พระพุทธเจ้าสอนกรรมฐานสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
ม้วนที่ ๑๖๕/๒ ครึ่งหลัง ต่อ ๑๖๖/๑ ( File Tape 127 )
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ
-http://www.mahayana.in.th/tsavok/tape/127.htm
----------------------------------------
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต
ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นผู้รู้เป็นผู้เห็นได้ตรัส
แสดงแนะนำวิธีปฏิบัติกรรมฐาน
อันเกี่ยวแก่วิตกไว้อีกประการหนึ่ง
เพราะวิตกนั้นคือความตรึกหรือความคิดนึก คู่กับวิจารที่แปลว่าความตรอง
และก็เป็นอกุศลวิตก วิตกที่เป็นอกุศลก็มี เป็นกุศลวิตก วิตกที่เป็นกุศลก็มี
แม้ในการปฏิบัติจิตตภาวนาหรือกรรมฐาน ก็ต้องใช้วิตกคือความที่ตรึกนึกถึงกรรมฐานที่ปฏิบัติที่เรียกว่าเป็นการยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ของกรรมฐาน หรือยกอารมณ์กรรมฐานขึ้นสู่จิต
ต้องมีวิตกคือความตรึกนึกคิด ซึ่งเป็นความกำหนดด้วยสติขึ้นเป็นเบื้องต้น
แต่ว่าถ้าเป็นอกุศลวิตกแล้วก็ตรัสสอนให้รำงับเสีย ดังที่ได้แสดงอธิบายไปแล้วสำหรับอีกปริยายหนึ่งนั้นตรัสสอนภิกษุ แต่ก็รวมถึงผู้ปฏิบัติประกอบกระทำจิตสมาธิทั้งปวงด้วย
๒
ว่าในการกระทำกรรมฐานนั้น กรรมฐานที่ตั้งจิตสติกำหนดธรรมนั้นเรียกว่านิมิต
ที่แปลว่ากำหนด สิ่งที่กำหนดก็เรียกว่านิมิต ความกำหนดก็เรียกว่านิมิต
เพราะฉะนั้นในการทำกรรมฐานจึ่งต้องมีนิมิต คือเครื่องกำหนดของใจ
หรือความกำหนดใจในเครื่องกำหนดนั้น
นิมิตของกรรมฐานเช่นว่า เมื่อปฏิบัติในสติปัฏฐานทั้ง ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม
หรือปฏิบัติตามข้อที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในพระสูตรใหญ่ที่ว่าด้วยสติปัฏฐานดังกล่าว
เริ่มด้วยหมวดกายอันตั้งต้นแต่อานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
ต่อมาก็กำหนดอิริยาบถทั้ง ๔ ต่อมาก็ให้กำหนดอิริยาบถประกอบทั้งหลาย
เช่น ก้าวไปข้างหน้า ถอยมาข้างหลังเป็นต้น ให้มีความรู้ตัวอยู่ทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหวนั้นๆ
และต่อมาก็กำหนดอาการ ๓๑ หรือ ๓๒ ที่มีอยู่ในกายนี้
เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
และต่อมาก็ตรัสสอนให้กำหนดธาตุทั้ง ๔ ในกายนี้อย่างนี้เป็นต้น
ข้อที่ตั้งจิตกำหนดเหล่านี้ก็ให้กำหนดข้อใดข้อหนึ่งในคราวหนึ่ง เรียกว่าเป็นนิมิต
แปลว่าเครื่องกำหนดของจิตใจ ความกำหนดในเครื่องกำหนดนี้ก็เรียกว่านิมิต
เพราะฉะนั้นในเวลาที่ตั้งใจทำกรรมฐาน
กำหนดนิมิตของกรรมฐานดังที่กล่าวมานี้ ข้อใดข้อหนึ่งอยู่
ถ้าหากว่าจิตไม่อยู่ในบทกรรมฐาน ไม่อยู่ในนิมิตของกรรมฐาน
แต่ว่ามีวิตกคือความตรึกนึกคิดไปในอารมณ์ที่ประกอบด้วยฉันทะความพอใจชอบใจ
หรือด้วยราคะความติดใจยินดี โลภะความโลภอยากได้ก็ดี
ตรึกนึกคิดไปด้วยพยาบาท คือความตรึกนึกคิดไปถึงสัตว์และสังขารทั้งหลาย
ด้วยพยาบาท คือความกระทบกระทั่งขัดเคืองโกรธแค้น จนถึงมุ่งหมายล้างผลาญก็ดี
ตรึกนึกคิดไปด้วยอำนาจโมหะคือความหลงก็ดีในสัตว์และสังขารทั้งหลาย
๓
คำว่าในสัตว์และสังขารทั้งหลายนี้ สัตว์ก็หมายบุคคลก็ได้ เดรัจฉานก็ได้ คือเป็นสิ่งที่มีใจครอง
สังขารก็คือสิ่งทั้งหลายเช่นบ้านเรือนต้นไม้ภูเขา สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่ไม่มีใจครอง
หากว่าจิตเป็นดั่งนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสสอนให้ส่งจิตไปสู่อารมณ์อื่น หรือสู่นิมิตอื่น
จากนิมิตกรรมฐานที่กำลังปฏิบัติอยู่นั้น เพื่อที่จะได้ระงับวิตกคือความตรึกนึกคิดนั้นเสีย
สุภะนิมิต อสุภะสัญญาและอารมณ์อื่นหรือนิมิตอื่นที่ตรัสสอนให้ส่งจิตไปนั้น
พระอาจารย์ได้อธิบายว่า จะเป็นนิมิตกรรมฐานข้อใดก็ขึ้นอยู่กับวิตกของจิตในขณะนั้น
คือถ้าหากว่าวิตกคือความตรึกนึกคิดของจิตไปในสัตว์และสังขารทั้งหลาย
ด้วยฉันทะความชอบ หรือราคะความติดใจยินดี โลภะความโลภอยากได้
ถ้าเป็นไปในสัตว์คือบุคคลลนั้นๆ หรือแม้ในสัตว์เดรัจฉานนั้นๆ
ก็ให้ใช้ อสุภะสัญญา ( เริ่ม ๑๖๖/๑ ) ความสำคัญหมายในบุคคลนั้นๆว่าไม่งาม
ด้วยพิจารณาว่ากายนี้ประกอบไปด้วยสิ่งที่ปฏิกูลไม่สะอาดต่างๆเป็นอันมาก
ถ้าเป็นความชอบในสังขาร
คือในสิ่งทั้งหลายจะเป็นบ้านเรือนแก้วแหวนเงินทองหรือสิ่งใดๆก็ตาม
ก็ให้พิจารณาด้วย อนิจจะสัญญา ความกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง คือเป็นสิ่งที่ต้องเกิดดับ
หรือว่าด้วย อนัตตะสัญญา ความสำคัญหมายว่าเป็นเหมือนอย่างของขอยืม
ไม่ใช่เป็นของๆตน คือแม้จะได้มาก็ไม่ใช่ได้มาเป็นของๆตน
เหมือนอย่างเป็นของขอยืมเขามาซึ่งจะต้องส่งคืน ไม่มีเจ้าของ คือไม่มีตัวเราเป็นเจ้าของ
เมื่อเป็นดั่งนี้ก็จะเป็นเหตุให้ระงับความตรึกนึกคิดออกไปด้วยความสำคัญหมายว่างดงาม
หรือว่าให้เป็นของๆเรา ดั่งนี้ได้
และถ้าวิตกตรึกนึกคิดไปด้วยอำนาจของความชอบในวัตถุทั้งหลาย ก็ให้ปฏิบัติดั่งนี้
ถ้าในสัตว์ทั้งหลายก็ให้ปฏิบัติด้วยอสุภะสัญญาดังกล่าวข้างต้น
๔
ถ้าปฏิบัติดั่งนี้ความตรึกนึกคิดไปด้วยความชอบนั้นก็จะสงบ
และเมื่อสงบก็กลับเข้ามาสู่กรรมฐานที่ตั้งไว้เดิม
เช่น หากกำลังปฏิบัติทำอานาปานสติอยู่ ก็กลับมาทำอานาปานสติตามเดิม
ปฏิฆะนิมิต เมตตานิมิต ธาตุกรรมฐานอนึ่ง ถ้าตรึกนึกคิดไปในสัตว์และสังขารทั้งหลายด้วยอำนาจของโทสะ
คือความกระทบกระทั่งขัดใจโกรธเคือง จนถึงพยาบาทมุ่งร้ายหมายล้างผลาญดังกล่าว
ถ้าหากว่าเป็นไปในสัตว์ เช่นในบุคคลลนั้นๆ ก็ให้กำหนด เมตตานิมิต
นิมิตเครื่องกำหนดคือเมตตา แผ่เมตตาออกไปให้บุคคลนั้นๆเป็นสุข
ถ้าวิตกคือความตรึกนึกคิดด้วยโทสะนั้นเป็นไปในสังขาร เช่นในวัตถุทั้งหลาย
เช่นว่า ถูกหนามตำก็โกรธหนาม เหยียบกระเบื้องคมบาดเท้าหรือเจ็บเท้า ก็โกรธกระเบื้อง
เหยียบหินกรวดเจ็บเท้าก็โกรธก้อนหิน ดังนี้เป็นต้น ก็ให้พิจารณา ธาตุกรรมฐาน
คือพิจารณาโดยความเป็นธาตุ ว่านั่นเป็นแต่สักว่าธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ
แม้ร่างกายของตนเองก็ประกอบขึ้นด้วยธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ
เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรจะไปโกรธธาตุทั้งหลาย และเมื่อพิจารณาดั่งนี้โทสะก็จะสงบ
โมหะนิมิต ปัญญาแก้ความหลงอนึ่ง หากตรึกนึกคิดไปในสัตว์และสังขารทั้งหลายด้วยอำนาจของความหลง
เพื่อที่จะแก้ความหลง หากว่าแก้ด้วยปัญญาของตนไม่ได้ ตนยังไม่มีปัญญาที่จะแก้ความหลง
ก็ให้เข้าไปสู่สำนักอาจารย์ เรียนกับอาจารย์ ไต่ถามอาจารย์ ฟังธรรมโดยกาล
และพิจารณาวินิฉัยธรรมะที่เป็นฐานะ และไม่เป็นฐานะ คือตามเหตุและผล
เพื่อให้ได้ปัญญาที่จะแก้ความหลงนั้น เมื่อเป็นดั่งนี้ก็จะทำให้ความหลงนั้นดับลงไปได้
และเมื่อดับวิตกที่ประกอบด้วยโทสะ ประกอบด้วยโมหะคือความหลงลงได้แล้ว
ก็กลับเข้ามาปฏิบัติในกรรมฐานที่ตั้งเอาไว้เดิมต่อไป
๕
เพราะว่าต้องการให้เปลี่ยนจากนิมิตของกรรมฐานเดิมที่ปฏิบัติอยู่ ไปสู่กรรมฐานอื่นใหม่
ในเมื่ออกุศลวิตก ความตรึกที่เป็นอกุศลบังเกิดขึ้นดังกล่าว
ก็เพื่อที่จะได้ดับอกุศลวิตกที่บังเกิดขึ้นนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อดับได้แล้วจึงกลับเข้ามาสู่กรรมฐานที่ตั้งไว้เดิม
ซึ่งถือเป็นข้อปฏิบัติเริ่มต้น หรือที่ถือเป็นข้อปฏิบัติประจำ
เปลี่ยนนิมิตของกรรมฐานแก้วิตกอธิบายอย่างนี้ เป็นการอธิบายที่เป็นไปแก่บุคคล
ที่กำลังปฏิบัติกรรมฐานข้อใดข้อหนึ่งที่ตนตั้งไว้อยู่ก่อนแล้ว
และเกิดอกุศลวิตกขึ้นมาขัดขวางเป็นกามวิตกบ้าง พยาบาทวิตกบ้าง วิหิงสาวิตกบ้าง
หรือว่าเป็น ฉันทะ ราคะ โลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ
จึ่งเปลี่ยนนิมิตของกรรมฐานใหม่ คือหยุดกรรมฐานที่กำลังปฏิบัติไว้เดิมก่อน
แล้วไปแก้จิตที่เกิดอกุศลวิตกนี้ขึ้นเสียก่อน เมื่อดับได้แล้วจึงกลับไปสู่กรรมฐานข้อที่ตั้งเอาไว้
นี้เป็นวิธีปฏิบัติในกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเอาไว้และเมื่อเปลี่ยนกรรมฐานให้ใหม่ดั่งนี้แล้ว อกุศลวิตกก็ยังไม่สงบ
พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสสอนต่อไปให้พิจารณาโทษของอกุศลวิตกที่บังเกิดขึ้นขัดขวางนั้น
ว่าเป็นสิ่งที่มีโทษ ดับปัญญา ไม่เจริญปัญญา เป็นฝักฝ่ายแห่งความคับแค้นเดือดร้อน
ไม่เป็นเพื่อความดับกิเลสและดับทุกข์ และเมื่อเห็นโทษดั่งนี้ ก็จะทำให้เกิดความหน่าย
เกิดความระอา เกิดความเกลียดชังอกุศลวิตกที่บังเกิดขึ้น จิตก็จะสงบจากอกุศลวิตกนั้น
และเมื่อสงบแล้วก็กลับเข้าไปสู่กรรมฐานข้อเดิมที่ได้ตั้งเอาไว้
เปรียบเหมือนอย่างว่า ขยะแขยงรังเกียจศพของงูของสุนัข
หรือของมนุษย์ที่ผูกไว้ที่คอ ต้องการที่จะเหวี่ยงทิ้งไปเสียให้พ้นคอของตน
เพราะฉะนั้นเมื่อพิจารณาเห็นโทษของอกุศลวิตก บังเกิดความรังเกียจ
ต้องการจะสลัดทิ้งดั่งนี้ ก็จะสลัดทิ้งเสียได้ จะสงบลงได้
๖
ส่วนข้อแรกที่ตรัสสอนไว้เป็นประการแรก
ให้เปลี่ยนนิมิตของสมาธิใหม่ คือให้พักนิมิตของสมาธิที่ทำไว้แต่เดิมก่อน
และไปกำหนดนิมิตของสมาธิอีกอันหนึ่งอื่นแทน ดังที่ได้อธิบายแล้วนั้น
ท่านก็อุปมาเหมือนอย่างว่า ช่างไม้หรือลูกมือของช่างไม้ ที่ตอกลิ่มเก่าที่ติดอยู่บนกระดานแล้ว
อันเป็นลิ่มที่หยาบที่ไม่ดี ด้วยลิ่มใหม่อันเป็นลิ่มที่ดี ลงไปแทนให้ลิ่มเก่านั้นหลุดออกไป
ลิ่มใหม่เข้าไปแทนที่ ก็เปรียบเหมือนอย่างว่าใช้วิตกในนิมิตของสมาธิใหม่
ตอกนิมิตของสมาธิเก่า โดยตรงก็คือว่าตอกอกุศลวิตกนั่นแหละ ให้หลุดไปจากจิต
เพราะอกุศลวิตกที่บังเกิดขึ้นนั้นก็เปรียบเหมือนเป็นลิ่มสลัก
ที่ตอกอยู่ในแผ่นกระดานคือจิตใจ ไม่หลุดไป ก็ต้องเอาลิ่มใหม่มาตอก
เพราะว่าสมาธิที่ปฏิบัติอยู่เดิมนั้นยังไม่อาจที่จะสลัดอกุศลวิตกได้
เพราะไม่ใช่คู่ปรับกันโดยตรง จึ่งต้องใช้นิมิตของสมาธิที่เป็นคู่ปรับกันโดยตรง
ดังที่แสดงแล้วในข้อ ๑ และเมื่อไม่สำเร็จก็มาใช้ข้อ ๒ คือพิจารณาเห็นโทษ
เมื่อมาใช้ในข้อ ๒ พิจารณาให้เห็นโทษไม่สำเร็จอีก ก็ตรัสสอนให้ใช้ข้อ ๓
คือให้ไม่ตั้งสติระลึกถึง ไม่ใส่ใจถึงอกุศลวิตกเหล่านั้น
คือถอนใจเสียออกจากอกุศลวิตกเหล่านั้น เบี่ยงบ่ายใจออกเสียจากอกุศลวิตกเหล่านั้น
เปรียบเหมือนอย่างว่า เมื่อมองดูสิ่งที่มาประจวบกับสายตาจำเพาะหน้า
เมื่อไม่ชอบใจในรูปที่มาประจวบจำเพาะหน้านั้น ไม่อยากดูก็หลับตาเสีย
หรือว่าเบนหน้าไปเสียในที่อื่น ไม่มอง
เมื่อเป็นดั่งนี้ก็จะทำให้อกุศลวิตกที่เบี่ยงบ่ายใจออกไปเสียได้นั้นต้องสงบลงไป
แต่ว่าในข้อนี้แม้ว่าจะเบี่ยงเบนหน้าไปเสียจากสิ่งที่เห็นจำเพาะหน้า ไม่เห็นสิ่งจำเพาะหน้าแล้ว
ถ้าไม่หลับตาเสียก็จะต้องเห็นสิ่งอื่น จึงหมายความว่าไปคิดถึงสิ่งอื่นแทนก็ได้
ดังที่พระอาจารย์อธิบายไว้ว่า วิธีที่จะเบนใจออกไปจากอกุศลวิตก ดังที่ตรัสสอนไว้ในข้อนี้นั้น
กระทำได้ด้วยวิธีต่างๆ เช่นด้วยวิธีที่มาจัดโน่นจัดนี่ ทำโน่นทำนี่ ด้วยกายก็ได้
ให้จิตใจเบนไปเสียจากอกุศลวิตก๗
ซึ่งวิธีนี้ก็ได้มีแสดงถึงว่าพระอาจารย์ได้เคยทำกับสามเณรรูปหนึ่งมาแล้ว
ซึ่งเป็นสามเณรที่บวชเข้ามาเพื่อตั้งใจปฏิบัติให้บรรลุถึงผลที่สุด
และต่อมาสามเณรนั้นก็เกิดเบื่อหน่ายใคร่ที่จะลาสิกขาไปเสีย
พระอาจารย์จึงใช้วิธีที่นำตัวเข้าไปอยู่ในถ้ำ และให้สามเณรสร้างเสนาสนะ
สำหรับอยู่ด้วยตนเองให้ไปทำการทำงาน และเมื่อสร้างเสนาสนะเสร็จแล้ว
พระเถระก็ให้สามเณรอยู่ในเสนาสนะที่สร้างขึ้นนั้นเอง
คราวนี้สามเณรก็กลับมาจับทำสมาธิไปใหม่ ก็ได้ความปลอดโปร่งของจิต
จากอกุศลวิตกทั้งหลาย เพราะได้เบนใจมาทำการทำงาน ทำโน่นทำนี่เสีย
จนหลุดออกจากอกุศลวิตก คือความเบื่อหน่ายที่บังเกิดขึ้นนั้น
ก็บรรลุถึงความสำเร็จได้ ดั่งนี้เป็นวิธีที่ ๓
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนไว้ถึงวิธีปฏิบัติในการทำสมาธิดั่งนี้
และหากจะถามว่าจะทำสมาธิข้อที่ตั้งไว้แต่เดิมต่อไปให้จริงๆ ไม่ได้หรือ
ก็ตอบว่า ก็อาจได้เหมือนกัน แต่ว่าอาจจะดับอกุศลวิตกได้ยากกว่า
เหมือนอย่างการดับไฟที่บังเกิดขึ้น จะดับด้วยฟืน ดับด้วยไม้ หรืออะไรก็ดับได้
คือเอาไม้ฟาด เอาฟืนฟาดไฟ เอาไม้ฟาดไฟ เอาผ้าฟาดไฟ อะไรเป็นต้น
ก็อาจจะดับไฟได้เหมือนกัน แต่ว่าไม่เหมือนอย่างดับด้วยน้ำ ดับด้วยน้ำสะดวกไฟจะดับได้ง่าย
เพราะฉะนั้น การจะใช้กรรมฐานที่ไม่ใช่คู่ปรับกันดับนั้น เช่นกรรมฐานที่ตั้งทำไว้เดิม
หากว่าไม่ใช่คู่ปรับกัน เช่นอานาปานสติเป็นต้นนั้น ก็จะดับได้เหมือนกัน แต่ว่าดับยาก
เพราะฉะนั้น ก็ให้พักกรรมฐานที่ทำไว้เดิมนั้นก่อน
แล้วมากำหนดนิมิตกรรมฐานใหม่ จากกรรมฐานเดิมนั้น
ดั่งที่ตรัสสอนมาในข้อ ๑ ข้อ ๒ และข้อ ๓ นี้ ก็จะดับอกุศลวิตกได้สะดวก
เหมือนอย่างไฟบังเกิดขึ้นก็เอาน้ำมาเทดับ ก็จะดับได้ง่ายกว่า
และเมื่อดับแล้วจึงกลับไปทำกรรมฐานเดิมต่อไปใหม่
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป
VANCO :
palungjit.com