คลังธรรมปัญญา > พรรณาอักษร
กระโถน ส้วม อยากระบาย เขียน บ่นอะไร เชิญ เอาให้โล่ง โปร่งไปสิบทิศ
ซุปเปอร์เบื๊อก:
[๑๓๔] ดูกรภิกษุ ทิฐิไม่ว่าชนิดใดชนิดหนึ่ง
ที่เป็นข้าศึก อันบุคคลเสพผิด ส่ายหาไปว่า
ชาติเป็นไฉน และชาตินี้เป็นของใคร
หรือว่าชาติเป็นอย่างอื่น และชาตินี้เป็นของผู้อื่น
ว่าชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง
สรีระอย่างหนึ่ง ทิฐิเหล่านั้นทั้งสิ้น
อันอริยสาวกนั้นละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
กระทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี
มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่มีเหลือ ฯ
ซุปเปอร์เบื๊อก:
[๑๓๕] ดูกรภิกษุ ทิฐิไม่ว่าชนิดใดชนิดหนึ่ง
ที่เป็นข้าศึก อันบุคคลเสพผิด ส่ายหาไปว่า
ภพเป็นไฉน และภพนี้เป็นของใคร หรือว่าภพเป็นอย่างอื่น
และภพนี้เป็นของผู้อื่น ว่าชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น
หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ทิฐิเหล่านั้นทั้งสิ้น
อันอริยสาวกนั้นละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
กระทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี
มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ ...
อุปาทานเป็นไฉน ...
ตัณหาเป็นไฉน ...
เวทนาเป็นไฉน ...
ผัสสะเป็นไฉน ...
สฬายตนะเป็นไฉน ...
นามรูปเป็นไฉน ...
วิญญาณเป็นไฉน ... ฯ
[๑๓๖] ดูกรภิกษุ ทิฐิไม่ว่าชนิดใดชนิดหนึ่ง
ที่เป็นข้าศึก อันบุคคลเสพผิด ส่ายหาไปว่า
สังขารเป็นไฉน และสังขารนี้เป็นของใคร
หรือว่าสังขารเป็นอย่างอื่น และสังขารนี้เป็นของผู้อื่นว่า
ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง
สรีระอย่างหนึ่ง ทิฐิเหล่านั้นทั้งสิ้น อันอริยสาวกนั้นละได้แล้ว
ตัดรากขาดแล้ว กระทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน
ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ ฯ
ซุปเปอร์เบื๊อก:
อวิชชาปัจจยสูตรที่ ๒
[๑๓๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ
[๑๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงกล่าวว่า
ชรามรณะเป็นไฉน และชรามรณะนี้เป็นของใคร
หรือพึงกล่าวว่า ชรามรณะเป็นอย่างอื่น และชรามรณะ
นี้เป็นของผู้อื่น คำทั้งสองของผู้นั้น มีเนื้อความอย่างเดียวกัน
ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น เมื่อมีทิฐิว่า ชีพก็อันนั้น
สรีระก็อันนั้น ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี
หรือเมื่อมีทิฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง
ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง
ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้น ดังนี้ว่า
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ ฯลฯ
ชาติเป็นไฉน ...
ภพเป็นไฉน ...
อุปาทานเป็นไฉน ...
ตัณหาเป็นไฉน ...
เวทนาเป็นไฉน ...
ผัสสะเป็นไฉน ...
สฬายตนะเป็นไฉน ...
นามรูปเป็นไฉน ...
วิญญาณเป็นไฉน ... ฯ
ซุปเปอร์เบื๊อก:
[๑๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงกล่าวว่า
สังขารเป็นไฉน และสังขารนี้เป็นของใคร หรือพึงกล่าวว่า
สังขารเป็นอย่างอื่น และสังขารนี้เป็นของผู้อื่น
คำทั้งสองของผู้นั้น มีเนื้อความอย่างเดียวกัน
ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น เมื่อมีทิฐิว่า ชีพก็อันนั้น
สรีระก็อันนั้น ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี
หรือเมื่อมีทิฐิว่า ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง
ความอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง
ไม่ข้องแวะส่วนสุดทั้งสองนั้น ดังนี้ว่า
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ฯลฯ
[๑๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิฐิไม่ว่าชนิดใดชนิดหนึ่ง
ที่เป็นข้าศึก อันบุคคลเสพผิด ส่ายหาไปว่า ชรามรณะเป็นไฉน
และชรามรณะเป็นของใครหรือว่าชรามรณะเป็นอย่างอื่น
และชรามรณะนี้เป็นของผู้อื่น ว่าชีพก็อันนั้นสรีระก็อันนั้น
หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ทิฐิเหล่านั้นทั้งสิ้น
อันอริยสาวกนั้นละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
กระทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี
มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ ฯ
ซุปเปอร์เบื๊อก:
[๑๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิฐิไม่ว่าชนิดใดชนิดหนึ่ง
ที่เป็นข้าศึก อันบุคคลเสพผิด ส่ายหาไปว่า ชาติเป็นไฉน
และชาตินี้เป็นของใคร หรือว่าชาติเป็นอย่างอื่น
และชาตินี้เป็นของผู้อื่น ว่าชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น
หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ทิฐิเหล่านั้นทั้งสิ้น
อันอริยสาวกนั้นละได้แล้วตัดรากขาดแล้ว
กระทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี
มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ ฯลฯ
ภพเป็นไฉน ...
อุปาทานเป็นไฉน ...
ตัณหาเป็นไฉน ...
เวทนาเป็นไฉน ...
ผัสสะเป็นไฉน ...
สฬายตนะเป็นไฉน ...
นามรูปเป็นไฉน ...
นามรูปเป็นไฉน ...
วิญญาณเป็นไฉน ... ฯ
[๑๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิฐิไม่ว่าชนิดใดชนิดหนึ่ง
ที่เป็นข้าศึก อันบุคคลเสพติด ส่ายหาไปว่า สังขารเป็นไฉน
และสังขารนี้เป็นของใคร หรือว่าสังขารเป็นอย่างอื่น
และสังขารนี้เป็นของผู้อื่น ว่าชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น
หรือว่าชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง ทิฐิเหล่านั้นทั้งสิ้น
อันอริยสาวกนั้นละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว
กระทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี
มีอันไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ ฯ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ บรรทัดที่ ๑๕๙๕ - ๑๖๖๗. หน้าที่ ๖๕ - ๖๘.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=16&A=1595&Z=1667&pagebreak=0
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version