ผู้เขียน หัวข้อ: ชัมบาลา : บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง  (อ่าน 4758 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


บทที่ 20 การดำรงอยู่อย่างแท้จริง

“ตรงขั้นตอนนี้เองที่การเดินทางของนักรบ
ได้ตั้งมั่นอยู่บนสภาวะของความเป็นนักรบแล้ว
แทนที่จะเป็นการดิ้นรนเพื่อรุดหน้าต่อไป
นักรบย่อมรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายอันดำรงอยู่ในการบรรลุถึงของตน
สิ่งนี้มิได้ตั้งอยู่บนอัตตา
หากตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นอันปราศจากเงื่อนไข
ซึ่งเป็นอิสระจากก้าวร้าวใด ๆ
ดังนั้นการเดินทางจึงเป็นเหมือนดอกไม้ที่คลี่บานออก
เป็นกระบวนการแผ่ขยายออกโดยธรรมชาติ”


......หลังจากได้บรรลุถึงการประจักษ์แจ้งในความเป็นกษัตราธิราชซึ่งเราได้พูดถึงในบทก่อน อันเป็นผลจากการพัฒนาสิ่งที่เรียกว่า "การดำรงอยู่อย่างแท้จริง" ของนักรบขึ้นมา คำว่า "การดำรงอยู่อย่างแท้จริง" ในภาษาธิเบตเรียกว่า "วังทัง" ซึ่งตามตัวอักษรหมายความว่า "สนามพลัง" อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่คำๆ นี้ใช้กับคุณสมบัติบางอย่างของมนุษย์ เราจึงแปลอย่างคร่าวๆ ในที่นี้ว่า "การดำรงอยู่อย่างแท้จริง" ความคิดรากฐานของการดำรงอยู่อย่างแท้จริงคือ ด้วยเหตุที่คุณได้บรรลุถึงภูมมิธรรมบางอย่าง ภูมิธรรมนั้นจึงสะท้อนออกมาในตัวคุณ ในการดำรงอยู่ ดังนั้น การดำรงอยู่อย่างแท้จริงจึงตั้งอยู่บนหลักเหตุและปัจจัย เหตุแห่งการดำรงอยู่อย่างแท้จริง ก็คือคุณความดีที่คุณได้สั่งสมไว้ และปัจจัยก็คือการดำรงอยู่อันแท้จริงนั้นเอง

......ยังมีความหมายอย่างตื้นๆ ของการดำรงอยู่อันแท้จริงอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งคนทุกคนอาจผ่านพบได้ นั่นก็คือถ้าคนนั้นเป็นคนสุภาพ มีมารยาทและมานะอดทน เมื่อนั้นเขาก็อาจเริ่มแผ่พลังของความงามและความเต็มเปี่ยมออกไปสู่ผู้คนรอบๆ ข้าง อย่างไรก็ดี ความหมายอย่างลึกๆ ของการดำรงอยู่อย่างแท้จริงนั้น เชื่อมโยงอยู่อย่างแนบแน่นกับวิถีทางนักรบของชัมบาลา การดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายในนั้นจะปรากฎขึ้นมิใช่จากการเป็นคนดี เป็นคนเอื้ออารีตามความหมายทั่วๆ ไป หากแต่เกี่ยวพันอยู่กับการประจักษ์แจ้งในความว่างปฐมกาลหรืออนัตตา เหตุซึ่งก่อให้เกิดการดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายในขึ้นก็คือทำตนให้ว่างและสละละ คุณจะต้องปราศจากความยึดติด สภาวะการดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายในก่อเกิดจากการได้แลกเปลี่ยนตนเองกับผู้อื่น จากการที่เราสามารถถือเอาผู้อื่นประดุจตน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โดยปราศจากความยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นคุณธรรมภายในซึ่งนำการดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายในมาก็คือ ประสบการณ์แห่งการไม่ติดยึด เป็นจิตอิสระที่ปราศจากการติดยึด

......เมื่อคุณได้พบคนผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยการดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายใน คุณจะพบว่าเขาหลากล้นไปด้วยความจริงแท้ ซึ่งน่าตื่นตระหนกอยู่มิใช่น้อย เพราะว่าเต็มไปด้วยความจริงยิ่ง สัตย์ซื่อยิ่งและชัดเจนยิ่ง คุณรู้สึกได้ถึงอำนาจบารมีซึ่งแผ่ออกมาจากบุคคล ผู้มีการดำรงอยู่อันแท้จริงภายใน แม้ว่าคนผู้นั้นอาจเป็นเพียงคนเก็บขยะหรือคนขับรถแท็กซี่ แต่เขาก็ยังมีคุณลักษณ์อันสูงส่งซึ่งดึงดูดความสนใจและทำให้คุณรู้สึกเกรงขาม นี้มิใช่เป็นเพียงแค่เสน่ห์ดึงดูด คนผู้ซึ่งมีการดำรงอยู่อย่างแท้จริงภายใน ย่อมกระทำการในตนเองและเดินทางไปอย่างเหมาะเจาะจนสุดหนทาง เขาได้รับการดำรงอยู่อย่างแท้จริงขึ้นมาด้วยการสละละ และโดยการยุติความสุขสบายส่วนตนและการยึดติด

......ในอีกแง่หนึ่ง การดำรงอยู่อย่างแท้จริงเป็นผลจากกระบวนการสละละซึ่งการยึดมั่นในอัตตา อีกนัยหนึ่ง มันยังเป็นผลอย่างฉับพลันของขั้นตอนอันมหัศจรรย์ แห่งการปล่อยวางซึ่งจิตใจยึดมั่นถือมั่นลง ทั้งสองส่วนนี้ประสานกัน กระบวนการซึ่งเป็นธรรมชาติและฉับไว ซึ่งก่อให้เกิดการดำรงอยู่อย่างแท้จริงขึ้นก็คือ การก่อกำเนิดอาชาวายุ หรือลุงตะขึ้นมา ซึ่งโดยพื้นฐานก็คือ การปลุกเร้าพลังแห่งความดีงามพื้นฐานขึ้นมา ให้เป็นสายลมแห่งความเบิกบานและพลัง ถึงแม้ว่าการให้คำแนะนำในการปฏิบัติเพื่อก่อกำเนิดอาชาวายุ จะอยู่เกินไปจากจุดมุ่งหมายของหนังสือเล่มนี้ แต่ข้าพเจ้าก็หวังว่าคุณอาจเริ่มเข้าใจถึงพลังพื้นฐานแห่งอาชาวายุ จากการพูดคุยที่ผ่านมา การบำรุงเลี้ยงอาชาวายุขึ้นมา เป็นหนทางที่จะขจัดสิ่งกดดันและความสงสัยออกไป ณ ที่นั่น มันไม่ใช่พิธีกรรมไล่ผี แต่เป็นกระบวนการที่สร้างกำลังใจขึ้น อาจกล่าวได้ว่าการบำรุงเลี้ยงอาชาวายุขึ้นคือ การปลุกความไม่หวาดหวั่นและความกล้าขึ้นมา มันเป็นวิธีการอย่างวิเศษที่จะขึ้นอยู่เหนือความลังเลสงสัย เพื่อที่จะเข้าถึงความตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ในดวงจิต และเมื่อคุณได้บำรุงเลี้ยงลุงตะขึ้นมา การดำรงอยู่อย่างแท้จริงก็ย่อมอุบัติขึ้นด้วย

......อย่างไรก็ตาม ณ จุดนั้น ประสบการณ์เกี่ยวกับการดำรงอยู่อย่างแท้จริงอาจจะเกิดขึ้นเพียงชั่วแวบเท่านั้น ในการที่จะดำรงชั่วแวบนั้นไว้และสำแดงถึงการดำรงอยู่ออกอย่างเต็มที่ จำเป็นที่จะต้องใช้วินัยเข้าช่วยเสริม ดังนั้น จึงมีขั้นตอนเพื่อทำให้การดำรงอยู่อย่างแท้จริงลุ่มลึกรุดหน้าขึ้น ขั้นตอนนี้เรียกว่าหนทางแห่งความภาคภูมิสี่ประการของนักรบ หนทางนี้เกี่ยวพันกับการบรรสานความว่างเข้ากับโลกของคุณ เพื่อคุณจะได้บรรลุถึงการประจักษ์แจ้งในความเป็นกษัตราธิราช ในขณะที่โลกของคุณแผ่กว้างขึ้น การมีอัตตาเป็นศูนย์กลางและการดำรงอย่างมีอัตตาก็จะยิ่งลดน้อยถอยลง ดังนั้นหนทางแห่งความภาคภูมิสี่ประการจึงเกี่ยวพันกับการประจักษ์ถึงอนัตตา ความภาคภูมิสี่ประการนั้นได้แก่ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมีชีวิตชีวา ความอาจหาญและความลุ่มลึกสุดหยั่งถึง มนุษย์ทุกคนล้วนได้เคยมีประสบการณ์แห่งความภาคภูมิสี่ประการในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ความอ่อนน้อมถ่อมตนคือการเข้าถึงภาวะความถ่อมตัวและความอ่อนโยน ในขณะที่ความมีชีวิตชีวา เกี่ยวพันอยู่กับความสง่างามและพลังแห่งวัยเยาว์ ความอาจหาญหรือความกล้าท้าทายและเข้าเผชิญหน้าโดยปราศจากความคาดหวังและหวาดหวั่น และความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงคือประสบการณ์แห่งความสำเร็จลุล่วง เป็นการบรรลุถึงโดยมิต้องวางแผน

......ถึงแม้ว่าทุกๆ คนได้เคยผ่านประสบการณ์บางอย่างเกี่ยวแก่พลังเหล่านี้ แต่นอกเสียจากจะได้มีการฝึกฝนตนเอง และฝึกสติอย่างจริงจัง ก็จะไม่มีรากฐานที่แน่นอนพอจะรุดหน้าไปในชีวิตได้เลย และความภาคภูมิสี่ประการนั้นจะถูกเก็บงำซ่อนเร้นไว้เป็นเพียงส่วนของนิสัยและความเคยชิน แทนที่จะกลายเป็นหนทางที่นำไปสู่อนัตตา ดังนั้นโดยรากฐานแล้ว ความภาคภูมิสี่ประการจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับหนทางของนักรบ ซึ่งโดยข้อเท็จจริงมันก็คือขั้นตอนชั้นสุงบนหนทางนั้นนั่นเอง นักรบจะสามารถประจักษ์ถึงความภาคภูมิสี่ประการนั้นได้ก็ต่อเมื่อเขาได้พัฒนาความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในความดีงามพื้นฐานขึ้นมา และได้แลเห็นถึงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ฉายฉานอยู่ในประสบการณ์แห่งโลกศักดิ์สิทธิ์ ตรงจุดนี้เองที่นักรบถูกเชื่อมโยงเข้ากับแหล่งกำเนิดของพลังงานซึ่งไม่มีวันแห้งเหือดเป็นพลังงานของอาชาวายุซึ่งทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยพลัง ดังนั้นอาชาวายุจึงเป็นเชื้อเพลิงซึ่งให้พลังแก่ความภาคภูมิสี่ประการ และการดำรงอยู่อย่างแท้จริงจึงเป็นยานพาหนะ

......นี่จึงดูคล้ายสิ่งที่ขัดแย้งกันในโสดหนึ่ง ความภาคภูมิสี่ประการเป็นกระบวนการในการพัฒนาการดำรงอยู่อย่างแท้จริงขึ้นมา และในอีกโสดหนึ่ง ประสบการณ์แห่งการดำรงอยู่อย่างแท้จริงก็ช่วยเอื้อให้ความภาคภูมิสี่ประการคลี่คลายออก ในการอธิบายถึงสิ่งนั้น เราอาจกล่าวได้เพียงว่าอนัตตา เป็นรากฐานและเป็นผลของการเดินทางนี้ นอกเสียแต่เราจะมีความรู้สึกถึงการสละละตนเองออกไป มิเช่นนั้นเราจะไม่สามารถเดินไปบนหนทางของนักรบได้เลย อีกนัยหนึ่ง ถ้าเราได้สละละแล้ว เราจะพบว่า เราสามารถผสานญาณทัศนะอันยิ่งใหญ่และจิตใจอันยิ่งใหญ่เข้าด้วยกัน ดังนั้นอนัตตาจึงเป็นสายใยแห่งความกว้างใหญ่ไพศาล (ถ้าอาจกล่าวว่าสิ่งนั้นดำรงอยู่จริง) ซึ่งร้อยผ่านตลอดการเดินทาง ตรงงขั้นตอนนี้เอง ที่การเดินทางของนักรบได้ตั้งมั่นอยู่บนสภาวะของความเป็นนักรบแล้ว แทนที่จะเป็นการดิ้นรนเพื่อรุดหน้าต่อไป นักรบย่อมรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายอันดำรงอยู่ในการบรรลุถึงของตน สิ่งนี้มิได้ตั้งอยู่บนอัตตาหากตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นอันปราศจากเงื่อนไข เป็นอิสระจากความก้าวร้าวใดๆ ดังนั้นการเดินทางจึงเป็นเหมือนดอกไม้ที่คลี่บานออก เป็นกระบวนการแผ่ขยายออกโดยธรรมชาติ
 
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ชัมบาลา : บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2011, 09:32:43 am »



นักรบแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน

......ความอ่อนน้อยถ่อมตนเป็นความภาคภูมิประการแรก ความอ่อนน้อมถ่อมตนในที่นี้มิได้หมายถึง การดำรงอยู่ในสภาวะเรียบง่ายไม่ซับซ้อน และในขณะเดียวกันก็เป็นมิตร ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นศัตรูหรือมิตร นักรบแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนย่อมแผ่ความรู้สึกเมตตากรุณาไปให้เสมอ พร้อมๆ กันนั้นจิตใจของคุณก็ไม่ได้ อัดแน่นอยู่ด้วยเรื่องราวขจองธรรมดาโลก และคุณจะไม่ถูกล่อล่วงด้วยเรื่องราวอันไร้สาระเลย นี่เป็นเพราะว่าสติได้ช่วยคุณให้หลุดพ้นจากกิจกรรมซึ่งทำให้ญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยมัวหมอง ดังนั้น คุณจึงยังดำรงความอ่อนน้อมถ่อมตนและวินัยในตัวไว้ได้โดยตลอด

......หลักการแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนมีอยู่สามขั้นตอนด้วยกัน ขั้นตอนแรกก็คือ ด้วยเหตุที่นักรบเป็นผู้สุภาพ จิตของเขาจึงไม่มืดมัวด้วยพิษร้ายของความยโสโอหัง ความสุภาพไม่ได้หมายถึงการคิดว่าตนเองเป็นคนเล็กน้อยหรือ ต่ำต้อยด้อยค่า สุภาพในที่นี้หมายถึงรู้สึกอย่างจริงจังแท้และดีงาม ดังนั้น นักรบจึงเต็มอยู่ภายในตน โดยไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอกมายืนยันยอมรับ เสี้ยวหนึ่งของความสุภาพก็คือความมีสง่าราศี มีความเต็มเปี่ยมในตนและก็ฉายรัศมีออกมา ความมีสติของนักรบย่อมเปล่งรัศมีออกมาอย่างเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เต็มไปด้วยความใคร่รู้ใคร่เห็นและความสนใจอย่างลึกซึ้งในสิ่งรอบๆ ตัว คุณเริ่มที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆ ดังข่าวสารตามธรรมชาติ แทนที่จะเป็นการแบ่งแยกสำหรับการดำรงอยู่ ความแตกต่างระหว่างความอยากรู้อยากเห็นความธรรมดากับหนทางแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนของนักรบก็คือ สติสัมปชัญญะของนักรบเชื่อมโยงอยู่กับการขัดเกลาตนเองตลอดเวลา ดังนั้นเองคุณจึงไม่พลาดจากสิ่งใดเลย คุณสามารถแลเห็นในรายละเอียดทุกๆ ชิ้น สติอันได้รับการขัดเกลาแล้วย่อมสามารถถากถางตระเตรียมที่ทางไว้ ในทำนองที่จักรวาลได้เริ่มกลายมาเป็นส่วนหนึ่งแห่งญาณทัศนะของคุณ
 
......ขั้นตอนที่สองของความอ่อนน้อมถ่อมตนก็คือการสำแดงออกของความมั่นใจอันสูงสุด ความอ่อนน้อมถ่อมตนนี้ก็เปรียบประดุจพยัคฆ์วัยฉกรรจ์ซึ่ง เหยาะย่างไปในป่าอย่างเชื่องช้า ทว่าเต็มไปด้วยความระแวดระวัง ในกรณ๊นี้เสือมิได้ล่าเหยื่อ มิได้กำลังออกล่าหวังตะครุบสัตว์อื่นในป่า หากแต่ภาพพจน์ของเสือแสดงออกถึงการเชื่อมโยงระหว่างความพึงพอใจในตนเองและความสุภาพ เสือเหยาะย่างช้าๆ ไปในป่าอย่างเต็มไปด้วยสติ แต่ด้วยเหตุที่เสือพึงพอใจในกายและในความแคล่วคล่องปราดเปรียวในลีลาของตนเอง มันจึงรู้สึกผ่อนคลาย ตั้งแต่ปลายจมูกลงมาจนจรดปลายหางล้วนปราศจากปัญหา ลีลาการเคลื่อนไหวของมันคล้ายดั่งคลื่น มันว่ายไปในป่าชัฎ ดังนั้นความระแวดระวังของมันจึงดำเนินร่วมไปกับความผ่อนคลายและความมั่นใจในตน นี่คือคำอุปมาสำหรับความมั่นใจของนักรบ สำหรับนักรบแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมั่นใจคือสภาวะธรรมชาติของสติกำหนดรู้ในการกระทำทุกสิ่ง

......ขั้นตอนที่สามของความอ่อนน้อมถ่อมตนก็คือ ด้วยเหตุที่ปราศจากความไม่แน่ใจ ดวงจิตของนักรบจึงกว้างใหญ่ จิตของเขาทะยานขึ้นสูงและอาจแลเห็นขึ้นไปจากขอบเขตของฟ้า ความกว้างใหญ่ในที่นี้มิได้อุบัติขึ้นมาจากการแลเห็นอนาคตอันรุ่งโรจน์ของตนอยู่ตรงหน้า โดยการคาดหวังว่าคุณกำลังจะเข้าถึงความมีชีวิตชีวาความอาจหาญและความลุ่มลึกสุดหยั่งถึง และท้ายที่สุดจะบรรลุถึงความเป็นนักรบอันยิ่งใหญ่กว่าผู้อื่นทั้งหมด แต่ทว่า ความกว้างใหญ่ของที่ที่ตนอยู่ ณ ที่เฉพาะของตน คุณจะตระหนักว่าสภาวะพื้นฐานแห่งจิตของคุณมิใช่ปัญหาอีกต่อไป ทั้งความสัมพันธ์กับญาณทัศนะชัมบาลาและอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ก็ไม่เป็นปัญหาอีก ดังนั้นจิตใจที่ทั้งทะเยอะทะยานและยากจนก็ถูกขจัดไป จิตใจอันกว้างใหญ่ก่อเกิดจากการได้มีส่วนร่วมแบ่งปันญาณทัศนะแห่งดราละ คุณย่อมสามารถกระโดดลงไปในมหาสมุทรวิเศษอันเต็มไปด้วยพลังอำนาจและกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งอาจเจ็บปวดหรืออาจน่ารืนรมย์ แต่ทว่าก็เต็มเปี่ยมไปด้วยปิติอย่างไม่ต้องสงสัย

......ผลแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนก็คือ ด้วยเหตุที่นักรบเต็มไปด้วยความมานะอดทนอย่างยิ่งยวด เขาจึงอาจบรรลุถึงความสำเร็จผลทุกประการที่เขามุ่งหวัง ความมานะอดทนนี้มิได้มีความหมายในทำนองความรีบเร่งก้าวร้าวหรือเงอะงะงุ่มง่ามนี่ก็เป็นเช่นเสือในป่า คุณจะผ่อนคลายและเต็มไปด้วยพลัง ในขณะเดียวกัน คุณจะเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ตลอดเวลา แต่เพราะเหตุที่สติกำหนดรู้ได้รับการฝึกฝนขัดเกลาอย่างเยี่ยมยอด ดังนั้นคุณจึงอาจประสบผลสำเร็จในการงานใดๆโดยไม่ยากลำบาก และคุณยังอาจเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนที่อยู่รอบๆ ข้าง

......นักรบแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นได้ละทิ้งแล้วซึ่งผลได้ ชัยชนะหรือเกียรติยศชื่อเสียง ได้ละทิ้งมันไว้เบื้องหลังไกลแสนไกล คุณไม่ได้ขึ้นอยู่ขึ้นอยู่การตอบสนองจากผู้อื่น เพราะเหตุที่คุณไม่มีข้อกังขาในตนเอง คุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับกำลังใจหรือความท้อแท้ ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องแสดงความกล้าให้ผู้อื่นเห็น การเคารพตนเองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งในโลกอาทิตย์อัสดง แต่เมื่อคุณหล่อเลี้ยงอาชาวายุขึ้นมา คุณจะรู้สึกวางใจและเชื่อมั่นตนเอง ดังนั้นด้วยเหตุที่คุณเคารพตัวเอง คุณจึงไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับผลสำเร็จหรือชัยชนะ และด้วยเหตุที่คุณเชื่อมั่นตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องกล้วผู้อื่น ดังนั้นเองนักรบแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนจึงไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการสกปรกหลอกลวงผู้อื่น ดังนั้นเองเกียรติภูมิของเขาจึงไม่ด่างพร้อย

......ดังนั้นเองความอ่อนน้อมถ่อมตนจึงเอื้อให้เกิดญาณทัศนะอันยิ่งใหญ่และความมั่นใจ ความภาคภูมิสี่ประการของนักรบจึงเริ่มต้นจากญาณทัศนะอันต่ำต้อยทว่ารับผิดชอบและกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ซึ่งในขณะเดียวกันก็เห็นถึงรายละเอียดปลีกย่อยอย่างชัดเจนละเอียดลออยิ่ง จุดเริ่มต้นของการเดินทางก็คือ ความรู้สึกเต็มเปี่ยมตามธรรมชาติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปร้องขอเอาจากใคร

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ชัมบาลา : บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2011, 09:41:45 am »
 


นักรบแห่งความมีชีวิตชีวา

......หลักการของความมีชีวิตชีวาใช้ราชสีห์หิมะ ซึ่งเพลิดเพลินอยู่ในอากาศสดชื่นของดินแดนที่ราบสูงเป็นสัญลักษณ์แทน ราชสีห์หิมะนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังและความหนุ่มแน่น มันท่องเที่ยวไปในดินแดนเบื้องสูงซึ่งบรรยากาศกระจ่างใสและอากาศสด ธรรมชาติรอบข้างล้วนเต็มไปด้วยดอกไม้ป่า มีต้นไม้อยู่ประปราย มีหินใหญ่น้อย บรรยากาศทั้งสดทั้งใหม่ ทั้งเต็มไปด้วยความรู้สึกดีงามและแจ่มใส ความมีชีวิตชีวามิได้หมายความว่า เรามีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยเหตุการณ์บางอย่าง หากหมายถึงความแจ่มใสซึ่งปราศจากเงื่อนไข ซึ่งก่อเกิดแต่การฝึกฝนขัดเกลาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ดังเช่นที่ราชสีห์เริงรื่นในอากาศสดชื่น นักรบแห่งความมีชีวิตชีวาก็ย่อมฝึกฝนตนเองอยู่ตลอดเวลา และในขณะเดียวกัน ก็เริงรื่นในการกระทำดังนั้นด้วย สำหรับเขาแล้ววินัยมิใช่การถูกเรียกร้อง หากเป็นความเริงรื่น

......ความมีชีวิตชีวามีอยู่สองขั้นตอนด้วยกัน ขั้นตอนแรกคือการเข้าถึงจิตใจที่ขึ้นสูงและเบิกบาน ในกรณีนี้จิตใจที่ขึ้นสูงหมายถึงภาวะความเบิกบานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ในขณะเดียวกันประสบการณ์แห่งจิตใจอันเบิกบานนี้ ย่อมสืบเนื่องมาจากความอ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งคุณได้สัมผัสมาก่อนแล้ว ดังนั้นเราจึงอาจกล่าวได้ว่า ความมีชีวิตชีวาเป็นผลมาแต่ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความสุภาพ ความมีสติและสง่าราศีของความอ่อนน้อมถ่อมตนย่อมนำมาซึ่งความรู้สึกเบิกบานตามธรรมชาติ จากจิตใจซึ่งเบิกบานนั้น นักรบย่อมกระทำการอย่างเต็มไปด้วยศิลปะในทุกๆ สิ่งที่เขาได้กระทำลงไป การกระทำของเขาย่อมงามสง่าเสมอ

......ขั้นตอนที่สองของความมีชีวิตชีวาก็คือ นักรบแห่งความมีชีวิตชีวาจะไม่มีวันตกอยู่ในหลุมพลางแห่งความลังเลสงสัยเลย ความกังขารากฐานนั้น ก็คือความกังขาในตนเอง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อกายและจิตไม่ประสานสัมพันธ์กัน (ซึ่งเราได้พูดกันมาแล้วในบทที่ห้า) ความลังเลสงสัยนี้อาจแสดงออกมาเป็นความกลัดกลุ้มกังวล หรือความริษยา หรือความหยิ่งยโส หรือ แสดงออกมาในรูปแบบสุดโต่งต่างๆ ดังเช่นการกล่าวร้ายป้ายสีผู้อื่น เพราะเหตุที่คุณสงสัยในความมั่นใจของตนเอง นักรบแห่งความมีชีวิตชีวาดำรงอยู่ในสภาวะของความเชื่อมั่นซึ่งอุบัติขึ้นจากความอ่อนน้อมถ่อมตน ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ปราศจากความสงสัย และด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีวันตกลงไปสู่ภพเบื้องต่ำได้ เบื้องต่ำหมายถึงการมีชีวิตอยู่เพียงแค่การมีชีวิตรอด ภพต่ำนั้นมีแง่มุมต่างๆ กันไป แง่มุมหนึ่งคือมีชีวิตอยู่ด้วยสัญชาตญาณแบบสัตว์ล้วนๆ ดังประหนึ่งว่า การอยู่รอดของคุณต้องยืนพื้นอยู่บนการฆ่าฟันผู้อื่น และกลืนกินเขา แง่มุมที่สองคือคุณติดอยู่กับความรู้สึกยากจน คุณรู้สึกอดอยากหิวโหยอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลัวที่จะสูญเสียชีวิต แง่มุมอย่างที่สามคือการอยู่ในภาวะยุ่งเหยิง ดำรงอยู่ในโลกของความกลัว ซึ่งคุณเคี่ยวเข็ญทรมานตนเองอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุที่นักรบแห่งความมีชีวิตชีวาจึงครอบครองไว้ซึ่งความดีงามทั้งมวลแแห่งภพเบื้องสูง การดำรงอยู่ในภพสูงหมายถึงการดำรงอยู่อย่างแจ่มใสและชัดเจน นักรบอย่างนี้ย่อมมีสติอยู่เสมอและไม่เคยสับสนระหว่างสิ่งที่ควรยอมรับและควรปฏิเสธ

......สรุปแล้ว ด้วยเหตุแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน และความนุ่มนวลซึ่งได้อุบัติขึ้นในขั้นตอนแรกของความเป็นนักรบ คุณก็ได้เดินทางล่วงลึกเข้าสู่ความมีชีวิตชีวา นักรบแห่งความมีชีวิตชีวาจะไม่มีวันตกลงสู่หลุมพรางแห่งความลังเลสงสัย ทั้งเบิกบานอยู่เสมอและเต็มไปด้วยศิลปะ เพราะว่าคุณไม่เคยตกเป็นทาสในภพเบื้องต่ำ จึงไร้ซึ่งความสับสนและความงมงาย สิ่งนี้นำมาซึ่งชีวิตอันเต็มเปี่ยม ดังนั้นผลหรือจุดมุ่งหมายสูงสุดของความมีชีวิตชีวา ก็คือการที่คุณบรรลุถึงความเต็มเปี่ยมของกายและจิต ทั้งสามารถประสานทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน นักรบแห่งความมีชีวิตชีวา จึงเป็นผู้ที่ทั้งต่ำต้อยและเด่นล้ำ เช่นเดียวกับที่มีความรู้สึกเยาว์วัยอยู่เป็นพื้นฐาน


" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ชัมบาลา : บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2011, 09:44:37 am »
 


นักรบแห่งความอาจหาญ


......ความอาจหาญมิได้หมายถึงการเป็นผู้ไร้เหตุผลหรือดุร้าย ความอาจหาญในที่นี้หมายถึงการครอบครองซึ่งพลังอำนาจของนักรบ ความอาจหาญนั้นตั้งอยู่บนการบรรลุถึงความไม่หวาดหวั่น ซึ่งหมายถึงการอยู่เหนือความกลัวโดยสิ้นเชิง ในการที่จะเอาชนะความกลัวได้จำเป็นที่จะต้องเอาชนะความคาดหวังเสียก่อน เมื่อคุณคาดหวังสิ่งใดในชีวิต ถ้ามันไม่บังเกิดขึ้น คุณก็จะรู้สึกผิดหวังหรือเสียใจ แต่ถ้ามันบังเกิดขึ้น คุณก็จะรู้สึกตื่นเต้นและเป็นสุข คุณขับขี่รถไฟเหาะตีลังกาขึ้นและลง ด้วยเหตุที่นักรบไม่เคยเกิดความสงสัยใดๆ ในตนเองขึ้นเลย ดังนั้นนักรบแห่งความอาจหาญจึงไม่มีสิ่งใดต้องหวังและไม่มีสิ่งใดต้องกลัว จึงกล่าวกันว่านักรบแห่งความอาจหาญนั้นไม่เคยถูกเกาะเกี่ยวอยู่ด้วยความคาดหวัง ดังนั้นจึงอาจบรรลุถึงความไม่หวาดหวั่นได้

......ความอาจหาญนั้นมีครุฑเป็นสัญลักษณ์ ครุฑเป็นนกในตำนานของธิเบตซึ่งถือเป็นเจ้าแห่งนกทั้งปวง ครุฑนั้นฟักตัวเติบโตเต็มที่ออกมาจากไข่และทะยานขึ้นสู่ฟ้ากางปีกแผ่ออกอย่างไร้ขอบเขต เหมือนดั่งการเอาชัยต่อความคาดหวังและความกลัว ซึ่งนักรบแห่งความอาจหาญต้องสั่งสมเสรีภาพอันยิ่งใหญ่ขึ้นภายในตน สภาวะจิตอันอาจหาญนั้นจึงกว้างใหญ่ไพศาลมาก จิตใจของคุณหยั่งลึกลงไปในที่สุดแห่งห้วงมหรรณพ คุณได้ไปเกินกว่าที่จะรั้งกลับมา คุณทำได้แต่เพียงไป ไป และไป แผ่กว้างออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด และเหมือนดังพญาครุฑ นักรบแห่งความอาจหาญจะไม่พบอุปสรรคใดๆ ที่มาขวางกั้นจิตใจอันกว้างใหญ่ไพศาลของเขาไว้เลย

......และด้วยเหตุที่ปราศจากอุปสรรคขัดขวางใดๆ นักรบแห่งความอาจหาญจึงปราศจากความตั้งใจที่จะหยั่งวัดห้วงมหรรณพ คุณไม่กังวลว่าจะไปได้ไกลเพียงไหนหรือควรจะแผ่ขยายออกไปให้ได้มากเท่าไหร่ เพราะคุณได้สละละแล้วอย่างสิ้นเชิงถึงข้อเปรียบเทียบสำหรับหยั่งวัดความรุดหน้าของตน ดังนั้นคุณจึงเข้าถึงความผ่อนคลายอย่างใหญ่หลวง ความอาจหาญคือจิตใจอันกว้างใหญ่ไพศาลเหล่านั้น ซึ่งได้ไปไกลเกินขอบเขตใดๆ อุปมาเหมือนดั่งดาบวิเศษ ความปรารถนาที่จะลับมันให้แหลมคมกลับจะทำให้มันทื่อ ถ้าคุณพยายามที่จะนำเอาการเปรียบเทียบหรือการแข่งขันมาใช้กับจิตใจอันกว้างใหญ่ชนิดนี้ โดยการพยายามที่จะนำเอาการเปรียบเทียบ หรือการแข่งขันมาใช้กับจิตใจอันกว้างใหญ่ชนิดนี้ โดยการพยายามหยั่งวัดว่าคุณไปได้ไกลและลึกเพียงไหน ยังเหลือระยะทางอีกเท่าไหร่ หรือผู้อื่นได้ไปไกลเพียงไหน นั่นเท่ากับเป็นการลับดาบให้ทื่อลง เป็นเรื่องไร้ประโยชน์และไม่สร้างสรรค์ ทว่าตรงกันข้าม ความอาจหาญนี้คือการบรรลุถึงโดยปราศจากข้อเปรียบเทียบ

......ถ้าพูดอย่างสั้นๆ ด้วยเหตุที่เขาเป็นอิสระจากความคาดหวังและความกลัว นักรบแห่งความอาจหาญจึงพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าเหมือนดังพญาครุฑในฟากฟ้านี้ คุณไม่รู้จักความกลัวหรือความบกพร่อง ดังนั้นเองคุณจึงสัมผัสถึงโลกอันยิ่งใหญ่และจิตใจอันยิ่งใหญ่ แน่นอน การบรรลุถึงเช่นนี้ย่อมตั้งอยู่บนพื้นฐานของการฝึกฝนขัดเกลาตนเองของนักรบ ในเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตนและความมีชีวิตชีวา จากสิ่งเหล่านี้เองที่คุณอาจบังเกิดความอาจหาญขึ้นได้ นักรบแห่งความอาจหาญอันล้นเปี่ยมไปด้วยเมตตาต่อผู้อื่น เนื่องด้วยคุณปราศจากอุปสรรคในการแผ่ญาณทัศนะออกกว้าง คุณบรรจุเต็มด้วยพลังความสามารถที่จะกระทำเพื่อผู้อื่น คุณสามารถที่จะช่วยเขาได้ในสิ่งใดๆ ก็ตามซึ่งเขาต้องการ


 
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด
Re: ชัมบาลา : บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2011, 09:50:08 am »
 


นักรบแห่งความลุ่มลึกสุดหยั่งถึง


......ความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงมีมังกรเป็นสัญลักษณ์ มังกรทรงพลังทรงอำนาจและไม่ย่นย่อ แต่คุณลักษณ์แห่งมังกรนี้มิได้ดำรงอยู่โดดๆ โดยปราศจากความอ่อนน้อมถ่อมตนของเสือ ความมีชีวิตชีวาของราชสีห์และความอาจหาญของครุฑ

......ความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงนี้แยกออกเป็นสองประการ อย่างแรกคือตัวสภาวะของความลุ่มลึกสุดหยั่งถึง และอย่างที่สองคือการสำแดงออกมา สภาวะของความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงตั้งอยู่บนความไม่หวาดหวั่น นี่แตกต่างจากความหมายตามประเพณีซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมหรือเป็นกำแพงทึบ สำหรับนักรบแห่งความลุ่มลึกสุดหยั่งถึง ความไม่หวาดหวั่นได้บังเกิดขึ้นจากประสบการณ์แห่งความอาจหาญ จากความไม่หวาดหวั่นชนิดนี้ คุณก็อาจสร้างสมความอ่อนโยน และความเห็นอกเห็นใจขึ้นได้ ซึ่งยอมให้คุณเป็นอิสระโดยไม่ผูกพัน ทว่าเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ในกรณีนี้เรากำลังพูดถึงสภาวะของความเป็น ดังเช่นสภาวะของความเป็นมังกรซึ่งเริงรื่นในการดำรงอยู่ ณ ฟากฟ้า ในท่ามกลางหมู่เมฆและสายลม อย่างไรก็ตามภาวะเช่นนั้นมิได้หยุดนิ่งตายตัว มันเป็นดังเช่นต้นโอ๊คอันแข็งแกร่งโอนเอนอยู่ในสายลม ดังนั้นเองอารมณ์ขันจึงทำให้เราขี้เล่น และจากความขี้เล่นและอารมณ์ขันนี้จึงทำให้ไม่เคร่งเครียด สภาวะของความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงจึงทั้งร่าเริงเบิกบานและมีแบบแผนในขณะเดียวกัน

......ตามตำนานกล่าวว่า มังกรนั้นพำนักอยู่ในฟ้ายามฤดูร้อน และมาจำศีลอยู่ในแผ่นดินตอนฤดูหนาว เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง มังกรก็ทะยานขึ้นจากดินพร้อมกับหมอกและน้ำค้าง เมื่อจะเกิดพายุมังกรก็หายใจออกมาเป็นฟ้าแลบ และคำรามออกมาเป็นฟ้าผ่า การอุปมาอุปมัยนี้ให้ความรู้สึกถึงสิ่งที่คาดเดาได้ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในสิ่งที่ไม่อาจคาดเดา ความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงยังเป็นสภาวะของการตั้งมั่นอยู่ในความมั่นใจ ดำรงอยู่อย่างมั่นคงและผ่อนคลายในขณะเดียวกัน คุณเปิดกว้างและปราศจากความกลัว เป็นอิสระจากความปรารถนาและความสงสัย แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ยังคงสนอกสนใจในความเป็นไปของโลก การตื่นขึ้นและปัญญาได้ทำให้คุณเต็มเปี่ยมและมั่นใจ ด้วยความมั่นใจชนิดที่ไม่ต้องการการยืนยันรองรับจากใครๆ ดังนั้นสภาวะแห่งความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงจึงเป็นเครื่องพิสูจน์ซึ่งไม่ต้องหลอกตนเองหรือผู้อื่น ความมรู้สึกดังกล่าวเกิดจากการตั้งมั่นลง

......ความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงคือภาวะของความเป็นปกติสุขภายใน ซึ่งปราศจากทั้งช่องว่างและความลังเล ดังนั้นมันจึงเป็นความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง เป็นการดำเนินตามวิถีทางของชีวิต มันเป็นความรู้สึกถึงแก่นอันมั่นคง แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็สามารถลับสติปัญญาให้แหลมคมอยู่ตลอดเวลา ทั้งคำถามและคำตอบจะอุบัติขึ้นโดยอัตโนมัติ และดังนั้นเองความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงจึงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง มันไม่เคยขาดตอนลง ไม่เคยชะงักหยุดยั้ง คุณจะไม่เปลี่ยนใจเลยถ้ามีสถานการณ์บีบบังคับ จิตใจอันลุ่มลึกสุดหยั่งถึงจะตอบโต้ไปอย่างชัดเจนเที่ยงตรงเด็ดขาดที่สุด ทั้งนี้มิใช้จากความก้าวร้าวแต่จากความมั่นใจรากฐาน

......การสำแดงออกแห่งความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงก็คือการที่สภาวะนี้สำแดงออกในการกระทำ จุดหลักก็คือ การเป็นอิสระไร้ข้อผูกมัด แต่ในขณะเดียวกันก็แลเห็นตลอดกระบวนการของมัน คุณไม่ผูกมัดเพราะคุณไม่สนใจในเรื่องสิ่งยืนยันหรือการยอมรับ นี่มิได้หมายความว่าคุณกลัวที่จะถูกผูกมัดอยู่ด้วยการกระทำของตน หากแต่เป็นการที่คุณไม่สนใจที่จะเป็นจุดเด่นอย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันคุณก็เต็มไปด้วยความภักดีต่อผู้อื่น ดังนั้นเองจึงสามารถประสบผลสำเร็จในการงาน เพราะเหตุแห่งความเห็นอกเห็นใจที่มีต่อเขา

......การสำแดงออกของความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงนั้นเต็มไปด้วยระเบียบแบบแผนและประณีต หนทางในการฝึกปรือความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงนั้นคือการที่คุณจะต้องไม่เถรตรงตามความจริง แต่จะต้องอนุมานความจริงเอามมาใช้อย่างมีสติ และเบิกบานในผลสำเร็จของตน การเถรตรงตามความจริงนั้นมีข้อผิดพลาดตรงที่ใดเล่า เมื่อคุณเถรตรงตามความจริงมันก็ได้สูญเสียเนื้อแท้ของมันไปและได้กลายเป็นเพียงความจริง "ของฉัน" หรือ "ของคุณ" มันได้กลายเป็นบทสรุปรวบยอดในตนเองไป เมื่อคุณเถรตรงตามความจริงคุณก็ได้ใช้จ่ายเงินทุนไปโดยที่ไม่มีใครได้ผลประโยชน์ใดๆเลย มันกลายเป็นเรื่องเสื่อมเสีย เป็นเรื่องสูญเปล่า แต่โดยการอนุมานโดยการแสดงนัยแห่งความจริง ความจริงนั้นมิได้กลายเป็นสมบัติส่วนตัวของใคร เมื่อมังกรต้องการพายุฝน มันก็ก่อให้เกิดฟ้าผ่าและฟ้าแลบ นั่นทำให้เกิดฝนขึ้น ความจริงนั้นก่อเกิดขึ้นมาจากสภาพแวดล้อมในทำนองนี้ มันจึงกลายเป็นความจริงอันทรงพลัง จากทัศนะเช่นนี้เองการศึกษาถึงร่องรอยของความจริงจังเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าตัวความจริงเสียอีก เพราะความจริงนั้นต้องการให้ใครมาจับถือ มาใช้งาน

......ญาณทัศนะแห่งความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงก็คือการสรรค์สร้างโลกซึ่งมีพลังและมีระเบียบเรียบร้อยขึ้น เป็นโลกซึ่งเต็มไปด้วยพลังอันอ่อนโยนเพื่อว่านักรบแห่งความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงจะได้ไม่ต้องเร่งร้อน คุณเริ่มลงมือตั้งแต่ตอนแรกเริ่ม แรกทีเดียวก็แลหาจุดเริ่มต้น ครั้นแล้ว จากการตระเตรียมอย่างดีตรงจุดเริ่มต้นนั้น คุณก็จะพบสภาพแวดล้อมอันเหมาะสมซึ่งพร้อมจะให้เริ่มกระทำการ โดยการไม่ด่วนสรุปอะไรง่ายๆ คุณจะพบทั้งแง่บวกและแง่ลบของเงื่อนไขต่างๆ ครั้นแล้วคุณก็จะพบจุดเริ่มต้นใหม่อีกจุดหนึ่งโดยการไม่ยึดติดอยู่กับสิ่งที่คุณมีอยู่ แต่โดยการก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมอันเหมาะสม คุณก็อาจก้าวรุดหน้าไปสู่อีกขั้นตอนหนึ่ง นั่นก่อให้เกิดความชื่นบานขึ้น คุณจะไม่ถูกท่วมท้นกลืนกลบอยู่ภายใต้กระแสแห่งการกระทำ นักรบนั้นจะไม่มีวันตกเป็นทาสของกิจกรรมแห่งตนเลย

......ดังนั้นการกระทำอันลุ่มลึกสุดหยั่งถึงก็คือการสร้างสภาพแวดล้อมซึ่งปกคลุมอยู่ด้วยความไม่หวาดหวั่น เต็มไปด้วยความอบอุ่นและสิ่งจริงแท้ขึ้นมา แต่ถ้าหากปราศจากความสนอกสนใจหรือแลเห็นคุณค่าของโลกนี้ก็ยากที่จะบรรลุถึงความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงได้ ความหวาดกลัวและความขลาดเขลานำมาซึ่งความเคร่งเครียด และถ้าปราศจากความรู้สึกเบิกบานก็ไม่มีทางที่ความลุ่มลึกสุดหยึ่งถึงจะบังเกิดขึ้น

......การดำรงอยู่อย่างแท้จริงนำมาซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตน ความมีชีวิตชีวาความอาจหาญและบรรลุถึงความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงอันเป็นระดับสูงสุด ตามธรรมดาแล้วผู้ฝึกฝนเพื่อเป็นนักรบจะต้องผ่านการฝึกหัด เริ่มด้วยการมีสัมมาทิฎฐิในชีวิต ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นการมองโลกดังประหนึ่งสวนสนุกอันรื่นรมย์ ทว่าก็สามารถเข้าถึงความเบิกบานและดำเนินชีวิตอย่างสง่างาม ทั้งความเจ็บปวดและสิ่งกดดัน เช่นเดียวกับความปิติยินดีก็อาจเป็นบทเรียน ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ได้ ความรู้สึกสมบูรณ์เป็นปกติสุขทำให้ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ควรแก่การดำรงอยู่ ความรู้สึกจริงแท้ช่วยทำให้เกิดความมั่นใจ

......ประสบการณ์แห่งควาลุ่มลึกสุดหยั่งถึงมิใช่เป็นเพียงแค่การขบคิดคาดเดาเอา ทั้งมิใช่เป็นการเรียรู้ถึงกลยุทธใหม่ๆ หรือเป็นการเลียนแบบใคร เมื่อคุณรู้สึกผ่อนคลายสบาย คุณก็จะพบถึงสภาวะจิตใจที่เป็นปกติสุขอย่างแท้จริง การปลูกฝังความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงขึ้นมาก็คือการเรียนรู้ที่จะเป็น กล่าวกันว่าคนทุกคนล้วนมีศักยภาพแห่งความมั่นใจแฝงอยู่ เมื่อเราพูดถึงความมั่นใจ ในที่นี้เราหมายถึงความมั่นใจแห่งอริยะ มิใช่ความมั่นใจในบางสิ่งบางอย่าง หากเป็นลำพังตัวความมั่นใจเท่านั้น ความมั่นใจชนิดนี้ปราศจากเงื่อนไข ความลุ่มลึกสุดหยั่งคือประกายไฟที่เป็นอิสระจากแบบแผนการวิเคราะห์ใดๆ เมื่อเราเข้าเผชิยหน้ากับสถานการณ์ความใส่ใจและความท้าทายจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ คุณจะกระทำการอย่างตรงไปตรงมาด้วยดวงใจที่เปิดกว้าง สิ่งนี้ก่อให้เกิดความเบิกบานขึ้นและแนวทางก็จะก่อเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

......ความลุ่มลึกสุดหยึ่งถึงนั้นเกิดมาจากการให้มากกว่าการรับ ในขณะที่คุณให้คุณจะพบว่ามีการรับใช้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ดังนั้น เองนักรบจึงเป็นผู้พิชิตโลก แนวคิดเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นี้ ชักนำอิสระภาพออกมาจากความเคร่งวินัย เมื่อนั้นเองที่ความผ่อนคลายจะก่อเกิดขึ้น

......นักรบไม่จำเป็นต้องดิ้นรนต่อสู้ การดิ้นรนต่อสู้นั้นมิใช่แบบอย่างของความลุ่มลึกสุดหยั่งถึง ผู้ฝึกฝนความเป็นนักรบอาจรู้สึกกระวนกระวายหรือรู้สึกไม่พึงพอใจในตน ตรงจุดนี้คุณจะต้องเข้าถึงความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงด้วยตัวคุณเอง การชะลอช้าลง การลดทอนแรงผลักดันภายในลง จึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับ การเริ่มต้น เมื่อนักรบรู้สึกได้ถึงความเป็นผู้นำและความเป็นระเบียบเรียบร้อยบนโลก การแลเห็นซึ้งถึงคุณค่านั้นจะนำทางผ่านพ้นไป โลกอันบีบคั้นทำร้ายและยากจนได้พังทลายลง และจากอิสรภาพนั้นคุณเริ่มจะชื่นชมในระบบธรรมชาติซึ่งคุณก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เมื่อนั้นเองที่ความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงจะกลายเป็นวิถีทางตามธรรมชาติ อันรวมถึงความเคารพต่อผู้อาวุโส ความเห็นอกเห็นใจต่อญาติพี่น้องและความมั่นใจในมิตร จากจุดนี้เองที่การเรียนรู้มิใช่เป็นการดิ้นรนต่อสู้อีกต่อไป และอุปสรรคนานาล้วนถูกพิชิตลง

.......เมื่อเราพูดถึงระบบธรรมชาติ เราหมายถึงโครงสร้างและกฎเกณฑ์ของจักรวาล อันเป็นความรู้สึกถึงเชื้อสายสืบทอดซึ่งนักรบจะต้องตระหนักในคุณค่า แต่การแลเห็นคุณค่าเพียงเท่านั้นยังไม่เพอ ยังจำเป็นจะต้องฝึกฝนขัดเกลาตนเอง การฝึกฝนตนเองนี้เกิดแต่การตระหนักว่าโลกซึ่งเป็นเช่นนี้ได้สร้างขึ้นมาเพื่อตัวคุณ ตระหนักว่าผู้คนได้ปลดปล่อยพลังงานออกมา เพื่อยกคุณขึ้น และในยามที่คุณอ่อนแอคุณได้รับความช่วยเหลือ ดังนั้นเมื่อคุณพร้อมที่จะรับแรงบันดาลใจ คุณก็ได้รับมันมา ดังนั้น การฝึกฝนตนเอง ในการกระทำการเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริงจึงเกิดจากการตระหนักซึ้งถึงคุณค่าของระบบธรรมชาติ

......ความลุ่มลึกสุดหยั่งถึงนั้นั้งเจิดจ้าและปราศจากความกลัว เพราะเหตุที่นักรบถูกชี้นำโดยญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ อาศัยความมานะอดทนและความเบิกบานคุณจึงอาจยกระดับตนเองขึ้น เพื่อที่จะบรรลุถึงการดำรงอยู่อย่างแท้จริง และเพื่อบรรลุถึงภาวะความเป็นอยู่แห่งกษัตราธิราชอันเป็นจุดสูงสุด โดยการเปิดตนออก และให้อย่างไม่เกรงกลัวต่อผู้อื่น คุณก็อาจช่วยสรรค์สร้างโลกอันเปี่ยมศักดาของนักรบขึ้นมาได้

" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ magicmo

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 127
  • พลังกัลยาณมิตร 30
    • ดูรายละเอียด
Re: ชัมบาลา : บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2011, 05:59:14 pm »
 :46:  ขอบคุณมากๆๆเลยนะครับ

ออฟไลน์ magicmo

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 127
  • พลังกัลยาณมิตร 30
    • ดูรายละเอียด
Re: ชัมบาลา : บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2011, 03:07:01 pm »
    ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ magicmo

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 127
  • พลังกัลยาณมิตร 30
    • ดูรายละเอียด
Re: ชัมบาลา : บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2011, 04:03:38 pm »
  ขอบใจมากๆๆเลยนะคร้าาาบ

ออฟไลน์ magicmo

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 127
  • พลังกัลยาณมิตร 30
    • ดูรายละเอียด
Re: ชัมบาลา : บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2011, 09:56:32 am »
 ขอบคุณมากๆๆคร้าาาบบผม

ออฟไลน์ magicmo

  • ต้นไม้เล็กพริ้วไหวดั่งสายลม
  • ***
  • กระทู้: 127
  • พลังกัลยาณมิตร 30
    • ดูรายละเอียด
Re: ชัมบาลา : บทที่ ๒o การดำรงอยู่อย่างแท้จริง
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: ธันวาคม 03, 2011, 04:10:01 pm »
 ขอบคุณมากๆๆเลยนะคับ