ผู้เขียน หัวข้อ: ชัมบาลา : บทที่ ๑๔ เอาชนะความหยิ่งยโส  (อ่าน 1749 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



บทที่ ๑๔  เอาชนะความหยิ่งยโส

“เมื่อคุณเต็มเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน
โดยปราศจากความหยิ่งยโสและความก้าวร้าว
เมื่อนั้นคุณก็จะเห็นถึงความเรืองรองของจักรวาล
คุณอาจพัฒนาสัมผัสรับรู้ที่แท้จริงถึงจักรวาลขึ้นมาได้”


......ในบทก่อนเราได้พูดกันถึงเรื่องหนทางการปลุกหลักการดราละขึ้นมา ในบทนี้และบทถัดไปเราจะพูดกันถึงอุปสรรคของการปลุกดราละขึ้น ซึ่งอุปสรรคเหล่านี้จะต้องเอาชนะให้ได้ ก่อนที่เราจะสามารถอย่างลึกซึ้งในการปลุกดราละภายนอก ภายในและดราละลี้ลับขึ้น สิ่งสำคัญยิ่งในการปลุกดราละขึ้นก็คือ การเตรียมรากฐานแห่งความอ่อนโยนและความจริงใจขึ้น อุปสรรคพื้นฐานของความอ่อนโยนก็คือความหยิ่งยโส ความหยิ่งยโสเกิดจากการถือมั่นในตัวตนระหว่างตัวฉันและผู้อื่นมากเกินไป คุณอาจจะศึกษาหลักการของนักรบและญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ และคุณอาจได้รับฟังคำสอนมากมายเรื่องว่าจะดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะและก่อเกิดอาชาวายุ ได้อย่างไร แต่ถ้าหากว่าคุณถือเอาส่งเหล่านี้เป็นเพียงความสำเร็จส่วนตัว เมื่อนั้นก็นับว่าคุณพลาดไป เพาะแทนที่จะกลับอ่อนโยนเป็นมิตร คุณอาจจะกลายเป็นคนยโสโอหังอย่างสุดขั้ว "นายโจ สมิธ ผมนี่แหละทีสามารถก่อเกิดอาชาวายุขึ้น ผมรู้สึกภูมิใจมากที่กำลังจะสำเร็จ ผมเป็นคนพิเศษที่มีอะไรอยู่ในตัว" 

......การเป็นคนอ่อนโยน ปราศจากความหยิ่งยโส คือคำจำกัดความของสุภาพบุรุษตามนัยแห่งชัมบาลา ตามความหมายในพจนานุกรมภาษาอังกฤษของอ๊อกฟอร์ด ความหมายหนึ่งของการเป็นสุภาพบุรุษก็คือ คนซึ่งไม่มีกิริยาอาการหยาบคาย คือคนซึ่งมีนิสัยใจคออ่อนโยนสุภาพและได้รับการอบรมบ่มเพาะมาอย่างดี อย่างไรก็ตามสำหรับนักรบแล้ว ความอ่อนโยนมิได้หมายเพียงความสุภาพเรียบร้อย ความอ่อนโยนคือความใส่ใจในผู้อื่น ห่วงใยกังวลในตัวผู้อื่นตลอดเวลา สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีชัมบาลา คือคนผู้มีจิตใจเผื่อแผ่ คือคนที่แท้จริง เขาเป็นผู้ที่อ่อนโยนทั้งต่อตนเองและผู้อื่น จุดประสงค์ของจรรยามารยาทหรือระเบียบวินัยซึ่งเราได้รับการสั่งสอนมาก็คือความใส่ใจต่อผู้อื่น เราอาจจะคิดว่าถ้าเรามีมารยาทดี เราเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชายที่ดี เรารู้มารยาทในการกินและดื่มอย่างถูกต้อง รู้ว่าสิ่งไหนควรสิ่งไหนไม่ควร นั่นถึอว่าเราเป็นคนใช้ได้ใช่ไหม แต่นั่นมิใช่ประเด็นเลย ประเด็นนั้นอยู่ตรงที่ถ้าเรามีมารยาทที่เลวในโต๊ะอาหาร นั่นจะทำให้คนรอบๆ ข้างเสียความรู้สึก และโดยนัยเดียวกัน คนรอบข้างก็จะสั่งสมมารยาทที่เลวขึ้นมาด้วย และโดยนัยนี้พวกเขาก็จะทำให้ผู้อื่นเสียความรู้สึกไปด้วย ถ้าเราใช้ผ้ากันเปื้อนและเครื่องใช้บนโต๊ะอย่างผิดเพราะไม่ได้รับการอบรมบ่มเพาะมา นั่นเองที่จะสร้างปัญหาให้กับผู้อื่น

......กิริยามารยาทที่ดีมิได้หมายถึงการเสริมสร้างความสำคัญของตนเองขึ้นมา คนเราอาจนึกไปว่าเราเป็นประดุจดังเจ้าชายหรือเจ้าหญิง แต่แก่นหลักของการมีกิริยามารยาทที่ดีก็เพื่อที่จะสื่อสารออกถึงความเคารพของเราที่มีต่อผู้อื่น ดังนั้นเราจำต้องใส่ใจในสิ่งที่เรากระทำหรือแสดงออก เมื่อมีใครเข้ามาในห้อง เราควรจะกล่าวคำทักทายหรือยืนขึ้นต้อนรับโดยการจับมือ ประเพณีปฏิบัติเหล่านี้เกี่ยวพันกับการที่จะใส่ใจกับผู้อื่นให้มากขึ้น หลักการของนักรบตั้งอยู่บนการขัดเกลาตนเองและพัฒนาการข่มใจขึ้นมา เพื่อว่าเราจะสามารถแผ่ขยายตัวเองออกไปสู่ผู้อื่น หลักการเหล่านั้นเป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อจะขจัดความหยิ่งยโสออกไป

......เรามักจะคิดว่าแรงบีบคั้นต่อสังคมของเราหรือต่อตัวเรามาจากภายนอก เรากลัวว่าอาจมีศัตรูมาทำร้าย แต่ทว่าสังคมนั้นถูกทำลายจากภายใน มิใช่โดยการจู่โจมจากภายนอก เราอาจจินตนาการว่ามีศัตรูถือหอกหรือปืนมาฆ่าฟันเรา แต่โดยความเป็นจริงแล้วสิ่งเดียวที่อาจทำลายเราได้ดำรงอยู่ภายในตัวเราเอง ถ้าเรามีความยโสโอหังมากเกินการ เราก็จะทำลายความอ่อนโยนของตนเองลง และถ้าเราทำลายความอ่อนโยนไป เมื่อนั้นก็เท่ากับได้ทำลายความเป็นไปได้ที่จะตื่นขึ้น เมื่อนั้นเราก็ไม่อาจใช้แรงดลแห่งความเปิดกว้างเพื่อที่จะแผ่ขยายตนเองออกไปในสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม ทว่าจะกลับสั่งสมความก้าวร้าวขึ้นมาอย่างมหาศาล

......ความก้าวร้าวนั้นทำให้สถานที่รองรับตัวเราแปดเปื้อน ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ซึ่งคุณนั่ง ผนังซึ่งล้อมรอบเพดาน หน้าต่างหรือประตู โดยนัยนี้คุณจึงไม่มีสถานที่ซึ่งจะเชื้อเชิญดราละให้เข้ามาดำรงอยู่ พื้นที่นั้นกลับกลายเป็นเหมือนโรงยาฝิ่น ทั้งมืดอับและสกปรก และดราละจึงพูว่า "ฮื ใครอยากจะหลอกหลวง" ไม่มีสิ่งใดที่เอื้อให้เกิดขึ้นเลย เมื่อห้องนั้นบรรจุเต็มอยู่ด้วยตัวคุณและความก้าวร้าวของคุณ จะไม่มีมนุษย์ซึ่งมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คนไหนที่จะถูกดึงดูดให้เข้าไปสู่สถานที่นั้น แม้แต่ตัวคุณเองก็ไม่อยากเช่นกัน

......เมื่อภาระแวดล้อมกลับแข็งตัวและเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส เต็มไปด้วยผู้คนทั้งชายหญิงที่มีอัตตาแก่กล้า ดราละย่อมถูกขับไล่ไป ทว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าหากมีนักรบหรือมีใครก็ตามซึ่งปราศจากความก้าวร้าว เป็นอิสระจากความหยิ่งยโสทั้งเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนเดินเข้ามาในห้อง เมื่อคนดังว่เข้ามาในสถานการณ์อันตึงเครียดซึ่งเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและมลภาวะทางจิตใจ เป็นไปได้ซึ่งคนในห้องนั้นจะเริ่มรู้สึกสมเพชตัวเอง เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่อาจเล่นตลกหรือเล่นเกมส์ได้อีกต่อไป เพราะมีใครคนหนึ่งซึ่งไม่ยอมร่วมมือ ในการหลอกตัวเองเดินเข้ามา พวกเขาไม่อาจแผดเสียงหัวร่อในความตลกแบบโลกอาทิตย์อัสดง หรือเกลือกกลิ้งร่างบนพื้นได้อีกต่อไป ดังนั้นโดยปกติแล้วพวกเขาก็จะจากไป ทิ้งนักรบไว้เพียงลำพังให้นั่งอยู่ในห้องนั้น

......ครั้นแล้วเพียงชั่วขณะ คนอีกกลุ่มหนึ่งอาจเดินเข้ามา มองหาห้องที่สดใหม่และบรรยากาศที่สะอาดสะอ้าน เขาเริ่มรวมตัวเข้าด้วยกัน เป็นผู้คนอ่อนโยนซึ่งอาจแย้มยิ้มโดยปราศจากความยโสโอหังและก้าวร้าว บรรยากาศย่อมแตกต่างจากการชุมนุมของพวกโลกอาทิตย์อัสดง เมื่อก่อนหน้านี้ ห้องนั้นอาจจะทรุดโทรมรกเรื้อกว่าโรงยาฝิ่น ทว่าอากาศกลับเบิกบานและสดชื่น ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ดราละจะมาแอบดูที่ประตูหน้าต่าง เขาจะเริ่มสนใจในไม่ช้าก็ปรารถนาจะเข้ามา เข้ามาทีละคนสองคน เขาจะยอมรับอาหารและเครื่องดื่ม และผ่อนคลายตามสบายในบรรยากาศนั้นด้วยเหตุที่มันสะอาดหมดจด ด้วยเหตุว่าบรรยากาศนั้นปราศจาก ความหยิ่งยโส ดราละก็จะเข้ามาร่วมวงและแบ่งปันสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ให้

......เมื่อผู้ฝึกปรือเป็นนักรับได้ผ่านประสบการณ์แห่งสภาพแวดล้อมซึ่งมีดราละดำรงอยู่ ซึ่งมีความจริงมีความเป็นไปได้แห่งสติปัญญาดำรงอยู่ เขาย่อมแลเห็นคุณค่าและสามารถชื่นชมในขุ่นเขา เมฆหมอกและท้องฟ้าแดด ต้นไม้และดอกไม้ ลำธาร เสียงหัวร่อและร้องไห้ของเด็กๆ นั่นคือจุดหลักของการปลุกดราละขึ้นมา ซึ่งก็คือการและเห็นคุณค่าของความจริงอย่างเต็มเปี่ยมและเหมาะสม คนที่หยิ่งยโสนั้น จะไม่มีทางและเห็นสีแดงและน้ำเงินอันสว่างไสวได้อย่างชัดเจนลึกซึ้ง ไม่อาจแลเห็นสีขาวและสีส้มอันเจิดจ้าได้ คนหยิ่งยโสมัวแต่วุ่นวายอยู่กับตัวเอง มันแต่แข่งขันแย่งขิงอยู่กับคนอื่นจนลืมที่จะมองดูไป

......เมื่อคุณเต็มเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน โดยปราศจากความหยิ่งยโสและความก้าวร้าว เมื่อนั้นคุณก็จะแลเห็นถึงความเรืองรองของจักรวาล คุณอาจพัฒนาสัมผัสรับรู้ที่แท้จริงถึงจักรวาลขึ้นมาได้ คุณอาจชื่นชมในใบหญ้าสีเขียวอันมีรูปทรงงดงาม อาจชื่นชมเจ้าตั๊กแตนตัวลายซึ่งมีจุดสีทองแดงและมีหนวดสีดำ มันเกาะอยู่บนต้นไม้อย่างน่ารัก เมื่อยามที่คุณเดินเข้าไปไกล้ มันก็กระโดดหนีไป สิ่งเล็กๆ เช่นนี้ไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายที่จะมองดู หากเป็นการค้นพบใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา วันทุกวันคุณจะแลเห็นสิ่งต่างๆกันผิดแผกแตกต่างกันไป เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเท็กซัส เมื่อสองสามปีก่อน ข้าพเจ้าได้เห็นตั๊กแตนนับพัน แต่ละตัวต่างก็ผิดแผกแตกต่างไป ต่างก็มีแถบมีจุดสีต่างๆ กัน ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นตั๊กแตนสีม่วง ทว่าเคยเห็นสีทองแดง เขียว น้ำตาลอ่อนแกมเทาและสีดำ บางครั้วก็มีจุดแดงอยู่บนตัว โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งน่าพิศวง ไม่ว่าคุณจะไปแห่งหนไหน ไม่ว่าคุณจะมองไปที่ใด

......ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ในโลกของเราล้วนเป็นสิ่งที่น่าสัมผัสเรียนรู้ บางทีวันนี้อาจจะมีหิมะตก มีหิมะจับอยู่บนกิ่งสน และเราอาจเฝ้ามองท้วเขาสะท้อนประกายอัสดงอยู่เหนือพื้นแผ่นดินสีน้ำเงินเข้มเบื้องหน้า เมื่อเราเริ่มมองเห็นรายละเอียดของธรรมชาติเช่นนี้ เราย่อมรู้สึกได้ว่าหลักการดราละได้ดำรงอยู่ที่นั่นแล้ว เราไม่อาจเมินเฉยละเลยต่อสถานการณ์อันวิเศษสุดซึ่งดำรงอยู่ในโลกแห่งปรากฎการณ์ เราอาจฉวยโอกาสจับมันไว้ให้ได้มั่นตรงนั้น การปลุกหลักการดราละย่อมบังเกิดจากความหลงใหลซึ่งเรามีอยู่แล้วและพึงจะมี โดยปราศจากความหยิ่งยโส เราอาจชื่นชมในโลกของเรา ซึ่งเป็นจริงยิ่งและงดงามยิ่ง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 21, 2011, 05:29:59 pm โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...