ผู้เขียน หัวข้อ: ชัมบาลา : บทที่ ๑๑ ปัจจุบันขณะ  (อ่าน 1933 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
ชัมบาลา : บทที่ ๑๑ ปัจจุบันขณะ
« เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2011, 09:29:26 am »


ภาคที่ 2 ความศักดิ์สิทธิ์ : โลกของนักรบ 

จิตซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นนั้น 
จิตต้องประคองใส่ไว้ในเปลแห่งความเมตตา 
และให้ดูดดื่มน้ำนมอันรุ่งโรจน์ลึกซึ้ง 
แห่งความสิ้นสงสัยอันเป็นอมตะ 
ให้อยู่ในร่มเงาเย็นฉ่ำแห่งความไม่หวาดหวั่น 
พัดวีด้วยพัดแห่งความเบิกบานและความสุข 
เมื่อดวงจิตนั้นเติบใหญ่ขึ้น 
พร้อมๆ กับสำแดงออกมาซึ่งปรากฏการณ์ต่างๆ 
จงนำมันไปสู่สถานแห่งการพึ่งพิงตัวเอง 
เมื่อมันเติบโตขึ้นอีก 
เพื่อที่จะเกื้อหนุนให้เกิดความเชื่อมั่นแต่ปฐมกาล 
จงนำไปสู่สนามยิงธนูของนักรบ 
และเมื่อมันยิ่งเติบใหญ่ขึ้น 
เพื่อที่จะปลูกธรรมชาติดั้งเดิมให้ตื่นขึ้น 
จงพามันไปสัมผัสสังคมมนุษย์ 
ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความงามและศักดิ์ศรี 
เมื่อนั้นดวงจิตซึ่งเต็มไปด้วยความกลัว 
จึงอาจกลับกลายมาเป็นดวงจิตของนักรบ 
และความมั่นใจอันหนุ่มแน่นเป็นอมตะนั้น 
จึงอาจแผ่ออกกว้างสู่ห้วงมหรรณพอันไร้จุดเริ่มต้นและไร้ที่สิ้นสุด 
ณ จุดนี้เองที่ดวงจิตนั้นจะแลเห็นดวงอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ 
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ชัมบาลา : บทที่ ๑๑ ปัจจุบันขณะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2011, 09:54:03 am »


บทที่ ๑๑ ปัจจุบันขณะ

“เราจำเป็นต้องค้นหาสายใยเชื่อมโยงระหว่างสายวัฒนธรรมของเรา
กับประสบการณ์ชีวิตในปัจจุบันขณะหรืออำนาจวิเศษแห่งปัจจุบันกาล
คือ สิ่งที่เชื่อมโยงปรีชาญาณแห่งอดีตเข้ากับปัจจุบัน”


......ในขณะแรกที่คุณถือกำเนดขึ้น เมื่อคุณเปล่งเสียงร่ำไห้ออกมาเป็นครั้งแรกและมีลมหายใจเป็นอิสระจากครรภ์มารดา คุณก็ได้กลายเป็นปัจเจกชนเป็นอีกชีวิตหนึ่งต่างหาก แน่นอน ยังคงมีความรู้สึกผูกพัน หรือมีสายสะดือของความรู้สึกเชื่อมโยงคุณไว้กับบิดามารดา แต่ในขณะที่คุณเติบโตมากขึ้น ผ่านจากวัยทารกเข้าสู่วัยรุ่นและบรรลุวุฒิภาวะ ในขณะที่แต่ละปีผ่านไป ความรู้สึกผูกพันนั้นก็ค่อยๆ จางคลายลง คุรกลายเป็นปัจเจกชนผู้สามารถที่จะจัดการกับชีวิตของตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพ่อแม่

......ในการเดินทางผ่านขั้นตอนต่างๆของชีวิต มนุษย์จะต้องเอาเชนะความรู้สึกติดหรือยึดมั่นพันผูกว่าตนเป็นลูกของใครบางคน หลักการของนักรบซึ่งเราพูดกันมาแล้วในภาคแรก สัมพันธ์อยู่กับเรื่องที่ว่าปัจเจกชนจะสามารถพัฒนาวินัยในตนขึ้นมาได้อย่างไร เพื่อว่าเขาจะได้เติบใหญ่โดยไม่พึ่งพิงและเข้าถึงอิสรภาพส่วนตน แต่ครั้นเมื่อเราได้บรรลุถึงพัฒนาการระดับนั้นแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้ามาร่วมแบ่งปันทุกข์-สุขกับเพื่อนมนุษย์ในสังคม นี่คือบทบาทแห่งการเกื้อหนุนกันของชีวิตในญาณทัศนะอันยิ่งใหญ่ของนักรบ มันมีพื้นฐานอยู่บนการตระหนักเห็นคุณค่าความสำคัญของโลกโดยส่วนรวม ในกระบวนการที่มุ่งสู่การเป็นนักรบนี้ คุณจะเริ่มรู้สึกผูกพันเป็นเพื่อนกับมนุษย์อย่างลึกซึ้งโดยธรรมชาติ นั่นคือรากฐานอันแท้จริงของการที่จะช่วยเหลื่อผู้อื่น และอุดมคติสูงสุดก็คือการร่วมแบ่งปันทุกข์-สุขกับสังคม

......อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของคุณกับมนุษย์คนอื่นและความเอื้ออาทรที่คุณมอบให้จะต้องสำแดงออกเป็นส่วนตัว และอย่างเป็นจริงความห่วงใยผู้อื่นอย่างเป็นนามธรรมนั้นไม่เพียงพอ หนทางที่เป็นจริงและฉับพลันที่สุดในการเริ่มแบ่งปันกับผู้อื่น และกระทำการเพื่อความสุขของเขาก็คือ การกระทำการร่วมกับสถานการณ์จริงๆ ในชีวิต และแม่ขยายออกไปจากจุดนั้น ดังนั้นก้าวที่สำคัญยิ่งของการเป็นนักรบก็คือ การเป็นฆราวาสผู้ครองเรือน เป็นใครคนหนึ่งซึ่งามีความเคารพต่อชีวิตครอบครัวของตนเอง และปราวณาตนที่จะเข้าช่วยยกหรือแก้ไขสถานการณ์นั้น

......คุณไม่อาจช่วยเหลือสังคมได้เพียงอาศัยพื้นฐานทัศนะอุดมคติที่มีต่อสังคมหรือต่อโลก มีแนวคิดอยู่หลายประการในการที่จะจัดการแก้ไขสังคมเสียใหม่เพื่อสนองความต้องการของประชาชน อาทิเช่น ความคิดของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการปกครองโดยประชาชน อีกสายหนึ่งก็คือการปกครองโดยชนชั้นผู้ปกครอง ซึ่งจะก่อให้เกิดสังคมซึ่งเจริญรุดหน้า แนวคิดสุดท้ายคือการปกครองอย่างเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อทรัพยากรธรรมชาติจะได้ถูกกระจายอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งจะก่อให้เกิดสมดุลทางนิเวศวิทยาอย่างสมบูรณ์ ความคิดเหล่านี้และอื่นๆ อาจจะมีคุณค่าอยู่บ้าง ทว่ามันจะต้องนำมาผสานรวมกันเข้ากับประสบการณ์ทางด้านครอบครัวของมนุษย์ด้วย มิฉะนั้นคุณก็จะมีช่องว่างมหาศาลระหว่างความคิดอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับสังคมของคุณกับข้อเท็จจริงในชีวิตประจำวัน จะลองยกชีวิตครอบครัวมาให้ดูสักตัวอย่างหนึ่ง ชายและหญิงมาพบกัน เขาตกหลุมรักและแต่งงานกัน เขาหาเรือนหอและต่อไปก็อาจมีลูกด้วยกันครั้นแล้ว เขาก็ต้องเป็นกังวลเรื่องว่าเครื่องล้างจานทำงานไหม เรื่องว่าเขามีเงินจะซื้อเตาใหม่ไหม ครั้นพอเด็กๆโตขึ้น พวกเด็กๆก็ไปโรงเรียนไปเรียนอ่านเขียน ลูกบางคนอาจจะมีความสัมพันธ์ดียิ่งกับพ่อแม่ ทว่าครอบครัวกลับมีปัญหาทางเศรษฐกิจหรือบางครอบครัวอาจมีเงินมากมาย ทว่ามีปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างหนัก เราต้องเผชิญกับปัญหาเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา เราจะต้องเคารพชีวิตในระดับพื้นๆ เช่นนี้ด้วย เพราะวิถีทางเดียวที่จะนำทัศนะของเราให้ก่อเกิดผลขึ้นมาในสังคมก็คือ การนำมันลงมาสู่สถานการณ์ในครอบครัวแต่ละครอบครัวนั้นเอง

......การเป็นผู้ครองเรือนนั้นยังหมายถึงการมีความภาคภูมิใจในปรีชาญาณแห่งบรรพชนของคุณด้วย จากทัศนะของชัมบาลาแล้ว การเคารพครอบครัวและรากกำเนิดของตนนั้นไม่เกี่ยวกับการตัดขาดตนเองออกจากผู้อื่น หรือกลายเป็นคนผยองลำพองในบรรพบุรุษของตนเอง หากแต่ทัศนะนี้มีพื้นฐานอยู่บนการประจักษ์ว่าโครงสร้างและประสบการณ์ในชีวิตครอบครัวนั้น ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงปรีชาญาณของวัฒนธรรมอันฝังรากลึก ปรีชาญาณนั้นได้ส่งทอดมายังคุณและยังดำรงอยู่ในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ในการแลเห็นคุณค่าของประเพณีแห่งตระกูล ก็เท่ากับคุณได้เปิดตัวเองออกไปสู่ความรุ่มรวยลึกซึ้งของโลก

.....ข้าพเจ้ายังจำได้อย่างชัดเจนถึงประสบการณ์แห่งการค้นพบสายใยซึ่งเชื่อมโยงไปสู่ตระกูลของตัวเอง ข้าพเจ้าเกิดในคอกวัวทางธิเบตตะวันออก อันเป็นดินแดนซึ่งผู้คนไม่เคยได้เห็นต้นไม้เลย ผู้คนในดินแดนแห่งนั้น ใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งหญ้าซึ่งไม่มีต้นไม้หรือแม้แต่ไม้พุ่ม เขาเลี้ยงชีวิตด้วยอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์และนมตลอดทั้งปี ข้าพเจ้าถือกำเนิดมาเป็นบุตรของแผ่นดินอันงดงามแห่งนี้ เป็นลูกชาวนา ในช่วงปฐมวัยข้าพเจ้าได้ถูกถือเป็นทัลกุหรือเป็นลามะผู้กลับชาติมาเกิด และถูกนำตัวมายังอารามเซอร์มังเพื่ออบรมบ่มเพาะให้เป็นพระ ดังนั้นตั้งแต่เกิดมา ข้าพเจ้าก็ได้ถูกนำออกจากสภาพแวดล้อมของครอบครัวและถูกนำมาอยู่ในสภาพแวดล้อมของวัด ข้าพเจ้าถูกเรียกชื่อทางศาสนาว่าตรุงปะ รินโปเช อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าหาได้ลืมชาติกำเนิดของตนไม่

......เมื่อย้ายมาอยู่ที่วัด แม่ได้ติดตามมาอยู่ด้วยเป็นเวลาหลายปี จนกระทั้งข้าพเจ้าเติบใหญ่พอที่จะเริ่มรับการศึกษาอบรม ครั้งหนึ่งเมื่อมีอายุได้สี่ห้าขวบ ข้าพเจ้าถามแม่ว่า "แม่ ชื่อของเราเรียกว่าอะไร" ท่านอายมากตอบว่า "เธอหมายถึงอะไร เมื่อพูดว่าชื่อของเรา เธอก็รู้แล้วมิใช่หรือว่าชื่อของเธอคือตรุงปะ รินโปเช" แต่ข้าพเจ้ากลับรบเร้าสืบไป "เราชื่ออะไร นามสกุลของเราน่ะ เรามาจากที่ไหน" ท่านตอบว่า "เธอควรจะลืมสิ่งเหล่านั้นเสีย นั่นเป็นชื่อที่ต่ำต้อยมาก เธอควรจะละอายในชื่อนั้น" แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงยืนกรานรบเร้าสืบไปอีก "เรานามสกุลอะไร อะไรนะ"

......ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลังเล่นหัวผักกาดดองซึ่งใช้เลี้ยงม้าอยู่ ข้าพเจ้าหยิบเจ้าหัวผักกาดดองเล็กๆ นี้ขึ้นมาจากพื้นนอกห้องครัวของอารามปกติแล้วทัลกุไม่ควรจะกินหัวผักกาดดองนี้ แต่ข้าพเจ้ากลับกัดกิน เคี้ยวและพร่ำถามต่อไป "แม่ฮะ เรานามสกุลอะไร ชื่อสกุลเราเรียกว่าอะไร" ข้าพเจ้ากำลังจะกัดกินหัวผักกาดดองอีกหัวหนึ่งซึ่งสกปรกมาก แม่รู้สึกกังวลมากและอายมากเช่นกัน ทว่าท่านกำลังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ข้าพเจ้าถาม เรากำลังตกอยู่ในช่วงเวลาอันดื่มด่ำของการสื่อสารสัมพันธ์

......ข้าพเจ้าจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันซึ่งแสงแดดอบอุ่น ดวงอาทิตย์ฉายแสงจากหน้าต่างบนหลังคาตกลงต้องใบหน้าของแม่ ท่านแลดูแก่ชราและอ่อนเยาว์ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้ายังคงรบเร้าถามสืบไป "เรามีนามสกุลอะไร" ในที่สุดแม่จึงตอบว่า "มุกโป นามสกุลมุกโป แต่อย่ากินหัวผักกาดนั้นเลยลูก นั่นมันอาหารม้า" ข้าพเจ้าจำได้ว่ายังคงกิดกินต่อไป มันฉ่ำกรอบและมีรสเหมือนกับสเกโมโน ผักดองของญี่ปุ่น ข้าพเจ้าชอบมันมาก ข้าพเจ้ามองดูแม่และถามขึ้น "นั่นหมายความว่าลูกเองก็เป็นมุกโปด้วยใช่ไหม" ท่านดูลังเลไม่แน่ใจ ท่านตอบว่า "อย่างไรเสียเธอก็เป็นรินโบเช" ต่อจากนั้นข้าพเจ้ายังจำได้ว่าตนพร่ำถามถึงว่า ตนเป็นลูกซึ่งกำเนิดออกมาจากกายของท่านใช่หรือไม่ ในตอนแรกท่านตอบว่า "ใช่" แต่แล้วกลับพูดว่า "เออบางทีแม่อาจจะไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงสัตว์ครึ่งคน แม่มีกายเป็นหญิงมีชาติกำเนิดต่ำต้อย กลับห้องพักของลูกเสียเถิด" แล้วท่านก็อุ้มข้าพเจ้ากลับไปห้องซึ่งมีทางเดินเชื่อมต่อกับครัว อย่างก็ตามข้าพเจ้าก็คงใช้มุกโปเป็นนามสกุล เป็นสิ่งบ่งบอกชาติกำเนิดและเป็นความภาคภูมิใจ

......แม่เป็นคนอ่อนโยนมาก เท่าที่ทราบท่านไม่เคยแสดงอะไรรุนแรงก้าวร้าวเลย และท่านมักจะกังวลห่วงใยและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นเสมอ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้มากมายถึงหลักการดำรงอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์จากปรีชาญาณของแม่

......ในสมัยปัจจุบันนี้ ความสำคัญของครอบครับในฐานะของจุดรวมทางสังคมได้ลดบทบาทลงไป ในสมัยก่อน การที่ครอบครัวเป็นจุดศูนย์กลางส่วนหนึ่งเป็นเพราะสาเหตุของการดำรงชีวิตด้วย ดังตัวอย่างเช่นก่อนที่จะมีโรงพยาบาลและหมอ ผู้หญิงมักจะต้องพึ่งแม่ช่วยทำคลอดให้และช่วยเลี้ยงหลาน ทว่าเดี๋ยวนี้ความรู้ทางแพทย์ได้เข้ามามีบทบาทร่วมกับความรู้ของคุณยาย และเด็กๆ ได้ถูกมอบไว้ในความดูแลของแพทย์ในแผนกกุมารเวชหลายแห่งในปัจจุบัน ซึ่งความรู้ของคุณย่าคุณยาย ไม่เป็นที่ต้องการอีกแล้วและท่านก็ไม่ได้มีบทบาทร่วมใดๆ อีก ท่านต้องไปพำนักอยู่ในบ้านพักคนชรา หรือในสถานพักฟื้น และมาเยี่ยมหลานๆ เป็นครั้งคราว มาเฝ้าดูความน่ารักของเด็กๆ เวลาเล่น

......ในสังคมบางแห่ง ผู้คนมักจะตั้งศาลเล็กๆ ไว้สำหรับบูชาบรรพบุรุษ แม้ในทุกวันนี้ในสังคมสมัยใหม่เช่น ญี่ปุ่น ก็ยังมีประเพณีอันเคร่งครัดในการบูชาบรรพบุรุษ คุณอาจคิดว่าการปฏิบัติดังกล่าวเป็นความเชื่อแบบบุพกาล หรือเป็นไสยศาสตร์ แต่โดยความเป็นจริงแล้ว การบูชาบรรพบุรุษหมายแสดงถึงความเคารพในปรีชาญาณซึ่งสั่งสมมาในวัฒนธรรมของตนเอง ข้าพเจ้ามิได้มุ่งหวังให้เราหันมาบูชาบรรพบุรุษกันอย่างเอาเป็นเอาตายมากขึ้น แต่จำเป็นที่เราจะต้องเล็งเห็นคุณค่าของสิ่งนี้ เป็นเวลาหลายพันปีทีเดียวที่มนุษย์ได้สั่งสมปรีชาญาณมา เราควรจะยกย่องผลสำเร็จเหล่านี้ของบรรพบุรุษของเรา ในการที่มนุษย์เรียนรู้ที่จะประดิษฐ์เครื่องมือ ในการประดิษฐ์มีดขึ้นมาสร้างธนูและศรขึ้นมา ในการเรียนรู้ที่จะตัดต้นไม้ลง หุงหาอาหารและเรียนรู้ที่จะใส่เครื่องเทศลงไปในอาหาร เราไม่ควรที่จะเพิกเฉยต่อการสั่งสมวัฒนธรรมของอดีต

......กว่าที่จะเรียนรู้จนสร้างอาคารขึ้นได้ ย่อมมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพัน ๆ ปี รองรับอยู่เบื้องหลัง แรกเริ่มเดิมทีนั้นมนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำ ครั้งต่อมาก็ค่อยเรียนรู้ที่จะปลูกทับกระท่อม ถัดมาอีกก็เรียนรู้ที่จะก่อสร้างตึกรามค้ำยันด้วยเสา และท้ายที่สุดก็เรียนรู้ที่จะสร้างตึกโดยปราศจากเสาค้ำยันตรงกลาง โดยใช้ความโค้งของเพดานรับน้ำหนักไว้ อันเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่อันหนึ่ง ความรอบรู้เหล่านี้ควรที่จะได้รับความเคารพ เราไม่อาจถือว่ามันเป็นวิธีการของโลกอาทิตย์อัสดง มีคนมากมายได้ตกตายไปเมื่อ เขาพยายามที่จะสร้างโดยปราศจากเสาค้ำยันตรงกลาง และมันได้พังทรายลงมา มีคนไม่น้อยที่ได้สละชีวิตไปกว่าที่แบบแผนของการก่อสร้างดังกล่าวจะพัฒนาขึ้นมาจนใช้การได้ คุณอาจจะกล่าวว่าความสำเร็จผลดังกล่าวไร้ความสำคัญใดๆ แต่อีกนัยหนึ่ง การพลาดที่จะมองเห็นถึงคุณค่าของความเปี่ยมล้นแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ ซึ่งเราเรียกว่าความดีงามพื้นฐาน ความผิดพลาดทำนองนี้ได้กลายมาเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของโลก

......อย่างไรก็ตาม การยกย่องอดีตในตัวของมันเองไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาของโลกได้ เราจำเป็นต้องค้นหาสายใยเชื่อมโยงระหว่างสายวัฒนธรรมของเรากับประสบการณ์ชีวิตในปัจจุบัน ปัจจุบันขณะหรืออำนาจวิเศษแห่งปัจจุบันกาลคือสิ่งที่เชื่อมโยงปรีชาญาณแห่งอดีตเข้ากับปัจจุบัน เมื่อคุณกำลังชื่นชมในภาพเขียน บทเพลงหรือวรรณกรรม ไม่ว่ามันได้ถูกสร้างขึ้นมานานเพียงใดแล้วก็ตาม แต่คุณก็กำลังชื่นชมมันอยู่ "เดี๋ยวนี้" คุณได้ประสบกับปัจจุบันกาลซึ่งมันได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้น มันเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

......หนทางที่นำไปสู่ปัจจุบันขณะก็คือการประจักษ์แจ้งว่า นาทีนี้ขณะนี้เองในชีวิตคือโอกาสที่เปิดให้แก่เรา ดังนั้นการตริตรองว่าคุณอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่ ณ ที่นั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมสถานการณ์ภายในครอบครัวและชีวิตประจำวันจึงเป็นสิ่งมีความหมายยิ่ง คุณควรจะถือว่าบ้านเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นโอกาสทองที่จะทำให้คุณได้สัมผัสถึงปัจจุบันขณะ การแลเห็นคุณค่าของความศักดิ์สิทธิ์นั้นเริ่มขึ้นได้อย่างง่ายๆ โดยการใส่ใจกับรายละเอียดทุกอย่างในชีวิต การใส่ใจก็คือการนำสติมาสอดใส่ไว้ในกิจกรรมของชีวิต มีสติขณะกำลังหุงหาอาร มีสติขณะกำลังขับรถ มีสติขณะเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก มีสติแม้ขณะกำลังถกเถียงกัน สตินี้อาจช่วยคุณให้เป็นอิสระจากความเร่งรีบ จากความวุ่นวาย จากความเครียด จากความเศร้าทุกประการ มันอาจช่วยคุณให้เป็นอิสระจากอุปสรรคของปัจจุบันขณะ เพื่อช่วยคุณให้เบิกบานอยู่ในปัจจุบัน

......หลักการปัจจุบันขณะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในความหมายเพื่อสร้างสรรค์สังคมอริยะ คุณอาจสงสัยว่ามีหนทางใดที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือสังคม และคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้องแล้วหรือดีแล้ว คำตอบเพียงหนึ่งเดียวก็คือปัจจุบันขณะ "ปัจจุบันกาล" เป็นเสาหลักที่สำคัญมาก "ปัจจุบัน" นั้นก็คือ "ปัจจุบัน" ที่แท้จริง ถ้าคุณไม่อาจเข้าถึง "ขณะนี้" ได้ ก็นับว่าบิดเบือนเฉไฉ เพราะเหตุที่คุณกำลังแสวงหา "ขณะนี้" อันอื่น ซึ่งไม่มีทางจะหาได้พบ ถ้าคุณทำดังนั้นก็จะมีเพียงอดีตและอนาคตเท่านั้น

......เมื่อความฉ้อฉลบังเกิดขึ้นมาในวัฒนธรรม นั่นก็เป็นเพราะว่าวัฒนธรรมนั้นไม่ได้เป็นปัจจุบันอีกต่อไป มันได้กลายเป็นอดีตหรือกลายเป็นอนาคตไป บรรดาช่วงเวลาในประวัติศาสตร์เมื่อ นฤมิตรกรรม อันยิ่งใหญ่ได้ถูกรังสรรค์ขึ้น เมื่อวิชาความรู้ได้พอกพูนก้าวไกล หรือในยามเมื่อสันติภาพได้แผ่ขยายครอบคลุม บรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนอุบัติขึ้นในปัจจุบันกาลของมันทั้งสิ้น แต่หลังจากที่ปัจจุบันได้บังเกิดขึ้นแล้ว ครั้นแล้ววัฒนธรรมเหล่านั้นก็ได้สูญเสียปัจจุบันของมันไปสิ้น
......คุณจำเป็นต้องดำรงรักษาปัจจุบันขณะนี้ไว้ เพื่อจะได้ไม่ต้องไปลอกเลียนความฉ้อฉลเหล่านั้นม เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องไปบิดเบือนปัจจุบันขณะและจะได้ไม่ต้องเข้าใจความหมายของปัจจุบันขณะอย่างผิดๆ ญาณทัศนะของสังคมอริยะก็คือ การที่วัฒนธรรมและประเพณี ทั้งปรีชาญาณและความรุ่งโรจน์ เป็นสิ่งที่อาจประสบพบได้ในปัจจุบันโดยคนทุกคน โดยวิธีนี้เท่านั้น ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดความบิดเบือนฉ้อฉลขึ้นในสายวัฒนธรรมนั้นๆ

......สังคมอริยะจะต้องตั้งอยู่บนรากฐานอันดีงาม ปัจจุบันขณะของสถานการณ์ภายในครอบครัวของคุณนั้นเองคือรากฐานดังกล่าว จากจุดนั้นเองที่คุณอาจแผ่ขยายออกไป โดยการถือเอาบ้านปรดุจดังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คุณก็อาจเข้าไปสู่เหตุการณ์ต่างๆ ในครอบครัวอย่างเต็มไปด้วยสติและความเบิกบาน แทนที่จะรู้สึกว่าคุณกำลังตกเป็นทาสของความสับสนวุ่นวาย การล้างจานและทำครัวนั้นอาจดูเสมือนว่าเป็นของต่ำ เป็นการงานสามัญ แต่ถ้าหากคุณดำรงสติร่วมไปกับการงาน นี้เท่ากับว่าคุณกำลังฝึกฝนตัวตนทั้งหมด เพื่อเปิดออกสู่สิ่งกว้างไกลไพศาล แทนที่จะปิดกั้นภาวะการดำรงอยุ่ไว้ในกรอบแคบๆ

......คุณอาจรู้สึกว่าคุณมีแนวคิดดีๆ เกี่ยวกับสังคม หากทว่าชีวาตของคุณมากไปด้วยเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ เต็มไปด้วยปัญหาเศรษฐกิจ เต็มไปด้วยปัญหาเกี่ยวกับคู่ครองหรือปัญหาการเอาใจใส่ลูกๆ และปัญหาที่แนวคิดและชีวิตจริงขัดแย้งกันอยู่ ทว่าที่จริงแล้ว ทั้งแนวคิด และชีวิตจริงอาจเชื่อมโยงเข้ากันได้ด้วยปัจจุบันขณะ

......มีอยู่บ่อยครั้ง ที่ผู้คนพากันคิดว่าการแก้ปัญหาของโลกนั้นจำต้องพิชิตโลกทั้งโลกให้มาอยู่ในกำมือ แทนที่จะไปสัมผัสโลกสัมผัสพื้นดิน นี่เป็นข้อสรุปของจิตใจแบบโลกอาทิตย์อัสดง คือพยายามที่จะพิชิตโลกเพื่อขจัดความเป็นจริงออกไป มีสเปรย์ดับกลิ่นหลายชนิดที่อาจป้องกันคุณมิให้สูดดม ได้กลิ่นของโลกที่เป็นจริง และมีอาหารสำเร็จหลายชนิดที่อาจกีดกันคุณไว้จากการลิ้มรสอาหารธรรมชาติ ญาณทัศนะชัมบาลามิใช่ ความพยายามที่จะสร้างโลกในจินตนาการขึ้นมา อันเป็นโลกซึ่งไม่มีใครต้องฝันร้ายหรือแลเห็นเลือด ญาณทัศนะชัมบาลา เน้นหนักอยู่บนการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ในโลกที่เป็นจริง โลกซึ่งใช้เพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร โลกซึ่งหล่อเลี้ยงการดำรงอยู่ของคุณ คุณอาจเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เรียนรู้ที่จะพักค้างแรม ที่จะกางเต๊นท์ ที่จะขี่ม้า รีดนมวัวและก่อไป และแม้ว่าคุณจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่แห่งศตวรรษที่ยี่สิบก็ตาม คุณก็อาจเรียนรู้ที่จะเข้าถึงปัจจุบันขณะ เข้าถึงความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหล่านี้แหละคือรากฐานในการสร้างสรรค์สังคมอริยะ
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...