ   ๔.ด้วยการอ้างตําราหรือคําภีร์   ๕.ด้วยตรรก   ๖.ด้วยการอนุมาน   ๗.ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล   ๘.เพราะการเข้ากันได้กับทฤษฎีของตน   ๙.เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าเชื่อถือ   ๑๐.เพราะนับถือว่าสมณะ(รวมถึงพระองค์เองด้วย)นี้เป็นครูเรา  ต่อเมื่อพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้วด้วยตนเอง จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น

กิจจญาณ - ปรีชากำหนดรู้ กิจที่ควรทำในอริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง คือรู้ว่า ทุกข์-ควรกำหนดรู้,  สมุทัย-ควรละ,   นิโรธ--ควรทำให้แจ้ง,   มรรค-ควรเจริญคือควรปฏิบัติ
กิจในอริยสัจจ์ - ข้อที่ต้องทำในอริยสัจจ์ ๔ แต่ละอย่าง คือ ปริญญา การกำหนดรู้ เป็นกิจในทุกข์,   ปหานะ การละ เป็นกิจในสมุทัย,   สัจฉิกิริยา การทำให้แจ้ง หรือการบรรลุ เป็นกิจในนิโรธ,   ภาวนา การเจริญ คือปฏิบัติบำเพ็ญ เป็นกิจในมรรค

กิเลส - สิ่งที่ทําให้จิตขุ่นมัว เศร้าหมอง และทําให้รับคุณธรรมได้ยาก
        - สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง, ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์
กิเลสกาม - กิเลสเป็นเหตุใคร่, กิเลสที่ทำให้อยาก, เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ ได้แก่ราคะ โลภะ อิจฉา (อยากได้) เป็นต้น

กุศล - บุญ, ความดี, ฉลาด, สิ่งที่ดี, กรรมดี, แผ้วถาง ให้ราบเตียนไป
กุศลมูล -รากเหง้าของกุศล, ต้นเหตุของกุศล, ต้นเหตุของความดีมี ๓ อย่าง คือ
       ๑. อโลภะ ไม่โลภ (จาคะ- การสละ, การให้ปัน, การเสียสละ)
       ๒. อโทสะ ไม่คิดประทุษร้าย (เมตตา)
       ๓. อโมหะ ไม่หลง (ปัญญา)

       อกุศลมูล รากเหง้าของอกุศล, ต้นเหตุของอกุศล, ต้นเหตุของความชั่ว มี ๓ อย่าง คือ โลภะ โทสะ โมหะ
กุศลธรรม - ธรรมที่เป็นกุศล, ธรรมฝ่ายกุศล, ธรรมที่ดี, ธรรมฝ่ายดี
กำหนัด - ความใคร่,ความอยากในกามคุณ

ฐิตา:


                 

ขณิกสมาธิ - สมาธิชั่วขณะ, สมาธิขั้นต้นพอสำหรับใช้ในการเล่าเรียนทำการงานให้ได้ผลดี ให้จิตใจสงบสบาย, และใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได้
ขณิกาปีติ-ความอิ่มใจชั่วขณะ เมื่อเกิดขึ้นทำให้รู้สึกเสียวแปลบๆ เป็นขณะๆ เหมือนฟ้าแลบ (ปีติ ๕ ข้อ ๒)

ขันธ์ - กอง, พวก, หมวด, หมู่, ลำตัว; หมวดหนึ่ง ๆ ของรูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดที่แบ่งออกเป็นห้ากอง คือ รูปขันธ์ กองรูป, เวทนาขันธ์ กองเวทนา, สัญญาขันธ์ กองสัญญา, สังขารขันธ์ กองสังขาร, วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ เรียกรวมว่า เบญจขันธ์ (ขันธ์ ๕)
ขันธ์๕ - เบญจขันธ์ องค์ประกอบทั้ง๕ที่ทางพุทธศาสน์ถือว่า เป็นปัจจัยของมีชีวิต อันมี รูปขันธ์, เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์, วิญญาณขันธ์

ขีณาสพ - ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว, ผู้หมดกิเลส, พระอรหันต์
ขุททกาปีติ - ปีติเล็กน้อย, ความอิ่มใจอย่างน้อย เมื่อเกิดขึ้นทำให้ขนชันน้ำตาไหล (ข้อ ๑ ในปีติ ๕)


ครุกรรม - กรรมหนักทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล ในฝ่ายกุศลได้แก่ฌานสมาบัติ ในฝ่ายอกุศลได้แก่อนันตริยกรรม  กรรมนี้ให้ผลก่อนกรรมอื่นเหมือนคนอยู่บนที่สูงเอาวัตถุต่าง ๆ ทิ้งลงมาอย่างไหนหนักที่สุด อย่างนั้นถึงพื้นก่อน

ความคิดนึก - ความคิด-ความนึก-จิตสังขาร-มโนสังขาร เป็นสังขารขันธ์(ขันธ์๕)เป็นสิ่งที่ต้องมี,ต้องเป็นโดยปกติธรรมชาติ ไม่เป็นโทษ  และจำเป็นยิ่งในการดำเนินชีวิตหรือขันธ์ ๕

คิดนึกปรุงแต่ง - คิดปรุงแต่ง - จิตปรุงแต่ง - จิตฟุ้งซ่าน - จิตฟุ้งซ่านไปภายนอก -  หรือคิดนึกฟุ้งซ่าน - คิดนึกเรื่อยเปื่อย  - คิดวนเวียนปรุงแต่ง - จิตส่งออกไปภายนอก = ล้วนมีความหมายเป็นนัยเดียวกัน เป็นการกล่าวถึงจิตที่ไปทำหน้าที่อันไม่ควร จึงเป็นทุกข์  จึงเน้นหมายถึงไปคิดนึกอันเป็นเหตุปัจจัยทําให้เกิดกิเลสตัณหา - เพราะคิดนึกปรุงแต่งแต่ละครั้งแต่ละทีย่อมเกิดการผัสสะ อันย่อมต้องเกิดเวทนาต่างๆขึ้นด้วย ทุกครั้งทุกทีไปในทุกๆความคิดปรุงแต่ง  อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาจากความคิดนึกปรุงแต่งที่มีเกิดขึ้นอย่างหลากหลายได้,  และความคิดหรือนึกปรุงแต่งถึงอดีตและอนาคต อันมักเจือด้วยกิเลสอันทําให้ขุ่นมัว, หรือเจือด้วยตัณหาความอยาก,ไม่อยาก  อันจักก่อตัณหาต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นใหม่นั้น(เวทนา)ได้ง่ายเช่นกัน,   แต่ถ้าเป็นการคิดในหน้าที่ หรือการงานเช่นการทำงาน, คิดพิจารณาธรรม ฯ. ก็ไม่ได้จัดว่าเป็นคิดปรุงแต่ง แต่ก็ต้องควบคุมระวังสติให้ดีเพราะย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้นเช่นกัน

     หลักการปฏิบัติโดยทั่วไป  ไม่ใช่ให้หยุดคิด  แต่ให้เห็นความคิดชนิดคิดปรุงแต่งหรืออาการของจิตที่ฟุ้งซ่านฟุ่มเฟือย  หรือเห็นเวทนาที่เกิดขึ้น  แล้วอุเบกขาคือหยุดการคิดปรุงแต่งนั้นๆเท่านั้นเอง

     ส่วนความคิดนึก(ไม่ปรุงแต่ง)ในขันธ์ ๕ ที่ใช้ในชีวิตเช่นการงาน โดยไม่มีกิเลส,ตัณหา เป็นสิ่งจําเป็นที่ควรจะมีอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นเพียงความคิดนึกในสังขารขันธ์ของขันธ์ ๕ อันเป็นปกติ เป็นประโยชน์ และจําเป็นในการดํารงชีวิต  แยกแยะพิจารณาให้เข้าใจชัดเจน

     การคิดพิจารณาในธรรมก็ไม่ใช่ความคิดนึกปรุงแต่ง เป็นธรรมะวิจยะความคิดนึกที่ควรปฏิบัติและควรทําให้เจริญยิ่งขึ้นไป

         
มีต่อค่ะ : http://nkgen.com/ex3.htm#a

ฐิตา:


               

ฆนะ - กลุ่ม, ก้อน, แท่ง, ความเป็นมวลรวม    เป็นธรรมหรือสิ่งที่ปิดบังไม่ให้เห็นความเป็นอนัตตา ความไม่มีตัวตน หรือไม่ใช่ตัวใช่ตน
ฆราวาส - การอยู่ครองเรือน, ชีวิตชาวบ้าน;   ในภาษาไทย มักใช้หมายถึง คฤหัสถ์ คือผู้ครองเรือน, ชาวบ้าน

ฆราวาสธรรม - หลักธรรมสำหรับการครองเรือน, ธรรมของผู้ครองเรือน มี ๔ อย่างคือ ๑. สัจจะ ความจริง เช่น ซื่อสัตย์ต่อกัน ๒. ทมะ ความฝึกฝนปรับปรุงตน เช่น รู้จักข่มใจ ควบคุมอารมณ์ บังคับตนเองปรับตัวเข้ากับการงานและสิ่งแวดล้อมให้ได้ดี ๓. ขันติ ความอดทน ๔. จาคะ ความเสียสละเผื่อแผ่ แบ่งปัน มีน้ำใจ

ฆานวิญญาณ - ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะกลิ่นกระทบจมูก, กลิ่นกระทบจมูก เกิดความรู้ขึ้น, ความรู้กลิ่น
ฆานสัมผัส - อาการที่ จมูก กลิ่น และฆานวิญญาณประจวบกัน

ฆานสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะฆานสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่จมูก กลิ่น และฆานวิญญาณประจวบกัน


งมงาย - ไม่รู้เท่า, ไม่เข้าใจ, เซ่อเซอะ, หลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่ยอมรับฟังผู้อื่น


จงกรม - เดินไปมาโดยมีสติกำกับ  (บางท่านใช้ไปเป็นอารมณ์คือสิ่งที่จิตกำหนดเพื่อทำสมาธิแต่อย่างเดียวโดยไม่รู้ตัว  ดังนั้นถ้าเป็นการกระทำไปโดยไม่รู้ตัวว่า ตนกระทำสติที่ประกอบด้วยสมาธิหรือสมาธิแต่อย่างเดียวก็เป็นการไม่ถูกต้อง)

จตุธาตุววัตถาน - การกำหนดธาตุ ๔
       คือ พิจารณาร่างกายนี้ แยกแยะออกไปมองเห็นแต่ส่วนประกอบต่างๆ ที่จัดเข้าไปในธาตุ ๔ คือ ปฐวี อาโป เตโช วาโย ทำให้รู้ภาวะความเป็นจริงของร่างกาย ว่าเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ประชุมกันเข้าเท่านั้น  จึงไม่เป็นตัวสัตว์บุคคลที่แท้จริง  เพราะตัวตนสัตว์บุคคลที่เห็นหรือผัสสะนั้นเป็นเพียงกลุ่มหรือก้อนของเหตุที่มาเป็นปัจจัยประชุมกัน

จริต - ความประพฤติ, พื้นนิสัย หรือพื้นเพแห่งจิตของคนทั้งหลายที่หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง แตกต่างกันไปคือ   ๑.ราคจริต ผู้มีราคะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางรักสวยรักงาม มักติดใจ)   ๒.โทสจริต ผู้มีโทสะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางใจร้อนขี้หงุดหงิด)   ๓.โมหจริต ผู้มีโมหะเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางเหงาซึมงมงาย)   ๔.สัทธาจริต ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางน้อมใจเชื่อ)   ๕.พุทธิจริต ผู้มีความรู้เป็นความประพฤติ ปกติ (หนักไปทางคิดพิจารณา)   ๖.วิตกจริต ผู้มีวิตกเป็นความประพฤติปกติ (หนักไปทางคิดจับจดฟุ้งซ่าน)

จักขุวิญญาณ - จักษุวิญญาณ - ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะรูปกระทบตา, รูปกระทบตา เกิดความรู้ขึ้น, การเห็น
จักขุสัมผัส - อาการที่ ตา รูป และจักขุวิญญาณประจวบกัน
จักขุสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ ตา รูป และจักขุวิญญาณประจวบกัน

จาตุรงคสันนิบาต - การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ คือ ๑. วันนั้นดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (เพ็ญเดือนสาม ๒. พระสงฆ์ ๑๒๕๐ รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ๓. พระสงฆ์เหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ ๔. พระสงฆ์เหล่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นเอหิภิกขุ ดู มาฆบูชา

จิต - ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ (สภาวธรรมของชีวิตที่รับรู้อารมณ์ เช่น สภาพหรือสภาวะของชีวิตในการรับรู้ใน รูป เสียง กลิ่น ฯ.),  สภาพที่นึกคิด,  ความคิด, ใจ
       ตามหลักฝ่ายอภิธรรม จำแนกจิตเป็น ๘๙ (หรือพิสดารเป็น ๑๒๑)
       แบ่ง โดยชาติ เป็น  อกุศลจิต ๑๒   กุศลจิต ๒๑ (พิสดารเป็น ๓๗)    วิปากจิต ๓๖ (๕๒)   และกิริยาจิต ๒๐;
       แบ่ง โดยภูมิ เป็น   กามาวจรจิต ๕๔   รูปาวจรจิต ๑๕   อรูปาวจรจิต ๑๒   และโลกุตตรจิต ๘ (พิสดารเป็น ๔๐)

จิตตะ - เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ, ความคิดฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจฟุ้งซ่านเลื่อนลอย (ข้อ ๓ ในอิทธิบาท ๔)
จิตสังขาร - จิตตสังขาร - มโนสังขาร - สังขารขันธ์ในขันธ์๕ อันคือ ความคิด ความนึก การกระทำทางใจต่างๆ   หรือมีความหมายได้ดังนี้

              - 1. ปัจจัยปรุงแต่งจิต ได้แก่สัญญาและเวทนา
              - 2. สภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ ได้แก่ มโนสังขาร เจตนาที่ก่อให้เกิดมโนกรรม ดู สังขาร

ฐิตา:

                 

จิตตานุปัสสนา - สติพิจารณาเห็นอาการของจิต(เจตสิก)หรือจิตตสังขาร,    หรือสติพิจารณาใจหรือระลึกรู้เท่าทันใจที่เศร้าหมองหรือผ่องแผ้วเป็นอารมณ์ว่า ใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน เรา เขา,   กำหนดรู้จิตตามสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้นๆ,   ดังเช่น จิตมี ราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ว่าจิตมี ราคะ โทสะ โมหะ,  จิตปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ.(ข้อ ๓ ในสติปัฏฐาน ๔)

จิตส่งใน - อาการการกระทำทางจิต  ที่เกิดจากการติดเพลิน(นันทิ)ไปในผลของความสุข สงบ สบาย อันเกิดขึ้นทั้งต่อทางกายและจิต  อันมักเป็นผลมาจากการปฏิบัติฌาน,สมาธิ มักเพราะขาดการเจริญวิปัสสนาหรือด้วยความไม่รู้(อวิชชา)  จึงเกิดอาการคอยแอบจ้อง, แอบเสพ, แอบพยายามทำให้ทรง, ทำให้เป็นอยู่ในอาการขององค์ฌาน เช่นในปีติ ความสงบ ความสุข ความแช่นิ่ง  ซึ่งเป็นไปในอาการทั้งโดยรู้ตัว และไม่รู้ตัวก็ตามที,   อาการที่จิตแช่นิ่ง อยู่ภายในจิตหรือกายตน  ;  อ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ใน จิตส่งใน ในหัวข้อ เกี่ยวเนื่องกับฌานสมาธิ  เป็นการปฏิบัติผิดที่เกิดกับนักปฏิบัติมากเป็นที่สุด  และมักเข้าใจผิดกันไปว่าจิตส่งในไปแช่นิ่งหรือเสพรสอร่อยในกายหรือจิต เป็นการปฏิบัติจิตเห็นกายหรือกายานุปัสสนาหรือจิตตานุปัสสนาอันดีงามในสติปัฏฐาน ๔  แต่ไม่ใช่ดังนั้นเลย!!!

จูฬปันถกะ - พระมหาสาวกองค์หนึ่งในอสีติมหาสาวก เป็นบุตรของธิดาเศรษฐีกรุงราชคฤห์ และเป็นน้องชายของมหาปันถกะ ออกบวชในพระพุทธศาสนา ปรากฏว่ามีปัญญาทึบอย่างยิ่ง พี่ชายมอบคาถาเพียง ๑ คาถาให้ท่องตลอดเวลา ๔ เดือน ก็ท่องไม่ได้ จึงถูกพี่ชายขับไล่ เสียใจคิดจะสึก พอดีพบพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสปลอบแล้วประทานผ้าขาวบริสุทธิ์ให้ไปลูบคลำพร้อมทั้งบริกรรมสั้นๆ ว่า “รโชหรณํ ๆ ๆ” ผ้านั้นหมองเพราะมือคลำอยู่เสมอ ทำให้ท่านมองเห็นไตรลักษณ์และได้สำเร็จพระอรหัต ท่านมีความชำนาญ แคล่วคล่อง ในอภิญญา ๖ ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะในบรรดาผู้ฉลาดในเจโตวิวัฏฏ์; ชื่อท่านเรียกง่าย ๆ ว่าจูฬบันถก, บางแห่งเขียนเป็นจุลลบันถก

เจดีย์ - ที่เคารพนับถือ, บุคคล สถานที่หรือวัตถุที่ควรเคารพบูชา, เจดีย์เกี่ยวกับพระพุทธเจ้ามี ๔ อย่างคือ ๑. ธาตุเจดีย์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ๒. บริโภคเจดีย์ คือสิ่งหรือสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยทรงใช้สอย ๓. ธรรมเจดีย์ บรรจุพระธรรม คือพุทธพจน์ ๔. อุทเทสิกเจดีย์ คือพระพุทธรูป; ในทางศิลปกรรมไทยหมายถึงสิ่งที่ก่อเป็นยอดแหลมเป็นที่บรรจุสิ่งที่เคารพนับถือเช่น พระธาตุและอัฐิบรรพบุรุษ เป็นต้น

เจตนา - ความตั้งใจ, ความมุ่งใจหมายจะทำ, เจตน์จำนง, ความจำนง, ความจงใจ,   เป็นเจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง เป็นตัวนำในการคิดปรุงแต่ง หรือเป็นประธานในสังขารขันธ์  และเป็นตัวการในการทำกรรม(ทั้งทางกาย วาจา ใจ)  หรือกล่าวได้ว่าเป็นตัวกรรมทีเดียว ดังพุทธพจน์ว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” แปลว่า เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม

เจตภูต - สภาพเป็นผู้คิดอ่าน, ตามที่เข้าใจกันโดยทั่วไป หมายถึงดวงวิญญาณหรือดวงชีพอันเที่ยงแท้ที่สิงอยู่ในตัวคน กล่าวกันว่า ออกจากร่างได้ในเวลานอนหลับ  และเป็นตัวไปเกิดใหม่เมื่อกายนี้แตกทำลาย  เป็นคำที่ไทยเราใช้เรียกแทนคำว่าอาตมันหรืออัตตาของลัทธิพราหมณ์  และเป็นความเชื่อนอกพระพุทธศาสนา

เจโตวิมุตติ - ความหลุดพ้นแห่งจิต, การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ  (แต่ถึงอย่างไรก็ตามต้องเกิดปัญญาวิมุตติ จึงจักทำให้เป็นเจโตวิมุตติที่ไม่กำเริบ คือ ไม่กลับกลายได้อีกต่อ) เช่น สมาบัติ ๘ เป็นเจโตวิมุตติ อันละเอียดประณีต (สันตเจโตวิมุตติ)

เจริญวิปัสสนา, ปฏิบัติวิปัสสนา, บำเพ็ญวิปัสสนา - การฝึกอบรมปัญญา เช่น โดยพิจารณาสังขาร คือ รูปธรรมและนามธรรมทั้งหมดแยกออกเป็นขันธ์ๆ กำหนดด้วยไตรลักษณ์ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา,   อบรมปัญญาโดยพิจารณาปฏิจจสมุปบาท, ขันธ์ ๕ ฯลฯ.

เจตสิก ๕๒ - อาการและคุณสมบัติต่างๆของจิต หรือก็คือกลุ่มอาการของจิต  ท่านได้แบ่งออกเป็น ๕๒ ชนิด อันนอกจากเวทนาและสัญญาแล้วต่างก็ล้วนจัดเป็นสังขารขันธ์ชนิดจิตตสังขาร(มโนสังขาร)อีกด้วย,  เจตสิก๕๒ ได้แก่  ๑.ผัสสะ - ความกระทบอารมณ์   ๒.เวทนา - ความเสวยอารมณ์   ๓.สัญญา - ความหมายรู้อารมณ์   ๔.เจตนา - ความจงใจต่ออารมณ์   ๕.เอกัคคตา - ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว   ๖.ชีวิตินทรีย์ - อินทรีย์คือชีวิต,สภาวะที่เป็นใหญ่ในการรักษานามธรรมทั้งปวง   ๗.มนสิการ - ความกระทำอารมณ์ไว้ในใจ,ใส่ใจ   ๘.วิตก - ความตรึกอารมณ์    ๙.วิจาร - ความตรองหรือพิจารณาอารมณ์   ๑๐.อธิโมกข์ - ความปลงใจหรือปักใจในอารมณ์   ๑๑.วิริยะ - ความเพียร   ๑๒.ปีติ - ความปลาบปลื้มในอารมณ์,ความอิ่มใจ   ๑๓.ฉันทะ - ความพอใจในอารมณ์   ๑๔.โมหะ - ความหลง   ๑๕.อหิริกะ - ความไม่ละอายต่อบาป   ๑๖.อโนตตัปปะ - ความไม่สะดุ้งกลัวต่อบาป   ๑๗.อุทธัจจะ - ความฟุ้งซ่าน   ๑๘.โลภะ - ความอยากได้อารมณ์   ๑๙.ทิฎฐิ - ความเห็นผิด   ๒๐.มานะ - ความถือตัว   ๒๑.โทสะ - ความคิดประทุษร้าย   ๒๒.อิสสา - ความริษยา   ๒๓.มัจฉริยะ - ความตระหนี่   ๒๔.กุกกุจจะ - ความเดือดร้อนใจ   ๒๕.ถีนะ - ความหดหู่   ๒๖.มิทธะ - ความง่วงเหงา   

๒๗.วิจิกิจฉา - ความคลางแคลงสงสัย   ๒๘.สัทธา(ศรัทธา) - ความเชื่อ   ๒๙.สติ - ความระลึกได้,ความสำนึกพร้อมอยู่   ๓๐.หิริ - ความละอายต่อบาป   ๓๑.โอตตัปปะ - ความสะดุ้งกลัวต่อบาป   ๓๒.อโลภะ - ความไม่อยากได้อารมณ์   ๓๓.อโหสิ - อโทสะ - ความไม่คิดประทุษร้าย   ๓๔.ตัตรมัชฌัตตตาหรืออุเบกขา - ความเป็นกลางในอารมณ์นั้นๆ   ๓๕.กายปัสสัทธิ - ความสงบแห่งกองเจตสิก   ๓๖.จิตตปัสสัทธิ - ความสงบแห่งจิต   ๓๗.กายลหุตา - ความเบากองเจตสิก   ๓๘.จิตตลหุตา - ความเบาแห่งจิต   ๓๙.กายมุทุตา - ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งกายหรือกองเจตสิก   ๔๐.จิตตมุทุตา - ความอ่อนหรือนุ่มนวลแห่งจิต   ๔๑.กายกัมมัญญตา - ความควรแก่การใช้งานแห่งกายหรือกองแห่งเจตสิก   ๔๒.จิตตกัมมัญญตา - ความควรแก่การใช้งานแห่งจิต   ๔๓.กายปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งกองเจตสิก   ๔๔.จิตตปาคุญญตา - ความคล่องแคล่วแห่งจิต   ๔๕.กายุชุกตา - ความซื่อตรงแห่งกองเจตสิก   ๔๖.จิตตุชุกตา - ความซื่อตรงแห่งจิต   ๔๗.สัมมาวาจา - เจรจาชอบ   ๔๘.สัมมากัมมันตะ - กระทำชอบ   ๔๙.สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ   ๕๐.กรุณา - ความสงสารสัตว์ผู้ถึงทุกข์   ๕๑.มุทิตา - ความยินดีต่อสัตว์ผู้ได้สุข   ๕๒.ปัญญินทรีย์หรืออโมหะ - ความรู้เข้าใจ,ไม่หลง.   ทั้ง๕๒นี้ ยกเว้นเพียงเวทนาและสัญญาแล้ว   ที่เหลือทั้ง๕๐ ล้วนจัดเป็นสังขารขันธ์ชนิดมโนสังขารหรือจิตตสังขารด้วย

ฐิตา:

                 

ชาติ - การเกิด, ชนิด, พวก, เหล่า, ปวงชนแห่งประเทศเดียวกัน,  การเกิดของสังขาร(สิ่งปรุงแต่งทั้งปวง)  จึงครอบคลุมการเกิดขึ้นของสังขารทั้งปวงไม่ใช่ชีวิตหรือร่างกายแต่อย่างเดียว,  ในปฏิจจสมุปบาท ชาติ จึงหมายถึงการเกิดขึ้นของสังขารทุกข์ อันเป็นสังขารอย่างหนึ่ง   (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมของ ชาติ )
ชรา - ความแก่ ความทรุดโทรม ความเสื่อม, ความเปลี่ยนแปลง ความแปรปรวน,  การแปรปรวนการเปลี่ยนแปลงของสังขาร(สิ่งปรุงแต่ง) จึงครอบคลุมสังขารทั้งปวง,  ในปฏิจจสมุปบาท ชรา จึงหมายถึง ความแปรปรวนหรือวนเวียนอยู่ในทุกข์หรือกองทุกข์  กล่าวคือฟุ้งซ่านปรุงแต่งไม่หยุดหย่อนในสังขารนั่นเอง โดยไม่รู้ตัว
มรณะ - ความตาย ความดับไป ความเสื่อมจนถึงที่สุด,  การดับไปในสังขาร(สิ่งปรุงแต่ง) จึงครอบคลุมสังขารทั้งปวง,  ในปฏิจจสมุปบาท มรณะ จึงหมายถึงการดับไปของสังขารทุกข์ที่เกิดขึ้นมานั้นๆ

ชิวหา - ลิ้น
ชิวหาวิญญาณ - ความรู้ที่เกิดขึ้นเพราะรสกระทบลิ้น, รสกระทบลิ้นเกิดความรู้ขึ้น, การรู้รส
ชิวหาสัมผัส - อาการที่ลิ้น รส และ ชิวหาวิญญาณประจวบกัน
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา - เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาสัมผัส, ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ ลิ้น รส และชิวหาวิญญาณประจวบกัน


ฌาน - การเพ่งอารมณ์จนใจแน่วแน่ จนเกิดองค์ฌานต่างๆ,  ภาวะจิตสงบประณีต ซึ่งมีสมาธิเป็นองค์ธรรมหลัก อีกทั้งประกอบด้วยองค์ฌานที่สำคัญอีก ๖ ;

    ฌาน ๔ คือ ๑. ปฐมฌาน ประกอบด้วยมีองค์ ๕ คือ องค์ฌานทั้ง ๕ มี  วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา  ๒. ทุติยฌาน มีองค์ ๓ (ปีติ สุข เอกัคคตา)   ๓. ตติยฌาน มีองค์ ๒ (สุข เอกัคคตา)  ๔. จตุตถฌาน มีองค์ ๒ (อุเบกขา เอกัคคตา) ;  องค์ฌาน หรือองค์ประกอบสำคัญของฌาน มี ๖

    วิตก  ความคิด  ความดำริ  การตรึงจิตไว้กับอารมณ์
    วิจาร  ความตรอง, การพิจารณาอารมณ์, การปั้นอารมณ์, การฟั้นอารมณ์,  การเคล้าอารมณ์ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวหรือกลมกลืนไปกับจิตหรือสติ
    ปีติ  ความซาบซ่าน, ความอิ่มเอิบ,  ความดื่มด่ำในใจ  อันยังผลให้ทั้งกายและใจ
    สุข  ความสบาย, ความสำราญ (อาการผ่อนคลายกว่าปีติ)

    อุเบกขา  ความสงบ ความมีใจเป็นกลาง ความวางเฉยต่อสังขารสิ่งปรุงแต่งต่างๆ
    เอกัคคตา ความมีอารมณ์เป็นหนึ่งเดียว คือ ความมีจิตแน่วแน่เป็นเอกหรือเป็นสำคัญ
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบท ฌาน,สมาธิ)

    ฌาน ๕ - ก็เหมือนอย่าง ฌาน ๔ นั่นเอง แต่ตามแบบอภิธรรม ท่านซอยละเอียดออกไป โดยเพิ่มข้อ ๒ แทรกเข้ามา คือ ๑. ปฐมฌาน มีองค์ ๕ (วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา)  ๒. ทุติยฌาน มีองค์ ๔ (วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา) ข้อ ๓. ๔. ๕. ตรงกับข้อ ๒. ๓. ๔. ในฌาน ๔ ตามลำดับ


ญาณ - ความรู้, ปรีชาหยั่งรู้, ปรีชากําหนดรู้หรือความเข้าใจตามความเป็นจริงของธรรม(ธรรมชาติ)  หรือก็คือ ปัญญาที่เข้าใจอย่างถูกต้องแจ่มแจ้งแท้จริง ตามธรรมหรือธรรมชาติ

ญาณ ๓ หมวดหนึ่ง ได้แก่
           ๑. อตีตังสญาณ ญาณในส่วนอดีต
           ๒. อนาคตังสญาณ ญาณในส่วนอนาคต
           ๓. ปัจจุปปันนังสญาณ ญาณในส่วนปัจจุบัน;
       อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่
           ๑. สัจจญาณ หยั่งรู้อริยสัจแต่ละอย่าง
           ๒. กิจจญาณ หยั่งรู้กิจในอริยสัจ
           ๓. กตญาณ หยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้วในอริยสัจ;

ญาณ ๑๖ - ญาณที่เกิดแก่ผู้บำเพ็ญวิปัสสนาโดยลำดับตั้งแต่ต้นจนถึงจุดหมายคือมรรคผลนิพพาน ๑๖ อย่างคือ
๑.นามรูปปริจเฉทญาณ ญาณกำหนดแยกนามรูป   ๒.(นามรูป) ปัจจัยปริคคหญาณ ญาณกำหนดจับปัจจัยแห่งนามรูป   ๓.สัมมสนญาณ ญาณพิจารณานามรูปโดยไตรลักษณ์  ๔. - ๑๒. (ตรงกับวิปัสสนาญาณ ๙)   ๑๓.โคตรภูญาณ ญาณครอบโคตรคือหัวต่อที่ข้ามพ้นภาวะปุถุชนเป็นอริยบุคคลระดับใดระดับหนึ่ง   ๑๔.มัคคญาณ ญาณในอริยมรรค   ๑๕.ผลญาณ ญาณในอริยผล   ๑๖.ปัจจเวกขณญาณ ญาณที่พิจารณาทบทวน;   ญาณ ๑๖ นี้เรียกเลียนคำบาลีว่า โสฬสญาณ หรือเรียกกึ่งไทยว่า ญาณโสฬส;   ดู วิปัสสนาญาณ ๙

ญาณทัสสนวิสุทธิ - ความหมดจดแห่งญาณทัศนะ ได้แก่ญาณในอริยมรรค ๔


ตทังควิมุตติ - “พ้นได้ด้วยองค์นั้น”  หมายความว่า พ้นจากกิเลสด้วยอาศัยธรรมตรงกันข้ามที่เป็นคู่ปรับกัน เช่น เกิดเมตตา จึงหายโกรธ, เกิดสังเวช จึงหายกำหนัด เป็นต้น   เป็นการหลุดพ้นชั่วคราว และเป็นโลกิยวิมุตติ

ตทังคปหาน - “การละด้วยองค์นั้น”, การละกิเลสด้วยองค์ธรรมที่จำเพาะกันนั้น คือละกิเลสด้วยองค์ธรรมจำเพาะที่เป็นคู่ปรับกัน แปลง่ายๆ ว่า “การละกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับ” เช่น ละโกรธด้วยเมตตา  (แปลกันมาว่า “การละกิเลสได้ชั่วคราว”)  และเป็นโลกิยวิมุตติ

ตทังคนิพพาน - "นิพพานด้วยองค์นั้น”, นิพพานด้วยองค์ธรรมจำเพาะ เช่น มองเห็นขันธ์ ๕ โดยไตรลักษณ์แล้วหายทุกข์ร้อน ใจสงบสบายมีความสุขอยู่ตลอดชั่วคราวนั้นๆ กล่าวคือ เห็นเข้าใจธรรมใดได้อย่างแจ่มแจ้ง(ธรรมสามัคคคี) ทำให้ใจสงบสบายมีความสุขอยู่ตลอดคราวหนึ่งๆ,  นิพพานเฉพาะกรณี เช่นตทังควิมุตติ

ตติยฌาน - ฌานที่ ๓ มีองค์ ๒   ละปีติเสียได้ คงอยู่แต่สุข กับ เอกัคคตา

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version