ผู้เขียน หัวข้อ: สูดแก้ลม ดมแก้คิดถึง  (อ่าน 2085 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
สูดแก้ลม ดมแก้คิดถึง
« เมื่อ: ตุลาคม 11, 2012, 01:57:31 pm »


สูดแก้ลม ดมแก้คิดถึง
โดย พระวิสุทธิสังวรเถร (พระอาจารย์พรหมวังโส)


ในปีแรกที่อาตมาบวชเป็นพระที่ภาคอีสานของไทย
อาตมากำลังนั่งอยู่ในตอนหลังของรถคันหนึ่งกับพระฝรั่งอีกสองรูป
หลวงพ่อชาท่านอาจารย์ของอาตมานั่งที่เบาะหน้า

จู่ๆ หลวงพ่อชาก็หันหน้ามาข้างหลัง
และจ้องดูพระหนุ่มชาวอเมริกันซึ่งเพิ่งบวชใหม่ๆ ที่นั่งอยู่ข้างๆ อาตมา
แล้วท่านก็พูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาไทย

พระฝรั่งอีกรูปหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถที่ท่านพูดภาษาไทยได้คล่อง
จึงแปลให้พระฝรั่งรูปที่หลวงพ่อพูดด้วยว่า
“หลวงพ่อบอกว่า คุณกำลังคิดถึงแฟนของคุณที่อยู่ที่แอลเอนู่น”

พระบวชใหม่ชาวอเมริกันถึงกับอ้าปากค้างด้วยความงงงัน
หลวงพ่อรู้วาระจิตของท่าน
รู้ว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ แถมยังแม่นยำเสียด้วย...

หลวงพ่อชายิ้ม แล้วพูดต่อว่า
“ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้จัดการได้ ให้เขียนจดหมายไปหาเธอ
ขอให้เธอส่งของส่วนตัวบางอย่างมาให้คุณ
เอาสิ่งที่ใกล้ชิดกับตัวเธอมากที่สุด
ที่คุณจะสามารถเอาออกมาชื่นชมได้ เมื่อคุณคิดถึงเธอ
เพื่อจะเตือนคุณให้ระลึกถึงเธอ”

พระบวชใหม่ถามด้วยความประหลาดใจว่า
“โอ้ ! พระเจ้าเราทำได้หรือครับ”

หลวงพ่อชาตอบว่า “ทำได้”

เห็นทีพระท่านก็เข้าอกเข้าใจในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กระมัง...
สิ่งที่่หลวงพ่อชากล่าวต่อไปนั้นต้องใช้เวลาอยู่หลายนาที

กว่าพระฝรั่งรูปที่เข้าใจภาษาไทยจะแปลออกมาได้
ล่ามของเราถึงกับต้องกลั้นหัวเราะให้อยู่และรวบรวมสมาธิเสียก่อน

หลวงพ่อบอกว่า...
ท่านพยายามที่่จะเอ่ยคำออกมา
พลางปาดน้ำตาที่่เล็ดจากการหัวเราะทิ้ง

หลวงพ่อบอกว่า...
“คุณควรจะขอให้เธอส่งขี้ใส่ขวดมาให้
แล้วเมื่อไหร่ที่คุณคิดถึงเธอ
คุณก็จะได้หยิบขวดขี้ของเธอออกมาสูดดม !”


พระวิสุทธิสังวรเถร (พระอาจารย์พรหมวังโส)


จาก...หนังสือ “ชวนม่วนชื่น”
โดย พระอาจารย์พรหมวังโส (ลูกศิษย์หลวงพ่อชา สุภัทโท)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา

ขอบพระคุณลานธรรมจักรhttp://www.dhammajak.net/index.php

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
Re: สูดแก้ลม ดมแก้คิดถึง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2012, 12:47:52 am »
 :13: อนุโมทนาครับพี่เล็ก
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: สูดแก้ลม ดมแก้คิดถึง
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2012, 02:01:19 pm »
ชี วิ ต กั บ ค ว า ม รั ก
ท่านเขมานันทะ (อาจารย์โกวิท เอนกชัย)

ท่านรองอธิการบดี ท่านคณาจารย์
และนักศึกษาผู้ที่สนใจในหัวข้อของธรรมบรรยายทั้งหลาย

หัวข้อบรรยายในวันนี้
คงทำความแปลกใจให้แก่ท่านผู้ฟังบ้างไม่มากก็น้อย
ถ้าว่าหัวข้อนี้บรรยายโดยผู้ที่เป็นฆราวาส
ก็คงจะไม่น่าแปลกประหลาดอะไร

แต่ถ้าผู้บรรยายเป็นบรรพชิต
หัวข้อ "ชีวิตกับความรัก"
ก็คงจะเป็นเรื่องแปลกๆ อยู่

ข้อนี้ขอทำความเข้าใจกับท่านผู้ฟังสักเล็กน้อยก่อนว่า

สิ่งที่เรียกว่า ความรัก นั้น มักไปปะปนกับสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์
เพราะไปหลงเข้าใจว่าความรักกับกามารมณ์เป็นเรื่องเดียวกัน

ซึ่งที่จริงเรื่องทางเพศนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญอยู่เหมือนกันในชีวิตของมนุษย์
ในที่นี้ขอนำท่านมาสู่เรื่องความรักที่เหนือหรืออิสระจากกามารมณ์
ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ค่อนมีใครเชื่อเสียแล้วในโลกปัจจุบัน

เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำความแปลกใจให้ท่านบ้างเล็กน้อย
ในหัวข้อนี้ที่ถูกพูดโดยบรรพชิต

แต่ถ้าท่านทั้งหลายทราบว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่แล้ว
บางทีท่านจะรู้โดยตนเองว่า ผู้ที่เป็นบรรพชิตนั่นแหละ
คือผู้ที่กำลังแสวงหาความรักที่แท้จริง

ขอให้ตั้งต้นที่ชีวิตในปัจจุบันของมนุษย์เรา ในสังคมที่กำลังสับสน
เราจะพบความจริงในชีวิตว่า เรากำลังว้าเหว่ และบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย
ไม่มีสัตว์โลกใดว้าเหว่เท่ามนุษย์ จริงอยู่เราเห็นความรื่นเริงในหมู่มนุษย์
การร้องรำทำเพลง เต้นรำ หัวร่อสนุกสนาน แต่มีความว้าเหว่อย่างลึกซึ้ง

และมนุษย์กำลังรอคอยอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะมาเติมเต็มตัวเองให้เต็ม
เพราะมนุษย์ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองนั้นยังพร่อง และกำลังรอคอย
สำหรับบางคนอาจจะรอความร่ำรวย หรือรอเงิน หรือรอเกียรติยศ
แต่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกคนต้องการสรณะหรือที่พึ่ง
ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็นชาย หรือเป็นหญิง

ทุกคนยังรู้สึกว่าตนเองพร่องหรือรอคอย
ความว้าเหว่ท่ามกลางการรอคอยนั่นแหละเกาะกินใจมนุษย์อยู่
แต่มนุษย์ฉลาดพอที่จะกลบเกลื่อนความว้าเหว่นี้ไว้ด้วยท่าทีอื่น



แต่แม้กระนั้นก็ดี ทุกคนจะต้องได้ยินเสียงกระซิบภายในตัวเองว่า
เรากำลังคอยสิ่งที่จะมาเติมเต็ม และแท้จริง
สิ่งที่รอคอยนั่นแหละคือความรัก
เรากำลังต้องการความรักเพื่อเติมชีวิตที่พร่องนี้ให้เต็ม
และการรอคอยโหยหาที่จะเติมให้เต็มนั่นแหละ
คือการแสวงหาความรักหรือที่พึ่ง

แต่สิ่งที่เรียกว่าความรัก
แม้ว่าจะเข้าใจที่พึ่งนั้นในระดับไหนก็ตามแต่สิ่งที่เรียกว่าความรัก
จะกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

การรอคอยของมนุษย์เพื่อจะให้ถึงวันเต็มเปี่ยมนั้นเอง
ได้ส่งผลเป็นความโศกเศร้าซึมในขณะที่รอ
หรือไม่ก็ให้เต็มไปด้วยความหวัง
และความหวังซึ่งจะมาถึงพร้อมกับรสหวานของชีวิต

เรารู้สึกว่า เราต้องการใครสักคนหนึ่งมาช่วยปลอบประโลมในขณะที่เราเศร้าโศก
หรือมาช่วยรื่นเริงเมื่อเราประสบโชค
เราต้องการจะร่วมกันบันเทิงกับเพื่อนมนุษย์หรือใครคนหนึ่งที่เข้าใจเรามากที่สุด

แต่เรามักจะไม่ค่อยคิดว่าเมื่อคนนั้นเข้าใจเราแล้ว
เราพยายามเข้าใจเขาให้มากที่สุดด้วย
ด้วยเหตุนี้ การแสวงหาความรักจึงเป็นปมที่สำคัญมาก
โดยเหตุที่ว่า เรากำลังแสวงหาคนอื่นมาสนับสนุนตัว
และเพื่อจะได้รักเขา ซึ่งเป็นเพียงผลตอบ หลังจากที่เขารักเรา

เมื่อเป็นเช่นนั้นการแสวงหาความรักหรือสรณะเช่นนั้นเป็นการลงทุน
มันมีข้อแม้ว่า ถ้าเธอไม่รักฉัน ฉันก็ไม่รักเธอ
ข้อนี้เราจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นความรักที่แท้จริงไม่ได้

เราต้องการใครสักคนหนึ่งมางอนง้อเรา
เราอาจจะเรียกมันว่า นี้เป็นท่าทีหรือลีลาของความรัก ที่จริงนั้นไม่ใช่

ความรักจะต้องไม่หมายถึงการพร่องอยู่ข้างใน
แล้วเพื่อจะหาตัวบุคคลอื่นมาเติมให้เต็ม
ความรักจะต้องหมายถึงความเต็มเปี่ยมและล้นออกไปสู่ผู้อื่น

เพราะฉะนั้นเองความรักจะต้องหมายถึง "การให้"
ไม่ได้หมายถึงการเรียกร้องเลย
ถ้าว่าเป็นการเรียกร้อง นั่นมิใช่ความรัก
แต่เป็นการขาดความรักอย่างรุ่นแรง
แล้วจะรักใครที่ไหนได้และจะรักใครเป็นได้เล่า

ขอบพระคุณที่มาhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=20512#wrapheader

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: สูดแก้ลม ดมแก้คิดถึง
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2012, 02:02:57 pm »
ฉะนั้นคนที่ว้าเหว่ ถึงแม้เขาจะต้องการความรัก
เขาจะเป็นนักรักไม่ได้

เพราะฉะนั้น จะต้องถามตนเองว่า
พร้อมแล้วหรือที่จะรักใคร พร้อมแล้วหรือที่จะรัก

แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าทุกคนที่เกิดมาในลู่กรีฑาแห่งชีวิตนี้กำลังว้าเหว่
กระสับกระส่ายระหกระเหิน ด้วยค่านิยมแข่งดี
หรือด้วยอะไรๆ สารพัดแวดล้อมเราอยู่
ทั้งๆ ที่เราไม่รู้ว่าความรักคืออะไร ไม่รู้จักความหมายของชีวิต
ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งแก่แล้วก็ตายไป

แต่มนุษย์เราก็ได้วิ่งฝ่าหมอกของชีวิตมา
แล้วกระทำทั้งถูกทั้งผิดต่อความรักและโหยหามันเสมอ
เราไม่รู้ว่าความรักคืออะไร ทั้งๆที่เรามีลูกหลานหลายคนแล้ว
เราไม่รู้ว่าชีวิตมีความหมายอะไร แต่เราใกล้ความตายเข้าไปทุกทีๆ

แม้กระนั้นทั้งๆ ที่มนุษย์ ไม่รู้ว่าเขากำลังต้องการอะไร และแสวงหาอะไร
แต่วิถีธรรมชาติสำหรับเด็กหนุ่มสาวของเราเพื่อเขาจะได้เรียนรู้
นั่นก็คือ ให้พวกเขาชิมรสแห่งพระธรรมผ่านทางความรัก

ความรักนั่นแหละคือพระธรรม
ความรักในที่นี้หมายถึงการหยุดกระวนกระวาย ระหกระเหิน
และสิ้นสุดความวิตกกังวลใดๆ

พระพุทธองค์ตรัสว่า

ความหวังกังวลนั้นหาใช่อะไรอื่นไม่ นั่นคือพระนิพพาน
ด้วยความสิ้นกังวล นั่นแหละคือความรัก

แม้พวกเขาจะเป็นคนกักขฬะอีกทั้งก้าวร้าวไม่ใส่ใจกับศาสนธรรม
หรือความรักใดๆ ทั้งสิ้นในแง่ของศาสนา
แต่ในที่สุดเขาเหล่านั้น จะต้องพบกับความรัก

และในวันที่พวกเขาพบกับความรักแรก
ความรู้สึกถึงความลิงโลดในใจ ความวิตกกังวลในชีวิต
เรื่องอดีตหรืออนาคตดูเหมือนจะปลาสนาการไปสิ้น
ความเศร้า ความโศกซึมหายไป ความว้าเหว่ไม่มีเหลือ
ความรู้สึกนี้เป็นอาการที่คนหนุ่มสาวสดุดความรู้สึกอันสูงสุดเข้า
พวกเขาได้ชิมรสของสิ่งหนึ่ง คือความรู้สึกที่กระวนกระวาย
เมื่อได้รับความรักตอบ แต่นั่นคือความเต็ม หรือความอิ่มใจชั่วคราว

ในท่ามกลางความสับสนเหนื่อยหน่าย
ก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาทำให้หัวใจของเราชุ่มชื่นก็คือ ความรัก





และสิ่งที่เรียกว่าความรักนี่แหละ
พวกเราทั้งหมดกำลังแสวงหา
และแม้แต่บรรพชิตก็กำลังแสวงหาอยู่
แต่ต่างระดับ ต่างความหมาย ต่างความลึกซึ้ง เท่านั้นเอง

ความรักนั้นเป็นต้นเหตุแห่งความบันดาลใจทั้งมวล
มันอาจจูงใจให้มนุษย์กระทำประโยชน์ให้มนุษยชาติ
อย่างชนิดที่มนุษย์จะลืมท่านผู้นั้นไม่ลง

ความรักบรรดาลใจให้คนหนุ่มสาวที่เคยกักขฬะ
กลายเป็นคนสุภาพอ่อนโยน
ทำให้ก่อเกิดศิลปะอันวิจิตรงดงามอย่าง ทัชมาฮาล
ที่ กษัตริย์ชาห์ เจสัน ได้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์ของชายาของพระองค์

และเมื่อคนหนุ่มสาวเริ่มต้นรักกัน
ความกักขฬะหยาบคายของเขาหายไป
ความรู้สึกเห็นใจคนชราที่ต้องยืนบนรถเมล์มาแทนที่
และเขาจะทนไม่ได้เพราะความรัก เขาต้องลุกให้คนชรา
หรือคนที่อ่อนแอกว่านั่งแทนที่เขาด้วยความรู้สึกที่โยงใยกับคู่รักของเขาเอง

ด้วยเหตุนี้ ความรักนี้
เป็นการเปลี่ยนแปลงคนหนุ่มเด็กสาวทั้งหลายไปในทางกุศลได้
เพราะฉะนั้นความรักนั่นแหละคือ ธรรมะ
และ ธรรมะนั่นแหละคือความรัก
แต่ว่ามันยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้ยิ่งๆ ขึ้นในวิถีแห่งรัก

ที่ว่าความรักเป็นเหตุแห่งความบันดาลใจ
ให้เกิดเรื่องราวอันใหญ่หลวงในโลกนี้
และเบื้องหลังของการสำนึกเปลี่ยนนิสัยสันดาน



แต่เบื้องหลังของประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ก็ย่อมมีความรักและความเกลียดชังซ่อนอยู่ข้างหลังเสมอไป
เพราะว่าความรักนั้นมันยังไม่ใช่ความจิรังยั่งยืน
ความรักที่หญิงรักชาย หรือชายรักหญิงนั้น
มันเป็นความรู้สึกอันเนื่องกับอารมณ์ชั่วแล่นเท่านั้นเอง

ถ้าผู้นั้นไม่อาจรู้ธรรมะที่สูงกว่านั้นได้แล้ว
ความรักชนิดนั้นมักกลายกลับมาเป็นความชังหรือเกิดโทษก็เป็นได้

ดูเหตุการณ์หลังจาก กษัตริย์ชาห์ เจฮัน
ได้สร้างอนุสรณ์หลังจากรักอันยิ่งใหญ่นั้นแล้ว
พระราชโอรสโอรังเซฟต้องจับพระราชบิดามากักขังไว้

เพราะความรักของพระองค์นั้นเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว
เห็นแก่ความรัก เห็นแก่ความรู้สึกของตนเอง
โดยไม่รักอีกสิ่งหนึ่งคือ มวลมนุษย์
หรือแม้แต่ประชาชนของตนเองที่เป็นดั่งลูกๆ ของพระองค์
เป็นเหตุเศรษฐกิจของประเทศทรุดโทรมลง
เพราะการทุ่มเงินสร้าง ทัชมาฮาล เพียงเพื่อเป็นอนุสรณ์รัก

ความรักนั้นมีคุณค่า แต่มองอีกแง่หนึ่งมันมีโทษพระพุทธองค์จึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย
อย่าทำสัตว์สังขารให้เป็นสิ่งรัก
เพราะว่าความพลัดพรากจากสิ่งรักเป็นความต่ำทราม

ความรักนั้นเป็นสิ่งดี
แต่ความพลัดพรากจากสิ่งรักนั้นเป็นความทรามของชีวิต

คือมันจะเป็นความระหกระเหิน เจ็บปวด
มันเป็นทุกข์เป็นโทษของความรัก
เช่นเดียวกับความสุขเมื่อมันพลัดพราก
หรือว่าสุขหรือรักนั้นจางลง โทษมักจะสำแดงออกมา
แล้วมันจะกลายเป็นความเกลียดชัง ชิงชัง

ฉะนั้นฝ่ายหนึ่งที่เคยลูบไล้ประคับประคองซึ่งกันและกัน
มันจะกลายเป็นมือที่ตบหน้าเอาได้
เมื่อรักมันแปรไปเป็นชัง ความรักจะกลายเป็นความเกลียดชังได้หรือ

แต่เราได้พบความจริงไม่ใช่หรือว่า ในช่วงหนึ่งที่รักกันดี
แต่อีกวาระหนึ่งมันกลับเป็นความเกลียด
นี่อะไรกันเล่าทั้งความรักและความชังพันกันอยู่จนดูสับสน

สิ่งที่เรียกว่าความรักนั้น มันตกอยู่ใต้อำนาจของ ไตรลักษณ์
คือความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

ถ้าว่าความรักถูกเห็นในลักษณะเช่นนี้
ท่านคงจะรู้ด้วยตัวของท่านเองว่า
สิ่งที่เรียกว่ารักนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว





คนจะรักกันได้ จะต้องตัดสินใจ
และจะต้องอาศัยความกล้าหาญ กำลังใจ
และสติปัญญาไม่ใช่น้อยเลย
ในการที่จะรักใครสักคนหนึ่งและคนทั่วไปคิดว่า

เมื่อเราจะรักกัน ไม่เห็นเกี่ยวกับความกล้าหาญ กำลังใจและปัญญา

เขาไม่รู้ว่าความรักนั้น
ที่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องเดียวกับสมาธิและวิปัสสนา

ความรักคือปีติสุขของสมาธิ
และ ในสมาธิความรักกรุณาจะปรากฎให้เห็น
ถ้ารักด้วยอำนาจแห่งความโง่เขลา อ่อนแอและฟุ้งซ่านแล้ว
ความรักนั้นคือการสะสมอุปสรรคและเป็นความทุกข์ในที่สุด

ความรักเป็นอาการปรุงแต่งของจิตใจ
จริงอยู่ เมื่อเรารัก มันปรุ่งแต่งไปในแง่ของความซาบซ่าน อิ่มเอิบ
แต่สักระยะหนึ่งมันจางลง และเราต้องปรุงขึ้นเรื่อย
แล้วเราจะต้องปรุ่งขึ้นอีก

เมื่อนานเข้า เราจะระอาต่อจิตใจของเราเอง
ที่ถูกกระตุ้นให้รัก หวงแหนเป็นห่วง
เราคิดว่าความรักคือความภาคภูมิใจ
คราวนี้เป็นความเข้าใจผิดที่ร้ายกาจ

ความรักแท้ไม่ใช่ความถูกใจ
แต่ความรักจริงนั้นคือความถูกต้อง

ความถูกใจนั่นแหละ มันทำให้ใจฟูขึ้นและเพราะความถูกใจ
มันจึงทำให้ใจฟูขึ้นและเพราะความถูกใจ
มันจึงทำให้ขัดใจได้ด้วยเมื่อไม่ได้ดังใจ

แต่ความรักจริงต้องหมายถึงความถูกต้อง
ความถูกต้องในที่นี้หมายความว่า
ถูกต้องตามจริยธรรมคุณงามความดี

เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะต้องคำนึงว่าเมื่อเกิดความรัก
เรากำลังถูกกำหนดให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง
เพราะฉะนั้น เมื่อรู้สึกว่าถูกกำหนดให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง
เราจะรับสถานะแห่งความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไรกัน

 

ขอบพระคุณที่มาhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=20512#wrapheader

ออฟไลน์ lek

  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • ****
  • กระทู้: 1724
  • พลังกัลยาณมิตร 687
    • ดูรายละเอียด
Re: สูดแก้ลม ดมแก้คิดถึง
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2012, 02:06:30 pm »
เมื่อชายหญิงรักกัน
เขาพร้อมแล้วหรือที่จะรับความเปลี่ยนแปลงจากสถานะ
ที่เคยเป็นชีวิตเดี่ยวมาเป็นชีวิตคู่
ซึ่งจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน เขาพร้อมแล้วหรือไม่

ข้อนี้ทำให้เราต้องใคร่ครวญถึง
ความหมายของความรักให้ลึกซึ้ง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจ, เกิดสติปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
เราน่าจะตั้งต้นถามคล้อยตามบทกวีของ เชคสเปียร์ ที่ว่า

ความเอ๋ยความรัก
เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มจำเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ
หรือเริ่มในสมองตรองจงดี

แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง
อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที
อย่าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี
ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย ฯ

เป็นเพียงข้อเสนอแนะของกวี ให้ท่านทั้งหลายรับฟังว่า
ความรักเกิดขึ้นอย่างไรมันเริ่มที่ใจหรือสมอง
ความรู้สึกหรือความคิด
มันถูกถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูความรักไว้ได้อย่างไร





สิ่งที่เรียกว่าความรักโดยทั่วไปนั้น
ดูๆ มันไม่คอยจะมีเหตุผล
ถ้ามีเหตุผลแล้วลองตอบคำถามนี้ดูว่าทำไมคนรูปสวย
ชายก็ได้หญิงก็ได้ ไปรักคู่ที่ขี้เหร่

แต่มันต้องมีอีกสิ่งหนึ่ง คือความบันดาลใจ
ความที่ฝ่ายหนึ่งทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง
บังเกิดความเชื่อมั่นและหายว้าเหว่ลงไปได้

สำหรับความรักที่มาเสริมอหังการของตัวนั้น
ไม่อาจจัดเป็นความรักแท้
เราอาจจะเรียกหญิงหรือชายที่เข้ามาผูกพันกับเรานั้นว่า ศรีภรรยาหรือสามี

แต่ที่จริงแล้วอาจจะเพียงเป็นผู้บำเรอ
เพื่อจะได้แผ่ขยายอำนาจของอหังการก็เป็นได้
ความที่ปราศจากธรรมะ ไม่อาจจะเป็นความรักที่แท้จริงได้

เราพบความจริงว่า ชีวิตคนปัจจุบันนี้
ถึงแม้ว่าจะมีสภาพที่เรียกกันว่าความเจริญก้าวหน้า
และมีความคิดทางปรัชญาของชีวิตอันสูงส่ง
แต่มนุษย์กลับพบความสำเร็จในชีวิตคู่น้อยลง

ครั้นเหลียวไปดูปู่ย่าตายายของเรา
กลับประสบความสำเร็จในชีวิตคู่อย่างลึกซึ้ง
ความสำเร็จนี้วัดกันที่ตรงไหน

ถ้าวัดกันที่หญิงชายคู่นั้น
ไปคู่กันในงานบอลล์ ในงานค็อกเทล งานปาร์ตี้
ว่านั่นคือความสำเร็จของชีวิตคู่ นั่นอาจเป็นมารยาสาไถยก็ได้





ดัง เฮมิงเวย์ ล้อเลียนชีวิตของชาวอเมริกันไว้ในเรื่องสั้นของเขาเรื่องหนึ่งว่า

หญิงชาย ๒ คู่ที่แต่งงานกันแล้ว
นั่งรถไฟไปขบวนเดียวกันอยู่คนละตู้
สามีภรรยาทั้งคู่ต่างทะเลาะกันไปตลอดทาง
ด่ากันไปด่ากันมา โทษกันไปโทษกันมา
เมื่อถึงเวลาอาหาร ต้องลุกไปที่ตู้เสบียง

พอไปถึง เจอกันเข้า หญิงชาย
หญิงชายทั้ง ๒ คู่ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน
ต่างคู่ต่างมีมารยาสาไถย
สามีต่างก็ยกมือโอบไหล่ภรรยาของตน
ภรรยาก็แสร้งยิ้มแย้ม ทำเป็นร่าเริงบีบเค้นเสียงหัวเราะ
เพื่อลวงเพื่อนว่าเราสำเร็จในคู่ชีวิต

เมื่อกินอาหารเสร็จ ยิ้มแย้มหัวเราะกัน
เสร็จแล้วกลับไปนั่งที่ตู้ของตัวๆ ต่างคู่ต่างก็ทะเลาะกันต่อ

นี่คือเรื่องราวของชีวิตที่เราพยายามที่จะลวงกันและกัน
ว่านี่คือการประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ของเรา

ที่จริงมันมีเพียงรูปแบบและพยายามที่จะมีมารยาสาไถย
ดูเหมือนว่าพวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดีนั่น
ดูเหมือนว่าชีวิตทางบ้านหาดีไปกว่าผู้มีสุขภาพจิตไม่ดีเลย
แต่ดูเหมือนเที่ยวสอนเพื่อนอยู่ทั้งเมืองว่าชีวิตควรจะเป็นอย่างนี้
ควรจะมีสุขภาพจิตอย่างนั้น

แต่พอกลับมาถึงบ้านของตัวเอง
ก็ทะเลาะกับสามีหรือทะเลาะกับคนใช้
หรือถึงขนาดเกลียดชัง อาฆาตพยาบาทอิจฉากันก็มี
นี่สุขภาพจิตเสื่อมเอามากทีเดียว

เพราะฉะนั้นขอให้เลี้ยวดูความสำคัญของชีวิตคู่ของบรรพบุรุษของเราให้ดี
ที่เราบ่นว่าเป็นคนครึคระนั่นแหละ
แก่เฒ่าเข้า ท่านจูงมือกันไป สามีเดินหน้า ภรรยาเดินหลัง
ไปวัดและหลังจากชีวิตกามารมณ์มันจืดลง
มันเหลือแต่เมตตาปรานีกันและกัน เหมือนพี่ชายกับน้องสาว





คราวนี้ขอให้ดูว่า ปรัชญาระบบไหนประสบความสำเร็จในชีวิตคู่

เราก็พบว่าความสำเร็จที่เขาเอามาพูดกันนั้น
เป็นความสำเร็จที่เขาเอามาพูดกันนั้น
เป็นความสำเร็จจอมปลอม

แต่จะพบว่าย่าทวดของเราประสบความสำเร็จจริง
โดยที่ว่าท่านอาจจะไม่มีปรัชญาของความรัก
ท่านก็ถูกจับให้แต่งงานกันชนิดคลุมถุงชน
ไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ ถูกจับให้แต่งงานกัน
แล้วค่อยๆ รักเห็นใจกันไปเอง
เพราะต่างฝ่ายต่างมีธรรมะ มีคุณธรรมประจำใจ

ฉะนั้น ความรักมันเกิดที่ไหน เกิดที่ตาเห็น
เมื่อแรกพบหรือว่ามันเกิดเพราะคุณธรรมกันแน่
ข้อนี้ถ้าท่านระลึกถึงพระพุทธองค์แล้ว
บางทีอาจจะคิดอะไรขึ้นมาได้

พระพุทธองค์ท่านตรัสเรื่องบุพเพสันนิวาส

ท่านตรัสว่า

ความรักที่แท้จริงนั้น
ต้องเหมือนกับดอกอุบลกับน้ำ
ดอกบัวกับน้ำมีส่วนสัมพันธ์กัน
น้ำลึกเท่าใด สายบัวก็มีส่วนสูงขึ้นเท่านั้น ควบคู่กันไป



จึงมีภาษิตว่า

สามีเป็นที่ปรากฎแห่งภรรยา ควันเป็นที่ปรากฎแห่งไฟ
พระราชาเป็นที่ปรากฎแห่งแว่นแคว้น
สามีเป็นที่ปรากฎแห่งภรรยาหมายความว่า ต้องได้สัดได้ส่วน
ต้องมี ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา
ต้องมีอะไรๆ ที่จะต้องมีความรู้สึกเข้าอกเข้าใจกัน

ตอนนี้ขอสรุปทีหนึ่งก่อนว่า

ความรักที่แท้จริงนั้นจะต้องไม่ได้หมายถึงความถูกใจ
เพราะความถูกใจของคนทั่วไปนั้นมันเป็นการเสริมอหังการของตัว

และถ้าไม่ถูกใจ มือที่เคยเช็ดน้ำตาให้
กลับเป็นมือที่ทำให้น้ำตาร่วง
เสียงที่เคยปลอบประโลมให้หายเศร้า
กลับยิ่งทำให้โศกหรือเจ็บใจช้ำใจซ้ำเข้าไปอีก

เพราะว่าความรักชนิดนั้นด้วยการลดอหังการลง
ด้วยการรับใช้ไม่ใช่ด้วยการเสนอเรียกร้องให้ผู้อื่นรับใช้



ตัวความรู้สึกรักนั้นไม่ใช่แต่เพียงแต่ตาได้เห็น
ก็ชอบหูได้ยินเสียงเพราะๆ ก็รัก
หรือมีทิฏฐิเหมือนเราในเรื่อง
การมีความรุนแรงทางการเมืองชนิดล้างผลาญเหมือนกัน
เราก็ชอบ แต่เป็นช่วงยาวนานแห่งความประทับใจ

และการแต่งงาน หรือชีวิตคู่
จะไม่ห่างจากโบสถ์ห่างธรรมะออกไปทุกทีๆ

แต่เดิมนั้น หญิงชายจะรักกัน
เขาต้องไปหาพระ เพื่อเป็นสักขีพยาน
ต้องมีการอธิษฐานใจ ต้องมีการหมั้น
มีการลองน้ำใจกันดู ทดสอบกันดูและมีอะไรมากมาย
เพื่อเป็นหลักประกันบางทีอาจจะหมั้นกันตั้งแต่เด็ก
ให้ฝ่ายพ่อแม่ของแต่ละฝ่ายฝึกฝนนักกีฬารักของตัว
ที่จะลงวิ่งในลู่กรีฑาแห่งชีวิต

หาไม่เช่นนั้นแล้ว ชีวิตที่ปราศจากการถูกฝึกฝนมาอย่างถูกต้อง
จะกลับกลายเป็นลงสนามเพื่อประหัตประหารซึ่งกันและกัน
เพราะว่าความรักที่ถูกเข้าใจผิด
ว่าเป็นเพียงเรื่องเพศกลับกลายเป็นเรื่องกามารมณ์ไปโดยถ่ายเดียว

ว่าไปแล้วกามารมณ์นั้นหาใช่อะไรอื่นไม่
มันอาจกลายเป็นการประทุษร้ายซึ่งกันและกันด้วยอวัยวะเพศของตัว
กามนี้เป็นเรื่องประทุษร้ายซึ่งกันและกันโดยสมัครใจ
แล้วก็มีรสแห่งกาม หรือสินบน หรือค่าจ้างของธรรมชาติ
เป็นเครื่องล่อเท่านั้นเอง

กามารมณ์นี้ถ้าไม่มีรสของมันแล้ว
ไม่มีใครทำ มันเจ็บปวดมืดมัว เร่าร้อน
เพราะฉะนั้นเมื่อธรรมชาติต้องการให้มนุษย์ยังเผ่าพันธุ์ไว้
จึงจ้างหรือให้สินบนด้วยอัสสาทะ คือรสอร่อยของมัน

ถ้าไม่มีสินบน มนุษย์จะไม่ทำหน้าที่นั้น
และมนุษย์เริ่มคดโกง หักหลังต่อนายจ้างของตัว
ความต้องการตักตวงรสอร่อยจากเนื้อหนังซึ่งกันและกันอย่างเดียวนั้น
ไม่เป็นการกระทำที่เป็นอริยะ
ทั้งอาจนำไปสู่หายนะได้ในที่สุดแม้ว่าความรักยังเกี่ยวข้องกับเนื้อหนัง
จะต้องเกี่ยวข้องด้วยความรู้ที่ถูกต้อง

คือต้องมี วิปัสสนา ต้องรู้จักธรรมะ
และรู้ว่าเนื้อหนังหรือเรื่องเพศนั้นมันเป็นของชั่วคราว
และแม้เป็นของชั่วคราวนี้แหละ


ขอบพระคุณที่มาhttp://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=20512#wrapheader