ถ้าจิตปลอดจากตัณหาความโปร่งใจก็จะเกิดขึ้น แต่พอตัณหาเข้ามาความขุ่นมัวของจิตก็เกิดขึ้น ฉะนั้นการประพฤติปฏิบัติบางครั้งเราอาจจะทดลองดูก็ได้ คือว่าเราจะปฏิบัติเน้นไปในแง่ไม่ให้มีความอยาก คือเราจะไม่มุ่งดูมุ่งจะเอาอะไรแต่จะมุ่งแค่ไม่อยากได้อะไร เราลองทำอย่างนี้ดูก็ได้ นั่งไปก็ทำใจแบบจะไม่เอาอะไรท่าเดียวจะวางเฉยจะปล่อยจะวางจะไม่เอาอะไรฝึกจิตไปอย่างนี้อย่างเดียว ปรับปรุงปรับผ่อน รักษาจิต บอกจิตตัวเอง ควบคุมรักษาจิตใจให้จิตมันไม่เอาอะไร จิตมันไม่เอาอะไร มันปล่อย มันวาง มันไม่เอาอะไร เราก็จะพบความเบาใจเกิดขึ้น
ความสงบใจมันก็เกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องไปแสวงหา ค้นหาอะไรที่ตรงไหน ขณะที่เราปฏิบัตินี่เรากลัวเราจะไม่ได้อะไร ทำแล้วกลัวจะไม่ได้อะไร จึงพยายามจะให้ได้ด้วยความทะยานอยาก นั่นแหละมันคือไม่ได้อะไร "
ยิ่งอยากจะได้มันก็ไม่ได้เพราะสิ่งที่ควรได้คือความละวาง ความสละ ความปล่อย"
ที่
ปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนานี้เป้าหมายก็คือ
การสละได้ การปล่อยได้ การวางได้ แต่ถ้าเราปฏิบัติด้วยความที่จะเอาให้ได้ ปฏิบัติด้วยความอยากมันตรงกันข้าม
เหตุกับผลมันไม่ตรงกัน ผลของมันก็คือสิ้นอยาก เหตุมันจะเข้าไปอยากยึดมั่นถือมั่นไม่ตรงกับเป้าหมาย เป้าหมายนั้นคือ การสละ การปล่อยวาง เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็มาทำเหตุเสียใหม่
ทำเหตุให้มันตรงต่อผล เมื่อผลคือความปล่อยคือการวางคือการสละคืน ก็ทำเหตุให้มันตรงต่อผลคือให้มันไร้ความอยากทำไปนี่ ฝึกหัดการให้มันพยายามที่จะปลอดจากความอยากไว้เรื่อยๆ เมื่อความอยากเข้ามา ก็ดูแลรักษาปรับปรุง ปรับผ่อนให้จิตใจมันไม่มีความอยาก
เราใช้สติ
เจริญสติเป็นตัวระลึก สัมปชัญญะเป็นตัวพิจารณาเป็นตัวใส่ใจเป็นตัวสังเกตอารมณ์ของสติหรือกรรมฐาน ถ้าเป็น
วิปัสสนาก็ต้องเป็นรูปนามหรือเป็นสภาวะให้เกิดปัญญา
อารมณ์นั้นจะต้องเป็นของจริง แต่ถ้าเป็น
สมถะจะปฏิบัติเพื่อความสงบ
อารมณ์ก็ต้องเป็นบัญญัติเป็นสมมติ การทำความสงบในลักษณะของสมถะมันจะต่างจากความสงบของวิปัสสนา ความสงบของวิปัสสนาก็ดังที่ได้กล่าวแล้ว ที่บอกมาในเบื้องต้นทำด้วยความไม่ต้องการอะไร มีสติระลึกรู้ด้วยความปล่อยวาง ความสงบมันจะเกิดขึ้นมาเอง
ความสงบมันจะมาบวกกับสติสัมปชัญญะไม่ใช่เป็นความสงบแบบดับดิ่ง เป็นเพียงความโปร่งใจเบาใจแต่ยังมีสติสัมปชัญญะที่จะระลึกที่จะพิจารณาได้แต่ถ้าความสงบในลักษณะของสมถะอันนั้นมันจะต้องเพ่งเข้าไปจ้องดูจ้องรู้เข้าไปในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเช่น เพ่งลมหายใจก็ดูเพ่งไปที่ลมหายใจอย่างเดียว ดูความหมายลมเข้า ลมออก เรียกว่าการเจริญสมถะ มันจะต้องควบคุม จะต้องบังคับ จะต้องสะกดลงไปต้องจ้องต้องจับในอารมณ์เดียว ในลักษณะอย่างนี้ ถ้าหากว่าเพ่งอยู่จุบอยู่มันก็จะสงบ และก็เป็นความสงบที่มาก เป็นความสงบที่แนบเนียนที่แนบแน่นลงไป เกิดความสุขมากเกิดความเอิบอิ่มใจมาก แต่ถ้าหากว่าเพ่งลงไปก็จ้องจับลงไปประคับประคองจ้องลงไปเพ่งลงไป
ถ้ามันไม่อยู่ขึ้นมามันก็จะฟุ้งมาก เกิดความฟุ้งซ่านเกิดความหงุดหงิดรำคาญใจ นั่นลักษณะของการเจริญสมถะแต่การเจริญวิปัสสนามันไม่ได้ทำอย่างนี้ เจริญวิปัสสนามันปล่อยวางมีสติระลึกรู้สภาพธรรมต่างๆ ไม่ใช่ไปจ้องไปกดไปสะกด "เจริญวิปัสสนามันใช้สติสัมปชัญญะ ระลึกรู้สภาพธรรมต่างๆ ไม่เจาะจงว่าจะต้องเป็นอารมณ์นั้นอารมณ์นี้ อารมณ์มันดีก็ตามไม่ดีก็ตามสงบก็ตามไม่สงบก็ตาม มันเกิดขึ้นอย่างไรก็รู้อย่างนั้น และก็รู้อย่างไม่ต้องการอย่างไม่ปฏิเสธ" แนวทางการเจริญสมถะกับวิปัสสนามันต่างกันวิปัสสนาระลึกอารมณ์ต่างๆ ไม่เลือก บางขณะระลึกรู้ความรู้สึกที่กายดูความรู้สึก ความไหวความตึง ความเย็นความร้อน อ่อนแข็ง รู้สึกสบายที่กาย บางขณะระลึกรู้จิตคือตัวรู้หรือความคิด เวลาคิดก็ดูความคิดหรืออาการในจิต เวลามันเกิดตรึก เวลามันเกิดความรู้สึกในทางดีไม่ดี ชอบไม่ชอบ สงบไม่สงบ ก็ระลึกรู้ไปต่างๆ รับรู้อารมณ์ต่างๆ
แต่ว่ารู้เฉพาะอารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์ เฉพาะ อารมณ์ที่เป็นของจริง คือไม่ใช่เป็นรูปร่างไม่ใช่เป็นความหมายไม่ใช่เป็นชื่อภาษา ระลึกเฉพาะอารมณ์ที่เป็นปรมัตถ์ อย่างที่กายก็ระลึกไปที่ความรูสึกความไหวความตึง ความกระเพื่อมความสะเทือน ความเย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึง
ไม่ขยายออกไปเป็นรูปร่างสัณฐาน ท่าทางความหมายว่านั่ง ไม่มีท่าทางไม่มีความหมายว่านั่ง ไม่มีสัณฐานของกาย ไม่มีท่าทาง ไม่มีรูปร่างเป็นท่อนแขน หรือรูปร่างรูปทรงของกายที่นั่ง มันจะรู้แค่ความรู้สึก ความไหวความกระเพื่อม ความสั่นสะเทือนไปทุกส่วนของร่างกายแต่ไม่มีท่าทางแล้วก็รู้ถึงจิตใจความรู้สึกนึกคิด ความสงบไม่สงบ ความตรึก ความสงสัย ความดีใจ ความอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นอาการในจิต แต่ไม่ใช่ไปดูเรื่องราวของจิต เรื่องราวของจิตเป็น
สมมติบัญญัติ สมมติบัญญัติที่เป็นความหมาย เพราะถ้าจิตมันคิดไปสู่เรื่องราวต่างๆ กันก็จะเป็นเรื่อง เป็นสถานที่ เป็นเหตุการณ์ เป็นความหมาย เป็นชื่อเป็นภาษา อันนั้นคือ
อารมณ์ของจิต เวลาจิตคิดนี่ไม่ใช่ไปดูเรื่องราวของการคิด ให้ระลึกที่การคิด
ให้ระลึกที่ตัวรู้ พอระลึกที่ตัวรู้มันก็สลัดเรื่องราวออกไปเป็นขณะๆ แต่ก็อย่าลืมว่าขณะที่ระลึกรู้ไปนั้น ให้เป็นไปด้วยความปกติคือให้มันปลอดจากความอยากให้มันมีความเป็นกลาง เป็นปกติ ให้มันปล่อยวางอยู่เสมอ ดังที่กล่าวแล้วว่า ขณะที่ระลึกรู้นั้นต้องให้มันเป็นสภาพที่ปลอดจากความอยาก ถ้าเผลอตัวมีความอยากเข้าไป มันก็จะเอาแล้วไม่ปกติสภาพร่างกายตึงเกร็ง จิตใจจะไม่โปร่งไม่เบา พอมันมีความอยากมากขึ้นๆ มันจะเป็นอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ระลึกรู้ดูไปๆ มันจะกลายเป็นยึด พออยากแล้วมันก็ยึดคือการจะเอาให้ได้ จะดูให้ได้ จะให้ได้อย่างนั้น จะเอาให้ทัน ไปยึดไปสะกดอารมณ์ มันก็เกิดความเคร่งตึง จิตไม่โปร่งไม่เบา นั่นคือมันเป็นเหยื่อของตัณหา เป็นเหยื่อของความอยาก ทำสติสัมปชัญญะไม่หลุดรอดจากตัณหา ตัณหามันเข้าไปเชื่อมเข้าไปครอบงำเข้าไปบงการ รู้ตัวอย่างนี้ก็แก้ไข ปรับปรุงปรับผ่อน ละวาง สละ ฝึกหัดการให้จิตมันคลายจากตัณหา คลายไม่ถูก คลายไม่เป็น
ก็ดังที่กล่าวแล้วว่าฝึกหัดว่าจะทำจิตวางเฉยหรือว่าจะหยุดอยู่ก็ได้ ทำจิตอยู่เฉยๆ หยุดอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ให้จิตมันหยุด ก็จะเห็นกระแสของจิตที่มันไม่หยุดหรอก มันก็จะแวบไปคิดรับอารมณ์มีสภาวะเข้ามาแทรกพยายามจะปล่อยฝึกหัดให้จิตมันปล่อยให้มันหยุด แต่มันก็ไม่หยุดหรอกมันก็แวบไป มีสิ่งต่างๆ สลับสับเปลี่ยน คอยดูคอยรู้ มันก็จะคลายตัวไม่เป็นเหยื่อของตัณหา ทำได้ดี สติสัมปชัญญะมันก็จะมีหลักมาอยู่เป็นหลัก "มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่กลางๆ ไม่ได้แล่นไป ไม่ได้จงใจไปตรงนั้นตรงนี้ มารวมอยู่เป็นหลักตรงกลาง มีจุดยืนของมันอยู่ จิตมันจะรู้ตัวของมันคือจิตมันจะรู้จิตขึ้น ตัวรู้เกิดรู้ตัวรู้ขึ้น จิตก็คือสภาพรู้ มันจะรู้ตัวสภาพรู้และสิ่งที่มันจะซ้อนเข้ามา"
ขณะที่รู้จิตระลึกรู้จิตก็จะพบอาการในจิตว่า อาการในจิต ขณะนี้รู้สึกอย่างไร สงบ เบาหรือไม่สงบ แล้วก็อาการของกายก็จะซ้อนเข้ามา ความไหวความกระเพื่อมที่กายมันจะซ้อนเข้ามาขณะที่ดูจิตนั่นโดยไม่ต้องไปจ้องหา มันเหมือนกับว่าสภาวะธรรมต่างๆ มันมารวมมันย่อเข้ามาหากันเหมือนกับย่อที่ต่างๆ มารวมกันอยู่ ดูจิตอยู่รู้จิตอยู่มันก็รู้กายไปได้ด้วย รู้จิตแล้วมันก็รู้ความรู้สึกที่กายมันซ้อนขึ้นมากันได้ จะมีเสียง มีได้ยิน ซ้อนเข้ามา มีความรู้สึก มีความนึกคิด มีความรู้สึกที่กายมันซ้อนกันขึ้นมาโดยไม่ต้องไปจ้องหา ถ้าเป็นอย่างนี้ มันก็จะไม่ขยายตัวออกไปสู่สมมติกว้างออกไป ไม่ขยายออกไปสู่ความเป็นรูปร่างสัณฐานในความหมายชื่อภาษา จะเข้าอยู่ภายใน รู้อยู่ภายใน รู้อยู่ในจิต รู้อยู่ในความรู้สึกที่จิต รู้อยู่ในความรู้สึกที่กายอยู่
อุปมาเหมือนกับว่า ในทางสี่แพร่งตรงกลางมีจอมปลวก บุคคลก็ไปยืนอยู่บนจอมปลวกหรือไปนั่งอยู่ที่จอมปลวกนั้น ก็จะสามารถเห็นผู้คนหรือสัตว์หรืออะไรที่มันผ่านในทางสี่แพร่ง จะมาทิศไหนอย่างไรก็มาผ่านให้รู้ อุปมาเหมือนกับว่าจิตก็รู้อยู่ที่จิตนั่นแหละ และมันก็จะรับรู้ในส่วนต่างๆ ได้ สติปัฏฐานทั้งสี่มันจะรู้คลุมได้ทั่วกัน รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้สภาพธรรมอยู่ ก่อนหน้านี้เราปฏิบัติ พยายามค้นคว้า ขวักไขว่ วิ่งไปหาอารมณ์ต่างๆ เหมือนกับคนที่ไปเจอทางสี่แพร่งแล้วก็วิ่งไปทางนั้นทีวิ่งมาทางนี้ที ทางซ้ายทางหน้าทางหลัง เหนื่อยและก็ไม่ทันต่อเหตุการณ์ เวลาผู้คนเขาผ่านมาทางโน้นที่เราไม่ได้อยู่ก็ไม่เห็นแล้ว เขาผ่านเส้นทางสี่แพร่งไปแล้ว ไม่เห็นไม่ทัน
แต่ถ้าเราเป็นผู้ฉลาด เราไม่ต้องวิ่งไปหาทางโน้นทางนี้หรอก เราอยู่ที่ศูนย์กลางของทางสี่แพร่งนั่นแหละ คอยสังเกตดูซิว่ามันจะมีคนผ่านมาผ่านไปทิศไหนอย่างไรข้อนี้ฉันใดก็ตาม เราปฏิบัติเราก็ทำจิตให้มันอยู่กลางๆ มีจิตรู้จิตอยู่ แต่มันจะมีกระแสในการรับรู้ในฐานอื่น รู้กาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม นี่เราปฏิบัติมันหลุดจากฐาน เราปฏิบัติขวักไขว่ค้นหา สมมติว่าจ้องไปดูที่ขา ที่อื่นเลยไม่รู้สึกเลย เราทุ่มจิตทุ่มตัวลงไปที่ใดที่หนึ่งมันเสียฐานมันเสียจุดยืน เหมือนเราวิ่งไปทางเดียว สภาวะธรรมอื่นๆ ที่จะปรากฏต่างๆ เลยไม่รู้เพราะเราไปจ้องดูที่ใดที่หนึ่ง แต่ในขั้นต้นของการฝึกหัดมันก็อาจจะจำเป็นต้องทำอย่างนั้นไปก่อน
เช่นว่า เราจ้องดูลมหายใจไปก่อน ดูลมเข้าดูลมออก ดูลมเข้าดูมออก แต่เมื่อเราปฏิบัติยิ่งขึ้นเราพัฒนาขึ้นมาก็อย่าไปจ้องดูแต่เฉพาะลมหายใจ เราจะต้องมีความสังเกตให้มันพร้อมเหมือนเรานั่งอยู่ ไม่ใช่ดูแต่ทางเดียวทิศเดียว เราจะต้องให้มันรู้สึกตัว สังเกตรอบตัวว่าจะมีใครมาทางหน้าทางหลังทางซ้ายขวาอะไร แต่เราไม่ต้องวิ่งไป แต่เรามีความรู้ตัวทั่วพร้อม ให้มันรู้รอบตัวของตัวเองว่ามันจะมีอะไรมาบ้าง เหมือนกับขณะที่ทำสติระลึกถึงลมหายใจเข้าออกใหม่ๆ เราเน้นไปอย่างเดียว ดูลมเข้าดูลมออก ต่อๆ มาเราเริ่มรู้สึกตัวสังเกตสิ่งแวดล้อมที่มันจะสัมพันธ์เข้ามา ขณะที่ดูลมหายใจออกก็สังเกตว่ามันมีความรู้สึกไหม มีเวทนา รู้สึกบางครั้งหายใจเข้าออกไม่สบาย รู้สึกไม่ค่อยสบาย
หรือบางทีมันรู้สึกสบายดี หายใจปลอดเบา บางทีรู้สึกมันอึดอัด บางทีมันร้อน มันไม่ค่อยสบาย รู้ลมเข้าลมออกไปด้วย รู้ความสบายไม่สบายไปด้วย นี่เรียกว่าขยายความรู้มากขึ้น หนักเข้ารู้ถึงจิตได้ด้วย ดูลมเข้าดูลมออกยังสังเกต เอ๊ะ.....มีจิตตัวรู้ตัวคิดอยู่ด้วย ทำไปทำไปสังเกตเห็นว่ามีอาการในจิตรู้สึกเวลาลมหายใจอย่างนี้จิตใจรู้สึกสบายดีรู้สึกใจเย็น บางครั้งรู้สึกจิตใจไม่สบาย พอจิตใจไม่สบาย ลมหายใจรู้สึกมันจะขัดมันอึดอัดมันไม่โปร่งไม่ละเอียด จะเห็นความสัมพันธ์ความเกี่ยวข้องลมหายใจกับจิตกับเวทนา บางครั้งจิตใจรู้สึกสงบสบาย ลมก็เบาละเอียดนุ่มนวลกายระงับ เวทนาระงับ นี่เรียกว่ารู้สึกตัวทั่วพร้อมรู้ไปทั้งสี่ฐาน
กายก็รู้คือลมหายใจ ลมหายใจถือว่าเป็นกาย เรียกว่ากายสังขาร คือสิ่งที่ปรุงแต่งกาย สิ่งที่ปรนเปรอร่างกาย ร่างกายนี้จะดำรงอยู่ได้ก็ต้องอาศัยลมหายใจ และลมหายใจเรียกว่ากายสังขารถือว่าเป็นกาย ที่ว่าพิจารณากายในกายส่วนหนึ่งก็คือ ลมหายใจ ดังนั้นการระลึกถึงลมหายใจเข้าออกก็ถือว่าได้ปฏิบัติสติปัฏฐานในข้อที่หนึ่ง คือ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เราปฏิบัติไม่ใช่ดูเฉพาะลมหายใจ เราสังเกตถึงความรู้สึกนั่นก็คือดูเวทนาด้วยเป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน สังเกตความรู้สึกของกายที่มันรู้สึกสบายหรือไม่สบาย หรือในจิตใจมันสบายหรือไม่สบาย แค่นั้นก็ยังไม่พอ
"ดูถึงจิตสังเกตตัวรู้มีสภาพรับรู้อยู่ ลมหายใจก็อย่างหนึ่ง ตัวรู้ก็อย่างหนึ่ง" ลมหายใจเข้าออกก็มีตัวเข้าไปรู้ ตัวรู้นี่บางทีก็รู้ลมหายใจ บางทีก็ไปรู้อย่างอื่น นี่ก็เห็นจิตในจิต นอกจากนั้นก็จะไปเห็นธรรมในธรรมเห็นอาการในจิต บางครั้งก็สงบดี บางครั้งก็ไม่ค่อยสงบ บางครั้งรู้สึกมีความชอบมีตัณหา บางครั้งก็ไม่มีตัณหา บางครั้งก็โปร่งใจบางครั้งก็หนักใจ บางขณะก็ขุ่นมัว บางขณะก็ผ่องใส ในขณะนี้ก็ยังดูลมหายใจอยู่สังเกตอากานในจิตไปได้ สังเกตจิตสังเกตเวทนา เรียกว่าทำสติปัฏฐานได้ครบสมบูรณ์ กายานุปัสสนาสติปัฏฐานคือดูลมหายใจเข้าออก เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานดูความรู้สึกที่กายที่ใจที่มันสบายไม่สบาย หรือมันเฉย ดูจิตตัวรู้เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดูธรรมในธรรมก็คืออาการในจิต ส่วนหนึ่งคืออาการในจิต เกิดความไม่สงบก็ดูไปไม่เลือกอารมณ์ ทำสติปัฏฐานได้สมบูรณ์เริ่มจากการที่ดูลมหายใจ
ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า คนที่เจริญอานาปานสติให้มากทำให้มากทำอย่างนี้ให้ยิ่งขึ้น ย่อมทำสติปัฏฐานทั้งสี่ให้สมบูรณ์ เมื่อสติปัฏฐานทั้งสี่สมบูรณ์ ก็จะทำให้โพชฌงค์เจ็ดสมบูรณ์ไปด้วย โพชฌงค์เจ็ดคือองค์แห่งความตรัสรู้ คือ สติสัมโพชฌงค์เป็นตัวระลึกได้ ธัมมวิจัยสัมโพฃฌงค์พิจารณาสอดส่องในธรรมอยู่ วิริยสัมโพชฌงค์มีความเพียรอยู่ ในขณะนั้นเพียรตั้งสติ เพียรระลึกรู้ มีปีติสัมโพชฌงค์เกิดความอิ่มเอิบใจ มีปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีความสงบเกิดขึ้น มีสมาธิสัมโพชฌงค์ ตั้งมั่นอยู่ มีอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ถึงคราวที่สุดก็วางเฉยเป็นกลางสม่ำเสมอต่อสภาวะธรรมต่างๆ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ แล้วก็สมาธิ อุเบกขา เป็นองค์ของความตรัสรู้ก็มาจากการที่เจริญสติปัฏฐานสี่ให้สมบูรณ์ โพชฌงค์เจ็ดก็สมบูรณ์ไปด้วย เมื่อโพชฌงค์สมบูรณ์ก็ทำให้เกิดวิมุติ เข้าถึงความหลุดพ้น ตรัสรู้ เมื่อความรู้แจ้งเกิดขึ้นก็ถึงวิมุติความหลุดพ้นได้ในที่สุด
นี่ก็เกิดจากการที่เราได้ฝึกหัดอบรมให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามแนวทางของการเจริญวิปัสสนา หรือว่าการเจริญสติปัฏฐาน
วันนี้ก็ได้ใช้เวลามานานพอสมควร จึงขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอความสุข ความเจริญในธรรม จงมีแด่ทุกท่าน เทอญ -http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7005