ผู้เขียน หัวข้อ: ‘เพชร’ อัญมณีครองโลก เลอค่าอมตะนิรันดร์กาล  (อ่าน 1181 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
CLICK สุดสัปดาห์ : ‘เพชร’ อัญมณีครองโลก เลอค่าอมตะนิรันดร์กาล
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน    
10 มีนาคม 2555 02:58 น.



‘เพชร’ อัญมณีเลอค่า ที่ผู้คนอยากมีเอาไว้ครอบครองมากที่สุดในโลก เพราะมีความสง่าราศรีดูดีกว่าทองคำ เพชร จึงเป็นอัญมณีที่ผูกโยงอยู่กับการเคลื่อนไหวของชนชั้นนำของโลก ของประเทศต่างๆ และอยู่ในแวดวงไฮโซซิตี้และเซเลบริตี้ที่ร่ำรวยอย่างแท้จริง
       
       หลายคนอาจจะเกิดจินตภาพที่แตกต่างกันไป บางคนนึกถึงความร่ำรวย บางคนนึกถึงอำนาจ บางคนก็นึกถึงยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่บรรดาเศรษฐีทั้งหลายจึงมักนิยมมีเพชรมีพลอยอยู่ในครอบครอง ซึ่งบางครั้งก็นำเรื่องยุ่งนากมาให้อย่างไม่น่าเชื่อ
       
       อย่างล่าสุด มาเรียม อาซิซ อดีตพระชายาในองค์สุลต่านแห่งบรูไน ได้กล่าวหาบอดีการ์ดหญิงคนเก่าของเธอว่า ขโมยเครื่องเพชรหายาก มูลค่า 12 ล้านปอนด์ หรือกว่า 580 ล้านบาทไปขาย โดยแอบเอาของปลอมมาเปลี่ยนแทน รวมถึงกำลังดำเนินการฟ้องร้องอีกศาลหนึ่ง เพื่อทวงแหวนสีฟ้า และสีเหลืองคืนจากผู้รับซื้อ ซึ่งคาดว่าน่าจะซื้อในเจนีวา สวิสเซอร์แลนด์
       
       บ้างก็นำมาสู่ประเด็นของพิพาทระหว่างประเทศ เช่นกรณีของนางเอกสาวอินเตอร์ นาโอมิ แคมป์เบลล์ ที่มีข่าวว่าจู่ๆ เธอก็รับเพชรสีเลือด จาก ชาร์ลส์ เทเลอร์ อดีตประธานาธิบดีประเทศไลบีเรีย จนต้องรีบออกมาปฏิเสธโดยด่วนว่า ไม่เคยได้รับ ไม่เคยข้องเกี่ยว
       
       เพราะอย่างที่รู้ว่า เพชรสีเลือดหรือเพชรสงครามนั่นมีที่มาจากความขัดแย้งในประเทศเซียร์ราลีโอน ที่รัฐบาลคับให้ประชาชนทำงานในเหมืองอย่างหนัก จนคนรุ่นใหม่ทันไม่ไหวรวมกลุ่มก่อการกบฏโค่นล้มรัฐบาล จนกลายเป็นสงครามกลางเมืองและมีการปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมจนคนตายมากกว่า 20,000 คนและมีผู้พิการมากกว่าแสนชีวิต
       
       ส่วนของเมืองไทย เท่าที่เห็นๆ ก็คงจะเป็นการที่นักการเมืองผู้หนึ่งไปล้อเลียนภริยาของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า ‘ตู้เพชรเคลื่อนที่’ จนอดีตขงเบ้งแห่งกองทัพน้อยใจของลาออกจากตำแหน่ง หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างท่านผู้หญิงบุนรานี ของสมเด็จฯ ฮุนเซน แห่งกัมพูชา ก็เป็นโจษจันกันหนักหนาไปทั่วโลกว่า เธอครอบครองเพชรในระดับที่ไม่ธรรมดาเลย
       
       ด้วยเหตุนี้เอง ทันทีที่มีข่าวคราวเกี่ยวกับเพชร ไม่ว่าจะเป็นการพบเพชรเม็ดยักษ์สีชมพูน้ำงามขนาด 12.76 กระรัตที่ประเทศออสเตรเลีย หรือข่าวการประมูลเพชรทรงรูปเพชร ‘โบ เดอ ซองซี’ เพชรเก่าแก่อายุกว่า 400 ปี โดยตกทอดมาแล้วหลายราชวงศ์ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ ฯลฯ ในเดือนพฤษภาคม 2555 ซึ่งว่ากันว่า ราคาจะสูงลิ่วถึง 2-4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 60-120 ล้านบาท จึงกลายเป็นข่าวดังระดับโลก ที่ไม่สำนักข่าวเล็กหรือใหญ่จะต้องนำเสนอทั้งสิ้น
       
       จากปรากฏการณ์ระหว่างอัญมณีที่เรียกว่า ‘เพชร’ กับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ นี้เอง ทำให้หลายคนพอจะคาดเดาได้ว่า ทั้งคู่คงมีความสัมพันธ์ในระดับไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่จะเป็นอะไรนั้น คงต้องพิสูจน์กัน!!!
       
       เปิดสัมพันธ์ ‘เพชร’ กับ ‘คน’
       
       ในทางหนึ่งสังคมอาจจะเรียกรู้ว่า เพชรนั้นเป็นวัตถุที่มีความแข็งมากที่สุดในโลก แต่อีกมุมหนึ่งเพชรก็ยังเป็นเครื่องประดับที่คนทั่วโลกใฝ่ฝันจะครอบครองเช่นกัน เพราะในสมัยอดีตเชื่อกันว่า เพชรเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจที่ป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ และมักจะถูกใช้เป็นเครื่องรางมากกว่าการเป็นเครื่องประดับ ฉะนั้นผู้ชายนิยมใส่เพชรมากกว่าผู้หญิง ขณะที่บางประเทศ เช่น อินเดีย ซึ่งมีเพชรอยู่มากมายกันเต็มไปหมด ก็มักจะเป็นเพชรเป็นสัญลักษณ์ในการบูชาเทพเจ้าของศาสนาพราหมณ์มากกว่า เช่น นำเพชรไปทำเป็นพระเนตรของเทพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับวัฒนธรรมของอัญมณีของแต่ละชาติ เช่น ประเทศจีนก็จะนิยมหยกมากเป็นพิเศษ ส่วนประเทศญี่ปุ่นก็จะนิยมไข่มุก หรือชาวอินเดียนแดงก็จะนิยมเทอร์ควอยซ์สีฟ้า เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งท้องฟ้า เป็นเหมือนลมหายใจและจิตวิญญาณของชีวิต
       
       แต่การที่เพชรถูกทำให้เป็นเครื่องประดับนั้น มีอิทธิพลสำคัญมาจาก ‘อังกฤษ’ โดยเฉพาะในยุคของการล่าอานานิคม ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 โดย ดร.สุมาลี เทพโสพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันอัญมณีวิทยา (ประเทศไทย) อธิบายว่า เพชรเม็ดโตๆ ซึ่งประดับตามมงกุฎหรือเครื่องประดับของเจ้านายยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ ส่วนใหญ่นั้นมีที่มาจากประเทศอินเดียทั้งสิ้น
       
       “เพชรมีค่านานมาแล้ว โดยเฉพาะอินเดียจะมีเพชรเยอะมาก สมัยก่อนเวลาเขาขุดมาเจอก็จะเอาไปใส่ตามตาของพระพุทธรูปหรือเทพเจ้าพราหมณ์ เพราะฉะนั้นพวกนี้ก็จะพระเนตรโตๆ ใหญ่ๆ แต่พออังกฤษเข้ามายึดอินเดีย ก็ไปเจอเพชรพวกนี้ก็เลยให้คนอินเดียแงะออกมา แล้วส่งกลับประเทศ แล้วเอากลับไปใส่ในมงกุฎ หรือเสื้อคลุมบ้าง และตั้งแต่นั่นมาคนก็เริ่มที่จะหาเพชรมากขึ้น เรียกว่าพอๆ กับหาทองคำนั่นเอง”
       
       เพชรแบบไหนถึงจะมีค่า
       
       คราวนี้ก็มีถึงคำถามสำคัญกันแล้ว เพราะเพชรทั่วโลกนั่นมีเป็นร้อยเป็นพันแบบ แต่เพชรที่ถือว่ามีค่ามหาศาลนั้นอยู่จำกัดมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องมีองค์ประกอบพิจารณาคุณค่าของเพชรแต่ละเม็ดด้วย โดย ดร.สุมาลีได้อธิบายหลักเกณฑ์ที่ใช้ ว่าหลักๆ มีอยู่ 4 ข้อด้วยกัน คือ
       
       ‘สี’ โดยทั่วไปแล้ว เพชรที่นิยมเล่นในท้องตลาดทั่วไปนั่น จะเป็นเม็ดสีขาวเป็นหลัก หรือบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ก็ทำสีเทียมขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น สีชมพู สีน้ำเงิน หรือสีเขียว ซึ่งอยู่ในความต้องการของตลาด เพราะฉะนั้นเพชรที่สีตามธรรมชาติจริงๆ จึงมีน้อยมาก เพราะฉะนั้นจึงอาจจะบอกได้เลยว่า เพชรเม็ดงามๆ สีสวยๆ นั่นอยู่ในมือของใครบ้าง
       
       ‘ความสะอาด’ เพชรนั้นเกิดจากสารประกอบของคาร์บอน ซึ่งอาจจะมีธาตุตัวอื่นเจือปนขึ้นมา ทำให้เกิดสี เช่นไนโตรเจนทำให้เกิดสีเหลือง หรือโบรอนทำให้เกิดสีฟ้า เพราะฉะนั้น ยิ่งเพชรเม็ดไหนที่บริสุทธิ์ก็ยิ่งแพงมาก อย่างเพชรสีขาวหากไม่มีสีใดๆ เจือปน ก็จะแพงมากๆ เพราะถือเป็นเพชรที่บริสุทธิ์ ซึ่งมีอยู่น้อยมากๆ ส่วนเพชรที่เป็นสี หากมีตำหนิน้อยที่สุดก็ยิ่งแพง อย่างที่ออสเตรเลียซึ่งเจอเพชรสีชมพูเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่มีตำหนิ ดังนั้นที่จะได้ราคาก็ต้องมีสีชมพูเข้มมากๆ ราคาก็สูงกว่าเข้มน้อย
       
       ‘ขนาด’ แน่นอนว่า เพชรหากมีขนาดใหญ่ราคาก็ยิ่งสูงขึ้นโดยปริยาย ประกอบกับทุกวันนี้เพชรเม็ดใหญ่ๆ ในตลาดถือว่ามีน้อยมาก เพราะแม้แต่เพชรเล็กๆ ราคาก็สูงมาก ดังนั้นหากเม็ดโตๆ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกันเลย
       
       ‘ประวัติ’ อย่างที่กล่าวต้องแต่แรกว่า เพชรมักจะอยู่กับคนมียศ มีตำแหน่ง บางคนเป็นสมาชิกราชวงศ์ บ้างก็ดาราที่มีชื่อเสียง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อราคาทั้งสิ้น
       
       นอกจากนี้ก็ยังมีประเด็นในเรื่องของการออกแบบ การเจียระไน รวมไปถึงวัตถุที่เพชรนั้นเข้าไปอาศัยอยู่อย่างสร้อยคอ แหวน หรือแม้แต่มงกุฎ
       
       โดยเพชรที่ถือมีมูลค่าและน้ำงามมากที่สุดของโลก มีชื่อว่า The Unnamed Brown หรือ The Golden Jubilee (เพชรกาญจนาภิเษก) เป็นเพชรสีน้ำตาล หนัก 545.67 กะรัต ถูกพบที่เหมืองพรีเมียร์ ประเทศแอฟริกาตอนใต้ ในปี 2528 ต่อมาเพชรเม็ดนี้ถูกนำมาแสดงในงานบีโอไอแฟร์ ที่แหลมฉบัง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงานเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสพระราชพิธีกาญจนาภิเษก หรือครองราชย์ครบ 50 พรรษา ก่อนจะมีการทูลเกล้าฯ ถวายในปี 2540
       
       ส่วนอันดับรองลงมานั่นก็คือ The Cullinan I หรือที่รู้จักในชื่อของดาวแห่งแอฟริกา หนัก 530.20 กะรัต เพชรนี้ถูกนำมาประดับมงกุฎพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดแห่งอังกฤษ โดยปัจจุบันถูกแสดงว่าคู่กับ The Cullinan II ซึ่งประดับไว้ที่มงกุฎ The Imperial State Crown of Great Britain โดยว่ากันว่ามูลค่าเพชรเม็ดแรกอยู่ที่ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 120,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
       
       เพชร ‘ครองโลก’
       
       เมื่อเพชรเป็นของที่มูลค่ามหาศาลเช่นนี้ สิ่งที่ตามก็คือ การต่อยอดการด้านธุรกิจ ซึ่งต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า ทุกวันนี้ตลาดเพชรของโลกไม่ใช่ธรรมดาเลย
       
       เอาง่ายๆ ข้อมูลจาก ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เคยระบุไว้ว่า ในปี 2553 ทั้งแอฟริกากลางและใต้ แคนนาดา อินเดีย รัสเซีย บราซิล และออสเตรเลีย ส่งออกเพชรรวมกัน 130 ล้านกะรัต รวมมูลค่ามากกว่า 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา และมีแนวโน้นที่จะเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ
       
       ซึ่งประเทศที่กำลังจะมาแรงแซงโค้ง ในการนำเพชรเข้าประเทศก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นอนาคตเบอร์ 1 ของโลก อย่าง ‘จีน’ นั่นเอง
       
       โดย ดร.สุมาลี อธิบายว่า ตอนนี้กำลังเรืองทางด้านเศรษฐกิจอย่างมาก ทำให้มีกำลังซื้อทั้งเพชรและทอง และลักษณะการซื้อก็มักจะซื้อแต่เม็ดใหญ่ๆ ไว้เก็บเป็นสมบัติ ซึ่งตอนนี้ตามท้องตลาดหายากมากแล้ว เพราะมีแต่เม็ดเล็กๆ ซึ่งในประเทศอื่นๆ นั้นนิยมจะซื้อเก็บไว้ เพราะนอกจากจะหาง่ายกว่า ยังเหมาะกับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อในปัจจุบันนี้ด้วย
       
       “ต้องยอมรับว่า วัฒนธรรมของอเมริกาเข้าไปมีบทบาทมากขึ้น ทำให้คนจีนเปลี่ยนภาพพจน์ คือเดิมจากที่เวลาจะแต่งงานก็จะเอาทองไปหมั้นหมาย แต่เดี๋ยวนี้คนมีเงินจะต้องเพชรแทน เพื่อที่จะได้รู้ว่า เขามีกำลังซื้อเยอะ หรือบ้านเขามีเงิน ทำให้เพชรขายดิบขายดี”
       
       เช่นเดียวกับเมืองไทยที่ทุกวันนี้ที่รับกระแสเรื่องเพชรมาโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นคนมีฐานะดีหรือฐานะปานกลางก็ตาม อย่างงานแต่งงาน ตอนนี้อาจจะเรียกว่าได้ แทบไม่มีงานไหนไม่มีเพชรมาเกี่ยวข้อง
       
       และยิ่งกับคนมีฐานะด้วยแล้ว เพชรก็ถือว่าเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะได้อย่างดีเข้าไปใหญ่ แถมดีไม่ดียังเป็นเครื่องยกสถานภาพทางสังคมอีกต่างหาก อย่างข้อมูลในนิตยสาร Positioning ฉบับเดือนมิถุนายน 2548 ที่เล่าถึงกูรูเพชรเมืองไทยที่ชื่อ ชูชัย ชัยฤทธิเลิศ ที่พลิกตัวเองจากพ่อค้าโนเนมให้กลายเป็นเศรษฐีค้าเพชรได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี
       
       เพราะเขาสามารถเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้แก่เพชรในมือได้ ทั้งในแง่การดีไซน์ ตลอดจนความหายากของเพชร และเมื่อประสบความสำเร็จ เขาก็เริ่มปรากฏตัวอยู่ในงานสังคมไฮโซทั้งหลาย รวมไปถึงหน้าจอโทรทัศน์อย่างต่อเนื่อง จนอาจจะเรียกว่าทุกวันนี้ไม่มีใครไม่รู้จักชูชัยก็ว่าได้
       
       หรือแม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่หลังไปเร่ร่อนอยู่ตามมุมต่างๆ ของโลก ก็มีข่าวคราวของความพยายามโชว์ความร่ำรวยของตัวเอง ด้วยการประกาศทำธุรกิจเหมืองเพชรที่ประเทศสวาซิแลนด์ ในทวีปแอฟริกา แต่ทว่าทำไปทำมาดูเหมือนประเด็นนี้คนก็ยังตั้งข้อสงสัยว่า อดีตผู้นำทำจริง หรือแค่โม้กันแน่? จนสุดท้าพี่ชายนายกฯ คนปัจจุบันถึงกับทนไม่ไหว ต้องนำรูปตัวเองกำลังชี้เหมืองเพชร มาโชว์ในเฟชบุ๊คและทวิตเตอร์เพื่อดับคำสบประมาทเลยทีเดียว
       ..........
       
       หากจะว่าไป สิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากจะบอกความไม่ธรรมดาของอัญมณีอันทรงพลังชนิดนี้แล้ว มันยังเป็นเครื่องสะท้อนได้อย่างดีว่า สุดท้ายแล้ว ถึงยังไงมนุษย์ก็ไม่สามารถหลีกพ้นความต้องการตามธรรมชาติได้อย่างแน่นอน เพราะหากเพชรเป็นของที่มีเกลื่อนเมือง ต่อสวยสักแค่ไหน ก็ไม่มีค่าหรือได้รับความสนใจอะไรเท่าใดนัก แต่เมื่อมันหายาก แถมบางชิ้นยังมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เพชร จึงอยู่ยงคงกระพันในฐานะ อัญมณีที่เลอค่าที่สุดในโลก ไม่ว่าโลกจะผ่านยุคสมัยหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม...
       >>>>>>>>>
       ……..
       เรื่อง : สุทธิโชค จรรยาอังกูร


-http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000031355-

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000031355

.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)