ผู้เขียน หัวข้อ: ชัมบาลา : บทที่ ๒๑ สืบสายสกุลชัมบาลา  (อ่าน 1765 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด



บทที่ ๒๑ สืบสายสกุลชัมบาลา

“แนวคิดเรื่องการสืบสายแห่งคำสอนชัมบาลา
สัมพันธ์อยู่กับสายใย ซึ่งเชื่อมโยงคนเข้ากับปรีชาญาณปฐมกาล
ปรีชาญาณประการนั้นเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ไม่ยากและธรรมดาสามัญยิ่ง
ทว่าลึกซึ้งและกว้างใหญ่ไพศาล”


......การเดินทางเพื่อมุ่งสู่ความเป็นนกัรบนั้น ประการแรกสุดย่อมขึ้นอยู่กับการตระหนักถึงความจริงแท้และความดีงามพื้นฐานในตัวปัจเจกชน อย่างไรก็ตามการที่จะเดินทางต่อไปได้ ในการที่จะเดินไปบนหนทางแห่งความภาคภูมิสี่ประการและบรรลุถึงการดำรงอยู่อย่างแท้จริงได้ จำเป็นที่จะต้องมีผู้นำทาง มีนักรบอาจารย์ช่วยชี้หนทางให้ ถ้าพูดในระดับสูงสุดแล้ว การสละละซึ่งความเห็นแก่ตัวหรือการสละละตัวตนก็ดี จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคุณได้มีแบบฉบับของมนุษย์จริงๆ เป็นใครบางคนซึ่งได้บรรลุถึงขั้นนั้น และดำรงตนเป็นแบบอย่างให้คุณสามารถกระทำได้เช่นกัน

......ในบทนี้เราจะได้กล่าวถึงแนวคิดเรื่องการสืบเชื้อสายในหลักคำสอนชัมบาลา นั่นก็คือการส่งทอดภูมิปัญญาอันยิ่งแก่มนุษย์ในโลกของชัมบาลา เพื่อว่าเขาจะได้ครอบครองซึ่งภูมิปัญญานั้นและเกื้อหนุนให้เกิดภูมิปัญญาเช่นนั้นในตัวผู้อื้นด้วย ดังนั้นในบทนี้เราจึงต้องมาพิจารณากันถึงคุณลักษณะต่างๆ ของนักรบอาจารย์ และดูกันว่ามีการส่งทอดภูมิปัญญากันอย่างไร

......โดยพื้นฐานแล้ว ความคิดเรื่องการสืบเชื้อสายในคำสอนของชัมบาลาเกี่ยวพันกับการที่ปรีชาญาณของการจกเงาแห่งจักรวาล (ดังที่เราได้กล่าวกันมาแล้วในภาคสอง) ได้ถูกส่งทอดหรือสืบทอดมาในชีวิต ในการดำรงอยู่ของมนุษย์ ถ้าจะย้อนทวนอย่างย่อๆ คุณลักษณะของกระจกเงาแห่งจักรวาลนั้นคือ มันเป็นสิ่งที่ปราศจากเงื่อนไข เป็นความกว้างโล่งอันยิ่งใหญ่ มันเป็นความเปิดโล่งอันเป็นอมตะ เป็นความว่างที่อยู่เหนือข้อกังขาใดๆ ในอาณาจักรของกระจกเงาแห่งจักรวาลนั้น จิตของคุณแผ่ญาณทัศนะออกอย่างเต็มที่ ขึ้นอยู่เหนือความลังเลสงสัยใดๆ ในสภาวะซึ่งดำรงอยู่ก่อนความคิดใดๆ จะอุบัติขึ้น มีสถานีที่พำนักของกระจกเงาแห่งจักรวาลซึ่งปราศจากพรมแดน ปราศจากศูนย์กลางและปราศจากขอบเขต ดังที่เราได้กล่าวมาแล้วว่าการที่จะสัมผัสได้ถึงความว่างอย่างนี้ ก็โดยการนั่งสมาธิ

......และดังที่ได้กล่าวมาแล้วในบทที่สิบสอง "การค้นหาอำนาจวิเศษ" การเข้าถึงอาณาจักรของกระจกเงาแห่งจักรวาลย่อมก่อให้เกิดปรีชาญาณขึ้น เป็นปรีชาญาณของสัมผัสรับรู้อันล้ำลึกและกว้างใหญ่ อยู่เหนือความขัดแย้งใดๆ ซึ่งเรียกกันว่าดราละ ในการเข้าถึงดราละนั้นมีอยู่หลายระดับด้วยกัน ระดับสูงสุดหรือระดับปฐมกาลแห่งดราละอาจเข้าถึงได้โดยตรง โดยอาศัยปรีชาญาณของกระจกเงาแห่งจักรวาล เมื่อคุณเข้าถึงปรีชาญาณนั้น ก็เท่ากับได้เชื่อมโยงเข้ากับต้นกำเนิดแห่งเชื้อสายชัมบาลา อันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งปรีชาญาณ

......ในบทแรกของหนังสือเล่มนี้เราได้กล่าวถึงตำนานเกี่ยวกับอาณาจักรประวัติศาสตร์ชัมบาลาและผู้ปกครองแห่งชัมบาลา ดังที่เราได้กล่าวแล้วว่า มีบางคนเชื่อว่าอาณาจักรยังคงตั้งซ่อนเร้นอยู่ที่ใดที่หนึ่งบนโลกนี้ในขณะที่คนอื่นๆ มองว่าอาณาจักรแห่งนี้เป็นเพียงคำอุปมาเท่านั้นหรือแม้เชื่อว่ามันได้ถูกยกขึ้นสู่สวรรค์แล้วด้วยซ้ำ แต่ตามแนวทางซึ่งเราได้นำเสนอหลักคำสอนของชัมบาลามา ต้นกำเนิดแห่งหลักคำสอนนี้หรืออาจกล่าวได้ว่าตัวอาณาจักรชัมบาลาแห่งนี้ มิใช่อาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์อันลี้ลับ ทว่าเป็นอาณาจักรของกระจกเงาแห่งจักรวาล เป็นอาณาจักรปฐมกาลซึ่งมนุษย์อาจเข้าถึงได้เสมอ หากเขาสงบผ่อนคลายลงและแผ่ขยายจิตใจออกไป จากทัศนะนี้ จักรพรรดิผู้ปกครองชัมบาลาซึ่งเรียกว่ากษัตริย์ริกเดน ก็คือผู้ที่ดำรงอยู่ในกระจกเงาแห่งจักรวาล ท่านคือการสำแดงออกของปฐมกาล ถึงปรีชาญาณแห่งจิตใจอันกว้างใหญ่ไพศาลและปัญญาอันยิ่งใหญ่แห่งดราละ ดังนั้นเอง เราจึงเอ่ยถึงท่านในนามของดราละอันสูงสุด

......ดราละอันสูงสุดนั้นมีลักษณะอยู่สามประการด้วยกัน ประการแรกมีลักษณะปฐมกาล ดังที่เราได้กล่าวถึงมาแล้ว ซึ่งมิใช่การกลับไปสู่ยุคหินหรือยุคก่อนประวัติศาสตร์ หากแต่เป็นการรุดไปก้าวหนึ่งไกลเกินความคิดใดๆ ของเรา นั่นคือสภาวะของการเป็นกษัตริย์ริกเดน ผู้ซึ่งครอบครองกระจกเงาแห่งจักรวาลเป็นอาณาจักรของตน ลักาณะประการที่สองก็คือความไม่แปรเปลี่ยน ไม่มีความคิดวอกแวกอยู่ในอาณาจักรของกษัตริย์ริกเดน ความคิดวอกแวกนั้นแสดถึงจิตใจที่ไม่มั่นคง ไม่มีความมั่นใจในความบริสุทธิ์แห่งสัมผัสรับรู้ของตน จึงเป็นเหตุให้จิตใจหวั่นไหวและลังเล ณที่นี้จึงปราศจากความคิดวอกแวก มันเป็นอาณาจักรซึ่งมั่นคงไม่แปรเปลี่ยน ไม่แปรเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์ ลักษณะประการที่สามของดราละสูงสุดก็คือความกล้า ความกล้าหาญหมายถึงคุณจะไม่ยอมพ่ายแพ้แม้แต่ข้อกังขาที่มีน้ำหนักที่สุด แท้ที่จริงแล้วไม่มีที่ทางสำหรับความสงสัยใด ๆ ในอาณาจักรแห่งนี้ด้วยซ้ำ

......ดังนั้นเมื่อคุณสัมพันธ์กับปรีชาญาณแห่งกระจกเงาจักรวาลได้ คุณก็ได้พบดราละอันสูงสุด ได้พบกษัตริย์ริกเดนแห่งชัมบาลา ญาณทัศนะอันไพศาลของท่านซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังกิจกรรมทั้งมวลของมนุษย์และอยู่ในความเปิดกว้าง อยู่ในความว่างของจิตซึ่งปราศจากเงื่อนไขในทำนองนี้เองจึงอาจกล่าวได้ว่า ท่านได้เฝ้าดูและคุ้มครองความเป็นไปของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม การณ์นี้แตกต่างจากความคิดที่ว่ากษัตริย์ริกเดนทรงสถิตอยู่บนสวรรค์ และเฝ้าดูโลกมนุษย์จากบนนั้น

......หากมีสักครั้งที่ได้สร้างสายสัมพันธ์กับดราละอันสูงสุดขึ้น ก็มีทางเป็นไปได้ที่ปรีชาญาณปฐมกาลและญาณทัศนะของกษัตริย์ริกเดนจะถูกส่งทอดมาสู่มิติการรับรู้ของมนุษย์ ดังที่เราได้กล่าวกันมาแล้วในเรื่อง "การค้นหาอำนาจวิเศษ" ว่า ความกว้างใหญ่ไพศาลของสัมผัสรับรู้อาจพบได้ในความเรียบง่าย ในการรับรู้เพียงหนึ่งเดียว ณ ที่นั้น เมื่อเรายอมให้ความกว้างใหญ่ไพศาลเข้ามาสู่สัมผัสรับรู้ของเรา เมื่อนั้นมันก็จะกลายเป็นดราละ กลายเป็นอำนาจวิเศษอันเรืองรองเจิดจ้า เมื่อเราได้เกิดประสบการณ์นี้แล้ว สิ่งที่เขาได้พบนั้นเองที่เรียกว่าดราละภายใน ดราละภายในจะแรงกล้าขึ้นด้วยปรีชาญาณแห่งกระจกเงาจักรวาลและปรากฎการณ์ ดราละภายในนี้ถูกแบ่งออกเป็นเชื้อสายฝ่ายบิดาและมารดา เชื้อสายฝ่ายบิดาเป็นตัวแทนของความไม่หวาดหวั่น ความอ่อนโยนและความไม่หวาดหวั่นคือลักษณะสองประการแรกของดราละภายใน เมื่อใครก็ตามสามารถดำรงอยู่ในโลกของอิสรภาพและความรุ่งเรืองเป็นอิสระจากการยอมรับหรือการปฏิเสธ โลกซึ่งอาจสัมผัสดราละได้ในทุกๆ ปรากฏการณ์ เมื่อนั้นเขาย่อมสัมผัสได้เองถึงความอ่อนโยนและความไม่หวาดหวั่นซึ่งดำรงอยู่ในความว่างนั้น

......ลักษณะประการที่สามของดราละภายในก็คือภูมิปัญญาหรือการรับรู้อย่างจำแนกแยกแยะ ซึ่งจะเชื่อมโยงความอ่อนโยนและความไม่หวาดหวั่นเข้าด้วยกัน จากการรับรู้อย่างจำแนกแยกแยะ ความอ่อนโยนจะมิใช่ความอ่อนโยนอย่างสามัญ หากจะกลายเป็นประสบการณ์แห่งโลกศักดิ์สิทธิ์ และความไม่หวาดหวั่นจะไปไกลเกินความกล้าบ้าบิ่น และจำสำแดงออกถึงความสง่างามรุ่มรวยในชีวิตคน ดังนั้นเองความแหลมคมแห่งสัมผัสรับรู้ย่อมเชื่อมโยงความอ่อนโยนและความไม่หวาดหวั่น เพื่อสร้างโลกของนักรบ ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลแต่ทว่าเต็มไปด้วยการรับรู้อันมีค่า

......ประการสุดท้าย ปรีชาญาณแห่งดราละอันสูงสุดและดราละภายในอาจส่งทอดมาสู่มนุษย์ได้ อีกนัยหนึ่งในการตระหนักอย่างกระจ่างแจ้งถึงหลักการกระจกเงาแห่งจักรวาลอันปราศจากเงื่อนไข และโดยการปลุกหลักการนั้นขึ้นมาในสัมผัสรับรู้อันกระจ่างของความเป็นจริง มนุษย์อาจกลายเป็นดราละอันมีชีวิต กลายเป็นอำนาจวิเศษอันมีชีวิตได้ นั่นก็คือการที่เราเข้าร่วมกับเชื้อสายของนักรบชัมบาลา และกลายเป็นนักรบปรมาจารย์ มิใช่เพียงแค่ปลุกขึ้นมา แต่ฝังตัวอยู่ในดราละเลยทีเดียว ดังนั้นนักรบปรมาจารย์จึงฝังตัวอยู่ในหลักการของดราละภายนอก

......คุณลักษณะพื้นฐานของนักรบปรมาจารย์ก็คือ การดำรงอยู่ของท่านย่อมปลุกประสบการณ์แห่งกระจกเงาจักรวาลและอำนายวิเศษของการรับรู้ขึ้นมาในตัวผู้อื่น นั่นคือสภาวะในตัวท่านสามารถถอนทำลายการแบ่งแยกลง ณ ที่นั้น ดังนั้นเอง จึงกล่าวกันว่าท่านมีการดำรงอยู่อย่างแท้จริงอันสมบูรณ์ เมื่อนักรบฝึกหัดได้สัมผัสถึงความจริงแท้อันเต็มเปี่ยมนี้ ก็ย่อมเอื้อและปลุกเร้าให้เขาสามารถไปพ้นความเห็นแก่ตัวไปพ้นอัตตาได้อย่างฉับพลัน

.......ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เข้าได้โดยยาก ดังนั้นบางทีเราก็จำเป็นต้องพูดกันให้ลึกซึ้งถึงคุณลักษณะแห่งนักรบปรมาจารย์ เพื่อจะได้เข้าใจกระจ่างขึ้น เริ่มต้นด้วยกำเนิดของนักรบปรมาจารย์ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในมิติของกระจกเงาจักรวาล ซึ่งไร้ยุคเริ่มต้นและปราศจากที่สิ้นสุด มีแต่เพียงความกว้างใหญ่ไพศาล การประจักษ์แจ้งของท่านหรือสภาวะแห่งการดำรงอยู่ของท่าน มิใช่เป็นเพียงผลพวงแห่งการฝึกฝนขัดเกลาตนเองหรือจากปรัชญา แต่ทว่าท่านได้ผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์อยู่ในความบริสุทธิ์ของกระจกเงาจักรวาล อันปราศจากเงื่อนไข

.......ดังนั้น ท่านจึงได้เข้าถึงความตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ เป็นอิสระจากอัตตา เพราะเหตุที่ท่านได้ครอบครองความว่างอันปราศจากเงื่อนไข ท่านจึงไม่ตกอยู่ภายใต้ความสับสนหรือมัวเมาอยู่ด้วยความเห็นแก่ตัว ท่านตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ ดังนั้นเองพลังของนักรบปรมาจารย์ จึงเชื่อมโยงอยู่กับดราละอันสูงสุด และญาณทัศนะอันไพศาลแห่งกษัตริย์ริกเดน ดังนั้นเองท่านจึงเป็นอิสระจากความสับสน

......ประการที่สอง ด้วยเหตุที่นักรบปรมาจารย์ ได้หลอมรวมตัวเองเข้ากับเชื้อสายแห่งปรีชาญาณของกษัตริย์ริกเดนอย่างสมบูรณ์ ท่านจึงเริ่มสั่งสมความอ่อนโยนอันยิ่งใหญ่และความเมตตาอันยิ่งใหญ่ขึ้นมา สิ่งนี้คือประจักษ์พยานแห่งความดีงามพื้นฐานในตัวมนุษย์ทุกคน ในยามที่นักรบปรมาจารย์แลดูโลกรอบๆ ตัว ท่านรู้ได้ว่ามนุษย์ทั้งมวลล้วนครอบครองความดีงามพื้นฐานอยู่ และพวกเขามีสิทธิ์ที่จะตระหนักถึงหลักการแห่งความดีงามเหล่านั้นได้ในตน และยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีโอกาสที่จะกำเนิดขึ้นเป็นกษัตราธิราชได้อีกด้วย ดังนั้น จึงก่อเกิดความเอื้ออารีและความเมตตากรุณาอย่างใหญ่หลวงขึ้นในใจของนักรบ

......ท่านได้พบว่าอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ได้เข้ามาสถิตอยู่ในจิตใจของท่านอย่างหมดจด หมดจดจนกระทั่งท่านอาจเปล่งประกายของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ออกมา แผ่รัศมีออกสู่สัตว์โลกผู้ทนทุกข์อยู่ในโลกอาทิตย์อัสดง นักรบปรมาจารย์และเห็นถึงหนทางแห่งความเป็นนักรบอย่างถ้วนถี่ ท่านจึงสามารถน้อมนำหนทางนั้นให้บังเกิดขึ้นในตัวนักรบฝึกหัด และในตัวมนุษย์ทุกคนผู้ปรารถนา จะบรรลุถึงกำเนิดอันสูงค่าของมนุษย์

......ประการสุดท้าย จากมหากรุณาที่นักรบปรมาจารย์มีต่อมนุษย์ท่านจึงสามารถเชื่อมโยงฟ้าและดินเข้าด้วยกัน นั่นก็คืออุดมคติของมนุษย์และพื้นฐานซึ่งมนุษย์ยืนอยู่ อาจเชื่อมโยงเข้าด้วยกันด้วยพลังอำนาจแห่งนักรบปรมาจารย์ เมื่อนั้นฟ้าและดินจะเริ่มเริงรำไปด้วยกัน และมนุษย์จะรู้สึกได้ว่าไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอีกต่อไป ระหว่างผู้ซึ่งครอบครองส่วนที่ดีที่สุดแห่งฟ้าและผู้ครอบครองส่วนที่เลวทีสุดแห่งดิน

......ในการที่จะเชื่อมโยงฟ้าและดิน คุณจำเป็นต้องมีความมั่นใจและความเชื่อมั่นในตนเอง และยิ่งไปกว่านั้น ในการที่จะเชื่อมโยงฟ้าและดินได้ คุณจำเป็นต้องขึ้นอยู่เหนือความเห็นแก่ตัว คุณจำเป็นต้องปราศจากซึ่งความเห็นแก่ตัว ถ้าใครที่คิดว่า "บัดนี้ฉันเข้าถึงแล้ว ฮะ ฮะ" นั่นใช้ไม่ได้ การประสานฟ้าและดินจะเกิดขึ้นต่อเมื่อคุณสามารถไปพ้นจากภาวะแห่งอัตตา ไม่มีใครสามารถประสานฟ้าและดินเข้าด้วยกันถ้าเขามีความเห็นแก่ตัวอยู่ เพราะถ้ามีสิ่งนั้นเขาก็ไม่ใช่ทั้งฟ้าและดิน หากตกอยู่ในภพพลาสติก เป็นภพเทียมอันน่าสยดสยอง การเชื่อมโยงฟ้าและดินจะเกิดขึ้นเพียงจากภาวะการดำรงอยู่อันพ้นจากแรงปรารถนา พ้นจากความต้องการอันเห็นแก่ตน มันเกิดจากความไร้ตัณหา ปราศจากความทะยานอยาก ถ้าหากว่านักรบปรมาจารย์เกิดมัวเมาในภาวะการดำรงอยู่อย่างแท้จริงของตนเองขึ้นมา เมื่อนั้นก็นับได้ว่าหายนะ ดังนั้น เอง นักรบปรมาจารย์จึงถ่อมตนอย่างยิ่ง อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างสุดแสน ความอ่อนน้อนถ่อมตนนี้ก่อเกิดจากการกระทำการร่วมกับผู้อื่น คุณย่อมตระหนักได้ถึงความจำเป็นที่จะต้องอดทน ที่จะต้องให้เวลาเขา เพื่อพัฒนาความเข้าใจถึงเรื่องความดีงามและความเป็นนักรบ ถ้าคุณรู้สึกหงุดหวิดงุ่นง่าน และพยายามที่จะยัดเยียดความดีงามพื้นฐานให้แก่ผู้อื่น เมื่อนั้นก็จะไม่มีประโยชน์ใดๆ เลยนอกจากจะทำให้วุ่นวายหนักขึ้น เมื่อรู้ซึ้งถึงสิ่งนี้ คุณจึงอ่อนน้อมถ่อมตนและอดทนอย่างยิ่งในการกระทำการกับผู้อื้น คุณปล่อยให้สิ่งต่างๆ เข้ารูปเข้ารอยตามเวลาอันเหมาะสม ดังนั้นความอดทนจึงช่วยเพิ่มพูนความอ่อนโยนและศรัทธาต่อผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยเลยที่คุณจะสูญสิ้นศรัทธาในความดีงามพื้นฐานในศักยภาพของผู้อื้นที่จะก่อเกิดปัจจุบันขณะและความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาในความสามารถที่จะกลายเป็นนักรบขึ้นในโลกนี้

......นักรบปรมาจารย์ช่วยชี้นำนักรบฝึกหัดอย่างอดทน ทั้งยังกอปรด้วยความอ่อนโยน ปราศจากความก้าวร้าว ครั้นถัดมาท่านยังชี้นำศิษย์ด้วยแบบอย่างแห่งความจริงแท้ ความมั่นคงและตั้งมั่น และถ้าหากว่าสัจจะเป็นเหมือนตัวธงที่โบกพริ้วอยู่ในสายลม คุณจะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า คุณกำลังมองเห็นด้านใดอยู่ ดังนั้นแนวคิดในที่นี้จึงเป็นทำนองว่า ภาวะการดำรงอยู่อย่างจริงแท้นั้น ก็คือภาวะแห่งความตั้งมั่นไม่คลอนแคลนประดุจดังขุนเขา คุณอาจอิงอาศัยภูมิปัญญาของนักรบปรมาจารย์ได้มันจะไม่ส่ายไหว ท่านเป็นแบบฉบับแห่งความจริงแท้อันสมบูรณ์

......ด้วยเหตุที่ปราศจากความกลัวใดๆ ในสภาวะจิตหรือในร่างของนักรบปรมาจารย์ การช่วยเหลือผู้อื่นจึงก่อเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาจิตใจของนักรบปรมาจารย์ย่อมปลอดพ้นจากความเกียจคร้าน ในการแผ่ขยายตนออกอย่างไม่หวาดหวั่นสู่ผู้อืน นักรบปรมาจารย์ได้แสดงออกถึงความใส่ใจอย่างลึกซึ้งต่อศิษย์ของตน ตั้งแต่เรื่องการกินการอยู่เรื่อยมาถึงสภาวะทางจิต ว่าเขาสุขหรือทุกข์ ร่าเริงหรือหมองหม่น ดังนั้นอารมณ์ขันและความเคารพจึงก่อเกิดขึ้นโดยธรรมชาติระหว่างนักรบปรมาจารย์กับศิษย์

......แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือในกิจกรรมทุกอย่างของชีวิต ในการกระทำทุกอย่างของท่านล้วนมีอำนาจวิเศษอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม นักรบปรมาจารย์แห่งชัมบาลาย่อมชักนำจิตของศิษย์ให้เข้าสู่ญาณทัศนะจิตแห่งกษัตริย์ริกเดน ให้เข้าสู่ความว่างของกระจกเงาจักรวาลอยู่เสมอ ท่านท้าทายศิษย์อยู่เสมอให้ก้าวพ้นไปจากตัวเองก้าวออกไปสู่โลกแห่งความจริงอันกว้างใหญ่และเรืองรองซึ่งท่านอาศัยอยู่ การท้าทายซึ่งท่านสร้างขึ้นนั้นไม่มากถึงขนาดที่ท่านสร้างเงื่อนไขอุปสรรคขึ้นและลงแส้ให้ศิษย์ฝ่าข้ามไป หากแต่อาศัยสภาวะการดำรงอยู่อันแท้จริงในตนเองเป็นเครื่องท้าทายให้ศิษย์ก้าวไปสู่สิ่งจริงและสิ่งแท้

......พร้อมๆ กันนั้น แนวคิดเรื่องการสืบสายแห่งคำสอนชัมบาลา สัมพันธ์อยู่กับสายใยซึ่งเชื่อมโยงคนเข้ากับปรีชาญาณปฐมกาล ปรีชาญาณประการนั้นเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ไม่ยากและธรรมสามัญยิ่ง ทว่าลึกซึ้งและกว้างใหญ่ไพศาล หนทางซึ่งนำไปสู่ความบิดเบี้ยวฉ้อฉลดำรงอยู่ในการยึดมั่นอยู่กับความคิด โดยไม่ยอมก้าวล่วงเข้าสู่ดินแดนอันบริสุทธิ์ที่ซึ่งปราศจากความคาดหวังและความกลัว ในอาณาจักรแห่งกระจกเงาจักรวาลนี้ การยึดมั่นอยู่กับความคิดและความกังขาเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาแต่ก่อน และสำหรับผู้ที่ประกอบด้วยความดีงามอันแท้จริงประกอบด้วยความดีงามปฐมกาล แต่แรกเริ่มของมนุษย์ ย่อมเป็นผู้ที่ก้าวล่วงเข้าสู่อาณาจักรแห่งนี้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

.......หลายศตรรษมาแล้ว มีคนเป็นจำนวนมากซึ่งได้แสวงหาความดีงามอันสูงสุดและได้พยายามที่จะแบ่งปันกับเพื่อนมนุษย์ การที่จะประจักษ์แจ้งถึงสิ่งนี้ได้จำเป็นต้องมีวินัยอันหมดจดและความตั้งใจอันแน่วแน่ บรรดาผู้คนซึ่งไม่หวาดหวั่นในการแสวงหาและไม่หวาดหวั่นที่จะประกาศถึงสิ่งที่เขาค้นพบ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อสายแห่งนักรบปรมาจารย์ไม่ว่าจะถือศาสนาใด มีความเชื่อหรือปรัชญาใดก็ตาม สิ่งที่ช่วยเชิดชูบรรดาผู้นำแห่งมนุษยธรรมและผู้พิทักษ์ปรีชาญาณของมนุษย์ไว้ก็คือ การสำแดงออกอย่างไม่หวั่นเกรงถึงความอ่อนโยนและความจริงแท้เพื่อประโยชน์แห่งสรรพสัตว์ทั้งมวล เราพึงยกย่องแบบฉบับของท่านและพยายามเข้าให้ถึงหนทางซึ่งท่านได้ถากถางไว้ให้เรา ท่านคือบิดามารดาแห่งชัมบาลาผู้ชักนำความเป็นไปได้แห่งการตริตรึก วาดหวังถึงสังคมอริยะให้บังเกิดขึ้น ในท่ามกลางยุคสมัยอันต่ำทรามนี้
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...