คลังธรรมปัญญา > พรรณาอักษร

กระโถน ส้วม อยากระบาย เขียน บ่นอะไร เชิญ เอาให้โล่ง โปร่งไปสิบทิศ

<< < (86/137) > >>

ซุปเปอร์เบื๊อก:

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย

บุคคลผู้มีความหลุดพ้นชอบ

ย่อมสำรอกความหลุดพ้นผิดได้

และสำรอกอกุศลธรรมอันลามกมิใช่น้อย

ที่เกิดขึ้นเพราะความหลุดพ้นผิดเป็นปัจจัยได้

ส่วนกุศลธรรมมิใช่น้อย ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์

เพราะความหลุดพ้นชอบเป็นปัจจัย ฯ


             ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ยาสำรอกอันเป็นอริยะนี้แล ย่อมสำเร็จผลอย่างเดียว

ไม่เสียผล ที่สัตว์ทั้งหลายผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา

อาศัยแล้ว ย่อมพ้นจากความเกิด

ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา ย่อมพ้นจากความแก่

ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมพ้นจากความตาย

ผู้มีความโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส

และความคับแค้นใจเป็นธรรมดา

ย่อมพ้นจากความโศก ความร่ำไร ความทุกข์

ความโทมนัส และความคับแค้นใจได้ ฯ


จบสูตรที่ ๙

เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ บรรทัดที่ ๕๐๔๖ - ๕๐๙๐. หน้าที่ ๒๑๗ - ๒๑๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=24&A=5046&Z=5090&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=109

ซุปเปอร์เบื๊อก:
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
สังยุตตนิกาย นิทานวรรค

อวิชชาปัจจยสูตรที่ ๑

             [๑๒๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
 
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร

เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ

ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้

ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ


             [๑๒๙] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว

ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

ชรามรณะเป็นไฉน และชรามรณะนี้เป็นของใคร

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก

ดูกรภิกษุ ผู้ใดพึงกล่าวว่า ชรามรณะเป็นไฉน

และชรามรณะนี้เป็นของใคร หรือพึงกล่าวว่า

ชรามรณะเป็นอย่างอื่น และชรามรณะนี้เป็นของผู้อื่น

คำทั้งสองของผู้นั้นมีเนื้อความอย่างเดียวกัน

ต่างแต่พยัญชนะเท่านั้น ดูกรภิกษุ เมื่อมีทิฐิว่า

ชีพก็อันนั้น ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี

หรือว่าเมื่อมีทิฐิว่า ชีพอย่างหนึ่งสรีระอย่างหนึ่ง

ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี


ดูกรภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง

ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้นดังนี้ว่า เพราะชาติ

เป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ ฯ

ซุปเปอร์เบื๊อก:
             [๑๓๐] ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ชาติเป็นไฉนและชาตินี้เป็นของใคร

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก

ดูกรภิกษุ ผู้ใดพึงกล่าวว่า ชาติเป็นไฉน

และชาตินี้เป็นของใคร หรือพึงกล่าวว่า

ชาติเป็นอย่างอื่น และชาตินี้เป็นของผู้อื่น

คำทั้งสองของผู้นั้น มีเนื้อความอย่างเดียวกัน

ต่างแต่พยัญชนะเท่านั้น


ดูกรภิกษุ เมื่อมีทิฐิว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น

ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี

หรือว่าเมื่อมีทิฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง

ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี

ดูกรภิกษุ ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง

ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้น

ดังนี้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ ฯ

ซุปเปอร์เบื๊อก:
             [๑๓๑] ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภพเป็นไฉนและภพนี้เป็นของใคร

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก

ดูกรภิกษุ ผู้ใดพึงกล่าวว่า ภพเป็นไฉน

และภพนี้เป็นของใคร หรือพึงกล่าวว่า

ภพเป็นอย่างอื่น และภพนี้เป็นของผู้อื่น

คำทั้งสองของผู้นั้น มีเนื้อความอย่างเดียวกัน

ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น


ดูกรภิกษุ เมื่อมีทิฐิว่า ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น

ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี

หรือเมื่อมีทิฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง

ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี

ดูกรภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง

ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้น ดังนี้ว่า

เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ...

เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ...

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ...

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ...

เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ...

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ...

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ...

เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ฯ

ซุปเปอร์เบื๊อก:
             [๑๓๒] ภิกษุรูปหนึ่งทูลถามว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สังขารเป็นไฉน

และสังขารนี้เป็นของใคร

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ตั้งปัญหายังไม่ถูก

ดูกรภิกษุ ผู้ใดพึงกล่าวว่า สังขารเป็นไฉน

และสังขารนี้เป็นของใคร หรือพึงกล่าวว่า

สังขารเป็นอย่างอื่น และสังขารนี้เป็นของผู้อื่น

คำทั้งสองของผู้นั้น มีเนื้อความอย่างเดียวกัน

ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น


ดูกรภิกษุ เมื่อมีทิฐิว่าชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น

ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี

หรือเมื่อมีทิฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง

ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี


ดูกรภิกษุ ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง

ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้น ดังนี้ว่า

เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯ


             [๑๓๓] ดูกรภิกษุ ทิฐิไม่ว่าชนิดใดชนิดหนึ่ง

ที่เป็นข้าศึก อันบุคคลเสพผิด ส่ายหาไปว่า

ชราและมรณะเป็นไฉน และชรามรณะนี้เป็นของใคร

หรือว่าชรามรณะเป็นอย่างอื่น

และชรามรณะเป็นของผู้อื่น ว่าชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น

หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง

ทิฐิเหล่านั้นทั้งสิ้น อันอริยสาวกนั้นละได้แล้ว

ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน

ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา

เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ ฯ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version