วิถีธรรม > ไหว้พระหน้าคอม

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง

<< < (2/3) > >>

sithiphong:
การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 5

ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร


นิทานเรื่องนี้ ถ้าจะกล่าวต่อไปก็นับเป็นพัน ๆ รายและยังมีอยู่ทุกวันและจะมีต่อไปไม่สิ้นสุด เป็นที่น่าเศร้าใจเพราะคบคนผิดคิดว่าเขาเป็นผู้รอบรู้เชี่ยวชาญ ที่แท้คบเอาเถรส่องบาทเข้าเต็มเปา ผมจึงค้นคิดวีธีการใช้พระเครื่องไว้ดังนี้
1. การเลี่ยมพระควรเปิดหน้า และจำเป็นต้องตรวจพลังภายในก่อนที่จะใช้ในการคุ้มครองป้องกันชีวิต ถ้าเป็นเหรียญรูปพระคณาจารย์ซึ่งมีราคาค่างวดสูงต่ำกว่ากันตามค่านิยม ชนิดราคาเรือนพันเรือนหมื่นควรเป็นตลับทองคำเจาะตรงพระพักตร์ให้เป็นรูกว้างเท่ากับปลายเข็มหมุด เพื่อการแผ่พุ่งของรังสี ถ้าเหรียญราคาไม่แพงให้เลี่ยมด้วยพลาสติกสีเปิดหน้าหลังยกขอบกันสึกเพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้ถาวรทนทานถ้าเป็นพระชินตะกั่วสนิมแดงหรือพระเนื้อผงไม่จำเป็นต้องเปิดหลัง คนสมัยก่อนนิยมเลี่ยมเปิดหลังเรียกว่าพระเจ้าเปิดโลก เพื่ออาศัยการสัมผัสจากธาตุสี่ในการตัวขับดันรังสีพระ ความจริงนั้นเพียงรังสีขององค์ท่านก็เป็นการเพียงพอแล้ว การเจาะที่ก้นรังสีไม่ออกชัดเจน ใครจะรักพระหรือรักชีวิตเลือกพิจารณาดูเอง

2. ถ้าเลี่ยมเปิดหมดจะต้องยกขอบให้เกินองค์พระไว้ เพื่อป้องกันการเสียดสีถ้าเลี่ยมแบบไม่ใช้ตลับเจาะหน้าก็ได้แต่มีจุดบกพร่องเพราะฝุ่นจะเข้าเกาะในองค์พระและดูไม่งามยากแก่การทำความสะอาด ถ้าเลี่ยมแบบตลับนาน ๆ ถอดออกทำความสะอาดได้

3. ผู้ที่นิยมแขวนพระมากองค์จะเลี่ยมปิดทั้งหมดก็ได้ แต่ควรเลือกองค์ใดองค์หนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงและสุนทรียภาพค่อนข้างต่ำเปิดกันเลยองค์เดียวก็พอ อย่าเลี่ยมปิดหมดทั้งชุด และควรใช้พระในอัตราคี่ เช่น 1 องค์ 3 องค์ 5 องค์ (บางคนถือเคล็ดไม่ยอมใช้พระอัตราคู่)


ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)

sithiphong:
การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 6

ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

การใช้พระเครื่องสมัยเดิม

เรื่องการอมพระ คาดพระ พกพระใส่ไถ้ใส่ถุง นับเป็นเรื่องล้าสมัย คนสมัยเก่ามีเคล็ดวิชาเกี่ยวกับการใช้พระเครื่องมากมาย ได้รับประสิทธิผลเป็นส่วนใหญ่ ทุกวันนี้ผู้เฒ่าผู้แก่มักพูดว่าไม่จำเป็นต้องใช้การพกพระติดตัวนำไว้กับบ้านก็ใช้ได้ เด็กรุ่นใหม่ฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะเชื่อถือเห็นว่าเป็นการพูดเล่นมากกว่า เพราะขนาดแขวนคอเป็นพวงยังเห็นไปไม่รอด แต่เป็นเรื่องจริงเขาเรียกว่าการใช้พระ โดยการอธิษฐาน ผู้อธิษฐานจะต้องมีสมาธิจิตอันแน่วแน่เด็ดเดี่ยวจริง ๆ ย่อมได้ผลจริง มีบุคคลหนึ่งไม่ได้ถามชื่อได้รับพระสมเด็จวัดระฆังเป็นมรดกตกทอดอยู่องค์หนึ่ง ปกติบุคคลผู้นี้ไม่นิยมการแขวนพระ แต่มีความเคร่งครัดกว่าผู้ที่แขวนพระมากมายนักคือก่อนที่จะออกจากบ้านไปกิจธุระทุกครั้งจะไม่ลืมจุดธูปบูชาพระสมเด็จฯ เพื่อขอความแคล้วคลาดปลอดภัยคุ้มครองชีวิต วันหนึ่งถูกยิงด้วยปืน 3 นัดที่ตัวเป็นรอยไหม้ 3 รอยและไม่ได้รับอันตราย สมัยเมื่อพระคุณเจ้าธัมมวิตกโก ยังมิได้ทำการอธิษฐานจิตเสกพระเครื่องและเหรียญรูปเหมือนองค์ท่าน มีนายตำรวจบางคนไปขอของดีจากท่าน พระคุณเจ้าชี้แจงว่าไม่ได้มีของดีอะไรแจก หากนับถือพระคุณเจ้าเพียงให้รำลึกถึงฉายาว่า ธัมมวิตกโก โกก็พอคุ้มกันภยันตรายได้ ต่อมานายตำรวจผู้นั้นไปตามจับผู้ร้ายสำคัญจังหวัดเพชรบุรีที่ป่าตาลแห่งหนึ่งเกิดต่อสู้กันตัวต่อตัว คนร้ายมีร่างกายกำยำแข็งแรงกว่านายตำรวจกดคอนายตำรวจไว้จะเชือดด้วยมีปาดตาลอันคมกริบ นายตำรวจเห็นจวนแจได้สติจึงรำลึกถึงพระคุณเจ้า ธัมมวิตกโก เท่านั้นเองผู้ร้ายถึงแก่อาการจังงังเงื้อมีดปาดตาลค้างนายตำรวจผู้นั้นจึงใช้วิชายูโดล๊อคคนร้ายไว้ได้ และถามด้วยความสงสัยว่าตอนนั้นทำไมไม่ลงมือเชือดคอฉัน ผู้ร้ายตอบว่าจะเชือดได้อย่างไรกันครับ พระที่ไหนไม่ทราบมายืนอยู่ข้าง ๆ ทำเอาผมคิดอะไรไม่ออกเรื่องนี้ทราบจากปากคำนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งคุ้นเคยกันส่วนตัว บางคนว่าเหรียญที่อัดพลาสติกจนแน่นก็ใช้ได้ เช่น เหรียญหลวงพ่อคงบางกระพร้อมเหรียญหลวงพ่อดิ่งวัดบางวัว เขาว่าอย่างนั้น มันออกจะขัดแย้งกับการแผ่พุ่งของรังสีตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ซักไปคงได้ความเช่นเดียวกับการอธิษฐานโดยไม่ต้องนำพระติดตัว เข้าศาสตร์เดียวกับผู้ที่ใช้พระสมเด็จโดยไม่ต้องนำพระติดตัวไม่ใช่ว่ารังสีการคุ้มครองสามารถพุ่งทะลุพลาสติกออกมาได้ มิฉะนั้นจะเป็นการเข้าใจผิดไปอีกนาน ประเภทนี้เป็นการใช้พระเดี่ยวทั้งสองราย การใช้พระในสมัยก่อนนอกจากการอธิษฐานอาราธนาโดยเคร่งครัดแล้วยังมีการผูกกลึงการคัดถอน โบราณถือว่าเวทย์มนต์คาถานั้นมีการสูบหรือคัดถอนได้เมื่อเกิดดีต่อดีมาเจอกันก็จำเป็นต้องคัดถอนกันเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม ฉะนั้นการต่อสู้ระยะประชิดตัวในการรบสมัยโบราณจึงมีการตายกันไม่น้อยทั้ง ๆ ที่ต่างก็มีของดี ดังคำกลอนเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนกล่าวถึงการคัดของดีจากคู่ต่อสู้ดังนี้
“สำมะยั่วโถมเข้ามานายทัพ สำมะยังเป่าไปให้ปะจุขาด
ดาบร่อนเลือดฝาดดังชาดเช็ด พรหมศรเสกคาถาว่าถอนโบสถ์
ชักกั้นหยั่นฟันควาญช้างลงซานซบ สอยดาวเห็นแม่ทัพอัปรา
ก็ขับไสช้างงาเข้ามาพลัน ธรรมเถียรยืนดูอยู่ท่ามกลาง
อ้ายพลายแก้วมิ่งเมืองไม่เงื่องงุย นายสอยดาวทรงกายพอหายขัด
ไทยเป่าโอ้ฟ้าผ่ามาตามลม นายปราบรับฟันปังดังเหล็กเพชร
เอาดาบฟาดขาดสะบั้นกระเด็นเด็ด อ้ายลาวเข็ดคิดขยาดไม่อาจรบ
โดดแทงกำกองเข้าท้องกบ ทับศพผีนายลงก่ายกัน
นายทั้งปีกขวาก็อาสัญ เอาง้าวฟันพวกไทยไล่ตะลุย
ขัดใจไสช้างมาฉุยฉุย เอางาฉุ่ยสอยดาวเข้าราวนม
เอาของัดงาหันฟันประสม ฟันลาวง้าวจมลงครึ่งคอ”
อันคาถาโอ้ฟ้าผ่านี้ เข้าใจว่าเป็นบทหนึ่งในคัมภีร์รัตนมาลาคือ “โอติโตสัพพะกิเลสัง โอหิโตสัพพะมะลัง โอหิโตสัพพะทิฏฐิญจะ โอหิจิตตังนะมามิหัง” ใช้เคล็ดจากคำว่าสัพ เมื่อตอนหนุ่ม ๆ เคยไปขอเรียนจากท่านผู้เฒ่า ท่านกล่าวว่าคาถาบทนี้ขอเพียงให้นั่งกระดานเดียวกัน ใครอวดศักดาลองเหนียวว่าคาถาแล้วพังทุกราย ขอเรียนก็ไม่ให้บอกว่าแก่แล้ว ต้องบอกกันใต้ต้นไม้ใหญ่และฟ้าจะผ่าทันทีเกรงจะวิ่งหนีไม่ทัน เลยไม่ได้เรียนกับท่าน เมื่อมีการคัดถอนก็จำเป็นต้องมีการผูกอย่างเหนียวแน่นเช่นกัน ใส่กุญแจสามชั้นบ้าง ใช้บทพระนารายณ์กลึงจักรคือ อะ ภะ สัง ภุ วิ สะ สุ ปุ โล กันคัดถอนกันคุณไสยตามอุปเท่ห์กล่าวว่า อย่าว่าแต่มนุษย์เลยเทวดาทำมาก็ไม่ถูก มีวิธีคัดอยู่อย่างเดียวที่จะแก้กันคือบทพระนารายณ์คลายจักร โล ปุ สุ สะ วิ ภุ สัง ภะ อะ คณาจารย์แถบชายทะเลฝั่งตะวันออกนิยมใช้บทนี้ นะกลึงฟ้า โมกลึงดิน พุทธกลึงสมุทร ธากลึงสายสิญจน์ ยะกลึงอากาศ อากาศนี้กลึงด้วย นะ โม พุท ธ า ยะ ส่วนที่ใช้กันง่าย ๆ ก็คือเมื่ออาราธนาเสร็จให้กลั้นใจว่า โส ทา ยะ 3 ครั้ง จึงเอาพระสวมคอกันหลวงพ่อเผลอหนีไปเที่ยว เวลาถอดแขวนก็บอกว่า ไส ยะ คือนิมนต์หลวงพักผ่อนได้ครับเหนื่อยมามากแล้ว นอกนั้นยังมีเรื่องลี้ลับอีกประมวลแล้วล้วนเป็นเรื่อง ทุกข อนิจ อนัตตา คือ…..

ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)

sithiphong:
การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนที่ 7

ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร



วันเหนียว
เป็นวันเหนียวเฉพาะตนโดยอัตโนมัติแต่ไม่ทราบว่าเป็นวันอะไรแน่ พยายามสอบถามได้ความเพียงว่าให้สังเกตดูหากวันไหนถ่ายอุจจาระจมก็วันนั้นแหละ ไม่ต้องมีอะไรก็เหนียว ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งไม่นิยมการใช้พระแม้แต่เรื่องลงกระหม่อมสักยันต์ก็ไม่เคย วันหนึ่งถูกสุนัขกัดอย่างแรงไม่เข้าเป็นที่แปลกใจ บางคนเกิดฟลุคไปรดน้ำมนต์แล้วถูกรุมตีไม่เป็นไรอาจารย์องค์นั้นก็ดังไปพักหนึ่งโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้ามีพระติดตัวก็เข้าใจว่าหลวงพ่อช่วย เอวันหลังทำไมไม่แน่

วันเปื่อย
เมื่อมีวันเหนียวก็ย่อมมีวันเปื่อยเป็นของคู่กัน อย่าทะนงตนและอย่าสงสัยเรื่องเกิดขึ้นภายในครอบครัวนี่แหละครับ วันหนึ่งผมไปพบท่านเจ้ากรมแผนที่คนปัจจุบันที่บ้านสะพานจงประสาน อ. เมืองชลบุรี พอเห็นหน้าท่านก็ทักทันที แหมพระของพี่ถมเหนียวชะมัดตาจิ๋วถูกสุนัขกัดเย็บตั้ง 8 เข็มทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก จึงเรียนถามท่านว่า สุนัขมันกัดวันอาทิตย์ใช่ไหมครับ ท่านตอบว่าใช่ ผมก็ไม่กล่าวกระไร ท่านบอกว่ายังทะลึ่งพาไปคลินิกเห็นถอดพระออกจากคอ ถามว่าถอดทำไม่ ตาจิ๋วตอบว่าเข็มแทงไม่เข้าครับ นี่มันประกอบด้วยกฎแห่งกรรม คือนายจิ๋วเมื่อเล็ก ๆ มีนิสัยซุกซนชอบแหย่สุนัขข้างบ้าน เอาใบกระดาษแหย่ให้มันกัดมันโกรธและมีความอาฆาตพอมีโอกาสเจอกันที่ถนน มันตรงเขากัดอย่างไม่เลี้ยงมันดุจริง ๆ ขนาดกัดสุนัขด้วยกันมันกินเนื้อสุนัขตัวที่ถูกมันกัด แต่นายจิ๋วก็มีนิสัยเป็นนักสู้ไม่ถอยหนีรู้สึกตัวว่าถูกกัดเข้า ก็รีบนึกถึงหลวงพ่อตอนนี้ไม่เข้าและชักมีดจะแทงสุนัขพอดีเจ้าของออกมาห้ามจึงเลิกกันไป พอไปถึงคลินิกเย็บแผลเกิดไม่เข้ายังความฉงนสนเท่ห์ให้กับนายแพทย์ยิ่งนัก รำพึงว่าไม่น่ากัดเข้าเลย และก็พระองค์นี้ถูกกัดมามากครั้งแล้ว สบายมากไม่เป็นไรเลยนี่แหละครับเขาเรียกวันเปื่อย และอาจจะเป็นเฉพาะชั่วยามในคราวเคราะห์


ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)

sithiphong:
การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่อง
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

หมายเหตุ ผมได้รับอนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร ในการนำบทความนี้มาลงในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) เรียบร้อยแล้ว หากท่านใดจะนำไปลงในเว็บต่างๆ ให้ขออนุญาตจากท่านอาจารย์ประถม อาจสาครก่อนครับ

การเดินรังสีจิตในพระเครื่อง หรือ ศิลปการใช้พระเครื่องตอนจบ

ปรัศนี ประชากร (เขียนเมื่อ ปี พ.ศ. 2525)
ลิขสิทธิ์ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร


วันตาย
คนเราย่อมมีที่ตายของตน อาจมีคนแย้งว่าที่ตายของคุณแม่อยู่ที่ซอยลอยมา ถ้าอยู่ซอยจงประสานเห็นทีจะไม่ตายกระมังนี่เป็นการตายปกติสามัญ อยู่โรงพยาบาลอยู่ที่ไหนก็ตาย ที่ตายที่ว่านี้เป็นการตายไม่ปกติ เช่นหายโหง ตายแบบอุบัติเหตุมันมีที่ของมัน เพื่อนผมคนหนึ่งทำงานองค์การรถไฟ ไปราชการสงครามประเทศเกาหลีไม่มีพระกับเขามันก็ไม่ตายเพราะไม่ใช่แดนตายของเขา คนที่มีพระเต็มคอก็ตายเขาเลยไม่ยอมเชื่อพระตัวเอง เช่นว่านี้มีอยู่หลายเรื่อง

1. มีนักเลงทางตำบลบางทรายผู้หนึ่งเกเรและเพาะศัตรูไว้มากมาย แกมีพระประจำตัวอยู่ 3 องค์ คือ พระร่วงสนิมแดง 1 ประปิดตาเมฆพัดหลวงปู่ทา วัดพะเนียงแตก 1 พระคงสีดำ จังหวัดลำพูน 1 มีปืนเบรานิงค์ตราปืนขนาด 7.65 หนึ่งกระบอกพกติดตัวอยู่เสมอ ก่อนจะออกตลาดทุกครั้งจะต้องแวะไปที่กุฏิท่านวินัยธรรม (เภา)ให้เห็นพระเสียก่อน และมักจะลองของบนกุฏิทุกครั้งด้วยปืนคู่ชีวิต คือยิงใส่ตัวเอง 3 ครั้งก่อนจะเดินทาง คิดว่าหากเป็นวันเปื่อยก็เพียงแค่เสียแขน ถ้าไปโดนวันเหนียวเข้า ยิง 3 นัดก็ไม่ออก โดนวันธรรมดาก็ออกกระสุนปืนเด้งจากแขนเพียงเป็นจุดไหม้เท่านั้น จึงจะเป็นที่มั่นใจและออกเดินทางได้และเข้าวันหนึ่งหลังจากทดลองตัวเองด้วย 3 นัดไม่เป็นไรก็ต้องถูกยิงตายที่ตำบลท่าถ่านต้องถูกมือดีคัดของและประกอบกับเป็นวันตาย ที่ตายด้วย หากไม่ออกมามันก็ไม่ตาย

2. หลวงพ่อวัดหนองบัวลาดหญ้าเมืองกาญจน์เก่งทางตะกรุดฝาบาตร ท่านทรงฌานสมาบัติ วันหนึ่งมีกระทาชายสองนายมาหาท่านที่กุฏิเพื่อขอตะกรุดฝาบาตรจากท่านคนละดอก ท่านพิจารณาอยู่สักพัก แล้วสั่งว่าวันนี้ขออย่าลองของ กระทาชายทั้งสองนายพอรับของจากหลวงพ่อก็ดีใจลืมคำพูด สัญญาความจำรู้เพียงว่าของหลวงพ่อเคยลองได้ คนหนึ่งมีดาบเล่มยาว อีกคนหนึ่งมีมีดซุยขนาดใหญ่เรียกกันว่ามีดการะเกด ต่างผลัดกันแทงผลัดกันฟันเป็นที่สนุกสนาน พอถึงทางแยกสามแพร่งคนที่ถือดาบถูกคนมีมีดการะเกดแทงเต็มเหนี่ยวทะลุหลังถึงหน้าอกขาดใจตายตรงนั้นเอง ทำให้ต้องเสียเพื่อนรักและตัวเองต้องติดตะรางเพราะความประมาท

3. เสือร้ายมาตายรัง เรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรุนแรง เพราะเสือร้ายมาตายที่วัดหลวงพ่อและเป็นศิษย์ก้นกุฏิเสียด้วย เรื่องเกิดขึ้นทางจังหวัดภาคเหนือจะเป็นอุตรดิตถ์หรือชัยนาทจำไม่ได้ ทำให้หลวงพ่อเสียหน้า มันถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ล่ามาตลอดทางถูกยิงไม่เป็นไร พอถึงโคนต้นมะขามใหญ่วัดที่เคยขุนข้าวสุก ก็ถูกยิงล้มดิ้นสิ้นใจ หลวงพ่อออกมาดูบอกกับคนทั้งหลายว่าที่ตายของมันอยู่ตรงนี้ คนไม่ยอมเชื่อท่านสั่งให้ลากศพพ้นจากต้นมะขามเพียงหนึ่งวาแล้วให้ยิงด้วยปืนพร้อมกัน 7 กระบอกให้ยิงตามความพอใจไม่ต้องนับปรากฏว่าไม่ออก ท่านให้เอาหอกและจอบตราจระเข้ซึ่งมีความคมขนาดสับรากมะขามขาดลองฟันดู ก็ไม่เข้า พอลากคนถึงโคนมะขามปรากฏว่าทั้งยิงทั้งฟันเข้าหมด ทดลองถึง 3 ครั้ง คนจึงเชื่อและหลวงพ่อขอร้องว่าสงสารอย่าทรมานแก่สังขารอันปราศจากวิญญาณอย่างน้อยมันก็ตายไปแล้ว

นี่แหละครับมันเป็นเรื่องลี้ลับนอกเหนือการส่องแว่นค้นหาตำหนิและโค๊ทจริง ๆ เรื่องอะไรทั้งหลายไม่น่างง มันมีสูตรมานานแล้วมิใช่เพิ่งมี หากไม่ศึกษาก็ไม่ทราบ


ท่านอาจารย์ประถม อาจสาครสงวนลิขสิทธิ์
(เป็นความเชื่อ – ความคิดเห็นส่วนบุคคล(ของคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ประถมอาจสาครท่านผู้อ่านอ่านแล้วก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล)

ส. เพ็งพล:
โมทนาสาธุครับ
เหนื่อยมากกับการอธิบายในเรื่องนี้ให้คนรอบข้างและทั่วไปได้รับรู้และเชื่อตาม แต่ก็ดีใจครับที่ได้ทำและทำให้เขามีความเชื่อที่แม้เพียงคนสองคนก็ตามที

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version