ผู้เขียน หัวข้อ: อานิสงส์การซ่อมแซมพระพุทธรูป  (อ่าน 1078 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

mind

  • บุคคลทั่วไป


อานิสงส์การซ่อมแซมพระพุทธรูป (นางวิสาขา)
วิสาขาคนสวย
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

                        ท่านสาธุชนทั้งหลาย  วันนี้ขอพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในด้านของอานิสงส์แห่งพุทธบูชา  คำว่าพุทธบูชา  มหาเตชวันโต  แปลเป็นใจความว่า  การบูชาพระพุทธเจ้าย่อมมีเดชมีอำนาจมาก  คำว่าเดชอำนาจในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า  คนที่บูชาพระพุทธเจ้าแล้วจะต้องเป็นนักเลงโต ไม่ใช่อย่างนั้น

                        คำว่าเดชอำนาจในพระพุทธศาสนาหมายถึงความดี  ฉะนั้น  การที่บูชาพระพุทธเจ้าโดยยอมรับนับถือความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  โดยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาและมีความสามัคคีซึ่งกันและกัน  ช่วยกันสร้างสรรค์ความดีให้เกิดขึ้น  ไม่ใช่มาช่วยกันสร้างสรรค์ความเดือดร้อน ทำลายชาติ ศาสนา  พระมหากษัตริย์  และปวงชนชาวไทยและชาวโลกทั้งหลายให้มีความเดือดร้อน  การมีเดชมีอำนาจในพระพุทธศาสนา หมายถึงเดชอำนาจในด้านของความดีโดยเฉพาะ  เป็นทางนำมาซึ่งสันติสุข

                        ตอนนี้จะขอนำบุคคลที่บูชาพระพุทธเจ้า  ที่กล่าวว่า  พุทธบูชา มหาเตชวันโต มาเล่าให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังว่า  ท่านบูชาแล้วท่านมีอานิสงส์เป็นประการใดบ้าง  ท่านผู้นี้คือนางวิสาขามหาอุบาสิกา  ที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ  การที่นางบูชาองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ มีผลหลายประการเป็นตัวอย่าง  จะนำมาคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัทเป็นตอน ๆ ไป  สำหรับตอนนี้จะนำเอาความรูปสวยของนางวิสาขามาคุยกับท่านพุทธบริษัท

สตรีมีรูปเป็นทรัพย์
                        สำหรับนางวิสาขา  เคยแปลในพระธรรมบทปรากฎว่า  เธอมีความงามเป็นพิเศษ  ตอนนี้จะขอพูดเรื่องพุทธบูชา ได้ความงามเป็นพิเศษ  เพราะบรรดาสุภาพบุรุษก็ดี สุภาพสตรีก็ดี  ต้องการความสวยสดงดงามด้วยกันทุกคน  ที่กล่าวว่าทุกคนก็ถือว่าเป็นส่วนมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์  ต้องการความสวย ต้องการความเรียบร้อยของร่างกาย  บุคคลิกลักษณะของร่างกาย  ต้องการให้เป็นที่ถูกตาถูกใจของบุคคลผู้ทัศนา  หรือว่าได้เห็นคำว่า ทัศนา แปลว่า ดู

                        โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับท่านสุภาพสตรีถือว่ารูปเป็นทรัพย์  คือเราจะเห็นได้ว่าสตรีคนใดมีความงาม ถึงแม้ว่าจะมีฐานะเดิมยากจนเข็ญใจ  ก็อาจจะหาคู่ครองที่มีฐานะดี ๆ มีศักดิ์ศรีใหญ่ได้  ฉะนั้น  องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงกล่าวว่า  สตรีมีรูปเป็นทรัพย์ ฉะนั้นตอนนี้จะได้คุยเรื่องสตรีมีรูปเป็นทรัพย์  และมีทรัพย์สินมากด้วย  เอากันแค่รูปเป็นทรัพย์ก่อน คือมีความสวย

                        นางวิสาขามีความสวยเป็นกรณีพิเศษ  คือสวยไม่เหมือนชาวบ้านเขา  สวยเป็นสาวอายุ 16 ปี  เมื่อถึงคราวอายุ 16 ปี  รูปร่างยอดนารีมีลักษณะเช่นใด  และอยู่ต่อไปถึง  120  ปี  ก็ยังเป็นสาวแค่อายุ  16  ปีอยู่นั่นเอง  ลักษณะความสาวและความสวยของนางวิสาขา  ตามบาลีท่านกล่าวว่ามีอยู่  5  อย่างด้วยกัน  ตามภาษาบาลีท่านเรียกว่า เบญจกัลยาณี

เบญจกัลยาณี
                        สำหรับลักษณะ  5  ประการ  ถ้าจะกล่าวเป็นภาษาบาลีมันฟังยาก  ตอนนี้มากล่าวกันเป็นภาษาไทย  เจ้าคุณราชเมธี  วัดประยูรวงศาวาส  ท่านเคยประพันธ์ไว้เป็นกลอน  แต่ว่าคำกลอนนี้จะถูกต้องตามแบบฉบับของนักแต่งกล่อนหรือไม่  อาตมาไม่ทรบ  ท่านกล่าวไว้ดังนี้

                        1.  งามผมสมพักตร์ ลักขณา
                        2.  โอษฐาจิ้มลิ้ม ดูพริ้มเพรา
                        3.  งามทนต์ยลปลั่ง ดังสังข์ขัด
                        4.  ผิวทัศน์กรรณิกา งามราศี
                        5.  จะคลอดบุตรสักเท่าไร วัยยังดี หญิงเช่นนี้ใครได้มางามหน้าเอย


                        ที่นางวิสาขามีความสวย  5  ประการ  ถ้าหากว่าบรรดาสุภาพสตรีในสมัยปัจจุบันมีความสวยครบ  5  ประการอย่างนางวิสาขา  จะเป็นการลดค่าครองชีพลงมาก  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ก็จะเป็นการลำบากสำหรับนักตั้งสำนักงานสร้างความเสริมสวย เพราะว่าหน่วยการสร้างความเสริมสวยนี้จะตั้งขึ้นมาไม่ได้เลย  เพราะว่าคนงามเสียแล้วทั้งหมดก็ไม่มีใครเขาไปจ้างเสริมความงามกัน  ความงามของนางวิสาขาจะพูดให้ฟังตามกลอนของท่านเจ้าคุณราชเมธี  วัดประยูรวงศ์ฯ  ท่านแต่งมาจากเนื้อแท้ของบาลีว่า

                        1.  งามผมสมพักตร์ลักขณา  ผมของนางวิสาขานี้สลวยอยู่ตลอดเวา  เรียบไม่ต้องตัด  ไม่ต้องชำระสะสางก็ไม่เหม็นสาบ  ผมจะไม่ยาวเกินไป  ไม่สั้นเกินไป  ไม่เหม็นสาบไม่เหม็นสาง  ถ้าสมัยไหนเขาต้องการเรียบ  ผมของนางก็เรียบ  ต้องการหยิกผมก็หยิก  ต้องการเป็นผมลอนผมก็เป็นลอน  ในสมัยใดต้องการแบบใด  ลักษณะผมของนางวิสาขาจะเป็นไปตามสมัย ไม่ต้องดัดแปลง ไม่ต้องแก้ไข ไม่ต้องตกแต่ง ไม่ต้องตัด ไม่ยาวเกินไป ไม่สั้นเกินไป เป็นอันว่างามผม

                        2.  โอษฐาจิ้มลิ้ม ดูพริ้มเพรา  ริมฝีปากของนางวิสาขาไม่มีริ้ว ไม่มีรอย  เป็นริมฝีปากสวย มีความแดงระเรื่อพอสมควร  ไม่ต้องไปแตะไปต้องอะไรทั้งหมด  ปรากฎว่าสวยอยู่ตลอดเวลา

                        3.  งามทนต์ยลปลั่งดังสังข์ขัด  ฟันของนางวิสาขาเรียบและเป็นเงางามคล้ายมุก ไม่ต้องแต่งเหมือนกันอยู่ตลอดเวลา

                        4.  ผิวทัศน์กรรณิกางามราศี  คำว่าผิวในที่นี้  ถ้าเขานิยมดำก็ดำสวย  ถ้าเขานิยมขาวผิวก็ขาว  เขานิยมเหลืองผิวก็เหลือง  เป็นไปตามความนิยม  ไม่มีไฝ ไม่มีฝ้า ไม่มีขี้แมลงวัน  ถึงแม้ว่าจะไม่อาบน้ำสักเดือนนึง  ผิวของนางวิสาขาก็ไม่เลอะ  ไม่สกปรก ไม่เหม็นสาบ ไม่เหม็นสาง

                        5.  จะคลอดบุตรสักเท่าไร วัยยังดี  หมายความว่าหญิงประเภทนี้ ถ้าคลอดบุตรเมื่ออายุเท่าไร  มีความงามของทรวดทรงอยู่ในระดับไหน  ความงามของทรวดทรงจะอยู่ในระดับนั้นจนกว่าจะถึงวันตาย  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางวิสาขามีความงาม  5  ประการ  และคลอดบุตรเมื่ออายุ  16  ปี  เมื่อนางแก่ถึงอายุ  120  ปี  ก็ปรากฎว่าเป็นหญิงเหมือนอายุ  16  ปี นั่นเอง


                        ตัวอย่างในที่นี้  ก็ปรากฎมาในพระธรรมบทว่า  สมัยหนึ่งเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่  สมัยนั้นองค์สมเด็จพระบรมครูกำลังแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท  นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน  แต่งงานเมื่ออายุ  16  ปี  หรืออาจจะก่อนหน้าสักนิด  และคลอดบุตรเมื่ออายุ  16  ปี  หลังจากนั้นนางวิสาขาก็มีบุตร  20  คน  วิสาขา  แปลว่า  งอกงาม  เหมือนกับกิ่งก้านของไม้ที่มีสาขา คือกิ่งยาวสล้างเป็นพุ่มสวย ไม่ใช่ไม้ชะลูด  ฉะนั้น  คำว่าวิสาขาแปลว่ากิ่งงามมาก  แค่กิ่งนั้นล่อเข้าไปตั้ง  20  กิ่ง  คือลูก  และนางวิสาขาก็ยังมีหลานอีก  โดยลูกทั้งหมดปรากฎว่ามีบุตรมาคนละ 20 คน

                        ท่านทั้งหลายก็เอา  20  ตั้งเข้าไป  แล้วก็  20  คูณเข้าไป  เข้าไปเท่าไรแล้ว แล้วก็เอาอีก 20 ของ 20 มาตั้ง คูณ ๆ กันลงไป ก็หมดเรื่องกันไป  เท่าไรก็ช่าง  จะเห็นว่าวิสาขานี้สมชื่อของนาง  มีกิ่งก้านสาขางอกงามทั้งลูกทั้งหลาน  รวมแล้วหลายร้อยคน  ถ้าจะเดินขบวนกัน ก็เห็นจะไม่ต้องเกณฑ์ชาวบ้านชาวเมืองที่ไหน

สาวเท่าหลาน
                        เป็นอันว่าในสมัยนั้น  เมื่อองค์สมเด็ยพระทศพลกำลังเทศน์อยู่  นางวิสาขานั่งอยู่ระหว่างท่ามกลางหลาน ๆ  ซึ่งมีความเป็นเด็กรุ่นสาว  พระเจ้าปเสนทิโกศล บรมกษัตริย์  พระบาทท้าวเธอได้ยินข่าวเขาเล่าลือกันว่า นางวิสาขามีลูก  20  คน  และลูกมีลูกอีกคนละ 20  คน  แต่ว่านางวิสาขายังสาวเท่าหลาน  จึงต้องการอยากจะทราบ  จึงย่อง ๆ ไปมองดู  เห็นองค์สมเด็จพระบรมครูกำลังแสดงพระธรรมเทศนา  บรรดาสาว ๆ ทั้งหลายนับเป็นจำนวนร้อยนั่งอยู่หน้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพุทธบริษัท

                        แต่ความจริงนางวิสาขานั่งอยู่ท่ามกลางบรรดาหลานสาวๆ รุ่น ๆ  พระองค์ทรงทอดพระเนตรดูก็ไม่รู้ว่าคนไหนคือนางวิสาขา   จึงถามท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ว่า นางวิสาขาคนไหน  ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ก็ชี้ให้ดู  บอกว่านางวิสาขาอยู่ท่ามกลางหลานพระพุทธเจ้าข้า  พระเจ้าปเสนทิโกศลพระบาทท้าวเธอทอดพระเนตร ก็หาทราบไม่ว่าใครคือนางวิสาขากันแน่  เพราะหาคนแก่ไม่ได้  มีแต่เด็กสาวรุ่น ๆ  ท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์จึงได้กราบทูลว่า  ถ้าพระองค์ไม่ทรงทราบ คอยดูเวลาลุกขึ้นเมื่อเทศน์จบ

                        ตามธรรมดาเด็กหนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็มีกำลังมาก  เวลาจะลุกเขาก็ลุกขึ้นมาปกติ  ถ้าคนแก่เวลาจะลุกขึ้น  จะต้องเอาสองมือยันพื้นก่อนจึงจะลุกขึ้น  ฉะนั้น  เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์จบ  เขาก็ลุกกันตามปกติ  หลานลุกไม่ต้องใช้มือยัน  สำหรับนางวิสาขานั้นใช้มือทั้งสองข้างยันพื้นจึงลุกขึ้นได้  เป็นอันว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลทราบแล้วว่า ใครคือนางวิสาขา  ดูรูปร่างหน้าตาเป็นสาวรุ่น ๆ อายุราว  16  ปี เท่านั้นเอง

                        บรรดาท่านพุทธบริษัท  สำหรับตอนนี้ เรื่องพุทธบูชากล่าวถึงอานิสงส์ก่อน  มาหยุดกันไว้แค่ตอนนี้  เรื่องของนางวิสาขาไม่หมดเพียงเท่านี้  นี่เป็นตอนหนึ่งเฉพาะเป็นตอนสั้น ๆ  ที่ตัดมาเฉพาะเรื่องพุทธบูชาทำให้คนสวย  คือมีอานุภาพสามารถทำร่างกายให้คนสวย

เหตุที่เกิดมาสวย
                        ต่อไปนี้จะขอกล่าวถึงต้นเหตุที่นางวิสาขาทำไมจึงสวยเช่นนี้  ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า  ถอยหลังไปจากชาตินี้  ในสมัยพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก  เวลานั้น  นางวิสาขาเป็นสาวชาวบ้านธรรมดา  สาวหรือไม่สาวไม่ทราบ  คงจะเป็นสาวก่อน และต่อมาก็คงจะเป็นแม่บ้าน  ไปใช้ศัพท์ว่าสาวมันอาจจะผิดบาลี  แต่ความจริงจะผิดเลยทีเดียวก็ไม่ได้  เพราะว่าคนเกิดมาเป็นเด็กแล้วก็เป็นสาว  แล้วต่อไปจึงแก่เฒ่าทีหลัง

                        เป็นอันว่าในสมัยนั้น  นางวิสาขาก็มีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่าพระพุทธกัสสป  เคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ  เวลาที่เขาจะเทศน์  เขาจะทำบุญกันที่ไหน   นางวิสาขาไปด้วยความเต็มใจ ไปฟังด้วยความเคารพ และบำเพ็ญกุศลด้วยความเคารพ  แต่ว่านางวิสาขาเวลาที่บำเพ็ญกุศลในจรรยาสัมมาปฏิบัติแล้ว ไม่เคยอธิษฐานหลังจากทำบุญในศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า ขอให้ได้เบญจกัลยาณี  คือมีความงาม  5  ประการ  ความจริงนางวิสาขาไม่ได้อธิษฐานอย่างนี้

                        มีความต้องการอย่างเดียว  คือการบำเพ็ญกุศลในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์  นางมีความต้องการเฉพาะคือพระนิพพาน หรือความสุขในปัจจุบัน  การทำบุญ บรรดาท่านพุทธบริษัท  เราได้รับผลกันในปัจจุบัน  คือรับความสุขในชาติปัจจุบันนี้ก่อน แล้วต่อไปบุญจึงจะสะท้อนให้เราเข้าสู่พระนิพพานในเมื่อบุญบารมีเต็ม

                        ปรากฎว่า  ในกาลครั้งหนึ่ง  ตามพระบาลีท่านว่าอย่างนั้น  เมื่อนางวิสาขาไปฟังเทศน์  เขาบอกกล่าวกันว่ามีพระท่านเทศน์ที่วัดโน้นวัดนี้  นางวิสาขาได้ฟังคำกล่าวว่ามีพระท่านเทศน์  จึงตั้งใจจะไปฟังเทศน์  แต่ในระหว่างทางปรากฎว่า  นางวิสาขาไปพบพระพุทธรูปองค์หนึ่ง  เขาสร้างไว้ในสถานที่โล่งแจ้ง  คือตากแดด  และพระพุทธรูปนั้นมีรอยร้าวเปลือกกระเทาะ  ทองก็ล่อนไปหมด  ปูนก็กระเทาะจนแหว่ง แลดูไม่สวยสดงดงาม ไม่เจริญตา  นางวิสาขาจึงเข้าไปกราบนมัสการพระพุทธรูป   ตั้งใจเจริญใจเป็นพุทธบูชากล่าวปฏิญาณว่า

สัจวาจา
                        “เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากฟังพระธรรมเทศนาแล้ว  จะให้ช่างมาทำนุบำรุงพระปฏิมากร  รูปแทนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วให้มีความสวยสดงดงาม”

                        เมื่อนางไหว้พระพุทธรูป  นึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า  นางก็ไปฟังเทศน์ เมื่อเทศน์จบคนเขากลับ  นางวิสาขาก็กลับ  เมื่อกลับมาผ่านพระพุทธรูปนั้นก็เข้าไปกราบอีก กล่าวคำปฏิญาณตามนั้น  หลังจากนั้นแล้ว  นางวิสาขาเมื่อมาถึงบ้าน  จึงได้สั่งให้นายช่างไปจัดการทำนุบำรุงพระพุทธปฏิมากร คือพระพุทธรูป  ซ่อมแซมให้เรียบร้อย ให้ดีคงเดิม พอเสร็จแล้วก็ทาสีหรือว่าปิดทอง  ทำตามความนิยมที่เห็นว่าสวยสดงดงาม  เป็นที่เจริญตาเจริญใจ  หลังจากนั้นนางวิสาขาจึงได้ให้นายช่างปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรูป ไม่ยอมให้ตากแดดตากฝนเหมือนเดิม

                        นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท  เป็นปัจจัยให้นางวิสาขาได้เบญจกัลยาณี  คือมีความงาม  5  ประการ  ทั้งนี้ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาทรงรับรองเรื่องนี้ว่า  การที่นางวิสาขาทำนุบำรุงซ่อมแซมพระพุทธรูปที่เก่าคร่ำคร่า  มีสภาพไม่ดี  ให้กลับมีสภาพสวยสดงดงาม  เพราะอานิสงส์ทำความงามให้แก่พระพุทธรูป  อานิสงส์นี้จึงสร้างสรรค์ให้นางวิสาขาได้เบญจกัลยาณี

                        นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท  ที่กล่าวว่า  พุทธบูชา  มหาเตชวันโต  การบูชาพระพุทธเจ้าย่อมมีเดช มีอำนาจ  ความจริงคำว่าเดช คำว่าอำนาจในที่นี้หมายความว่า เราจะได้รับความดีซึ่งเป็นเครื่องตอบสนอง

                        เอาละ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีความปรารถนาความสวย  ซึ่งเป็นเหตุสร้างความสุขใจให้เกิดขึ้นแก่ท่าน  ก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านปฏิบัติตนเยี่ยงนางวิสาขา  จะได้เบญจกัลยาณี  5  ประการ  ตามที่กล่าวมาแล้ว

ความสุขใจชาตินี้
                        แต่ว่าก่อนที่ท่านทั้งหลายจะได้เบญจกัลยาณี  ความดีย่อมจะปรากฎแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทในชาติปัจจุบัน  คือสำหรับนางวิสาขานั้น  ปรากฎว่าเป็นผู้หนักไปด้วยการให้ทาน  การให้ทานเป็นการสร้างมิตร  บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นการทำลายจิตของบุคคลผู้เป็นศัตรู  บุคคลผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับทาน  ในเมื่อเรามีคนรักมาก ๆ  บรรดาท่านพุทธบริษัท  ความสุขมันก็มาก

                        ทั้งนี้  เพราะว่าเราไปทางไหนไม่มีศัตรู  มีแต่คนเป็นที่รัก  ไปทางไหนก็ตามจะพบกับความยิ้มแย้มแจ่มใส  จะมีความสุขใจตลอดเวลา

                        ทีนี้ถ้าเราเป็นคนมีศีลอีก  คนที่มีศิลได้ก็เพราะอาศัยจิตเมตตาเป็นสำคัญ เราไม่ประทุษร้ายท่าน  เราไม่ทำอะไรเขาให้รับความลำบาก  เราไม่ฆ่าเขา  เราไม่ลักทรัพย์สินของบุคคลใด  เราไม่ยิ้อแย่งความรักของบุคคลอื่น  เราพูดแต่ความจริง  ทำสติสัมปชัญญะของเราให้สมบูรณ์  เป็นคนมีความมั่นคงในสติสัมปชัญญะ  เมื่อเราไม่ละเมิดสิ่งเหล่านี้ เราก็เป็นที่รักของบุคคลอื่น  ความชื่นในชีวิตมันก็ปรากฎ  ฉะนั้น  องค์สมเด็จพระบรมสุคตจึงได้กล่าวว่า

                        สีเลนะ  สุคะติง  ยันติ
                        “บุคคลใดปฏิบัติศีล  ย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา”
                        สีเลนะ  โภคะสัมปะทา
                        “บุคคลใดรักษาศีลบริสุทธิ์แล้ว  บุคคลนั้นจะมีทรัพย์สินเยือกเย็น บริบูรณ์ไปด้วยทรัพย์สมบัติ”
                        สีเลนะ  นิพพุติง  ยันติ
                        “ศีลย่อมเป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพาน”

                        หากว่าท่านพุทธบริษัททุกท่านมีทั้งทาน  มีทั้งศีล  จะมีความสุขมาก  ถ้าหากว่าปฏิบัติตามมติขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกสักนิด  คือทำใจให้สบาย  ที่เรียกว่าทำจิตให้เป็นสมาธิ  ก็คือ  เอาจิตตั้งไว้ในอารมณ์ที่เป็นกุศล  ไม่คิดทำลายตน  และไม่คิดทำลายบุคคลอื่น  สร้างความแช่มชื่นให้ปรากฎ

                        โดยยึดถือคุณพระพุทธเจ้า  คุณพระธรรม  คุณพระสงฆ์  เป็นประจำใจ
                        นึกถึงทานการบริจาคเข้าไว้ว่า  เราตั้งใจจะสงเคราะห์บุคคลอื่นให้มีความสุข ตามกำลังที่เราจะทำได้
                        นึกถึงศีลที่เคยรักษาเข้าไว้
                        นึกถึงความดีของเทวดาว่า  เทวดาท่านจะเป็นเทวดาได้เพราะอาศัยความอายบาป คืออายความชั่ว   เกรงกลัวความชั่ว

                        ถ้าทำได้อย่างนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท  หากว่าท่านทั้งหลายจะยังไม่ตายจากชาตินี้  ยังไม่ได้เบญจกัลยาณี ก็จะมีแต่ความสุขใจ  จะไปสถานที่ใดก็จะพบแต่คนที่เป็นมิตร จิตใจก็จะมีความสุข

                        เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย  การคุยกันเรื่อง พุทธบูชา  มหาเตชวันโต  คือการบูชาพระพุทธเจ้าย่อมมีเดชมีอานุภาพมาก  สำหรับตอนนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล  จงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี.

                                                                  *************
(จากหนังสือธรรมสัญจร  เล่ม 4)
www kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%CD%D2%B9%D4%CA%A7%CA%EC%A1%D2%C3%AB%E8%CD%C1%E1%AB%C1%BE%C3%D0%BE%D8%B7%B8%C3%D9%BB+%28%B9%D2%A7%C7%D4%CA%D2%A2%D2%29&getarticle=100&keyword=&catid=7

                                                                 :07: