น่าสังเกตว่า สุจริตกรรม ๑๐ ประการนี้ ไม่มีการงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัยและของเสพติด
ทั้งหลายรวมอยู่ด้วย ถึงกระนั้นการดื่มสุราเมรัยเป็นต้น ก็เป็นความชั่ว ไม่ใช่ความดี โทษของการดื่มสุรา
เมรัยเสมอๆ นั้นมีโทษมาก ดังที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "โทษของการดื่มสุราและเมรัย อัน
บุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมยังสัตว์ให้เป็นไปในนรก ในกำเนิดเดรัจฉาน
ในเปรตวิสัย โทษอย่างเบาที่สุดย่อมยังความเป็นบ้าให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์"
เพราะฉะนั้นคนดีทั้งหลาย พึงงดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
นี้ด้วย
ในสุจริตกรรม ๑๐ ประการนี้ ๓ ข้อแรกจัดเป็นกายกรรม คือการกระทำทางกาย ๔ ข้อต่อมา
เป็นวจีกรรมคือการกระทำทางวาจา ๓ ข้อสุดท้ายเป็นมโนกรรม คือการกระทำทางใจ บุคคลที่ประพฤติ
ตนมั่นคงอยู่ในสุจริตธรรมทั้ง ๑๐ ประการนี้ ชื่อว่าเป็นผู้มีกาย วาจา ใจ สะอาด เป็นผู้มีสุคติโลกสวรรค์
รออยู่เบื้องหน้า ส่วนผู้ที่ประพฤติทุจริตกรรม ๑๐ ประการ ซึ่งเป็นธรรมที่ตรงข้ามกับสุจริตกรรม ๑๐ ประ
การนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่สะอาดทั้งกาย วาจา ใจ แม้จะอาบน้ำล้างบาป ประนมมือไหว้พระอาทิตย์ หรือบวง
สรวงเทวดา อินทร์ พรหม อย่างไรก็หาทำให้บุคคลนั้นหมดจดจากบาปไม่ บุคคลเช่นนี้ เป็นผู้มีอบายคอย
อยู่เบื้องหน้า
บุคคลจะสะอาดและหมดจดจากบาปได้ ก็เพราะความประพฤติทางกาย วาจา ใจ สะอาดเท่านั้น
ก็เมื่อเรายังไม่สามารถจะเป็นผู้สะอาดหมดจดจากบาปทั้งมวลได้ และยังต้องมีชีวิตอยู่ในโลกนี้
ก็ควรจะมีชีวิตอยู่ด้วยการประพฤติดี ปฏิบัติชอบ มีเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน สิ่งใดที่ผิดพลาดไป
แล้วเราไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ เราจึงควรทำกรรมใหม่ของเราให้ดีที่สุด เพื่อให้โอกาสแก่กรรมดีนำ
เราไปเกิดที่ดี ไม่ใช่ผิดพลาดไปแล้วก็มัวแต่เศร้าโศกเสียใจ ความเศร้าโศกเสียใจไม่อาจช่วยอะไรเราได้
เลย กรรมดีเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ ช่วยให้เราไปเกิดในที่ดีมีมนุษย์และเทวดาได้ ช่วยให้เราถึงนิพพานไม่
ต้องตายไม่ต้องเกิดอีก
แต่ข้อสำคัญที่จะทำให้เราทำสุจริตกรรมได้นั้น ต้องอาศัยมโนกรรมคือความเห็นถูกเป็นเบื้องต้น
ถ้าปราศจากความเห็นถูกแล้ว ท่านอาจจะไม่สนใจการทำบุญทำกุศลเลย
ทิฏฐุชุกรรม คือการกระทำความเห็นให้ถูกตรงนั้น ได้แก่ตรงต่อความจริง ตรงต่อคำสอน
ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ตรงตามความเห็นของเราหรือผู้อื่น ซึ่งยังหนาแน่นอยู่ด้วยกิเลส ทิฏฐุชุกรรมหรือ
สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบนี้เป็นอย่างเดียวกัน พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ๑๐ อย่าง คือ
๑. เห็นว่า ทานที่ให้แล้วมีผล คือต้องเชื่อว่า ให้ทานแล้ว ต้องได้รับผล คือเป็นผู้มั่งคั่งมีทรัพย์
สมบัติมาก เป็นต้น
๒. เห็นว่า การบูชามีผล การบูชาในที่นี้หมายถึง ผู้ที่ควรบูชา มีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระอริยสาวก พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา ครูอาจารย์ ฯลฯ
๓. เห็นว่า การบวงสรวงมีผล คือการนำของไปบูชาผู้มีคุณ ย่อมมีผล
๔. เห็นว่า การทำดีทำชั่วมีผล คือทำดีก็ได้ผลดีทำชั่วก็ได้ผลชั่ว
๕. เห็นว่า โลกนี้มีอยู่ หมายความว่า เชื่อว่าผู้ที่ตายจากโลกอื่น มาเกิดในโลกนี้มีอยู่
๖. เห็นว่า โลกหน้ามีอยู่ หมายความว่า เชื่อว่าผู้ที่ตายจากโลกนี้แล้วไปเกิดในอีกโลกอื่นมีอยู่
๗. เห็นว่า มารดามีอยู่ คือเห็นว่าคุณของมารดามีอยู่ การทำดีทำชั่วต่อมารดาย่อมมีผล
๘. เห็นว่า บิดามีอยู่ คือเห็นว่าคุณของบิดามีอยู่ การทำดีทำชั่วต่อบิดาย่อมมีผล
๙. เห็นว่า โอปปาติกสัตว์ คือสัตว์ที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีบิดามารดา เกิดแล้วโตเต็มที่ทันที
ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหม มีอยู่
๑๐. เห็นว่า สมณะพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติชอบประกอบด้วยความรู้ยิ่ง เห็นแจ้งประจักษ์ซึ่งโลกนี้และ
โลกหน้าด้วยตนเองแล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้นั้นมีอยู่ คือเห็นว่าผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่นั่นเอง
ทิฏฐุชุกรรม คือการกระทำความเห็นให้ตรงต่อความจริง ๑๐ ประการนี้ จัดเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะเป็นหัวหน้าของบุญทั้งมวล ถ้าบุคคลใดมีความเห็นถูกต้อง ตรงต่อความจริงเหล่านี้แล้ว ย่อมคิด
จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาและคิดจะทำบุญทุกชนิด เพื่อเป็นบันไดก้าวไปสู่ความสุขความเจริญ
ในท้ายที่สุดยังเป็นบันไดให้ก้าวไปสู่การเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ เพื่อบรรลุอริยสัจจธรรมได้อีกด้วย
โดยนัยตรงข้าม ผู้ใดเห็นตรงกันข้ามกับความจริง ๑๐ ประการนี้ ผู้นั้นจะไม่ทำบุญเลย ดังที่มี
คนเป็นอันมากในปัจจุบันนี้เชื่อมั่นว่า คนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียว ชาติก่อนก็ไม่มี ชาติหน้าก็ไม่มี
ตายแล้วก็สูญไม่เกิดอีก ทั้งๆ ที่ผู้นั้นยังมีความต้องการสารพัด ผู้ที่จะไม่เกิดอีกนั้น คือผู้ที่ดับความต้องการ
ทั้งปวงได้สนิทแล้วเท่านั้น เมื่อเชื่อเช่นนี้เขาจึงไม่ทำบุญ นับว่าเป็นภัยแก่เขาเองอย่างใหญ่หลวง เพราะ
ความเห็นผิดเช่นนี้จัดเป็นบาปหนัก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาตว่า
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้ข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด
ไม่เกิดขึ้น หรือกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมไป เหมือนมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิดทั้งนี้เลย"
นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังทรงแสดงถึงการที่สัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ
มากมาย มิได้เกิดเพียงชาติเดียวดังที่บางคนเข้าใจเลย ดังที่พระองค์ตรัสไว้ในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต
เอกธัมมาทิบาลี ตอนหนึ่งว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ที่จุติ (คือตาย) จากมนุษย์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่
จุติจากมนุษย์ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย (คือเปรต) มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ ไปเกิดในนรก เกิดใน
กำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากเทพยดากลับมาเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากเทพยดาไปเกิดในนรก
เกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากนรกกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากนรกไปเกิดในนรก เกิดใน
กำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากกำเนิดเดรัจฉาน กลับมาเกิดเป็นมนุษย์มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากกำเนิดเดรัจ
ฉานไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากกำเนิดเดรัจฉาน ไปเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากกำเนิดเดรัจฉาน
ไปเกิดในนรก เกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปเกิดในนรก
เกิดในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปเกิดในเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากปิตติวิสัยไปเกิดในนรก เกิด
ในกำเนิดเดรัจฉาน เกิดในปิตติวิสัย มากกว่าโดยแท้
เปรียบเหมือนในชมพูทวีปนี้ มีส่วนที่น่ารื่นรมย์ มีป่าที่น่ารื่นรมย์ มีภูมิประเทศที่น่ารื่นรมย์
มีสระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์เพียงเล็กน้อย มีที่ดอนที่ลุ่มเป็นลำน้ำ เป็นที่ตั้งแห่งตอและหนาม มีภูเขาระ
เกะระกะเป็นส่วนมาก โดยแท้ฉะนั้น"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุปมาเปรียบเทียบสัตว์ที่ไปเกิดในทุคติ คืออบายภูมิ เป็นสัตว์นรก
เปรต สัตว์เดรัจฉานว่า มากมายเหมือนขนวัว คือนับไม่ได้ แต่สัตว์ที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดานั้น
เท่าเขาวัว คือน้อยเหลือเกิน เพราะเขาวัวมีเพียง ๒ เขาเท่านั้น ท่านอยากจะอยู่ในพวกไหน? เชื่อว่า
ทุกท่านคงอยากอยู่ในพวกเขาวัวด้วยกันทั้งนั้น แต่ความอยากอย่างเดียว ไม่สามารถช่วยให้สำเร็จผลได้
ท่านต้องประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ด้วย นั่นคือ ละความชั่ว ประพฤติดี คือละทุจริตกรรม
๑๐ ประการดังกล่าวแล้ว
ท่านที่เคยเรียกร้องขอความเป็นธรรม โดยต้องการให้ทุกคนเสมอภาคกัน มีความเป็นอยู่เท่า
เทียมกัน โปรดได้พิจารณาดูเถิด ว่ามีทางจะเป็นไปได้อย่างไรหรือไม่ในเมื่อทุกคนมิได้ทำกรรมไว้เสมอ
กัน ลูกฝาแฝดที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน อยู่ในครรภ์ของแม่ด้วยกัน เติบโตด้วยอาหารที่แม่กินเข้าไปอย่าง
เดียวกัน ก็ยังไม่เหมือนกันทั้งหน้าตา รูปร่าง และจิตใจ แล้วเราจะหวังให้คนที่ต่างพ่อต่างแม่ ต่างกรรมกัน
เหมือนกันเสมอกันได้อย่างไร
ผู้ที่จะเสมอภาคกันได้นั้น ได้แก่ผู้ที่ไม่ต้องเกิดมารับสุข รับทุกข์ในโลกอีก ผู้นั้นคือ
พระอรหันต์ผู้ปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ พวกเดียวเท่านั้น
ชีวิตนี้สั้นนัก ความประมาทเพียงนิดเดียวอาจพาเราไปเกิดในที่ชั่วได้ และถ้าลงไปเกิดในที่ชั่วแล้ว
โอกาสที่จะได้กลับมาเกิดในที่ดีนั้นแสนยาก เราจึงควรดำเนินชีวิตของเราให้ถูกต้อง คบหาสมาคมกับบัณฑิต
ผู้รู้ทั้งหลาย หมั่นฟังธรรมของท่าน แล้วน้อมนำมาพินิจพิจารณา เมื่อพินิจพิจารณารู้ว่าอะไรถูกอะไรควรแล้ว
ก็ประพฤติแต่สิ่งที่ถูกที่ควร ซึ่งก็ได้แก่สุจริตกรรม ๑๐ ประการ สูงกว่านั้นก็ได้แก่การเจริญสมถะและวิปัสสนา
พาตนให้พ้นจากทุกข์ทั้งมวล
บุญและบาปเป็นของมีอยู่จริง และให้ผลได้จริง ขอย้ำว่าชีวิตของเรา ความสุขความทุกข์
ที่เราได้รับอยู่ในทุกวันนี้ เกิดจากการกระทำของเราเอง ไม่มีใครมาลิขิตให้เรา ผู้ที่ลิขิตชีวิตเรา
ทั้งในอดีตที่ผ่านมา ในปัจจุบันที่กำลังเป็นไปอยู่ และในอนาคตที่จะตามมา คือ กรรม การกระทำ
ของเราเองทั้งสิ้น
http://www.84000.org/tipitaka/book/bookpn04.html