ผู้เขียน หัวข้อ: งามอย่างแท้จริง  (อ่าน 1411 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
งามอย่างแท้จริง
« เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2011, 11:57:25 am »

                         

งามอย่างแท้จริง
          คนเราจะสวยสดงดงาม แต่เพียงสรีระร่างกายและเครื่องประดับนั้นยังไม่เพียงพอ ต้องงดงามทางด้านจิตใจด้วย คำกล่าวที่ว่า" ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง" เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องโดยปราศจากข้อสงสัย ถ้าไม่เชื่อลองหลับตานึกภาพของไก่ที่ถูกถอนขนวิ่งโทง ๆ นอกจากจะดูไม่สวยงามแล้ว ยังดูน่าเกลียดพิลึก หรือดูแล้วกลายเป็นเรื่องน่าขบขันหรือน่าสังเวช ทั้งนี้เพราะไก่นั้นมีขนเป็น อาภรณ์ปกปิดกายและป้องกันอากาศร้อนและหนาว

          มนุษย์เราก็เหมือนไก่ คือ ต้องมีเสื้อผ้าอาภรณ์ประดับกายเพื่อความงดงาม และปกปิดอวัยวะที่ไม่ควรเปิดเผย อันเป็นที่ตั้งแห่งความละอาย และเสื้อผ้าอาภรณ์ที่นำมาตกต่างร่างกายนั้น ยังเป็นเครื่องป้องกันความร้อนและหนาวได้อย่างดี ทำให้คนเราประกอบกิจการให้ลุล่วงไปได้ โดยไม่ต้องกังวลกับอากาศร้อนหนาว และการสัมผัสยุง มด แมลง ทั้งหลายที่จะมารบกวน
          ดังนั้น มนุษย์เราจึงแสวงหาเครื่องประดับตกแต่งกันอย่างสุดความสามารถ มีเสื้อผ้าแล้วยังไม่พอ ต้องมีเครื่องประดับอย่างอื่นเข้ามาเสริม เช่น สร้อยคอ ต่างหู เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีเครื่องบำรุงผิวให้ดูงดงามตามยุคตามสมัย แต่งแต้มสีสันกันจนกลายเป็น แฟชั่นยอดนิยม

          ที่กล่าวมานี้เป็นการตกแต่งในทางร่างกายเท่านั้น แต่ไม่มีการตกต่างทางจิตใจ
และเครื่องประดับตกแต่งจิตใจนั้น ก็ไม่มีบริษัทห้างร้านใดผลิตออกมาขาย
เพราะฉะนั้นก้อยากจะบอกว่า คนเราจะสวยสดงดงามแต่เพียงสรีระร่างกาย
และเครื่องประดับนั้นยังไม่เพียงพอ ต้องงดงามทางด้านจิตใจด้วย
          การที่จิตใจจะงดงามนั้น ท่านกล่าวถึงธรรมะ ๒ ประการ ที่จะทำให้คนเรางดงามอย่างสมบูรณ์ นั่นคือ
               ๑. ขันติ - ความอดทน
               ๒. โสรัจจะ - ความสงบเสงี่ยม

          ขันติ เป็นธรรมที่มีกล่าวไว้ในที่หลายแห่ง ในโอวาทปาติโมกข์ ในมงคลสูตร แม้ในเรื่องพระเจ้าสิบชาติ หรือในบารมี ๑๐ ก็มีกล่าวเอาไว้ เพราะถือว่า เป็นธรรมสำคัญที่จะขาดไม่ได้ ใครจะปฏิบัติธรรมสูงเพียงใดก็ตามต้องมีความอดทนเป็นพื้นฐาน และในชีวิตประจำวันยิ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะคนเราต้องสมาคม สังคมกับคนรอบข้าง ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี

ความอดทนจำแนกออกเป็น ๓ อย่าง คือ
          ๑. อดทนต่อความยากลำบากในการทำงานหรือประกอบกิจการ ในการดำเนินชีวิตที่ต้องอดทนต่อสู้กับดินฟ้าอากาศที่ร้อนและหนาว เป็นต้น จนนำพากิจการงานนั้น ๆ ให้ผ่านพ้นลุล่วงไปด้วยดี
          ๒. อดทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วย ทนต่อทุกขเวทนาไม่โอดโอยร้องครวญครางให้เป็นที่น่ารำคาญคนอื่น เช่นพยาบาลและหมอ หรือคนใกล้ชิด ที่ให้การดูแลรักษา ทั้งไม่บ่นจู้จี้จุกจิกจนกลายเป็นคนเอาใจยาก ก็จะเป็นความงามที่ไม่ต้องอาศัยอาภรณ์ใด ๆ มาประดับ เป็นความงดงามของจิตอย่างแท้จริง
          ในทางตรงข้าม ถ้าคนเราประดับตกต่างร่างกายสวยงามด้วยอาภรณ์อันมีค่า แต่เวลาป่วยไข้แล้วไม่อดทนต่อทุกขเวทนา ส่งเสียงโอดครวญให้เกิดความรำคาญแก่ผู้รักษาพยาบาล หรือผู้ใกล้ชิด เครื่องประดับตกต่างเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะทำให้คนคนนั้นน่ารักยินดีได้เลย เพราะความงดงามทางจิต คือ ความอดทนนั้นไม่มีอยู่ในจิต ซึ่งจะทำให้คนคนนั้นมีสภาพเหมือนเด็ก ๆ ที่ขาดการควบคุมตนเอง

          ๓. อดทนต่อความเจ็บใจ หรืออดทนต่อการกระทบกระทั่งทางจิตใจ ในการอยู่รวมกันในสังคมของคนส่วนใหญ่ ย่อมมีอยู่บ้างที่จะต้องมีการกระทบกระทั่งทางกาย ทางวาจา เพราะคนในสังคมนั้น บางคนเป็นคนดี บางคนเป็นคนไม่ดี คนดีไม่จำเป็นต้องพูดถึง เพราะคนดีมีประโยชน์และทำในสิ่งที่ดีที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่คนไม่ดีนี่สิก่อปัญหาความเดือดร้อนไม่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นเมื่อต้องเกี่ยวข้องกับคนไม่ดี ต้องมีความอดทนอดกลั้นอย่างยิ่ง มิฉะนั้นตัวเราเองจะเป็นผู้ที่ทำอะไร ๆ ให้เสียมรรยาทในสังคม รวมทั้งความเป็นผู้มีชื่อเสียงไปในทางติดลบได้ง่าย ๆ
          คนบางคนแต่งตัวดี ดูดีไปหมด แต่พอถูกคนกระแหนะกระแหนเท่านั้น ก็โกรธฉุนเฉียว อดกลั้นอารมณ์ไม่อยู่ แสดงอาการโกรธตอบทันที ชุดเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องประดับต่าง ๆ ไม่ช่วยให้เกิดความงามขึ้นมาเลย

          ครูบางคนลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุ ก็เพราะทนกิริยาท่าทางของเด็กนักเรียนที่แสดงออกต่อครูไม่ได้ เพราะครูตั้ง มาตรฐานตัวเองไว้ว่า เด็กทุกคนต้องเคารพครู แต่ครูมีความรู้สึกว่า เด็กไม่เคารพและมีท่าทีก้าวร้าว ท้าทาย ครูอาจทำอะไรรุนแรงแกนักเรียน จนกลายเป็นผู้ร้ายของนักเรียนไปได้ในชั่วพริบตา ความงดงามในความเป็นครู ในความเป็นผู้ให้ความรู้อบรมบ่มนิสัยที่ดีของเยาวชนก็จะหมดไป เครื่องหมายความเป็นครู จะไม่มีอะไรเหลืออยู่ กลบความดีที่เกิดขึ้นช้า ๆ และสั่งสมเป็นเวลานาน แต่ความชั่วเกิดแผล็บเดียว ทำลายความดีไม่ให้เหลืออยู่เลย

          อีกอย่างหนึ่ง ความอดทน ต้องแยกออกมาให้ชัดเจน ในการควบคุมตัวเอง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งยั่วยุที่ไม่ดี คือ อดที่จะไม่โกรธตอบ หรืออดต่อการที่จะนำเข้ามาไว้ในใจ คือ ไม่นำเอาสิ่งที่ได้ยินได้เห็นที่ไม่ดีเข้ามาไว้ในใจเรา แล้วก็ทน คือ ทนต่อการเจ็บใจ การเสียดแทงทางใจ ที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจเหล่านี้ หรือในบางครั้งเราพบ เห็นสิ่งที่น่ายินดี น่ารักใคร่ แล้วเกิดอยากได้ เช่น เดินไปในห้างสรรพสินค้า พบของที่ถูกใจมากมายอยากได้ไปหมด ก็ต้องใช้ความอด คือ อดใจไว้ไม่ให้สิ่งที่เราอยากได้เข้าอยู่ในใจเรา แล้วก็ทนที่จะต้องไม่มีสิ่งเหล่านั้นให้ได้ เราก็จะได้ไม่ต้องจ่ายเงินออกไป เพราะพอเราพ้นออกมาจากห้างสรรพสินค้าไม่นานเท่าไหร่ เราก็อาจลืมความอยากได้ไปแล้ว ใช่หรือไม่ ?

          ความอดทนต่อการกล่าวร้ายป้ายสี การด่าว่าจากบุคคลอื่นนั้น พระพุทธเจ้าทรงกระทำให้เป็นตัวอย่างมาแล้ว เรื่องของเรื่องมีว่า พราหมณ์คนหนึ่งพบพระพุทธเจ้าทีไร แกก็จะด่าว่าพระพุทธเจ้าเสีย ๆ หาย ๆ อยู่ร่ำไป เพราะโกรธที่พระพุทธเจ้าบวชน้องชายแก เพราะแกเป็นพราหมณ์ ไม่เลื่อมใสพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเห็นว่าพราหมณ์ด่าว่าอยู่เสมอ ไม่เลิกราเสียที

ก็เลยตรัสถามว่า...พราหมณ์ ในเรือนของท่านนั้น มีแขกมาเยือนหรือไม่ ?...
พราหมณ์ก็ตอบว่า...ในเรือนของข้าพเจ้านั้นมีแขกมาเยือนเสมอ ...
จึงตรัสถามต่อไปอีกว่า ...เมื่อมีแขกมาเยือน ท่านต้อนรับอย่างไร ...
พราหมณ์ก็ตอบว่า ...ข้าพเจ้าก็ต้อนรับด้วยอามิสสิ่งของเครื่องบริโภคตามสมควรแก่ฐานะของแขกผู้มาเยือน...

พระองค์จึงตรัสว่า...พราหมณ์ เมื่อแขกที่มาเยือนท่าน ไม่รับของต้อนรับจากท่าน
สิ่งของเหล่านั้นจะตกเป็นของใคร...
พราหมณ์ก็ตอบว่า...ก็ตกเป็นของข้าพเจ้า...
ดังนั้นจึงตรัสว่า...พราหมณ์ การที่ท่านด่าเราทุกวัน ๆ เราไม่ได้รับเอาไว้ คำด่าเหล่านั้นจะตกเป็นของใครเล่า ?...
พราหมณ์เลยจำนนต่อพระดำรัส แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนาแต่นั้นมา


          เพราะฉะนั้น การอดทนก็คือ การไม่รับเอา หรือการที่ไม่ให้สิ่งที่ไม่ดีนั้นมามีอำนาจอยู่เหนือใจตน อย่าไปรับเอา เมื่อเราไม่รับสิ่งนั้นก็จะกลับไปหาเจ้าของนั่นเอง ทำใจให้สบาย ๆ การที่เรามีความอดทนอดกลั้นเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่พอที่จะทำให้เป็นคนมีความงามอย่างแท้จริงได้ ต้องมีธรรมะอื่นเข้ามาร่วมเติมต่อ ธรรมะที่คู่กับขันติ ก็คือ โสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม
          ความสงบเสงี่ยมคือความที่มีจิตชื่นบาน ประณีต มีจิตที่ราบเรียบ ไม่ว่าจะเผชิญกับภาวะที่น่าพอใจรักใคร่หรือภาวะที่ไม่น่าพอใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะไม่แสดงอาการให้ผิดแผกไปจากเดิม

          คนเรารู้จักอดทนอดกลั้น ไม่โกรธต่อผู้อื่นก็จริง แต่ในความอดทนนั้นอาจจะมีสีหน้าที่บึ้งตึ้ง หรือสีหน้าที่แสดงความไม่พึงพอใจ ต่อเมื่อมีโสรัจจะ คือความแช่มชื่นเข้ามากำกับ ก็จะทำให้ผู้นั้นมีความอดทนที่งดงามปรากฏแก่ผู้พบเห็น เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของผู้อื่น โสรัจจะจึงทำหน้าที่เสริมความอดทนให้งดงามเด่นชัดขึ้น
          ขันติ ความอดทน และโสรัจจะ ความสงบเสงี่ยมนี้ เป็นธรรมคู่กัน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เพราะมีทั้งสองอย่างอยู่ร่วมกัน จึงเป็นธรรมที่จะทำให้บุคคลงดงามอย่างแท้จริง งามยิ่งกว่าอาภรณ์ทั้งปวงที่มีในท้องตลาด
          บอกต่อ ๆ กันไปด้วยว่า ขันติและโสรัจจะนั้น ไม่มีใครทำขาย ถ้าอยากได้ต้องทำเอง โรงงานก็อยู่ที่ใจท่านนั่นแหละ...

ข้อมูล : หนังสือธรรมลีลา โดย ธมฺมจรถ
-http://www.jepata.com
 

ออฟไลน์ ดอกโศก

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 862
  • พลังกัลยาณมิตร 595
    • rklinnamhom
    • ดูรายละเอียด
Re: งามอย่างแท้จริง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2011, 10:09:57 pm »
อนุโมทนา

 :13: