ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
sithiphong:
เป็นหนี้บัตรเครดิต จะโดนยึดเงินเดือนไหม!!
-http://money.sanook.com/170812/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%B6%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99/-
เป็นหนี้บัตรเครดิตหลายใบ หมุนจ่ายไม่ทัน ใครเคยเป็นบ้าง ถ้าใครไม่เคยนับว่าเป็นเรื่องดีที่รู้จักการบริหารการเงิน แต่ถ้าใครกำลังเผชิญสภาวะนี้อยู่ ลองอ่านบทความนี้ดู
เจ้าหนี้ยึดทรัพย์ อายัดเงินเดือน โบนัส ได้หรือไม่
การใช้เงินอนาคตผ่านบัตรพลาสติก ทั้งบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดนั้น หากสามารถบริหารการเงินได้เป็นอย่างดี ใช้แล้วจ่ายตรงกำหนดเวลา จะได้รับประโยชน์มากทั้งการสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของรางวัล และการเลื่อนเวลาการจ่ายเงินสดออกไป แต่หากไม่รู้เท่าทันการใช้เงินอนาคตเหล่านี้ หวังเพียงแค่โปรโมชั่นของแถมมากมายจากการสมัคร แล้วใช้จ่ายอย่างไม่ลืมหูลืมตา อาจเป็นโทษมหันต์ได้เช่นกัน
ข้อควรรู้ก่อนเริ่มต้นทำบัตรเครดิตนั้น ผู้ใช้บัตรเครดิต จำเป็นต้องมี "วินัยในการใช้เงิน" คือ ต้องจ่ายชำระหนี้ให้ตรงตามกำหนด หากชำระเต็มจำนวนได้ยิ่งดี พยายามมีบัตรเครดิตให้น้อยใบที่สุดเพื่อควบคุมหนี้ ใช้จ่ายในวงเงินที่เราสามารถชำระคืนได้ และหมั่นตรวจสอบว่าในแต่ละเดือนมีพฤติกรรมใช้จ่ายเงินเกินตัวหรือไม่ เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีพฤติกรรมดังกล่าว ควรเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินตั้งแต่เนิ่นๆ โดยการทำบันทึกรายรับ-รายจ่าย พิจารณาให้ดีว่ารายจ่ายส่วนใหญ่เป็นของจำเป็นหรือฟุ่มเฟือย แค่นี้ก็ไม่ต้องปวดหัวกับการมีหนี้แล้วครับ
พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ที่เกิดปัญหา คือ รูดบัตรเครดิตใช้เงินล่วงหน้าก่อน อยากได้อะไรก็รูดๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงศักยภาพในการชำระหนี้ ว่าจะมีเงินชำระหนี้หรือไม่ จะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อวงเงินเต็มไม่สามารถรูดได้อีกนั่นล่ะครับ พอนานวันเข้าก็หาทางออกด้วยการกู้เงินจากบัตรกดเงินสดมาชำระหนี้บัตรเครดิต และกู้หมุนเวียนสลับไปเรื่อยๆ แรกๆ ก็ยังหมุนเงินคล่องมือ แต่หลังจากมีหนี้หลายใบ ก็เริ่มกู้เงินไม่ได้แล้ว พอเงินหมุนไม่คล่อง ไม่สามารถจ่ายเจ้าหนี้ได้ จากที่เคยรูดหรือกดเงินสดได้ ก็เริ่มเป็นกังวลกับการที่ไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ได้ กลัวเจ้าหนี้จะมาทวงหนี้ถึงที่ทำงาน ซึ่งปัญหาหนี้เหล่านี้ส่งผลให้ลูกหนี้บางรายที่ยังคงมีความสามารถชำระหนี้ได้ ไม่กล้าไปทำงานหรือบางรายลาออกไปเลยก็มี
สำหรับผู้ที่เป็นหนี้สินมากมายและไม่สามารถชำระหนี้ได้แล้วนั้น ข้อควรรู้ประการหนึ่ง คือ เจ้าหนี้ไม่สามารถยึดทรัพย์สินที่จำเป็นในการดำรงชีพ เช่น โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ อุปกรณ์เครื่องครัว โทรทัศน์ หรือ ทรัพย์สินที่ใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินได้ แต่หากเป็นทรัพย์สินมีค่าอย่างอื่น เช่น บ้าน รถยนต์ เงินฝากในบัญชีธนาคาร สร้อย แหวน ทองคำ กรมบังคับคดีมีสิทธิ์ที่จะยึดทรัพย์สินเพื่อนำมาชำระหนี้ได้
สำหรับคำถามเจ้าหนี้สามารถอายัดเงินเดือน หรือโบนัส ได้หรือไม่นั้น หลักเกณฑ์การอายัดเงินเดือนที่ควรทราบไว้ คือ ลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างประจำของข้าราชการจะไม่ถูกอายัดเงินเดือน หากลูกหนี้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือเป็นพนักงานบริษัทแล้ว เจ้าหนี้มีสิทธิ์อายัดเงินเดือนเพื่อใช้หนี้ได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินเดือนเท่านั้น ทั้งนี้ หากมีค่าใช้จ่ายจำที่จำเป็นอื่นๆ อีก เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาลพ่อแม่ซึ่งเจ็บป่วยอยู่ สามารถนำหลักฐานเพื่อลดเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนได้อีก
ข้อควรรู้อีกประการ คือ หากลูกหนี้มีเงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท เจ้าหนี้ไม่สามารถสั่งอายัดเงินเดือนได้ เนื่องจากต้องเหลือเงินขั้นต่ำให้ใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพในชีวิตประจำวันด้วย กรณีที่มีเงินเดือนมากกว่า 10,000 บาท ยกตัวอย่างเช่น มีรายได้เดือนละ 20,000 บาท ลูกหนี้จะถูกอายัดเงินได้สูงสุดไม่เกิน 6,000 บาท ทำให้มีเงินเหลือใช้จ่ายแต่ละเดือน 14,000 บาท เป็นต้น
นอกเหนือจากเงินเดือนแล้ว เงินได้และทรัพย์สินอื่นๆ เจ้าหนี้สามารถสั่งอายัดได้หรือไม่นั้น สำหรับบัญชีเงินฝาก เจ้าหนี้สามารถสั่งอายัดได้ทั้งจำนวน ในส่วนของรายได้อื่น เช่น เงินโบนัส หากเป็นช่วงสิ้นปีแล้วมีโบนัส เจ้าหนี้สามารถอายัดได้ 50% ในส่วนของทรัพย์สินที่เป็นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือหากร่วมทุนอยู่กับผู้อื่นเปิดบริษัท กรมบังคับคดีสามารถยึดใบหุ้นเพื่อขายทอดตลาด และอายัดทรัพย์สินเฉพาะส่วนที่เป็นของผู้ถูกอายัดเพื่อนำมาชำระหนี้ได้ทั้งจำนวน
จะเห็นได้ว่าการเริ่มต้นเป็นหนี้นั้น ไม่ได้เป็นการได้เงินมาใช้ฟรีๆ เพียงแต่เป็นการนำเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้า ต้องใช้คืนหนี้ทั้งเงินต้นรวมทั้งดอกเบี้ย หากคุณเป็นผู้ที่ยังเป็นหนี้ไม่มากนักและพอที่จะชำระหนี้ไหว ต้องการที่จะปลดหนี้เพื่อความเป็นไทให้กับตัวเอง เริ่มต้นวันนี้ยังไม่สายครับ เพียงแค่จัดการโอนหนี้รวมเป็นก้อนเดียว มีบัตรเครดิตเพียงแค่เพื่อใช้จ่ายได้สะดวกหรือยามจำเป็น ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องพยายามรักษาเครดิตคุณไว้ให้ดี เพราะหากก่อหนี้เสียไว้แล้ว และต้องการกู้ซื้อบ้านหรือทำธุรกิจในอนาคต อาจดับความฝันในอนาคตได้
โดย : คนอง ศรีพิบูลพานิชย์, AFPT
ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย
sithiphong:
เงิน 800 บาทกินทั้งเดือน เรื่องเล่าให้กำลังใจคนท้อแท้
-http://money.kapook.com/view80796.html-
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณกบกินกะลา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นทุกวัน ทำให้การใช้ชีวิตของแต่ละคนต้องเป็นไปอย่างประหยัดมัธยัสถ์ หรือบางคนก็อาจจะไม่พอใช้จ่ายรายเดือนเลยด้วยซ้ำ จนกลายเป็นความท้อแท้ที่ชักหน้าไม่ถึงหลังและเบื่อชีวิตเอาดื้อ ๆ ซึ่งถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่กำลังเหนื่อยหรือท้อกับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ลองมาอ่านบทความดี ๆ ที่กระปุกดอทคอมได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ จาก คุณกบกินกะลา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ผู้ซึ่งสามารถใช้ชีวิตทั้งเดือนได้ด้วยเงิน 800 บาท ในวันที่เขาหมดหนทางจริง ๆ ลองไปอ่านเพื่อเตือนสติตัวเองให้กลับมาฮึดสู้อีกครั้งกันนะคะ ^^
ผมมีอะไรเล่าให้ฟัง ....กับเงิน 800 บาทกินทั้งเดือน...... สำหรับคนที่ท้อแท้หาทางออกกับชีวิตไม่ได้ โดย คุณกบกินกะลา สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
จะเล่าอะไรให้ฟังนิดหนึ่งครับ พอดีนึกถึงตัวเองตอนมาหางานทำที่กทม. เมื่อสองปีที่แล้ว (ทั้งหมดนี่ คือเรื่องจริง 100% ทีเกิดขึ้นกับผม)
ประมาณสองปีก่อน ผมตกงานอยู่ที่ ตจว. ค้างค่าเช่าบ้านเขา (เดือนละ 1,200 บาทก็ยังหาไม่ได้) เลยมาหางานทำที่ กทม. เพราะงานที่ ตจว.หายากมาก ๆ มีเงินติดตัวมาทั้งหมด 2 พันบาทถ้วน (เอามือถือ เอา ram Hdd ไปขาย) โทรศัพท์เอาอันเก่าที่หน้าจอแตก มองอะไรไม่เห็น เอามาใช้ชั่วคราวก่อน เพื่อโทรหาลูก-เมียที่บ้าน หอบเสื้อผ้า กระเป๋า มากทม. คนเดียว ลูก-เมีย ทิ้งไว้ที่ ตจว. เป็นการเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่สุดในชีวิตเลย มาเพื่อวัดดวงกันเลยจริง ๆ
นั่งรถไฟฟรีตั้งแต่ ตี 4 มาลง กทม. ประมาณ 8 โมงเช้า นั่งรถเมล์ฟรีต่อมายังย่านที่คิดว่า ค่าเช่าห้อง ค่าใช้จ่ายถูก ๆ ที่เล็งไว้ก็คือ ประชาอุทิศ พระประแดง สุขสวัสดิ์ ทุ่งครุ (หาข้อมูลไว้ก่อนแล้วว่าแถวนี้ ค่าเช่าถูก โรงงานเยอะน่าจะมีงานให้ทำเยอะเช่นกัน)
ผมไปเดินหางานร้านคอมฯ ร้านของชำ โรงงาน ปั้มน้ำมัน ร้านอาหาร คาร์แคร์ ฯลฯ ร้านไหนติดป้ายหน้าร้านบอกรับคนงาน พนักงาน ก็เข้าไปสมัครกับเขาเลยไม่อายอะไรทั้งสิ้น ตอนนั้นงานอะไรก็ทำหมด ของานเขาทำ ค่าแรงไม่เกี่ยงเดินหางานอยู่ เกือบ 1 วัน ไม่ใช่ง่าย ๆ เพราะส่วนใหญ่จะจ้างผู้หญิง หรือไม่ก็คนอายุน้อย ๆ (ตอนนั้นผม 35 แล้วนะครับ)
จนได้งานร้านขายคอมฯ เขาจ้างให้เฝ้าร้านและประกอบคอม ค่าแรงวันละ 300 บาท พรุ่งนี้มาทำได้เลย ดีใจมาก ผมยังไม่มีห้องพัก เลยหอบกระเป่าเสื้อผ้าไปนอนร้านเกมส์
ย้ำว่าไปนอนร้านเกมส์ คือเดินไปเดินมานั่งป้ายรถเมล์จนดึก แล้วก็ไปนั่งร้านเกมส์ เช่าคอมฯ เขา (เขามีเหมา 1 ทุ่ม ถึง 6 โมงเช้า ที่ 80 บาท) เลยวางของตรงนั้น นั่งเล่นเกมคร่าเวลาไป พอดึกก็นั่งหลับตรงนั้นเลย เงิน 80 บาทถือเป็นค่าที่พักห้องแอร์ มีเกมส์เน็ตให้เล่น 555 พอเช้า ตีห้า ตื่นมาก็หอบกระเป๋าเสื้อผ้า เดินไปปั๊มน้ำมันใกล้ ๆ เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมไปทำงานวันแรก (แต่ไม่ได้อาบน้ำ ทนเหม็นหน่อยเอาแป้งเด็กทาตัวดับกลิ่นไปก่อน) ไปทำงาน และตอนพักเที่ยง เดินไปหาหอพักแถว ๆ นั้น (ผมไปอยู่แถว ๆ ม.พระจอมเกล้าฯ บางมด)
เจอห้องพักราคาถูกเดือนละ 1 พันบาทไม่ต้องมัดจำ รวมน้ำไฟแล้ว เลยสนใจมาก เป็นห้องพักเก่า ๆ ตึกอาคารพานิชย์เก่า ๆ แบ่งห้องให้เช่า ในห้องไม่มีอะไร นอกจากพัดลมเพดาน กับเสื่อน้ำมันเก่า ๆ ห้องน้ำรวม ห้องน้ำก็เก่ามาก ๆ ไม่มีฝักบัว มีแต่ก๊อกกับโอ่งดินเก่า ๆ เล็ก ๆ รองน้ำกับขัน 1 ใบ ในตึก มีทั้งหมด 20 ห้อง มีคนอยู่ประมาณ 4 ห้อง ที่เหลือร้างหมด ดึก ๆ เหมือนตึกร้างเลย แต่ผมไม่กลัวผีหรอกนะ เลยเอาเงินวางจอง 1 พันบาท หอบเสื้อผ้าไปนอนวันนั้นเลย
ได้ที่พักแล้ว 1 เดือน ได้งานทำแล้ววันละ 300 บาท ครบองค์ประกอบการรอดชีวิตแล้ว (ลืมบอกไปว่า ก่อนผมจะมากทม. ผมยืมเงินพี่ข้างบ้านไว้ 1 พันบาท ทิ้งไว้ให้ลูก-เมียกิน ตัวผมเอาเงินจากขายของมา 2 พันบาท) เงินเหลือติดตัวทั้งสิ้นประมาณ 800 บาท ณ วันที่ 1 ของเดือน ต้องอยู่ให้ได้ถึงสิ้นเดือนกับเงินสุดท้ายนี้ เพื่อเงินเดือนออกจะได้รอด ผมเดินไปทำงาน เพราะมันไม่ไกลมากประมาณ 3 กิโล ถ้าโชคดีเจอรถเมล์ฟรี ก็โดดขึ้นเลย
ทำงาน ตอนเที่ยงไม่ได้กินข้าว กินแต่น้ำเอา
ตอนเย็นเลิกงาน ไปซื้อข้าวเปล่า 10 บาท กับปลากระป๋อง ยี่ห้อ ซีเล็ครสเผ็ด (กระป๋องเขียว ๆ) ราคา 14 บาท (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ขึ้นราคาหรือยัง) รวมแล้ว 24 บาท (เอาขวดเปล่ากดน้ำตู้ 1 บาทไว้กิน) ผมซื้อปลากระป๋องแทบทุกวัน จนเด็กในร้านจำผมได้ เท่ากับว่าผมใช้ชีวิตอยู่ได้ ด้วยเงินวันละ 25 บาทเท่านั้น 30 วัน x 25 บาท ผมใช้เงินทั้งหมด 750 บาท
ผมกินข้าวกับปลากระป๋อง เกือบทั้งเดือน ถ้าเบื่อผมก็เอาเงิน 25 บาทที่เป็นงบค่ากิน ไปซื้อข้าวไข่เจียวกล่องละ 20 บาท + ลูกชิ้น 1 ไม้ 5 บาท หรือหมูปิ้งไม้ละ 5 บาท 3 ไม้ + ข้าวเหนียว 10 บาท ก็สามารถอิ่มได้ มันสนุกที่จะทำไง ให้เงิน 25 บาท ซื้อของกินให้ได้มากที่สุด อิ่มที่สุด
ผมซื้อปลากระป๋อง เซเว่นทุกวัน จึงเอาเงินสดเติมเข้าบัตร เซเว่นไป 500 บาท แล้วใช้เงินในบัตรซื้อปลากระป๋อง จนได้แต้มมาส่วนหนึ่ง แล้วเอาแต้มนั้นแลกเป็นของอย่างอื่น เช่น มาม่า ขนมปัง นม ฯลฯ แล้วแต่ว่าพอหรือเปล่า
ผมไม่มีเงินเติมมือถือ รับสายได้อย่างเดียว ตอนนั้นของ true มีบริการยืมเงินค่าโทรได้ 30 บาท ผมก็กดยืมเพื่อเอาไว้โทรหาลูกเมียที่บ้าน วันเว้นวัน โทรวันละ 2-3 นาทีก็รีบวาง หรือไม่ก็ให้เมียสมัครโปร 9 บาทโทรฟรี 2 ทุ่ม ถึง 6 โมงเช้า โทรมาหาผมแทน
ยอมรับว่าตอนอยู่คนเดียว คิดถึงลูกมาก และเป็นห่วงเมียที่กำลังท้องอยู่ด้วย ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไปช่วยยังไง ลูกป่วยจะทำไง ฯลฯ แต่ก่อนมาก็ฝากพี่ข้างบ้านช่วยดูแลไว้แล้ว คงไม่เป็นไรหรอก คิดแบบนั้นตลอดเวลา
ลืมบอกสิ่งที่ผมคิดว่า ผมก็ประทับใจตัวผมจนทุกวันนี้ (ชมตัวเองก็เป็น) ที่สุดก็คือทุกวันศุกร์ตอนเลิกงานแล้ว ผมจะนั่งรถเมล์ฟรีสาย 21 ไปลงหัวลำโพง และต่อรถไฟฟรีเพื่อกลับไปหาลูกเมียที่ลพบุรี ขึ้นรถเที่ยวสามทุ่ม (ถ้าจำไม่ผิด) ไปถึงลพบุรีประมาณเที่ยงคืน ขอยืมจักรยานของจนท.รถไฟ ขี่ไปหาลูกที่บ้าน (ขอยืมเขา พี่เขาก็ใจดีให้ยืมทุกครั้ง) แล้วอยู่กับลูก-เมียเย็นวันอาทิตย์ ก็นั่งรถไฟฟรีกลับ กทม. มาทำงานตอนเช้าวันจันทร์ต่อ ผมทำแบบนี้ทุกสัปดาห์ เพราะมันอดไม่ได้จริง ๆ ที่ไม่ได้เจอลูก-เมีย
จนถึงวันที่ 30 ที่เงินเดือนแรกจะออก น้ำหนักผมลดไป 5 กิโลกรัม แต่ไม่เป็นไรไม่ป่วยอะไร ผมเหลือเงินติดตัวสุดท้าย 50 บาทในวันสุดท้ายก่อนเงินเดือนออก เย็นนั้นผมเอาเงินนี้ไปซื้อข้าวมันไก่ 30 บาท + น้ำอัดลม 15 บาท
จำได้จนถึงวันนี้ว่า เป็นมื้อที่ผมมีความสุขที่สุดในโลก เพราะ.....ผมได้อดทนมาถึงขนาดนี้ได้ ด้วยเงินแค่ 800 บาทอยู่ได้ทั้งเดือน
หลังจากเงินเดือนออก 9,000 บาท ผมก็เอาเงินไปมัดจำห้องคอนโดเก่า ๆ มีห้องน้ำในตัว เช่าเดือนละ 1,500 บาท แล้วที่เหลือ ผมก็ไปพาลูก-เมียมาอยู่ด้วยกัน (ตอนนั้นเมียกำลังท้องประมาณ 6 เดือน) เหลือเงินจากหักย้ายบ้าน มัดจำคอนโดแล้ว เหลือประมาณ 5 พันบาท ซึ่ง 5 พันบาทนี้สำหรับ 3 ชีวิต และ อีก 1 ชีวิตในท้อง ผมคิดว่ามันเพียงพอแล้ว กินได้อาทิตย์ละ 1 พันเหลือเฟือเลย นั่นแหละครับ ชีวิตที่ต้องเสี่ยงและเดิมพันเพื่อคนอื่น ทุกอย่าง ทุกปัญหามีทางออกครับ เพียงแต่เราต้องใช้สติและปัญญาให้รอบคอบ
เพิ่มเติมครับสำหรับท่านที่เป็นห่วง เรื่องที่เล่ามาเป็นเรื่องที่เกิดเมื่อ "สองปีที่แล้ว" ก่อนลูกคนเล็กจะคลอดครับ ณ วันนี้ ผมก็อยู่ได้เรื่อย ๆ ครับ ไม่ถึงกับรวย แต่ก็ไม่ลำบากมาก สิ่งที่ผมเจอมานั้น อยากจะแชร์ให้ท่านที่คิดว่า ท้อ เหนื่อย เบื่อ เครียด เสียใจ ฯลฯ กับชีวิตที่สิ่งไม่ดีเข้ามาหาเรา
ผมอยากให้ท่านอย่าถอย จงสู้กับมันครับ สู้ด้วยสติ และพิจารณาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น บางสิ่งเรามองเห็นแต่ไม่ได้สนใจ ทางหลาย ๆ อย่างมันมีทางออกแน่นอน
- คนตกงาน ขอให้สู้ต่อครับ ผมก็ตกงานเกือบครึ่งปีมาก่อน
- คนเป็นหนี้สิน หาทางสู้ครับ ผมก็เป็นหนี้มากมายก่อนเป็นแสน ๆ
- คนมีปัญหาครอบครัว หันหน้าคุยกันครับ มีอะไรจะพูด บอกให้หมดทุกอย่าง แล้ว ช่วยกันเดินไปด้วยกัน ฯลฯ
ผมเชื่อว่าเราทุกคน ท้อได้ แต่อย่าถอยครับ ถ้าเหนื่อยก็นั่งพัก ให้หายเหนื่อย แล้วลุกขึ้นเดินต่อครับ สักวันหนึ่ง มันต้องเป็นของเรา ช้าได้แต่ขอให้สู้ครับ
sithiphong:
ประกันสังคม เริ่มจ่ายบำเหน็จ บำนาญ มกราคม 2557
-http://money.sanook.com/173048/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%87%E0%B8%88-%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8D-%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1-2557/-
รู้หรือไม่ นับตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 2557 เป็นต้นไป ผู้ประกันตนกับประกันสังคมซึ่งอายุครบ 55 ปี จะได้รับบำนาญชราภาพ หลังจากที่สะสมมาจนครบ 15 ปี หรือ 180 เดือน
โดยผู้ประกันตนที่หักเงินเข้ากองทุนประกันสังคมเกินกว่า 15 ปี จะได้รับเงินบำนาญ โดยมีวิธีคิดคือ
1. ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 180 เดือน หรือ 15 ปี มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นมาตราฐานในการคำนวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
2. กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน ให้ปรับเพิ่มอัตราบำนาญชราภาพตามข้อ 1 ขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน สำหรับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบเกินกว่า 180 เดือน
3. ค่าจ้างที่ใช้คำนวณเงินสมทบไม่น้อยกว่าเดือนละ 1,650 บาท และไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท
ตัวอย่างการคิดบำนาญชราภาพ
โดยผู้ที่จะได้รับสิทธิกรณีบำนาญชราภาพต้องมีหลักเกณฑ์ดังนี้
- จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า180 เดือน ไม่ว่าระยะเวลา 180 เดือนจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม
- มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์
- ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
แต่หากคุณส่งเงินประกันสังคมมาไม่ถึง 15 ปี หรือ 180 เดือน คุณจะได้รับเป็นเงิน "บำเหน็จ" แบ่งเป็น 2 กรณี
- กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ มีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
- กรณีที่มีการจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ มีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายเงินสมทบ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พร้อมผลประโยชน์ตอบแทน ตามที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเกิดสิทธิกรณีบำเหน็จชราภาพ
- จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน
- ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
- มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย
หลักฐานที่ต้องใช้เพื่อขอรับประโยชน์ทดแทน
- แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ (สปส. 2-01)
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้านของผู้ประกันตนและของทายาทผู้มีสิทธิ (กรณีผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพถึงแก่ความตาย)
- ใบมรณะบัตรพร้อมสำเนา (กรณีผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพถึงแก่ความตาย)
- สำเนาสมุดบัญชี เงินฝากธนาคารหน้าแรก ซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชี (กรณีขอรับเงินทางธนาคาร) ผ่านทางบัญชีธนาคารของผู้ประกันตน 9 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน) ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด(มหาชน)
sithiphong:
7 Habits of Rich People
-http://women.sanook.com/18520/7-habits-of-rich-people/-
มาต้อนรับปีใหม่ 2014 ด้วย 14 นิสัยเศรษฐีที่เราสามารถทำตามกันได้ง่ายๆ กันดีกว่า เพื่อที่ว่าวันหนึ่งนิสัยเหล่านี้ อาจจะเป็นเรื่องที่ออกมาจากตัวเรา ไม่ต้องบังคับ หรือไม่เราก็อาจคิดนิสัยอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้เอง ก็ในเมื่อเราเองก็เป็นหนึ่งในเศรษฐีกับเขาด้วยเช่นกัน
1. ใช้เงินให้น้อยกว่าที่หามาได้เสมอ – ไม่ว่าเงินเดือนจะขึ้น จะมีการปรับตำแหน่ง ได้โบนัส อย่าได้ลืมคาถาข้อนี้ ใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้เสมอ และเงินที่หาได้ไม่สำคัญเท่ากับเงินที่เก็บได้
2. อย่าเป็นหนี้ – โอเค หนี้ที่สำคัญๆ เช่น บ้าน หรือรถคันเล็กๆ ที่พอให้เรามีความสะดวกสบายในการทำมาหากิน เป็นเรื่องพออนุโลมได้ แต่อย่าหาเรื่องเป็นหนี้ให้มากเกินไป
3. หากเป็นหนี้ รีบใช้หนี้ให้หมดให้เร็วที่สุด – โดยเรียงลำดับจากหนี้ที่มีดอกเบี้ยโหดที่สุด เช่น หนี้บัตรเครดิต ได้เงินมาให้ชำระหนี้ก้อนนี้ให้หมดเสียก่อน แล้วห้ามก่อหนี้เพิ่มเป็นอันขาด
4. จัดลำดับความสำคัญในชีวิต – เมื่อลองจัดดู เราจะเห็นว่าเราควรจะใช้เงินไปกับอะไรมากที่สุดก่อน โดยเฉพาะเรื่อง ที่อยู่ ความรู้ เงินเก็บ ประกันชีวิตและสุขภาพ ซึ่งจะทำให้เราสามารถมีอิสระทางการเงินได้อย่างแท้จริงในอนาคต
5. สร้างเป้าหมายเก็บเงิน – โดยดูจากรายได้และรายจ่ายตามจริง พยายามตัดรายจ่ายไร้สาระออกให้ได้มากที่สุด และหารายได้เพิ่มตามกำลังที่สามารถ
6. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น – ไม่มีใครรู้หรอกว่าอีกคนหนึ่งที่เรากำลังจ้องมองเขาอยู่ แท้จริงแล้วเขามีชีวิตอย่างไร ที่บอกว่ามีหรือไม่มีจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องของเรา จงตั้งใจพัฒนาสิ่งที่เรามีให้ได้เกิดคุณค่ามากที่สุดจะดีกว่า
7. หาความสุขง่ายๆ – อย่างที่เคยบอกไปแล้วในคอลัมน์นี้ว่า คนที่มีเงินจริงๆ มักมีชีวิตง่ายๆ ธรรมดาๆ ซึ่งใช่ว่าคนเหล่านี้จะทุกข์ยากในไลฟ์สไตล์ของเขานะ ก็เพราะมีความสุขได้ง่ายๆ นี่เองที่ทำให้เขามีเงินเก็บและทรัพย์สินมากมาย เป็นเศรษฐีจริงๆ ไม่ใช่เงินผ่อน รู้อย่างนี้แล้ว เริ่มทำตัวง่ายๆ ไม่ต้องประดิษฐ์มากไปจะดีไหม
sithiphong:
ในสภาพเช่นนี้ซื้อทองดีไหม ?
-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNU1UYzJNek00TUE9PQ==§ionid=-
คอลัมน์ ระดมสมอง โดย ไสว บุญมา
เมื่อปีที่แล้ว นับเป็นครั้งแรกในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมา หลังจากราคาทองคำพุ่งขึ้นไปแบบอธิบายได้ยาก ที่ราคาตอนสิ้นปีต่ำกว่าราคาตอนต้นปี แต่ปรากฏการณ์นั้นคงบ่งชี้ไม่ได้ว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไปทางไหนในปีนี้ สิ่งที่บอกได้แน่นอนมีอย่างเดียว นั่นคือในระหว่างที่ราคาขึ้นบ้างลงบ้างสลับกันไปเป็นรายวันนั้น ผู้เข้าร่วมในกระบวนการเก็งกำไรบางคนได้กำไรและบางคนขาดทุน ดังที่เป็นมาตั้งแต่เริ่มมีการเก็งกำไรในทองคำ
คงทราบกันดีแล้วว่า ปัจจัยใหญ่ที่ผลักดันให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น มักได้แก่ข่าวร้ายในด้านเศรษฐกิจ ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เกิดภาวะฟองสบู่ในอเมริกาสองครั้ง
ครั้งแรกเกิดจากราคาหุ้นของบริษัทที่ทำกิจการด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นไปจากการผลักดันของนักเก็งกำไรแบบไร้เหตุผล จนเป็นภาวะฟองสบู่ซึ่งปะทุออกมาเมื่อปี 2543 การปะทุนั้นส่งผลให้ นักเก็งกำไร และ ผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ สูญทรัพย์ไปจำนวนมาก
ต่อมาการเก็งกำไรมุ่งไปที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ราคาบ้านพุ่งขึ้นไปแบบไร้เหตุจนเป็นฟองสบู่ซึ่งปะทุออกมาเมื่อปี 2551 การปะทุครั้งนี้มีผลร้ายแรงมาก เนื่องจากทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยครั้งใหญ่เป็นอันดับสองรองลงมาจากเมื่อครั้งฟองสบู่ในตลาดหลักทรัพย์แตกเมื่อปี 2472 รัฐบาลและธนาคารกลางอเมริกันทุ่มเงินดอลลาร์จำนวนมหาศาลเข้าไปในระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังจะหยุดยั้งการถดถอยครั้งล่าสุด การกระทำนั้นสร้างความเสียขวัญให้หลากหลายวงการ รวมทั้งในหมู่นักเก็งกำไรและผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ด้วย หลายวงการมองว่าค่าเงินดอลลาร์จะตกต่ำอย่างหนัก พร้อมกับจะเกิดภาวะเงินเฟ้อร้ายแรง ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้มองว่าประเทศที่ถือครองเงินดอลลาร์จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะจีนจะทิ้งเงินดอลลาร์ และนำสิ่งอื่นมาเป็นทุนสำรองแทน
ปัจจัยเหล่านั้นผลักดันให้นักเก็งกำไรและผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หันไปซื้อทองคำ จนทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้นไปแบบไม่เคยเกิดมาก่อน
หลังเวลาผ่านไปราว 3 ปี ปรากฏว่าไม่มีภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้น ค่าของเงินดอลลาร์ไม่ตกต่ำ จีนและผู้มีเงินดอลลาร์จำนวนมหาศาลยังคงถือครองมันไว้ ปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อไม่เกิด ได้แก่ กำลังซื้อของคนทั่วไปมิได้เพิ่มขึ้นไปตามจำนวนดอลลาร์ในระบบ จีนและผู้ถือครองเงินดอลลาร์ไม่สามารถแสวงหาสิ่งอื่นมาแทนดอลลาร์ได้ เพราะไม่มีเงินสกุลไหนเป็นที่นิยมเท่าดอลลาร์ ค่าของเงินดอลลาร์จึงไม่ตก เมื่อภาวะเลวร้ายไม่เกิดขึ้นตามคาด ราคาของทองคำจึงตก
อย่างไรก็ตาม ความไม่เชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และเงินสกุลต่าง ๆ ที่รัฐบาลสร้างขึ้นยังคงอยู่ ความไม่เชื่อมั่นนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การสร้างทรัพย์สินใหม่ขึ้นมาอย่างหนึ่งซึ่งชื่อว่า "บิตคอยน์" ทรัพย์สินนี้มีลักษณะคล้ายทองคำและเงินตราในบางแง่ แต่มันไม่มีตัวตนที่จับต้องได้ เนื่องจากมันมีสภาพเป็นเสมือนจริงหรือสิ่งสมมติที่เอกชนสร้างขึ้น เป็นหน่วยทางบัญชีที่บันทึกไว้ในระบบดิจิทัลเท่านั้น
บิตคอยน์มีลักษณะคล้ายทองคำ เนื่องจากมันมีจำกัดและใครก็สามารถเข้าไปแสวงหาซึ่งเรียกว่า "ทำเหมือง" ได้โดยใช้เครื่องมือ เช่นการทำเหมืองทองคำทั่วไป ยกเว้นเครื่องมือที่ใช้เป็นคอมพิวเตอร์ ผู้ที่มีพลังทางคอมพิวเตอร์สูงและสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ผู้สร้างระบบบิตคอยน์ตั้งไว้ได้เร็วกว่าใคร ๆ จะได้บิตคอยน์เป็นผลตอบแทนสูงเป็นเงาตามตัว ด้วยเหตุนี้จึงมีการแข่งขันกันลงทุนซื้อ หรือสร้างคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อทำเหมืองบิตคอยน์กันอย่างเข้มข้นจนในขณะนี้ผู้ที่เชี่ยวชาญและมีทุนมาก ๆ เท่านั้นจึงจะทำเหมืองได้
ส่วนพวกนักเก็งกำไรตัวเล็ก ๆ ทำได้เพียงเข้าไปร่วมทุน บิตคอยน์มีส่วนคล้ายเงินตรา เนื่องจากมันเริ่มได้รับการยอมรับว่ามีค่าในหลายวงการ แลกเปลี่ยนกับเงินตราสกุลต่าง ๆ ได้ ใช้เป็นตัวกลางในการซื้อสินค้า และบริการของกิจการที่ตั้งอยู่ในหลายประเทศได้ และเก็บไว้เป็นทรัพย์สินสะสมได้
บิตคอยน์เกิดขึ้นเมื่อปี 2551 ซึ่งตรงกับช่วงที่ฟองสู่อสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาปะทุ แต่ค่าของมันเพิ่งมาพุ่งขึ้นเมื่อตอนปลายปีที่แล้ว
เมื่อมันเริ่มเป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างกว้างขวางขึ้นพร้อม ๆ กับนักเก็งกำไรเข้าไปร่วมซื้อมากขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนที่เคยเป็น 1 ดอลลาร์ต่อ 1 บิตคอยน์
ในตอนเริ่มต้นกลายเป็นกว่า 1,200 ดอลลาร์ต่อ 1 บิตคอยน์เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ก่อนที่ค่าของมันจะตกลงมาเกือบครึ่ง การตกครั้งนั้นมีต้นเหตุสำคัญจากธนาคารกลางจีนเข้าไปห้ามสถาบันที่ให้บริการด้านบิตคอยน์ทำธุรกรรมบางอย่าง เฉกเช่นการขึ้นลงของราคาทองคำ การเปลี่ยนค่าของบิตคอยน์ก็ทำให้บางคนได้กำไรและบางคนขาดทุน
คำถามเกิดขึ้นเสมอว่า เมื่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังตกอยู่ในภาวะค่อนข้างซบเซาและไม่แน่นอนสูงนี้ จะนำเงินออมที่มีอยู่ในมือไปซื้อทองคำและบิตคอยน์ดีไหม
คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่จะทำให้เกิดความมั่นใจได้เต็มร้อย เนื่องจากไม่มีใครสามารถหยั่งรู้อนาคตได้ ใครที่ตอบว่าเขารู้
โดยเฉพาะผู้ที่ชักชวนให้เราไปร่วมลงทุนด้วยเป็น คนโกหก ฉะนั้น อย่าไปตกหลุมพรางเขา อย่างไรก็ตาม ขอเสนอบางอย่างให้พิจารณา
ข้อแรก การซื้อสิ่งเหล่านั้นเป็นการเก็งกำไร ซึ่งโดยทั่วไปมักมีโอกาสขาดทุนสูงเงินที่นำไปซื้อหรือร่วมลงทุนกับผู้อื่นจึงควรเป็นเงินที่สูญได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนต่อครอบครัวและตัวเอง ข้อนี้มีความหมายด้วยว่าอย่าเข้าร่วมวงการเก็งกำไรโดยใช้เงินกู้
ข้อสอง ทองกับบิตคอยน์ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ทองเป็นสิ่งของที่จับต้องได้และมีประโยชน์ในการใช้สอย ส่วนบิตคอยน์เป็นสิ่งสมมติที่ยอมรับกันในวงการเอกชนว่ามีค่าเท่านั้น โดยไม่มีรัฐบาลไหนให้การรับรองว่ามีค่าเช่นเงินตราของตน เมื่อมันหล่นหายหรือขาดการยอมรับเมื่อไรมันก็หมดค่า
ข้อสาม ศึกษาและหาข้อมูลให้มากที่สุดมาประกอบการตัดสินใจ ไม่ดีใจจนกระโดดโลดเต้นเมื่อได้กำไร หรือเสียใจและพยายามตามไปเอาคืนเมื่อขาดทุน เฉกเช่นนักเล่นการพนัน
ข้อนี้เป็นวิธีของจอร์จ โซรอส ซึ่งใช้ได้ผลมานาน มันยังน่าจะใช้ได้ในกรณีด้วย
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version