ผู้เขียน หัวข้อ: ชัมบาลา : บทที่ ๑๓ จะปลุกเอาอำนาจวิเศษได้อย่างไร  (อ่าน 1725 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


บทที่ ๑๓ จะปลุกเอาอำนาจวิเศษได้อย่างไร

“เมื่อคุณได้สำแดงความอ่อนโยนและความชัดเจนออกมา
ในสภาพแวดล้อมตน เมื่อนั้นพลังและความรุ่งโรจน์ก็จะอุบัติขึ้นมาในสถานการณ์นั้น ๆ
 แต่ถ้าคุณพยายามที่จะสร้างสภาวะเช่นนั้นขึ้นมาจากอัตตาของตนเอง
สิ่งนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นคุณไม่มีทางครอบครองพลัง
และอำนาจวิเศษของโลกนี้ได้ แม้มันจะเป็นสิ่งที่มีและดำรงอยู่เสมอ
ทว่าก็มิใช่สมบัติส่วนตัวของใคร”


......โลกแห่งปรากฏการณ์ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีประสบการณ์ผ่านมานั้นล้วนยอกย้อนแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ ทั้งยังโหดร้ายทารุณ คุณอาจจะสงสัยใจอยู่บ่อยครั้งว่าคุณเป็นผู้บงการสถานการณ์อันแปรเปลี่ยนและโหดร้าย หรือสถานการณ์นั้นเป็นผู้บงการคุณถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับว่าคุณกำลังขี่ลาหรือลาขี่คุณกันแน่ โดยปกติแล้วในประสบการณ์ทางโลกของคุณย่อมมีปัญหาอยู่ว่าใครขี่ใคร ยิ่งคุณพยายาดิ้นรนเพื่อเป็นฝ่ายได้เปรียบ ยิ่งคุณเร่งความเร็วและความก้าวร้าวเพื่อเอาชนะอุปสรรคมากเพียงใด คุณก็ยิ่งตกเป็นเบี้ยล่างของโลกแห่งปรากฏการณ์มากเพียงนั้น การท้าทายที่แท้จริงก็คือ การขึ้นอยู่เหนือการแบ่งแยกทั้งปวง มีทางเป็นไปได้ที่จะบรรสานเข้ากับพลังซึ่งอยู่เหนือการแบ่งแยก อยู่เหนือความก้าวร้าว เป็นพลังซึ่งมิใช่ส่งเสริม หรือต่อต้านตัวคุณ นั่นคือพลังแห่งดราละ

......ดราละมิใช่เทพหรือเจตภูต แต่โดยพื้นฐานแล้วมันคือการเชื่อมโยงปรีชาญาณของคุณเข้ากับพลังของสรรพสิ่งดังที่เป็นอยู่ ถ้าคุณสามารถเชื่อมโยงทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกันได้ นั่นเองคุณก็อาจค้นพบอำนาจวิเศษในทุกๆ สิ่ง แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ว่าอะไรคือสิ่งที่ช่วยคุณให้เชื่อมโยงกับสิ่งนั้นได้ ในบทที่แล้วเราเปรียบหลักการดราละว่าเหมือนดั่งดวงอาทิตย์ ถึงแม้ว่าดวงอาทิตย์จะอยู่ในฟากฟ้าตลอดเวลา แต่อะไรเล่าที่ทำให้คุณมองขึ้นไปและแลเห็นว่ามันอยู่ที่นั่น ถึงแม้ว่าอำนาจวิเศษจะดำรงอยู่ตลอดเวลา แต่อะไรทำให้คุณค้นพบมัน คำจำกัดความพื้นฐานของดราละ ก็คือ "พลังที่อยู่เหนือความก้าวร้าว" ทางเดียวที่จะสัมพันธ์กับพลังนั้นได้ก็คือ "พลังที่อยู่เหนือความก้าวร้าว" ทางเดียวที่จะสัมพันธ์กับพลังนั้นได้ก็คือการเข้าถึงภาวะความอ่อนโยนในตัวคุณ ดังนั้น การค้นพบดราละจึงไม่ใช่เหตุบังเอิญ การจะเชื่อมโยงเข้ากับอำนาจวิเศษอันเป็นพื้นฐานของความจริง จะต้องมีความอ่อนโยนและความเปิดกว้างดำรงอยู่ในตัวคุณอยู่ก่อนแล้ว มิฉะนั้นจะไม่มีทางประจักษ์แจ้งถึงพลังอันปราศจากความก้าวร้าวหรือพลังของดราละในโลกนี้ได้เลย ดังนั้นการฝึกฝนขัดเกลาตนเองของนักรบซัมบาลาจึงเป็นรากฐานที่สำคัญในการเข้าถึงดราละ

......ในโลกอาทิตย์อัสดงซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความกลัวตัวเองและกลัวความตาย จะไม่มีสายใยเชื่อมโยงอยู่กับหลักการดราละเลย ทัศนะอย่างขลาดเขลาและก้าวร้าวของโลกอาทิตย์อัสดง ได้ทำลายโอกาสที่จะเข้าถึงอำนาจวิเศษ ทำลายในโอกาสเข้าถึงคุณสมบัติอันเจิดจ้าและจริงแท้ของความจริงลง ทัศนะด้านตรงข้ามของโลกอาทิตย์อัสดง และหนทางที่จะปลุกดราละขึ้นมาก็คือ การดำเนินตามญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเราได้กล่าวถึงมาแล้วในบทต้นๆ สิ่งนี้เองคือการสำแดงออกแห่งความดีงามที่แท้จริงของมนุษย์ ซึ่งมิได้ตั้งอยู่บนความหยิ่งยโสหรือความก้าวร้าว หากตั้งอยู่บนความอ่อนโยนและเปิดกว้าง นี่เองคือหนทางของนักรบ

......สาระสำคัญของหนทางหรือแนวทางนี้ก็คือการขึ้นอยู่เหนือความขลาดและสำแดงความกล้าออกมา นี่คือหนทางที่ดีที่สุดและเป็นทางเดียวที่จะปลุกดราละขึ้น ซึ่งก็คือการสร้างบรรยากาศแห่งความกล้าหาญขึ้น เราได้พูดกันมาแล้วในบทต้นๆ ถึงเรื่องคุณสมบัติของความกล้า แง่มุมที่เป็นพื้นฐานของความกล้าก็คือการไม่หลอกลวง การหลอกลวงในที่นี้ก็คือ การหลอกตนเอง เกิดความสงสัยในตนเองจนกระทั่งถูกตัดขาดออกจากญาณทัศนะของอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ ดราละจะลงมาสู่ภาวะการณ์ดำรงอยู่ของคุณก็เพียงเมื่อคุณได้ตระเตรียมรากฐานมาเป็นอย่างดีเท่านั้น ถ้าหากว่ายังมีการหลอกลวงหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด คุณก็จะทำลายดราละไป จากแง่มุมนี้เองจึงอาจถือได้ว่าการหลอกลวงเป็นอำนาจวิเศษของโลกอาทิตย์อัสดง

......โดยทั่วๆไปแล้ว เมื่อเราพูดว่าใครเป็นคนกล้าหาญ เราหมายความว่าเขาเป็นคนไม่หวาดกลัวศัตรู หรือพร้อมที่จะสละชีพ เพื่อเหตุบางประการหรือเป็นคนที่ไม่เคยมีความหวาดกลัว แต่ตามความเข้าใจของซัมบาลาเกี่ยวกับความกล้าหาญนั้นแตกต่างออกไป ในที่นี้ความกล้าหาญก็คือความกล้าที่จะเป็น ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกโดยไม่หลอกลวง ทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาและความกังวลห่วงใยผู้อื่น คุณอาจสงสัยว่าการเป็นอย่างนี้จะก่อเกิดอำนาจวิเศษขึ้นมาในชีวิตได้อย่างไร ทัศนะโดยทั่วๆ ไปที่มีต่ออำนาจวิเศษก็คื คิดว่าคุณอาจบังคับควบคุมธาตุมูลต่างๆได้ คุณอาจเปลี่ยนดินให้กลายเป็นไป เปลี่ยนไฟให้เป็นน้ำ หรืออาจต้านแรงโน้มถ่วงเหาะเหินเดินอากาศได้ ทว่าอำนาจวิเศษที่แท้จริงคือ อำนาจวิเศษแห่งความจริง ซึ่งยังคงเป็นดังที่มันเป็น เป็นดินแห่งดิน เป็นน้ำแห่งน้ำ เป็นการสื่อสารกับมวลธาตุ เพื่อว่ามันจะได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับตัวคุณ(ในแง่มุมหนึ่ง) เมื่อคุณสั่งสมความกล้าหาญขึ้นมาก็เท่ากับว่า คุณได้เชื่อมโยงเข้ากับคุณสมบัติมูลฐานของภาวะการดำรงอยู่ ความกล้านั้นจะเริ่มยกภาวะการดำรงอยู่ของคุณให้สูงขึ้น นั่นก็คือเปิดเผยออกถึงคุณสมบัติอันรุ่งโรจน์และแท้จริงของภาวะการดำรงอยู่และสภาวะแวดล้อม ดังนั้นเองคุณจึงเริ่มติดต่อเข้ากับอำนาจวิเศษของความจริงซึ่งดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว คุณจึงสามารถดึงดูดเอาพลังอำนาจและปรีชาญาณปฐมกาลซึ่งผุดขึ้นมาจากกระจกเงาแห่งจักรวาลออกมา

......ตรงจุดนั้นเอง คุณจะเริ่มแลเห็นว่าคุณอาจแผ่พลังออกสู่สภาพแวดล้อมได้อย่างไร เพื่อให้หลักการดราละปรากฏอยู่ในทุกๆกิจกรรมของชีวิต คุณจะค้นพบว่าคุณสามารถรวบรวมชีวิตขึ้นเพื่อดึงดูดอำนาจวิเศษหรือดราละเข้ามา ให้มันฉายฉานประภารัศมีขึ้นในโลกของคุณ หนทางเพื่อบรรลุถึงสิ่งนี้แบ่งออกเป็นสามขั้นตอนด้วยกัน ซึ่งเรียกว่าหนทางสามสายในการปลุกดราละ

......หนทางแรกเป็นการปลุกดราละภายนอก ซึ่งเป็นการปลุกอำนาจวิเศษในตัวสภาพแวดล้อมขึ้น สภาพแวดล้อมนี้อาจจะจำกัดคับแคบและเล็กเท่ากับห้องเช่าหรือใหญ่โตเท่าคฤหาสน์หรือโรงแรม การจัดแจงดูแลพื้นที่นั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้ามันสกปรกยุ่งเหยิงก็ไม่มีทางที่ดราละจะแทรกตัวเข้ามาได้ แต่อีกนัยหนึ่ง เราก็มิได้พูดกันถึงเรื่องการลงทุนตกแต่งภายในหรือใช้จ่ายเงินมากมาย เพื่อซื้อเครื่องเรือนและพรมนำมาสร้าง "สภาพแวดล้อมตัวอย่าง" ขึ้น สำหรับนักรบแล้วการปลุกดราละภายนอกขึ้นก็คือการสร้างความกลมกลืนขึ้นมาในสภาพแวดล้อม เพื่อจะได้ช่วยส่งเสริมพลังการรับรู้และการจดจำให้ละเอียดอ่อนขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง สภาพแวดล้อมจึงกลับมาช่วยเสริมการฝึกฝนตนเองตามแนวทางของนักรบ ยิ่งไปกว่านั้น การที่คุณจัดแจงดูแลสภาพแวดล้อมจะต้องตั้งอยู่บนความเอื้ออาทรต่อผู้อื่นด้วย คุณสามารถแบ่งปันโลกของคุณโดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อผู้อื่นขึ้นมา ประเด็นจึงอยู่ตรงที่คุณจะต้องไม่ยืนยันอัตตาของตัวเองจนเกินไป แต่ยอมให้ผู้อื่นเข้ามาร่วมในโลกของคุณได้ เมื่อสิ่งนี้เริ่มเกิดขึ้นก็มีทางเป็นไปได้ที่สิ่งอื่นๆ จะติดตามมา นั่นคือเมื่อคุณได้สำแดงความอ่อนโยนและความชัดเจนออกมาในสภาพแวดล้อม เมื่อนั้นพลังและความรุ่งโรจน์ก็จะอุบัติขึ้นมาในสถานการณ์นั้นๆ แต่ถ้าคุณพยายามที่จะสร้างสภาวะเช่นนี้ขึ้นมาจากอัตตาของตัวเอง สิ่งนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น คุณไม่มีทางครอบครองพลังและอำนายวิเศษของโลกนี้ได้ แม้มันจะเป็นสิ่งที่มีและดำรงอยู่เสมอ ทว่าก็มิใช้สมบัติส่วนตัวของผู้ใด

......มีตัวอย่างอื่นๆ อีกมากในการปลุกดราละภายนอกขึ้น ดังเช่นที่ข้าพเจ้าเคยได้อ่านมาเกี่ยวกับอเมริกันอินเดียนทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งสามารถปลูกพืชผักในทะเลทราย พื้นดินที่นั้น ถ้าพูดกันอย่างเป็นกลางแล้วก็นับว่าปราศจากความอุดมโดยสิ้นเชิง ถ้าคุณเพียงหว่านเมล็ดพืชลงไปสักกำมือ ก็จะไม่มีแม้สักเมล็ดงอกขึ้นมาเลย ทว่าชาวอินเดียนได้เพาะปลูกบนผืนดินแห่งนั้นมานานหลายชั่วอายุ เขาได้สร้างสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งขึ้นมากับแผ่นดิน เข้าเฝ้าทนุถนอมดูแลมัน สำหรับเขาแล้ว แผ่นดินเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และด้วยเหตุนี้เองที่พืชพรรณของเขาจึงงอกงามขึ้นมา นี่เป็นอำนาจวิเศษที่แท้จริง ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ที่คุณมีต่อสภาพแวดล้อมจะนำดราละมาสู่คุณอาจอาศัยอยู่ในกระท่อมดินซึ่งปราศจากพื้นและมีหน้าต่างเพียงบานเดียว แต่ถ้าคุณถือว่าสถานที่นั้นเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าคุณดูแลเอาใจใส่มันด้วยจิตและใจ เมื่อนั้นเองมันจะกลับกลายคล้ายดังเวียงวังทีเดียว

.....ความคิดเกี่ยวกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี่เป็นสิ่งที่เอื้อความรู้สึกยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นแก่มหาวิหาร ดังเช่นวิหารชาร์เตอรส หรือทำเนียบรัฐบาล ดังเช่นสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ ตามปกติแล้วโบสถ์วิหารมักจะตั้งใจสร้างขึ้นให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่สถานที่ของรัฐบาลสถาปนิกอาจไม่ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เลย อย่างไรก็ตาม สถานที่เหล่านั้นมีอะไรซึ่งดำรงอยู่มากไปกว่าโครงสร้างของอาคาร หรือความงดงามของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างมันแผ่บรรยากาศออกมาอย่างชนิดที่คุณอาจสัมผัสได้

......ชาวกรีกและโรมันได้วางผังเมืองอย่างเข้าใจถึงดราละภายนอก คุณอาจกล่าวว่าการสร้างน้ำพุไว้ตรงจัตุรัส หรือตรงทางแยกเป็นเพียงการกระทำอย่างสะเปะสะปะไม่ตั้งใจ แต่เมื่อคุณได้เผชิญหน้ากับน้ำพุเหล่านั้น จะรู้สึกได้ว่านี่มิใช่ความบังเอิญเลย มันตั้งอยู่ในที่ที่เหมาะสมและดูเหมือนจะช่วยขยายพื้นที่ให้ดูกว้างโล่งขึ้น ในยุคปัจจุบัน เราพากันคิดเห็นต่อโรมันในแง่ลบ เพราะแบบฉบับความฉ้อฉลและความเสื่อมทรามทางศีลธรรมของพวกผู้ปกครองโรมัน เราจึงดูถูกปรีชาญาณในวัฒนธรรมนั้น แน่นอนที่ว่าความฉ้อฉลเป็นสิ่งที่ขับไล่ดราละไปทว่าก็ยังคงมีพลังและปรีชาญาณดำรงอยู่ในกระแสอารยธรรมโรมันซึ่งเราไม่อาจมองข้ามได้

......กล่าวโดยสรุปแล้ว การปลุกหลักการแห่งดราละลภายนอกขึ้นมานั้น สัมพันธ์อยู่กับการจัดสภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อให้มันกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา การนี้เริ่มต้นด้วยการจัดสภาพแวดล้อมในบ้าน และนอกเหนือไปกว่านั้นคือ การจัดสภาพสิ่งแวดล้อมที่กว้างใหญ่ขึ้นไปอีก เช่นเมืองหรือแม้ทั้งประเทศ

......ครั้นแล้วก็มาถึงการปลุกดราละภายใน ซึ่งก็คือการปลุกดราละในตัวคุณขึ้นมา โดยพื้นฐานแล้ว ประสบการณ์แห่งดราละภายในก็คือเมื่อยามที่คุณรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันหมดภายในกาย เป็นหนึ่งเดียวกันในแง่ที่ว่า ศีรษะ ไหล่ ลำตัว เขน เครื่องเพศ เข่า ขา และส้นเท้า ล้วนต่อติดรวมกันอยู่เป็นร่างกายมนุษย์ที่ดีงามโดยพื้นฐาน คุณไม่รู้สึกว่ามีการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างศีรษะกับไหล่ ระหว่างส้นเท้ากับขา และอวัยวะส่วนอื่นๆ และไม่ว่าผมคุณจะหงอกขาว ใบหน้าเริ่มเหี่ยวย่นหรือมือเริ่มสั่น นั่นก็หาเป็นไรไม่ เพราะยังคงมีความรู้สึกอยู่ว่าร่างกายของคุณยังคงมีสมรรถนะ ยังคงมีเอกภาพอยู่ดังเดิม เมื่อคุณแลดูคุณก็ได้ยิน เมื่อคุณสดับตรับฟังคุณได้กลิ่น เมื่อคุณดมคุณก็ลิ้มรส เมื่อคุณชิมคุณก็รู้สึก ประสาทสัมผัสของคุณยังคงทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นการแสดงออกถึงสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์

......คุณอาจปลุกดราละภายในขึ้นมาโดยผ่านความสัมพันธ์กับนิสัยประจำตัวซึ่งขึ้นอยู่กับรายละเอียดของการแต่งเนื้อแต่งตัว การกิน การดื่มและนอน เราอาจหยิบยกเรื่องเสื้อผ้าขึ้นมาเป็นตัวอย่าง เพราะสำหรับนักรบแล้ว เสื้อผ้าก็คือเสื้อเกราะแห่งการฝึกฝนตนเอง ซึ่งอาจปกป้องการจู่โจม โลกอาทิตย์อัสดง ซึ่งมิใช่เป็นว่าคุณหลบซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้าเพราะเหตุว่าคุณกลัวที่จะแสดงตนออกอย่างนักรบที่ดี หากเป็นเพราะเมื่อคุณสวมใส่เสื้อผ้าอย่างเหมาะสม อย่างได้สัดส่วนรูปทรง การแต่งกายนั้นเองจะช่วยขจัดความมักง่าย และนำสง่าราศีมาสู่ตน

......ในบางครั้งเมื่อเสื้อผ้ารับพอดีกับตัวคุณ แต่คุณกลับรู้สึกว่ามันคับไป ถ้าคุณแต่งตัวเป็นทางการ คุณอาจรู้สึกอึดอึดเพราะต้องผูกเนคไท ต้องสวมสูทหรือชุดหรือกระโปรงรัดรูป แนวคิดเรื่องการปลุกดราละภายในขึ้นมา มิใช่การยอมพ่ายแพ้ต่อแรงยั่วยวนต่อความรุ้สึกปล่อยตามสบาย ความรู้สึกอึดอัดที่คอ ตรงเป้ากางเกงหรือตรงเอวเป็นสัญลักษณ์ที่ดี มันหมายความว่าเสื้อผ้าของคุณสวมใส่ได้เหมาะเจาะ ทว่าความประสาทของคุณกลับเข้าไปไม่ได้กับเสื้อผ้าชุดนั้น แนวคิดสมัยใหม่มักเป็นไปในทางอิสระและปล่อยตามสบาย นั่นเป็นเพราะแรงดึงดูดของเสื้อผ้าโปลิเอสเตอร์ซึ่งสวมใส่สบาย คุณจะรู้สึกเกร็งเมื่อต้องแต่งตัวเต็มยศ คุณใคร่จะแก้เนคไท ถอดแจ็คเกตหรือรองเท้าออก ครั้นแล้วคุณก็เอนกายลงเอาเท้าพาดโต๊ะและวางตัวตามสบาย โดยหวังว่าจิตใจก็จะพลอยเป็นอิสระไปด้วย แต่ตรงจุดนั้นเองที่จิตใจกลับเริ่มระส่ำระสาย มันกลับเต็มไปด้วยช่องโหว่ และขยะต่างๆ ในจิตใจก็เริ่มผุดออกมา การผ่อนคลายชนิดนั้นมิได้เอื้อให้เกิดเสรีภาพอย่างแท้จริง ดังนั้นสำหรับนักรบ การสวมใส่เสื้อผ้าที่รับกับรูปทรงจึงเปรียบประดุจการสวมใส่เกราะ การแต่งกายของคุณอาจนำมาซึ่งสง่าราศรี

......ดราละภายในยังอาจเกิดขึ้นจากการสัมพันธ์กับอาหารการกินอย่างถูกต้อง โดยการเอาใจใส่ในโภชนาการ นี่มิได้หมายความว่าคุณจะต้องเพียรไปหาซื้ออาหารที่ดีที่สุด แต่คุณอาจใช้เวลาเลือกสรรอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย และคุณอาจเพลิดเพลินในการปรุงอาหาร รับประทานและล้างจาน เก็บกวาดเศษอาหารที่เหลือ นอกเหนือไปจากนั้น คุณยังอาจปลุกดราละภายในขึ้นโดยการฝึกสติควบคู่ไปกับการกิน เฝ้าดูคุณใช้ปากทำอะไรบ้าง คุณใส่อาหารเข้าไปทางปาก คุณดื่มน้ำด้วยปาก คุณสูบบุหรี่ด้วยปากเช่นกัน คล้ายดังกับว่าปากเป็นโพรงใหญ่หรือเป็นถังขยะใบใหญ่ซึ่งคุณใส่ทุกสิ่งทุกอย่างลงไป ปากของคุณเป็นประตูบานใหญ่ที่สุด คุณพูดผ่านมัน ร่ำร้องและจูบผ่านมัน คุณใช้ปากของคุณมากจนกระทั่งว่ามันได้กลายเป็นประตูแห่งจักรวาลไป ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าหากมีชาวดลกอังคารเฝ้าดูคุณอยู่ พวกเขาคงจะรู้สึกแปลกใจที่คุณใช้ปากมากมายเหลือเกิน

......การที่จะปลุกดราละภายในขึ้น คุณจะต้องมีสติกับการใช้ปากด้วยเช่นกัน บางทีคุณอาจไม่จำเป็นต้องใช้มันอย่างที่คุณคิด การชื่นชมในโลกของคุณนั้น มิได้หมายถึงว่าคุณจะต้องใช้สอยและบังเกิดทุกสิ่งทุกอย่างที่แลเห็นเสมอไป เมื่อคุณกิน คุณก็อาจกินอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ และคุณก็อาจเห็นคุณค่าในสิ่งที่กินเข้าไป เมื่อคุณพูดจา ก็ไม่จำเป็นจะต้องพล่ามทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมา คุณอาจพูดเท่าที่จำเป็น พูดอย่างอ่อนโยนและก็หยุดเว้น ปล่อยให้ผู้อื่นพูดบ้าง หรืออาจหยุดเพื่อชื่นชมความเงียบ

......แนวคิดพื้นฐานของการปลุกดราละภายในขึ้นมา ก็คือการทีทำให้คุณสามารถประสาน หรือจัดสมดุลทางกายและความสัมพันธ์ของคุณเข้ากับโลกแห่งปรากฏการณ์ การประสานกลมกลืนหรือการเชื่อมโยงนี้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่คุณแลเห็นได้ คุณอาจแลเห็นจุดเชื่อมโยงของผู้คนกับดราละภายในจากสิ่งที่เขาทำ ดูว่าเขาหยิบจับถ้วยชามอย่างไร สูบบุหรี่อย่างไร ลูบผมตนเองอย่างไร สิ่งใดก็ตามที่คุณทำย่อมสะท้อนออกให้เห็นเสมอถึงอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อตนเองและต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าคุณจะรู้สึกเมตตา รู้สึกเศร้าหรือโกรธ ไม่ว่าคุณจะรู้สึกดีหรือแย่ต่อสภาพแวดล้อม สิ่งเหล่านั้นอาจสังเกตเห็นผ่านท่าทางและการกระทำเสมอ ดังประหนึ่งว่าคุณได้แต่งงานกับโลกแห่งปรากฏการณ์ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม คุณเปิดก๊อกน้ำในขณะอาบน้ำด้วยอาการอย่างไร แปรงฟันอย่างไร เหล่านี้ล้วนสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์หรือการขาดความสัมพันธ์กับโลก เมื่อความสัมพันธ์นั้นประสานกันอย่างสมบูรณ์ เมื่อนั้นคุณก็จะสัมผัสได้ถึงดราละภายในตน

......ท้ายสุดยังมีสิ่งที่เรียกว่าการปลุกดราละลี้ลับขึ้นมา ซึ่งเป็นผลจากการปลุกหลักการดราละภายนอกและภายในขึ้น ด้วยเหตุว่าคุณได้สร้างสภาพแวดล้อมอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมารอบตัว และด้วยเหตุที่คุณประสานกายได้อย่างงดงามและหมดจด ดังนั้นเอง คุณจึงกระตุ้นความตื่นอันยิ่งใหญ่ขึ้นเป็นปัจจุบันขณะอันยิ่งใหญ่ภายในสภาวะจิต

......ในบทที่ว่าด้วย "การปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ" ได้แนะนำให้รู้จักแนวคิดเรื่องอาชาวายุ หรือการขับขี่บนพลังของความดีงามพื้นฐานในชีวิตของคุณ อาชาวายุมาจากคำภาษาธิเบตว่า "ลุงตะ" ลุงหมายถึง "ลม" และ "ตะ" หมายถึง "ม้า" การปลุกดราละลี้ลับขึ้นมาก็คือประสบการณ์ในการก่อเกิดม้าลม ก่อเกิดลมและพลังแห่งความปิติ และขับขี่ไปหรือเข้าควบคุมบังคับบัญชาพลังนั้น ลมเช่นนั้นอาจพัดมาด้วยกำลังแรงดังเช่นไต้ฝุ่นซึ่งอาจพัดโค่นต้นไม้ และตึกรามบ้านช่องลง และก่อเกิดคลื่นใหญ่ขึ้นในทะเล ประสบการณ์ส่วนตัวในเรื่องลมนี้ ปรากฎขึ้นเป็นความรู้สึกตัวทั่วถ้วนอยู่ในปัจจุบันขณะและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แง่มุมของม้าก็คือนอกเหนือจากพลังของลมอันรุนแรงนี้แล้ว คุณยังอาจรู้สึกได้ถึงความมั่นคง คุณจะไม่แกว่งไกวไปด้วยความสับสนของชีวิต ไม่หวั่นไหวด้วยความตื่นตระหนกหรือแรงบีบคั้น คุณอาจขับขี่อยู่บนพลังแห่งชีวืตของตนเอง ดังนั้น อาชาวายุ จึงมิใช่เป็นเพียงลีลาการเคลื่อนไหวและความเร็ว ทว่ามันยังรวมถึงความเป็นจริง และความสามารถที่จะแยกแยะ ซึ่งเป็นสัมผัสอันละเอียดอ่อนตามธรรมชาติด้วย คุณสมบัติของลุงตะนั้น คล้ายกับขาทั้งสี่ของม้า ซึ่งช่วยให้ม้ามั่นคงและสมดุล แน่นอนในที่นี้คุณมิได้กำลังขึ่ม้าธรรมดาสามัญทว่าชื่อ อาชาวายุ

......โดยการปลุกหลักการดราละภายนอกและภายในขึ้นมา ก็เท่ากับคุณได้บำรุงเลี้ยงลมแห่งพลังและความเบิกบานขึ้นในชีวิตของคุณ คุณจะเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังธรรมชาติและสภาวะเบื้องสูงสำแดงออกมาในการดำรงอยู่ของคุณ ยิ่งไปกว่านั้น การบำรุงเลี้ยง อาชาวายุขึ้นมา คุณก็สามารถจัดการกับสิ่งใดๆ ก็ตามที่อุบัติขึ้นมาในภาวะจิต จะไม่มีปัญหาหรือความลังเลอยู่อีกต่อไป ดังนั้นผลจากการปลุกดราละลี้ลับขึ้นมาก็คือการบำรุงเลี้ยง อาชาวายุ คุณจะสัมผัสได้ถึงภาวะจิตซึ่งเป็นอิสระจากกระแสจิตใต้สำนึก เป็นอิสระจากความลังเลสงสัยหรือความกังขาใดๆ คุณจะได้สัมผัสถึงปัจจุบันขณะแห่งดวงจิตซึ่งสดใหม่และบริสุทธิ์ยิ่ง ปัจจุบันขณะนั้นเองที่ไร้เดียงสาและพร้อมที่จะเชื่อ(ในด้านบวก) และสดใหม่อย่างสมบูรณ์ ดราละลี้ลับก็คือประสบการณ์แห่งสภาวะจิตในขณะนั้น ซึ่งก็คือแก่นแท้ของปัจจุบันขณะ คุณอาจสัมผัสได้ถึงพลังความสามารถที่จะเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับญาณทัศนะ และปรีชาญาณอันสุดหยั่งถึงของกระจกเงาแห่งจักรวาล ณ ที่นั้นเอง ในขณะเดียวกัน คุณก็ได้ประจักษ์ว่าประสบการณ์แห่งปัจจุบัน ขณะนั้นอาจเชื่อมโยงความไพศาลของปรีชาญาณปฐมกาล เข้ากับปรีชาญาณแห่งวัฒนธรรมอดีตและความเป็นจริงแห่งชีวิตปัจจุบันด้วย ด้วยเหตุนี้เอง คุณจึงเริ่มแลเห็นว่าโลกอันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบอาจสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ในบทต่อไปเราจะสืบสาวเข้าไปในโลกนั้นอย่างถ่องแท้ยิ่งขึ้น
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...