วิถีธรรม > กฏแห่งกรรม-ชาติภพ

การล่วงเกิน "ผู้มีธรรม"

(1/3) > >>

sithiphong:
    ระวัง....การล่วงเกิน "ผู้มีธรรม"
    ขออนุญาตใช้เนื้อที่ตรงนี้แสดงความคิดเห็นด้วย  เป็นพราะได้เห็นข้อความบางข้อความไม่เหมาะสม 
เกรงว่าจะเกิด "กรรม" ไม่ดีต่อผู้ที่ได้ทำผิดอย่างไม่ตั้งใจ
    นั่นก็คือ....ใน "บอร์ด" แห่งนี้  เต็มไปด้วย "ผู้มีธรรม" มากมายหลายท่าน 
ทั้งที่เปิดเผยตัวเองและไม่ได้เปิดเผยตัวเอง
    "ผู้มีธรรม" และ "ผู้ทรงธรรม" นั้น  คล้ายกันในความหมาย 
ก็คือเป็นผู้ที่ยึดถือการกระทำความดี  เป็นชีวิตจิตใจ  เป็นสรณะ  เป็นที่พึ่ง
    และเป็นคนดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง
    คำว่าเป็นคนดีนั้น  หมายความว่า....
    1. ทำอะไรก็แล้วแต่.....มีประโยชน์ต่อตนเอง
    2. ทำอะไรก็แล้วแต่.....มีประโยชน์ต่อคนอื่น
    3. ทำอะไรก็แล้วแต่.....ไม่สร้างเดือดร้อนต่อตนเอง
    4. ทำอะไรก็แล้วแต่.....ไม่สร้างเดือดร้อนต่อคนอื่น
    ต้องทำให้ได้ครบ 4 ข้อ  เราจึงเรียกว่า "ความดี"
    ผู้ที่มีธรรม....ต้องทำ "ความดี" ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
    ใน "ลานธรรม" แห่งนี้....มี "ผู้มีธรรม" หลายท่าน  ทั้งที่เปิดเผยตัวเอง  และไม่ได้เปิดเผยตัวเอง
    มีทั้งภิกษุ  ผู้ทรงศีล  นักบวช  และฆราวาส
    เราไม่มีโอกาสจะทราบได้เลยว่า...ใครบ้างเป็น "ผู้มีธรรม"
    "ผู้มีธรรม" นั้น  ตัวท่านเองก็ไม่สามารถจะพูดให้ใครฟังได้ว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    เพราะบางทีตัวของ "ผู้มีธรรม" นั้นเอง  ก็ยังไม่ทราบตัวท่านเองเลยว่า  ท่านเป็นอย่างไร ?
    เพราะความเป็น "ธรรม" นั้น  มันเป็นเรื่องของ "จิตใจ" ที่เกิดขึ้นมาจากความเป็น "ธรรมชาติ"
ไม่สามารถหาซื้อจากที่ใดได้
    อาจจะติดมาจากอดีต  แล้วมา "ปรุงแต่ง" เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในภาวะปัจจุบัน
    เพราะฉะนั้น  เมื่อเราไม่รู้ว่าใครบ้างเป็น "ผู้มีธรรม"  จงอย่าได้มีความประมาท 
เผลอไผลไปตำหนิติเตียน  ด้วยใจที่เป็นอกุศล
    หรือต้องการประชดประชัน  ตีวัวกระทบคราด  ใช้คำไม่สุภาพ 
หรือล่วงเกินในสิ่งที่ตัวเองยังไม่รู้จริง
    ความปลอดภัย  เมื่อเราไม่รู้ว่าจะไป "ล่วงเกิน" ใครบ้างที่เป็น "ผู้มีธรรม"
    ควรทำอย่างนี้
    เวลาจะออกความเห็นใดที่เป็นการกล่าวตรงข้ามกับผู้อื่น  ควรกล่าวหรือเขียนด้วยความเป็นสุภาพชน 
ไม่ใช้ถ้อยคำกระแทกแดกดัน  ประชดประชัน  กล่าวส่อเสียด  ดูหมิ่น 
เหยียดหยามหรือแสดงในสิ่งที่ไม่สมควรแสดง
    เพราะ "ผู้มีธรรม" ก็เป็นคนธรรมดา  ย่อมมีความผิดพลาดได้เป็นของธรรมดา
    เมื่อทำผิดพลาด  ก็ย่อมได้รับคำติเพื่อก่อ  เพื่อสร้างสรรค์ เช่นคนอื่นได้เช่นกัน
    เคยหรือไม่ ? ที่ท่านเองเคยมีคนหมั่นไส้ท่านอย่างไม่รู้สาเหตุ  ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ?
    เคยหรือไม่ ? ที่ท่านเคยถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากคนอื่น  บางครั้งก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ?
    เคยหรือไม่ ? ที่ท่านมักจะมึนงงกับปัญหาที่เกิดขึ้น  ไม่รู้ทางแก้ไข  บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ
    เคยหรือไม่ ? ที่ท่านถูกกล่าวร้ายป้ายสีจากคนอื่น  ทั้งๆ ที่ท่านไม่ได้ทำ  บางครั้งก็ไม่ทราบสาเหตุ
    เคยหรือไม่ ? ที่ท่านพูดอะไรไปแล้ว ไม่มีคนเชื่อถือ  หรือพูดอะไรไปแล้วคนไม่เชื่อ
    เหล่านี้คือ "กรรม" ที่ได้กล่าวล่วงเกิน "ผู้มีธรรม"
    ตรงกันข้าม...ถ้าใครให้เกียรติ  ให้ความเคารพ  แม้ว่าจะติเพื่อก่อ  หรือให้เหตุผลที่ตั้งบนความบริสุทธิ์ใจ   
"กรรม" ที่ได้รับก็คือ........
    ไปไหน  ทำอะไร  พูดกับใคร  ไหว้วานใคร  ร่วมงานบุญกับใคร  เจอะเจอใคร ?   
ก็มีแต่คนรักใคร่  เป็นที่ชื่นชอบ  เป็นที่รัก  เป็นที่เคารพของหมู่ชนทั่วไป
    ลองสังเกตคนในลานธรรมนี่ก็ได้...ที่เป็นที่รักที่เคารพของคนทั่วไป   
ที่ไม่ใช่เพื่อนยกยอปอปั้นชื่นชมกันเอง (ประเภทเขียนเอง..ชมเอง  หรือไหว้วานให้คนอื่นมาชมแทน)
    อาจารย์ผมคนหนึ่งชื่ออาจารย์วิสุทธิ์  ปัญจะ (คุณติสโร รู้จักดี) เวลาท่านจะแสดงความคิดเห็นใด 
ต่อผู้ที่คิดว่าน่าจะเป็น "ผู้มีธรรม"  ท่านมักจะขึ้นต้นว่า
    "ขออนุญาต  ขอสอบถามเพื่อศีกษา  เพื่อเรียนรู้  ว่า......"
    นั่นคือผู้ที่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร
    แต่พวกเรา..ไม่ต้องขนาดนั้น  ไม่ต้องนอบน้อมขนาดนั้นก็ได้
    เพียงแต่ว่า  เข้ามาพูดคุย  แสดงความคิดเห็น  หรือแลกเปลี่ยนความรู้ 
ด้วยความสุภาพอ่อนน้อมให้เกียรติคนอื่น  ใช้กริยาวาจา (ข้อเขียน) ด้วยใจที่คิดว่ากำลังคุยกับเพื่อน 
ไม่ใช่คุยกับคนที่เกลียดขี้หน้ากัน
    การใช้วาจาตรงๆ  ก็สามารถทำได้  เพราะการใช้วาจาพูดคุยกันตรงๆ   
ก็สามารถใช้คำพูดหรือข้อเขียนที่อ่อนน้อม  สุภาพ  ได้
    คนปากกับใจตรงกัน  หรือคนที่พูดตรงๆ   ต่างจาก "คนปากพล่อย" มากมายนัก
    ผม (ตามตะวัน) ได้รับการสั่งสอนจากครูบาอาจารย์หลายท่าน  ให้เป็นอย่างนี้ 
และได้ถูกสอนให้เห็นถึงการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" อย่างชนิดที่ไม่ได้ถูกแค่สอนด้วยวาจา
    แต่ผมโดนสอนด้วยการถูกลงโทษจริงๆ
    จึงรู้..จึงเข้าใจว่า...การได้รับ "กรรม" จากการล่วงเกิน "ผู้มีธรรม" นั้น  มันเจ็บปวดและทรมาน
    จึงไม่อยากให้ท่านที่พลั้งเผลอไปกล่าวล่วงเกิน "ผู้มีธรรม"  ได้รับกรรมเช่นนั้น
    เมื่อเราไม่รู้ว่า  ใครบ้างที่เป็น "ผู้มีธรรม"  ก็จงอ่อนน้อมถ่อมตน  ติเตียนด้วยความสุภาพ 
หรือแสดงความคิดเห็นด้วยใจที่ไม่มีอคติ...
    ทำอย่างนี้เอาไว้ก่อน...ปลอดภัยกว่ากันเยอะ
    ผม (ตามตะวัน) ไม่ใช่ "ผู้มีธรรม"  เพราะยังมีอารมณ์  มีความโกรธ 
ไม่ได้เป็นคนดีทั้งต่อหน้าและลับหลังตลอด 24 ชั่วโมง  หรือตลอดเวลา   
และไม่ได้ทำความดีครบองค์ประกอบ 4  ทุกเรื่อง
    จะเชื่อหรือไม่เชื่อ...ก็ตามใจท่าน
    ผมมีหน้าที่แค่ "บอก" เท่านั้น
    "กรรม" ใดใครทำ  คนนั้นเป็นคนรับครับ

 จากคุณ : ตามตะวัน [ 1 ธ.ค. 2546 / 23:39:42 น. ]
www.larndham.net



http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/010605.htm

.

sithiphong:
   
อันตรายจากการว่าพ่อแม่ และจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล-ทรงธรรม

โทษของการจาบจ้วงพ่อแม่

ปีพ.ศ. 2500 มีนิสิตปริญญาโทจุฬา 30 คนไปที่อ.ค่ายบางระจัน สิงห์บุรี ไปให้แม่ทำครัวเลี้ยงเพื่อนๆ บอกว่า

"เลี้ยงวันเกิดผม แม่รู้ไหม วันเกิดผม ทำครัวต้องอร่อยด้วยนะ ผมพาเพื่อนมาจากกรุงเทพฯ"

ก็ทำแบบบ้านนอกจะไปอร่อยอะไร ก็ว่าแม่ เสียดสีแม่ ว่าแม่เสียใจร้องไห้ไปเลยนะ แล้วก็กลับกรุงเทพฯ

อาตมาจดไว้เลย ดูซิ ลูกจะเกิดอันตรายไหม ไปจ้วงจาบกับแม่เห็นชัด ดูซิว่าจะได้รับกรรมอะไรบ้าง

ต่อมารับราชการได้แค่ 3 ปี โดนไล่ออก นี่ปริญญาโท เมื่อปี 2500 นานมาแล้ว

แล้วไปเข้างานบริษัทฝรั่งก็โดนไล่ออก ไปเข้างานบริษัทญี่ปุ่นก็โดนไล่ออกอีก นี่แหละ

กฎแห่งกรรมจากการกระทำของหลักกรรมเปลี่ยน

พฤติการณ์ของชีวิตได้ ทำให้เขากลายเป็นคนเหลวไหลไปเลย เรียนที่จุฬาฯ ปริญญาโท เป็นหมันไปเลย

ทรัพยากรของชีวิตก็หมดไปด้วยตามสภาพของกฎแห่งกรรมจากการกระทำของเขา

พ่อแม่ตาย น้องสาวยังอยู่ น้องสาวเคยมานั่งกรรมฐานที่วัด -ถามเขาว่าพี่ชายเธอเป็นอย่างไร

"หลวงพ่อคะ เข้ากับใครไม่ได้เลย" นี่เขาเถียงแม่ อาตมาถึงสอนเด็กอย่าเถียงพ่ออย่าเถียงแม่



อริโยปวาอันตราย -อันตรายเกิดจากการจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล ทรงธรรม

เช่นพระสงฆ์องค์เจ้า เป็นต้น แล้วก็จ้วงจาบกับครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้

จ้วงจาบกับคุณพ่อคุณแม่ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้แน่นอน

ยกตัวอย่างให้เห็น มาเล่นกองไฟกินเหล้าเมายากัน นี่ปริญญาครุศาสตร์ เกิดต่อยปากครู ลงไปชกปากครูเลย

ดูซิ อย่างนี้จะมีอริโยปวาอันตรายเกิดขึ้นไหม -ครูก็ใจดี ครูก็เป็นมหาเปรียญ 6 ประโยค ตอนบวชเณร

แล้วก็ไปเรียนวิชาความรู้ วิชาครูแล้วมาบรรจุที่วิทยาลัยเทพสตรีนั้น เดี๋ยวนี้ปลดเกษียณไปแล้ว

"ผมไม่โกรธเขาแล้วครับ เขาต่อยปากผมไม่เป็นไร เขาเมา"

เราก็เรียกเด็กมาบอก "หนูเป็นบาปไปแล้ว นี่อริโยปวาอันตราย เธอไปขออโหสิกรรมกับครูเสีย"

ไม่ยอมไปขอ เปลี่ยนพฤติกรรมไปทางเมา เมาแล้วก็เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงชีวิต กลายเป็นคนเหลวไหล

นี่มันเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เพราะหลักกรรมอันนี้ออกมานี่ชัดเจนมาก ขอเจริญพรนะ อยู่มาไม่ถึง 7 วัน

ขับมอเตอร์ไซค์ที่ท่าวัง ถูกรถสิบล้อขยี้เลย มอเตอร์ไซต์พังหมด หัวเละ ตายคาที่เลย นี่แหละ

อริโยปวาอันตราย อันตรายเกิดจากที่จ้วงจาบผู้มีบุญคุณ


วิธีขอขมาพ่อแม่

ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข

ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ ฯ


ถึงวันเกิดของเราให้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พ่อแม่ คนละ 1 ชุด

ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ 1 ผืน ตื่นเช้ามาไหว้พระสวดมนต์จบแล้ว

จัดหาอาหารอย่างดีที่สุดที่พ่อแม่ชอบ ให้พ่อแม่รับประทาน

เมื่อรับประทานแล้วให้ท่านนั่งบนเก้าอี้พร้อมกัน เอากะละมังใส่น้ำอุ่นมาล้างเท้าพ่อแม่

เอาสบู่ฟอกให้สะอาดแล้วล้างด้วยน้ำให้สะอาด

เอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ ที่ซื้อมาเช็ดให้แห้ง เอาแป้งโรยให้ทั่วให้หอม เอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้ท่าน

เสร็จแล้วพูดว่า "กรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกินคุณพ่อคุณแม่ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี

ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้แก่ลูกด้วยเทอญ"... เสร็จแล้วกราบเท้าท่าน 3 ครั้ง

เอาเท้าท่านทั้ง 2 คน คนละข้างเหยียบที่ศรีษะเรา แล้วให้ท่านให้พรเรา

นั่นแหละถึงจะล้างกรรมกันได้ ฟังดูแล้วเห็นว่าไม่ยาก ลองไปทำดูเถอะง่ายนิดเดียว

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=134005.0

.

sithiphong:
ผลของการจาบจ้วงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ก็ไม่ต่างกับการปรามาสพระโพธิสิตว์  เพราะพระองค์ท่าน บำเพ็ญบารมี ตอนนี้ เป็นขั้นปรมัตถะปารมี พระองค์ท่านปราถนาพุทธภูมิ คือเคยอธิษฐานปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อสงเคราะห์เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ตอนนี้เหลืออีก 5 ชาติ ตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุงท่านเคยพูดคุยกับองค์พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงเสด็จพระราชดำเนินไปกราบหลวงพ่อฤาษี และพระอริยะเจ้าทั้งหลาย อยู่บ่อยครั้ง พระองค์ทรงงฃสนพระทัย และฝึกวิปัสนากรรมฐาน ทรงทำความเพียรคือนั่งสมาธิ ติดต่อกัน 2-3 ชั่วโมง โดยไม่เหนื่อยเลย นี่พลตำรวจเอกวสิษฐ์ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจประจำพระราชสำนักท่านเล่าให้ฟัง ไปอ่านเจอมา ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงงาน ไปเยี่ยมราษฎร ตามถิ่นธุรกันดาน ตลอดเวลา อย่างที่พวกเราทั้งหลายทราบกันดี พระองค์ไม่ทรงทิ้งเรื่องกรรมฐานเลย  เพราะพระองค์ทรงสนพระทัยในพระพุทธศาสนามาโดยตลอด  ตั้งแต่อดีตชาติ ที่เคยทรงเป็นกษัตริย์มาไม่รู้กี่ภพชาติแล้ว ทรงสนพระทัยในการฝึกสมาธิ วิปัสนากรรมฐาน  พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระจริยะวัตรที่งดงาม ที่เพรียบพร้อม ทรงพระเมตตาสูงยิ่งต่อทุกๆ คน ทรงมีบารมีมาก พระองค์ปราถนาพุทธภูมิ ทรงบำเพ็ญบารมีพระโพธิสิตว์ เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดมบรมครู พระองค์ท่านทรงเมตตาทุกคนไม่ว่าจะเป็นภูมิมนุษย์ ภูมิสวรรค์ หรือนรกภูมิ เฉกเช่นเดียวกับที่พระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญบารมีของพระองค์เอง และจะทรงเกิดใหม่อีก 5 ชาติ เท่านั้น ฉะนั้นผู้ที่คิดจาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัว ก็เปรียบเสมือนปรามาสพระโพธิสัตว์ ปรามาสพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล  กรรมนั้นหนักมาก และบางรายเห็นผลในชาติปัจจุบัน เพราะไปปรามาสพระองค์เข้า เมื่อบุญของผู้ไปปรามาสหมด กรรมที่ทำไว้นี่เป็นกรรมหนัก คือไปปรามาสพระเจ้าอยู่หัวเข้า กรรมส่งผลทันตาเห็น ต้องรับกรรมในชาตินี้ทันที แต่บางคนก็ยังไม่ได้รับกรรม อาจจะชาติหน้า หรืออีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เพราะคนที่ไปปรามาสพระเจ้่่าอยู่หัวนี่ เป็นคนบาปหนัก หนักมาก อย่างไรก็ต้องรับกรรม เรื่องของกรรมมันซับซ้อน ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาส่งผล ขึ้นอยู่กับบุญที่ทีพอที่จะวิ่งหนีกรรมที่ทำไว้ทันไหม  ทำกรรมใดไว้ต้องรับผลของกรรมอย่างแน่นอน องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงมีภูิจิตภูมิธรรมสูงมาก หากใครที่มีบารมีน้อยกว่าพระองค์ท่าน ไปปรามาสเข้าก็จะเป็นกรรมกับคนผู้นั้น พวกเราทุกๆ คน ไม่รวมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย นั้นบารมีน้อยกว่าพระองค์ท่านอย่างแน่นอน จึงได้เกิดมาใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของพระองค์ท่าน พวกเรามีบุญวาสนาที่ได้เป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน จงภูมิใจในข้อนี้ คนที่ไปปรามาสหรือจาบจ้วงนั้น กรรมจะมารูปแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยค่ะ  ผู้เขียนก็ตอบได้เท่าที่ทราบมา ศึกษามา และตามที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา อนุโมทนาที่สอบถามมา สาธุค่ะ




มีเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเล่าถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนี้ค่ะ

หลวงพ่อพูดว่า

....ในหลวง เคยเกิดเป็น พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า และ พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า และเคยเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตวันอธิราช และพระเจ้าพรหมมหาราช ("พระเจ้าตวันอธิราช" ไปเกิดเป็น "พระเจ้าพรหมมหาราช") ทั้ง ๒ ครั้ง ดังนี้

พ.ศ. ๒๔๖ สมัยสุวรรณภูมิ ในหลวงเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรก ของ พระเจ้าตวันอธิราช มีพระนามว่า พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า

พ.ศ. ๙๐๐ สมัยเชียงแสน พระเจ้าตวันอธิราช เกิดเป็น "พระเจ้าพรหมมหาราช" ส่วนพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ตามไปเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรกนามว่า "พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า" แต่สิ้นพระชนม์ในสมัยทรงพระเยาว์ พระราชสมบัติจึงตกแก่พระโอรสองค์รองคือ "พระเจ้าชัยสิริ" (หลวงปู่ธรรมชัย) ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์จักรี สืบสันติวงศ์ถึงปัจจุบัน พระเจ้าพรหมมหาราช มีพระเชษฐาคือ "พระเจ้าทุกขิตะ" (หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล)

ย้อน กลับมาสมัยสุวรรณภูมิ พ.ศ.๒๔๖ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ พระองค์นี้ได้บำเพ็ญบารมีร่วมกัน (พ่อ-ลูก) พระเจ้าตวันอธิราช กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมินี้ ได้วางรากฐานการสร้างพระบารมีไว้ให้พระราชโอรสของพระองค์ ในฐานะที่จะทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปภายภาคหน้า อาทิ


- การสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็ง ส่งเสริมอาชีพของราษฏร โรงพยาบาลเพื่อสงเคราะห์พสกนิกร ฯลฯ

- ด้านพระพุทธศาสนา ได้โปรดสร้างวัด โรงเรียนปริยัติธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณร โดยมี พระโสณะ กับ พระอุตตระ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีการมอบ "พัศยศ" สำหรับผู้สอบบาลีได้

- ต่อมาก็มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ไทยขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระองค์แรกของเมืองไทย จนได้สืบต่อวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ มาจนถึงบัดนี้

- อีกทั้งพระองค์ได้เสด็จประพาสไปยังนานาประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่วนภายในประเทศอาณาเขตของพระองค์ ก็เสด็จเยี่ยมเยือนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อีกด้วย

- พระราชจริยวัตรของพระเจ้าตวันอธิราชนี้ มีลักษณะที่ทรงปฏิบัติคล้ายกับพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวของพระเจ้ากรุงสยามทุกประการ

- ฉะนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านพระศาสนา เช่น พิธีกวนข้าวทิพย์ การสวดมนต์ หรือ พิธีการนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน ตลอดถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ตามโบราณราชประเพณี เรามีการสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็นมรดกมานานนับพันปี

(ทั้ง หมดนี้เป็นรากฐานที่พระเจ้าตวันอธิราช วางไว้ให้พระราชโอรสคือ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ทั้ง ๒ พระองค์ต่างก็เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มข้น)
ต่อ มา...หลังจากพระเจ้าเดือนเด่นฟ้าได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ก็ทรงมีพระราชหฤทัยที่ดำเนินรอยตามพระยุคคลบาทของสมเด็จพระราชบิดา ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกัน และก่อนที่ พระโสณะ จะนิพพาน ก็ยังได้พยากรณ์ไว้อีกว่า

"พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า จะมาเกิดที่ "กรุงเทพมหานคร" เมื่อนั้น "สุวรรณภูมิ" จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว..."

- สอดคล้องกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม องค์ปัจจุบันที่ได้ทรงตรัสพยากรณ์ไว้ดังนี้

"ดู ก่อนอานนท์..ตถาคตสงสารสัตว์เป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ใกล้ยุคกึ่งสมัย คือในหลังพุทธกาลนี้ แต่ในเวลานั้น จะมี "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช" ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ "พระมหาเถระโพธิสัตว์"

- พระโพธิสัตว์สองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระพุทธศาสนาของตถาคต สมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก ในระยะนี้จะเป็นยุค "ชาวศรีวิไล" ดังนี้

(หลักฐานหนึ่ง ทางด้านโบราณวัตถุได้แก่ กระเบื้องจาร ที่ขุดได้จาก ซากเมือง คูบัว จ.ราชบุรี ก็ได้ยืนยันว่า พ่อกับลูกคู่นี้ ทรงเป็นหน่อเนื้อพระบรมพงศ์พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ ได้ตั้งความปรารถนา "พุทธภูมิ"
วิริยาธิกะ คือจะต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ใช้เวลา ๑๖ อสงไขย กับแสนกัปล์ จึงจะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ)
ในชาติปัจจุบัน ของ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า (พระบาทสมเด็จภูมิพลอดุลยเดชมหาราช)

หลวง พ่อเคยถวายพระพรไว้ ณ พระตำหนักภุพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ ในตอนหนึ่งที่พระองค์ทรงตรัสถามหลวงพ่อว่า

"เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิเป็นความจริงไหมครับ..?"

หลวง พ่อถวายพระพรว่า...เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปรารถนามานาน..แต่เวลานี้บารมีเป็น"ปรมัตถบารมี" แล้ว ก็เหลืออีก ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว..ไม่ใช่ไม่สำเร็จ..!

"พุทธ ภูมิ" นี่ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น "วิริยาธิกะ" วิริยาธิกะนี่..ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว "แสนกัป" อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ"

ในขณะ นั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ตรัสถามหลวงพ่อว่า "พระเจ้าอยู่หัวก็ดี หม่อมฉันก็ดี ก็มีความเคารพในพระคุณพระราชวงศ์จักรีอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านจะทรงสามารถจะทรงความเป็นเอกราชไว้ได้ ก็อยากจะทราบว่าทั้งสององค์นี่..จะทรงชาติกับศาสนาไว้ได้ไหม..? "

หลวงพ่อถวายพระพรว่า "ก็ได้..ประเทศเราไม่มีเกณฑ์จะต้องตกเป็นเหยื่อคอมมิวนิสต์"
แล้วพระองค์ก็ตรัสถามอีกว่า "ฉันทั้งสององค์นี่ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวด้วยและฉันด้วย จะต้องตายเพราะการที่เขามุ่งจะฆ่าไหม..? "

พอตรัสถามตรงนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่าพระดลใจให้ตอบว่าดังนี้..

"ก็ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ เป็นนักรบฝีมือดีมาจากสุโขทัย และมาเกิดคราวนี้ ต้องการจะเกิดเพื่อจรรโลงให้คงอยู่ให้ชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วเรื่องอะไร..ที่ต้องตายเพราะคมอาวุธล่ะ..ถ้าจะเจ็บตายเองเป็นเรื่อง ธรรมดา และต้องตายด้วยเรื่อง "คมอาวุธ" อันนี้ไม่มี..!"

สรุป..ในหลวง เกิดเป็นพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ในสมัยสุวรรณภูมิ และเกิดเป็นพระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า ในสมัยเชียงแสน ปรารถนา พุทธภูมิ ประเภท วิริยาธิกะ ตอนนี้บารมีใก้ลเต็ม และต้องเกิดสร้างบารมีอีก ๕ ชาติ

ขอบคุณที่มา : หนังสือธัมมวิโมกข์ หน้า ๙๒ ถึง ๙๕ ฉบับที่ ๒๑๒ ประจำเดือน พฤศจิกายน ๒๕๔๑...

-โพสโดย คุณClassicHome

http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=134005.0

.

sithiphong:
ต่อค่ะ (2)

ในหลวงจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาล




“เรา อย่าเห็นสิ่งปลีกย่อยดีกว่าส่วนรวมส่วนใหญ่นะ ส่วนใหญ่นั่นล่ะเป็นของสำคัญ พ่อกับแม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อะไรที่เป็นหลักของชาติ เป็นหัวใจของชาติให้พากันรักกันสงวน อย่าพากันทำลาย ลูกเต้าจะอวดดีกว่าพ่อกว่าแม่มันไม่ดีละ

คิดดูในพุทธศาสนา พระเจ้าอชาตศัตรูทำลายพระราชบิดา ก็ไม่เห็นเจริญอะไร ท่านว่า เย เกจิ พุทธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คตา เส น เต คมิสฺสนฺ อบายภูมิ พวกสัตว์ทั้งหลายถ้านึกลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีความเทิดทูนในสิ่งที่ดีงามที่มีคุณมีประโยชน์ทั้งหลายแล้ว ผู้นั้นเจริญ ผู้ใดไปทำลายหลักใหญ่แล้วจะเอาให้ส่วนเล็กๆนี้ขึ้นครองบ้านครองเมืองมันก็ ไม่ดี ให้พากันรักษาหลักใหญ่เอาไว้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือหัวใจของชาติไทยเรา นี่ให้พากันจำเอาไว้นะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนี้คือหัวใจของ ชาติไทยเรา ให้พากันเทิดทูน อย่าพากันดูถูกเหยียดหยามทำลาย เช่นอย่างจะทำลายจะไม่ให้มีพระเจ้าอยู่หัว มันคนเกิดมาแล้วพ่อแม่ตายหมด มีแต่ลูกกำพร้าหยิมแหยมๆ มันใช้ไม่ได้นะ สกุลใดที่มีคนคับแคบอยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้นแล้วสกุลนั้นไม่เจริญ สกุลใดที่มีความกว้างขวาง มีจิตใจอันกว้างขวาง พิจารณารอบคอบเพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวมผู้นั้นเป็นผู้ดี


นี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ของพวกเราคือหัวใจของคนไทยทั้งชาติ ให้พากันทะนุถนอมนะ อย่าพากันไปทำลาย จะมีแต่ลูกหยอมแหยมๆ พ่อแม่ผู้ให้ความร่มเย็นไม่มีมันไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรต้องรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ ในประเทศไทยเราก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี นี้คือหัวใจของชาติให้พากันเคารพเทิดทูน อะไรที่เป็นหลักใหญ่ของชาติของส่วนรวมให้พากันรักษา พากันเทิดทูน อย่าพากันทำลายโดยอวดดี

ดังที่ท่านว่าอึ่งอ่างกับวัวนั่นละ เราก็เห็นในนิทานอีสปแต่ก่อนเรียนหนังสือ อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้นนี่ วัวมันตัวขนาดไหน ลูกอยู่ในรู แม่ไปหากิน ลืมแล้วนิทานอีสป มันเป็นอย่างไรละทีนี้ (ลูกเห็นวัว พอแม่กลับมาเล่าให้แม่ฟังว่าเจอตัวอะไรไม่รู้ใหญ่มาก แม่ก็พองตัว ลูกว่าใหญ่กว่านี้อีก) ได้ไหมๆ สุดท้ายสิ่งที่ได้คือพุงแตก นี่ระวังนะ ตัวเล็กๆ อย่าไปพองตัว มันไม่สมควรจะพอง อึ่งอ่างกับวัว วัวมันตัวใหญ่ขนาดไหน อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้น มาพอง มันตัวเท่านี้ไหมๆ เรื่อย สุดท้ายเลยตาย เข้าใจไหม นี่อึ่งอ่างกับวัวมันไม่ดีอย่างนั้นละ”

โดย...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี




“ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์น๊ะ...”

หมาย เหตุสำหรับปฐมเหตุที่ทำให้พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) วัดเทพศิรินทราวาสกล่าวความเช่นนี้ ก็เกิดมาจากการที่ท่านได้กล่าวเตือนญาติโยมบางรายที่ไปนมัสการว่า

“ การที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนั้นไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ ”

และความเป็น"พระโพธิสัตว์"ของในหลวงนั้น ก็เป็นถึงระดับ"นิยตโพธิสัตว์"ผู้เที่ยงแท้ต่อพระโพธิญาณในอนาคตกาลเบื้อง หน้าโน้นอย่างแท้จริงด้วย สมจริงดังที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เองทีเดียวว่า

"ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนามเคยเป็นช้างนาฬาคิริง ส่วนในหลวงองค์ปัจจุบันเป็นช้างป่าเลไลยก์นะ..!!!!!"

ภควา อันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเรา ตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระนามว่า พระติสสะสัพพัญญูพุทธเจ้า เสด็จล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานสิ้นกาลช้านานแล้ว ฯ

ในลำดับ นั้น อันว่าช้างปาลิไลยหัตถีตัวนี้ก็เป็นพระบรมโพธิสัตว์สร้างพระบารมีมาเป็นอัน มาก จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมงคล ในอนาคตกาลพระสุมงคลทศพลญาณเจ้านั้น มีพระองค์สูงได้ ๖๐ ศอก พระชนมายุมีประมาณแสนปีเป็นกำหนด ไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ ประดับด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่าง ดังสีทองเป็นอันงามประดุจกลางวัน แล้วจะบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ห้อยย้อยไปด้วยสิ่งของเครื่องประดับ มีประการต่างๆ ด้วยพระพุทธานุภาพ ฝูงมนุษย์ทั้งหลายในพระศาสนาของพระสุมงคล มิได้กระทำซึ่งกสิกรรม วาณิชกรรม ได้อาศัยซึ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้น ประพฤติเลี้ยงชีวิตแห่งอาตมา มนุษย์ทั้งหลายมีความผาสุกสบาย ขวนขวายแต่การเล่นเต้นรำแต่งตัวอยู่เป็นนิจ เสมอเหมือนเทพบุตร เทพธิดา ซึ่งได้ทิพยสมบัติในสวรรค์เทวโลกฯ สมเด็จพระสุมงคลทศพลญาณเจ้า ก่อสร้างพระบารมีมาทั้ง ๑๐ ประการ จึงสำเร็จแก่พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้ ฯ อันว่ากองพระบารมีครั้งหนึ่ง พระองค์กระทำมาแต่ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่นั้น ปรากฏเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดอย่างเอกอุดมทาน ฯ

เพราะด้วยเหตุที่ท่าน เจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์(สิม พุทฺธาจาโร)ซึ่งเป็นพระขีณาสวสงฆ์ผู้ทรงญาณวิสัยอันลึกล้ำ สามารถแทงตลอดในการทุกสิ่งอัน และได้แจ้งในใจในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในอนาคตวงศ์ภายภาคหน้าเป็นอย่างดีที่สุด หลวงปู่สิมจึงได้ถวายความจงรักภักดีในพระองค์ท่านอย่างยิ่ง แม้ตราบเท่าวาระสุดท้ายแห่งชีวิตท่านอย่างน่าซาบซึ้งประทับใจที่สุด ไม่มีใดจะเทียมทันได้ ซึ่งการทั้งปวง อาจเข้าไปชมได้ในหัวข้อ"จงรักภักดีด้วยชีวิต"



โดย...ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส


"พระองค์มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ทรงห่วงพระองค์เองบ้างเลย"

โดย...หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่




"วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก"
หลวงพ่อมองหน้าผมแล้วย้ำว่า...

"ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ"

โดย...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา
ได้กล่าวไว้กับลูกศิษย์คนหนึ่ง เมื่อครั้งที่บวชอยู่กับท่านฯ



เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๘ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

ได้ปรารภกับศิษยานุศิษย์ของท่านว่า

"มีใครเป็นห่วงพระเจ้าแผ่นดินองค์น้อย (ในหลวง) บ้าง???"

เมื่อทุกคนกล่าวรับว่าเป็นห่วง เนื่องจากมีข่าวที่น่าเป็นกังวลมาให้ได้ยินอยู่

คุณ แม่บุญเรือน(พระอริยะเจ้ามหาอุบาสิกา-ฆราวาสนักปฏิบัติธรรมชั้นสูงผู้เมตตา ทรงอภิญญา และฤทธิ์ปาฏิหาริย์อันน่าอัศจรรย์ยิ่งในยุคนั้น) ก็ว่าต่อไปอีกหน่อยว่า

“ถ้าเป็นห่วง ก็ขอให้แม่อธิษฐานช่วยพระองค์ท่านซิ”

(ตามอริยประเพณี พระอริยะจะทำการสิ่งใดโดยปราศจากเหตุ หรือไม่มีผู้อาราธนามิได้)

เมื่อศิษย์ทุกคนกล่าวคำขอให้คุณแม่ใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยในหลวงให้ทรงพระเจริญ
และ แคล้วคลาดจากสรรพภยันตรายทั้งปวงแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม จึงได้กำหนดที่จะไปเข้า "นิโรธสมาบัติ" คุ้มครองถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่บ้านนาซา(เป็นเคล็ดให้เรื่องร้าย"สร่างซา"ลงไป) ของนางสาววาย(เป็นเคล็ดให้เรื่องราวที่ไม่ดีมีอันต้อง"วาย"หายสูญ ไป) วิทยานุกรณ์(น้องสาวพระมหารัชชมังคลาจารย์ วัดสัมพันธวงศ์) ที่ปากน้ำประแสร์ จ.ระยอง เป็นเวลาถึง ๑ ปีเต็ม โดยเวลานั้น คุณแม่บุญเรือน ได้สั่งห้ามมิให้ศิษย์คนใดเข้ามารบกวนท่านในช่วงเวลานั้นเป็นอันเด็ด ขาด...!!!

ที่มา...หนังสืออนุสรณ์ อดีตเจ้าอาวาส วัดสารนาถธรรมาราม ระยอง พ.ศ. ๒๕๕๑

"มีแต่คนที่ไม่ฉลาดเท่านั้น ที่จะไม่รู้ว่า ในหลวงพระองค์นี้ดีอย่างไร"

โดย...พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม สกลนคร

-โพสโดย คุณClassicHome

[url=http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=134005.0]http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=134005.0

.

sithiphong:
.
ถาม : ถ้าเราเกิดไปปรามาสพระอรหันต์ที่ล่วงลับไปแล้ว จะบาปไหมครับ ?

ตอบ : ปรามาสพระรัตนตรัย ไม่ว่าจะล่วงลับหรือไม่ล่วงลับก็บาปสาหัสพอกัน

ถาม : แต่ถ้าปรามาสพระที่ปาราชิกไปแล้ว ยังใส่ผ้าเหลืองอยู่ และมรณภาพไปแล้ว ก็ถือว่าบาปน้อยกว่าปรามาสพระที่เป็นอรหันต์ไหมครับ ?

ตอบ : สำคัญตรงที่ว่า ตอนนั้นสภาพจิตของเราประกอบไปด้วยกิเลสมากน้อยแค่ไหนด้วย ถ้าเราใส่อารมณ์โกรธไปเต็มๆ กับการที่เราทำไปด้วยความไม่รู้ โทษก็ต่างกัน

แต่ส่วนใหญ่แล้ว ระหว่างการปรามาสผู้ที่บริสุทธิ์จริงๆ กับผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ ปรามาสผู้ที่บริสุทธิ์โทษจะหนักกว่า มีเรื่องของโยมคนหนึ่งที่ไปด่าพระ พระรูปนั้นท่านทำผิดจริงๆ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของฆราวาสที่จะไปด่าพระ โยมก็เลยไปเกิดเป็นเปรต เสวยทุกข์โทษจนนับเวลาไม่ถ้วน

เรื่องของโยมท่านนั้น (ที่เป็นเปรตอยู่) สรุปว่า กรรมของคนอื่นแท้ๆ แต่ไปรับมาเป็นของตนเอง เขาทำผิดก็เรื่องของเขา เราไปด่าเขา จิตของเราประกอบไปด้วยโทสะ จิตมีแต่ความเศร้าหมอง ตายไปก็เลยซวยไปด้วย

ถาม : แต่ถ้าเกิดพระรูปนั้นมรณภาพไปแล้ว หรือว่าพระรูปนั้นอยู่ที่นรก ?

ตอบ : ตามไปขอขมาท่านในนั้นก็แล้วกัน..!


สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=2399&page=1

http://board.palungjit.com/f61/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1-285030.html

.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version