ผู้เขียน หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"  (อ่าน 149374 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #120 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2014, 08:21:33 am »
แนะ5ข้อง่ายๆใช้จ่ายเงินอย่างมีสติ

-http://money.sanook.com/175550/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B05%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4/-


กับสถานการณ์การเมืองที่กำลังตึงเครียดอยู่ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องม็อบ เรื่องจำนำข้าว การเลือกตั้ง เศรษฐกิจ หลายคนๆก็ต้องทำหน้าที่ของแต่ละคน ต่างก็ต้องทำมาหากิน ฉะนั้นการจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันก็เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องระมัดระวังดูแลเรื่องการใช้จ่ายเงินให้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงบ้านเมืองแบบนี้ด้วย ซึ่งวันนี้ทีมงาน Sanook Money มีข้อแนะนำดีๆมาเตือนสติในการใช้จ่ายเงินให้อ่านกันครับ

1.อย่าเป็นทาสของเงิน ต้องนึกอยู่เสมอว่า เงินเป็นเพียงตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการ เราก็จะไม่ผูกติดว่า ต้องมีเงินเราจึงจะสามารถทำอะไรๆ ได้ เพราะเราสามารถจะทำของขึ้นมาใช้เอง หรือทำสินค้าหรือนำบริการของเราไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าและบริการของผู้อื่นได้

2.มีสติในการใช้เงิน ต่อให้มีเงินมากมายเพียงใด หากไม่มีสติ ใช้เกินตัวอยู่เรื่อยๆ ก็ทำให้หมดตัวได้ การใช้เงินต้องมีสติ เห็นข้าวของลดราคาต้องนึกก่อนว่า จะได้ใช้หรือไม่ ถ้าได้ใช้อยู่แล้ว และซื้อได้ในราคาถูก ก็ซื้อเลย จะได้ประหยัดเงิน แต่ถ้าไม่มีโอกาสใช้จริงๆ ซื้อมาก็จะเสียเปล่า สู้เก็บเงินเอาไว้ใช้อย่างอื่นที่จำเป็นไม่ได้

3.หลีกเลี่ยงจากการพนัน ไม่มีใครรวยเพราะการพนัน ยกเว้นเจ้ามือ และเจ้ามือก็ไม่ได้รวยเสมอไปด้วย เจ้ามือที่ล้มไปก็มีจำนวนมาก บางคนบอกว่าเล่นสนุกๆ ฆ่าเวลา แต่หากไม่มีสติแล้ว มันจะเป็นการฆ่าเวลาที่แพงมากทีเดียว

4.เงินไม่อยู่คงทนตลอดไป แม้จะไม่ได้ใช้ แต่อำนาจซื้อที่แท้จริงก็หดหายไปได้ ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูง ดังนั้น จึงต้องรู้ที่จะเก็บรักษาเงิน และต้องเก็บแบบไม่ให้อำนาจซื้อหดหายไป จึงควรนำไปลงทุนเพื่อให้งอกเงย แต่ต้องดูแลและลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ และที่สำคัญต้องไม่โลภ

5.เงินทองเป็นของนอกกาย ความรัก ความสัมพันธ์ที่ดีของคนในครอบครัวต่างหาก ที่สำคัญกว่า เคยได้ยินนิทานที่ให้เลือกของขวัญสามอย่างไหม เรื่องมีอยู่ว่า สามีภรรยาคู่หนึ่งเปิดประตูมา พบคนแก่สามคนยืนหนาวสั่น จึงดูแลเป็นอย่างดี แล้วเชิญเข้าบ้าน ทั้งสามบอกขอบใจแล้วตอบว่าทั้งสามเป็นเทวดา เข้าไปพร้อมกันไม่ได้ ให้เลือกเข้าไปเพียงหนึ่งเดียว และเมื่อเลือกแล้วก็จะได้พรตามนั้นตลอดไป สามองค์นั้น คือ ความร่ำรวย ความสุข และความรัก สามีภรรยาคู่นี้คิดว่า เชิญความร่ำรวยเข้ามา เราก็จะสบาย ไม่ต้องลำบากทำงานอีก หรือจะเชิญความสุขเข้ามาเราก็น่าจะอยู่แบบมีความสุขไปตลอด หารือกันเพื่อตัดสินใจอยู่ ครู่ใหญ่ และสุดท้ายก็เชิญ เทวดาแห่งความรักเข้ามาในบ้าน ปรากฏว่า เทวดาความร่ำรวยและความสุข เดินตามเข้ามาด้วย จึงถามว่า ท่านบอกว่าเข้ามาได้เพียงองค์เดียว เหตุใดท่านจึงเข้ามาทั้งสามองค์ เทวดาตอบว่า เมื่อมีความรัก ความร่ำรวยและความสุขก็จะตามมา ดังนั้น จึงเข้ามาได้ทั้งหมด




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #121 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2014, 10:38:40 am »
ทำอย่างไรเมื่อเป็นหนี้บัตรเครดิต

-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/216055/%E2%80%98%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E2%80%99+-+%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%84-


มีกรณีปัญหาที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตและได้ร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มักเป็นประเด็นปัญหาการชำระหนี้ ค่าธรรมเนียม ค่าเบี้ยปรับ

วันเสาร์ 15 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 00:00 น.

“ใครมีบัตรเครดิตยกมือขึ้น” ยุคนี้สมัยนี้การมีบัตรเครดิตคงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือการจะมีบัตรเครดิตมากกว่า 1 ใบ ก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่ที่เป็นประเด็นปัญหากันมากคงเป็นเรื่องการไม่มีวินัยหรือความรู้ไม่เท่าทันกับพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตของเจ้าของบัตรเครดิตมากกว่า

มีกรณีปัญหาที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตและได้ร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มักเป็นประเด็นปัญหาการชำระหนี้ ค่าธรรมเนียม ค่าเบี้ยปรับ บัตรเครดิตหายซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวเกิดจากการขาดวินัยและความรู้ไม่เท่าทันของผู้ใช้บัตรเครดิตทั้งสิ้นจะโดยความตั้งใจหรือประมาทก็ตามแต่ก็เป็นปัญหาที่ทำให้ผู้บริโภคหลายรายต้องทุกข์ใจกัน

โดย “ธุรกิจบัตรเครดิต” รัฐได้มีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในเรื่องธุรกิจบัตรเครดิตเช่น ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้กู้ยืมเงินเพื่อผู้บริโภคของสถาบันการเงินเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาพ.ศ. 2544 พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 ซึ่งมีสาระสำคัญในการดูแลธุรกิจบัตรเครดิต

ความจริงบัตรเครดิตมีประโยชน์ทำให้เราสะดวกและปลอดภัยกว่าการถือเงินสดซื้อสินค้าและบริการได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินทันที สามารถถอนเงินสดมาใช้จ่ายในยามฉุกเฉินและสะสมคะแนนเพื่อแลกของรางวัล หากผู้ใช้บัตรเครดิตรู้จักใช้อย่างมีวินัยและเหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ ปัญหาดังกล่าวจะไม่สามารถสร้างความทุกข์ใจให้กับผู้บริโภคได้เลย

เมื่อผู้บริโภคต้องใช้บัตรเครดิตเพื่อเป็นหนี้อย่างเป็นสุขผู้บริโภคต้อง 1. ก่อหนี้เมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น 2. รู้จักหักห้ามใจตัวเองไม่วิ่งตามกระแสบริโภคเกินตัว 3. ภาระการผ่อนชำระหนี้ทั้งหมดในแต่ละเดือนไม่ควรเกิน 1 ใน 3 ของรายได้ต่อเดือน 4. คิดให้ดี และอ่านสัญญารวมทั้งเอกสารอื่น ๆ ให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจทำสัญญาสินเชื่อ 5. ใช้เงินตามสินเชื่อให้ตรงตามวัตถุประสงค์ 6. ตั้งมั่นว่าจะจ่ายตรงตามเวลาและเงื่อนไข 7. หากเริ่มจ่ายหนี้ไม่ไหว ควรรีบหารือกับเจ้าหนี้ 8. หลีกเลี่ยงสินเชื่อนอกระบบ

ส่วนผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจจะทำบัตรเครดิตควรอ่านรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ในการทำบัตรเครดิตของผู้ออกบัตรหลาย ๆ แหล่ง เพื่อนำมาเปรียบเทียบ เช่น ค่าธรรม เนียมแรกเข้าและรายปี ระยะเวลาชำระคืนโดยปลอดดอกเบี้ย วันที่เริ่มคิดดอกเบี้ย การผ่อนชำระเงินขั้นต่ำ เงื่อนไขการนำบัตรเครดิตไปใช้ในต่างประเทศ ดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการอื่น ๆ สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ และรายละเอียดอื่น เช่น จุดบริการรับชำระเงิน ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการสมัครบัตรเครดิต ภาระหน้าที่ของผู้ถือบัตร การทำบัตรหาย การขอยกเลิกบัตร

แต่สำหรับผู้บริโภคที่กำลังเป็นทุกข์กับหนี้บัตรเครดิตควรดำเนินการดังนี้ 1. ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น 2. จ่ายหนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะจ่ายได้ 3. จ่ายให้ตรงกำหนดชำระเงิน 4. อย่าเบิกถอนเงินสดจากบัตรเครดิตใบอื่นที่มีมาโปะวนกันไปเรื่อย ๆ แต่ควรหาจากแหล่งอื่นที่มีดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามาชำระหนี้บัตรเครดิต หรือการตัดใจขายทรัพย์สินหรือนำเงินออมมาปลดหนี้  5. เจรจาหารือกับผู้ออกบัตรแต่เนิ่น ๆ เพื่อวางแผนปรับปรุงโครงสร้างหนี้

ด้วยความปรารถนาดีจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #122 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2014, 06:05:38 am »
มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง สอนวิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี


-http://money.kapook.com/view83061.html-


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ DarkTrader สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
 
          อยากรวย อยากเป็นเศรษฐี อยากมีบ้าน มีรถเป็นของตัวเอง แต่เงินเดือนน้อยต้องทำอย่างไร จะสามารถทำได้หรือไม่ ขอบอกว่า “คุณทำได้แน่นอน หากรู้จักใช้เงิน” และวันนี้กระปุกดอทคอม ได้รับอนุญาตจากคุณ DarkTrader สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ให้นำบทความ มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง สอนวิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี มาเผยแพร่ให้อ่านกัน ซึ่งในบทความนี้มีคุณ ลี กา ชิง แนะแบ่งเงินที่ได้ออกเป็น 5 ส่วน ไว้ใช้จ่าย ไว้ออม ไว้ดูแลตัวเอง ไว้ลงทุนในการเข้าสังคมพบผู้คนใหม่อย่างต่อเนื่องและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พร้อมกันนี้ คุณลี กา ชิง ยังให้ข้อคิดน่าสนใจว่า เมื่อคุณจนให้คุณใช้เงินเพื่อทำให้ผู้อื่นรู้จักคุณ แต่เมื่อคุณรวยจงอย่าโอ้อวดว่าคุณรวย …  ว่าแล้วใครอยากเป็นเศรษฐี มีรถ มีบ้าน มีเงินออม ในอนาคตก็เราลองไปอ่านบทความจากคุณ ลี กา ชิง กันเลยค่ะ

          มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง สอนวิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี

หมายเหตุ : *1 หยวน ประมาณ 5 บาท

          มหาเศรษฐีฮ่องกง ลี กา ชิง แบ่งปันความภูมิปัญญาทางด้านการเงินของเขา สรุปแผนที่ใช้ในการสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับแผนห้าปีที่จะเปลี่ยนชีวิตคนไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างสิ้นเชิง

          สมมติว่ารายได้ต่อเดือนของคุณมีแค่ 2,000 หยวน คุณสามารถมีการ เป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ โดยการที่คุณแบ่งเงินเป็น 5 ส่วน ส่วนแรก 600 หยวน, ส่วนที่สอง 400 หยวน, ส่วนที่สาม 300 หยวน, ส่วนที่สี่ 200 หยวน, ส่วนที่ห้า 500 หยวน

  เงินส่วนแรก (600 หยวน)

          กันเอาไว้เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตประจำวัน ด้วยวิธีง่าย ๆ คุณแค่แบ่งเงินในแต่ละวันไว้ใช้จ่ายไม่เกิน 20 หยวนต่อวัน มื้อเช้าของทุกวันกินวุ้นเส้น ไข่หนึ่งฟอง และนมหนึ่งแก้ว ส่วนมื้อกลางวันก็กินอาหารเบา ๆ และผลไม้ พอมือเย็นก็เข้าครัวไปทำอาหารที่ประกอบด้วยผัก และดื่มนมหนึ่งแก้วก่อนนอน ในหนึ่งเดือนค่าใช้จ่ายตกประมาณ 500-600 หยวน เมื่อคุณยังหนุ่มสาวร่างกายคุณยังไม่ค่อยเจ็บป่วยในช่วงปีแรก ๆ พอเพียงสำหรับการกินอยู่แบบนี้

  เงินส่วนที่สอง (400 หยวน)

          กันไว้สำหรับการสร้างเพื่อน และขยายความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในแวดวง สิ่งนี้จะทำให้คุณมั่งคั่ง กันไว้ 100 หยวนสำหรับค่าโทรศัพท์ กันเงินไว้สำหรับกินข้าวกับเพื่อน ๆ 2 มื้อต่อเดือน มื้อละ 150 หยวน ใครคือคนที่คุณสมควรจะกินข้าวด้วย? จำไว้เสมอว่าคุณจะต้องกินข้าวกับคนที่มีความรู้มากกว่าคุณและรวยกว่าคุณหรือคนทีจะช่วยสนับสนุนคุณในด้านการงานได้ แน่ใจว่าคุณต้องทำเช่นนี้ทุกเดือน หลังจากนั้นหนึ่งปีแวดวงเพื่อน ๆ ของคุณจะสร้างคุณค่ามากมายมหาศาลให้กับคุณ ชื่อเสียงและอิทธิพลของคุณจะเพิ่มมูลค่าเป็นที่จดจำ ภาพลักษณ์ของคุณจะเพิ่มขึ้นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

  เงินส่วนที่สาม (300 หยวน)

          การเรียนรู้ คุณควรจะจ่ายเงินประมาณ 50 ถึง 100 หยวน ในการซื้อหนังสือ เพราะคุณมีเงินไม่มาก คุณควรเอาใจใส่กับการจ่ายเงินไปกับการเรียนรู้ เมื่อคุณซื้อหนังสือและอ่านมันอย่างระมัดระวัง จงเรียนรู้บทเรียนและกลยุทธต่าง ๆ ที่สอนไว้ในหนังสือ หลังจากอ่านหนังสือแต่ละเล่มให้เล่าเรื่องราวเป็นภาษาของคุณ การแบ่งปันกับคนอื่นจะช่วยให้คุณได้รับความน่าเชื่อถือและเป็นคนที่น่าสนใจ และประหยัดเงินเดือนละ 200 หยวนเพื่อเข้าคอร์ส อบรมต่าง ๆ เมื่อคุณรายได้เพิ่ม ให้กันเงินส่วนนี้เพิ่มขึ้นและเข้าร่วมคอร์สอบรมในระดับที่สูงขึ้น เมื่อคุณเข้าร่วมคอร์สอบรมที่ดีมันจะไม่ช่วยแค่ให้คุณมีความรู้ที่ดี แต่ยังจะช่วยให้คุณเจอเพื่อนที่มีความคิดเหมือนกันซึ่งหาไม่ได้ง่าย ๆ

  เงินส่วนที่สี่ (200 หยวน)

          เก็บไว้ใช้สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศในวันหยุด ให้รางวัลแก่ตนเองโดยการเดินทางไปต่างประเทศอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อการเติบโตของประสบการณ์ในชีวิตอย่างต่อเนื่อง พักในโฮสเตลราคาประหยัด ในเวลาไม่กี่ปีผ่านไปคุณจะเดินทางไปหลายประเทศและจะมีประสบการณ์หลากหลาย ใช้ประสบการณ์เหล่านี้เป็นการเพิ่มพลังใหม่ให้ตัวเองมีแรงขับดันในการทำงานต่อไป

เงินส่วนที่ห้า (500 หยวน)

          ลงทุนประหยัด 500 หยวนเก็บไว้ในธนาคารเพื่อเป็นทุนในการเริ่มต้นทำธุรกิจ เงินทุนสามารถใช้ในการเริ่มต้นทำธุรกิจเล็ก ๆ การเริ่มจากธุรกิจเล็ก ๆ มักจะปลอดภัยในการเริ่มต้น ไปหาผู้ค้าส่งและหาสินค้ามาขาย แม้คุณจะขาดทุน คุณจะเสียเงินไม่มาก อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณเริ่มหาเงิน มันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจกับความกล้า และได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ของการเริ่มต้นทำธุรกิจเล็ก ๆ เมื่อมีรายได้มากพอคุณสามารถเริ่มมองหาแผนการลงทุนระยะยาว และลงทุนในหลักทรัพย์ระยะยาวด้วยเงินของคุณและครอบครัวคุณ ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเพราะเงินจำนวนนี้ของคุณไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตคุณตกต่ำลง

          อย่างไรก็ดี หลังจากคุณดิ้นรนเป็นเวลาผ่านไปหนึ่งปี ถ้าเงินเดือนคุณยังคง 2,000 หยวน นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้มีความก้าวหน้าขึ้นเลย คุณควรจะสำนึกละอายใจและสั่งสอนตัวเองด้วยการไปซื้อซุปเปอร์มาร์เก็ต และซื้อเต้าหู้ที่แข็งที่สุด แล้วเอามันปาใส่หัวตัวเองเพราะคุณสมควรโดนแบบนั้น

          แต่ถ้าถึงตอนนั้นรายได้ต่อเดือนคุณอยู่ที่ 3,000 หยวน คุณต้องยังคงทำงานหนัก คุณต้องหางานเสริม จะเป็นการดีถ้าเป็นงานขาย ทำให้การขายเป็นเรื่องท้าทาย เป็นวิธีที่เร็วที่สุดที่คุณจะได้เรียนรู้ศิลปะในการขายและความรู้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งสามารถนำไปใช้กับอาชีพคุณได้ เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเริ่มจากการเป็นนักขายที่ดี พวกเขามีความสามารถในการขายความฝันและวิสัยทัศน์ คุณจะพบผู้คนมากมายที่มีคุณค่าต่ออาชีพของคุณในภายหลัง เมื่อเริ่มขายคุณจะได้เรียนรู้ว่าอะไรขายได้และอะไรขายไม่ได้ ใช้ไหวพริบในการตรวจสอบตลาดเป็นวิธีในการดำเนินธุรกิจของคุณและหาผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นผู้ชนะในอนาคต

วิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี

          ซื้อเสื้อผ้าและรองเท้าให้น้อยที่สุด คุณสามารถซื้อมันทั้งหมดได้เมื่อคุณรวย ประหยัดเงินของคุณและซื้อของขวัญให้คนที่คุณรักและบอกพวกเค้าถึงแผนการและเป้าหมายทางการเงินของคุณ บอกพวกเค้าว่าทำไมคุณถึงต้องประหยัดอดออม บอกเค้าถึงความพยายาม ทิศทางที่คุณกำลังจะไป และความฝันต่าง ๆ ของคุณ

          นักธุรกิจทุกคนต้องการความช่วยเหลือ ให้คุณเสนอตัวเองต่อพวกเขาในการทำงานนอกเวลาในโอกาสต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยพัฒนาความสามารถของคุณ และคุณจะได้พัฒนาทักษะในการเจรจาของคุณและในไม่ช้าคุณจะใกล้เป้าหมายทางการเงิน เมื่อเข้าปีที่สองรายได้ของคุณควรจะเพิ่มเป็น 5,000 หยวน อย่างน้อยสุดก็ควรจะเป็น 3,000 หยวน มิฉะนั้นคุณจะไม่สามารถสู้กับเงินเฟ้อได้

          ไม่ว่าคุณจะหารายได้เพิ่มมาขึ้นเท่าไร จำไว้เสมอว่าแบ่งเงินเป็นห้าส่วน ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ จงใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นไปกับการสร้างเครือข่าย เมื่อคุณรู้จักผู้คนมากขึ้นเครือข่ายของคุณขยายมากขึ้นคุณจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น จงใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นไปกับการเรียนรู้เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเองมากขึ้น จงใช้เงินเพิ่มขึ้นไปกับการท่องเที่ยวในวันหยุดในที่ใหม่ที่ยังไม่เคยไป จงเพิ่มการลงทุนไปกับอนาคตคุณซึ่งมันจะสร้างรายได้ให้คุณอย่างมหาศาล

          รักษาสมดุลนี้ไว้ และคุณจะเริ่มมีเหลือกินเหลือใช้เรื่อย ๆ คุณกำลังเดินทางมาถูกทางสำหรับการวางแผนในชีวิต สุขภาพของคุณจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคุณได้รับสารอาหารและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อนจะมีมากมายคุณจะสามารถสร้างคุณค่าจากเครือข่ายของเพื่อนได้ในเวลาเดียวกัน คุณจะได้รับโอกาสในการฝึกฝนตัวเองในทักษะระดับสูง และคุณจะได้รับผิดชอบโครงการที่ใหญ่กว่าเดิม โอกาสที่ใหญ่กว่าเดิม ในไม่ช้าคุณจะตระหนักว่าคุณมีความฝันมากมาย ซื้อบ้าน ซื้อรถ และเตรียมค่าเล่าเรียนของลูกของคุณ

          ชีวิตและเส้นทางชีวิตสามารถออกแบบได้ซึ่งจะนำไปสู่ความสุข คุณควรเริ่มแผนตั้งแต่ตอนนี้ เมื่อคุณจนให้ใช้เวลาอยู่ที่บ้านให้น้อยกว่าการใช้เวลาอยู่ข้างนอก เมื่อคุณรวยอยู่ที่บ้านมากขึ้นอยู่ข้างนอกให้น้อยลง นี่คือศิลปะการใช้ชีวิต เมื่อคุณจนให้ใช้จ่ายเงินไปกับผู้อื่น แต่เมื่อคุณรวยใช้เงินไปกับตัวคุณเอง คนส่วนใหญ่ทำตรงกันข้ามกัน

          เมื่อคุณจนจงทำดีกับผู้อื่น อย่ามัวแต่คิดเรื่องผลประโยชน์ เมื่อคุณรวยคุณต้องเรียนรู้ที่จะทำให้ผู้อื่นดีต่อคุณ คุณต้องเรียนรู้ที่จะทำตัวเองให้ดีกว่าเป็นคนที่ดีกว่าที่เป็น เมื่อคุณจนคุณต้องผลักดันตัวเองออกมาในที่คนอื่นสามารถจะมองเห็นคุณได้เพื่อให้คนอื่นใช้งานและทักษะที่คุณมี เมื่อคุณรวยคุณต้องรู้จักปกป้องตัวเองอย่าปล่อยให้ใครมาหลอกใช้คุณได้ง่าย ๆ เป็นความซับซ้อนในเส้นทางของชีวิตที่หลายคนยังไม่เข้าใจ

          เมื่อคุณจนให้คุณใช้เงินเพื่อทำให้ผู้อื่นรู้จักคุณ แต่เมื่อคุณรวยจงอย่าโอ้อวดว่าคุณรวย ใช้จ่ายเงินของคุณในการซื้อของอย่างเงียบ ๆ เมื่อคุณจนคุณต้องเป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเมื่อคุณรวยคุณต้องไม่ถูกมองว่าเป็นคนฟุ่มเฟือย ชีวิตของคุณจะวนกลับมาสู่สามัญคุณควรจะอยู่อย่างเรียบง่ายเมื่อคุณมาถึงจุดนี้

          ไม่มีสิ่งใดผิดเมื่อคุณยังหนุ่มสาว คุณไม่ต้องกลัวว่าคุณจน คุณต้องรู้วิธีลงทุนในตัวคุณเองที่จะเพิ่มปัญญาและระดับความสำเร็จ คุณต้องรู้ว่าอะไรจำเป็นและไม่สำเป็นต่อชีวิต คุณต้องรู้ว่าอะไรควรหลีกเลี่ยงและไม่จ่ายเงินฟุ่มเฟือยไปกับมัน นี่คือวินัยที่จำเป็นอย่างยิ่ง พยายามหลีกเลี่ยงในการใช้จ่ายเงินไปกับการซื้อเสื้อหลาย ๆ ชุดแต่รู้จักเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ดูดีเพียงไม่กี่ชุด พยายามกินข้าวนอกบ้านให้น้อยที่สุด ถ้าคุณกินข้างนอกบ้านคุณต้องแน่ใจว่าคุณซื้อมื้อกลางวันหรือมื้อเย็นที่คุณจ่าย คุณจ่ายเพื่อกินกับผู้คนที่มีความฝันใหญ่กว่า ทำงานหนักกว่าคุณ

วิธีทีซื้อบ้านและรถภายในเวลา 5 ปี

          เมื่อการทำมาหากินของคุณไม่เป็นเรื่องที่ต้องกังวลอีกต่อไป ใช้เงินที่เหลือไล่ตามความฝันของคุณ สยายปีกของคุณและกล้าที่จะฝันทำให้คุณแน่ใจว่าชีวิตของคุณเป็นสิ่งวิเศษ

          ทฤษฎีที่มีชื่อเสียงจากฮาร์วาร์ด ความแตกต่างของโชคชะตาของแต่ละคนถูกตัดสินจากสิ่งที่เค้าจ่ายในเวลาว่างระหว่าง 20.00 น. ถึง 22.00 น. ใช้เวลา 2 ชั่วโมงนี้ในการเรียนรู้ คิด และเข้าร่วมในการเข้าร่วมการบรรยายหรือการสัมมนาที่มีความหมาย ถ้าคุณทำแบบนี้สักปีสองปี ความสำเร็จจะเข้ามาหาคุณ

          ไม่สำคัญว่าคุณหาเงินได้เท่าไร จำไว้ว่าแบ่งเงินเป็นห้าส่วน ดูแลตัวเองรักษารูปร่างให้ดีอยู่เสมอ ลงทุนในการเข้าสังคมพบผู้คนใหม่อย่างต่อเนื่องและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้จากคนเหล่านี้ การขยายเครือข่ายทางสังคมจะทำให้รายได้คุณเพิ่มขึ้น เดินทางทุกปีในที่แตกต่างกันออกไป และคอยติดตามการพัฒนาการล่าสุดของโลกอุตสาหกรรมด้วย ถ้าคุณทำตามแผนนี้อย่างขยันขันแข็ง คุณจะมีเงินทุนเหลือมากมาย

          อะไรที่ผ่านไปแล้วในอดีตก็ปล่อยให้มันผ่านไป อย่ามัวจมอยู่กับความผิดพลาด ไม่จำเป็นที่จะมัวมานั่งเสียใจกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้ว ทุกคนเคยทำผิดพลาด และคุณจะได้เรียนรู้จากมัน และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่พลาดซ้ำอีก เมื่อคุณพลาดโอกาสอย่ามัวเศร้าเสียใจ มีโอกาสใหม่รออยู่ข้างหน้าเสมอ

          คุณสามารถที่จะยิ้มรับเมื่อถูกเข้าใจผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อคุณทำผิดและคุณยิ้มรับอย่างสงบนั้นคือความใจกว้าง เมื่อคุณถูกเอาเปรียบแต่คุณยังยิ้มได้คุณคือคนใจกว้าง เมื่อคุณทำอะไรไม่ถูกให้คุณค่อย ๆ ยิ้มอย่างใจเย็นมันจะทำให้คุณอยู่ในสภาวะที่สงบนิ่ง เมื่อคุณเจ็บปวดคุณสามารถที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ ได้คุณคือคนใช้กว้าง เมื่อคุณถูกดูหมิ่นเหยียดหยามและคุณยิ้มได้อย่างสงบคุณคือคนที่มีความมั่นใจ เมื่อคุณถูกปฏิเสธในความสัมพันธ์และคุณสามารถยิ้มได้คุณคือคนอ่อนโยน

          ยังมีคนอีกจำนวนมากที่จะดิ้นรนเพื่อที่จะมีเงินเพียงพอต่อการใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่มันไม่สำคัญว่าคุณจะรวยหรือจน นี่คือทั้งหมดของบทเรียนที่คุณได้เรียนรู้จาก ลี กา ชิง


          หมายเหตุ : คุณ DarkTrader สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม อ้างอิงมาจากบทความจาก therealsingapore.com 




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #123 เมื่อ: มีนาคม 11, 2014, 05:59:55 am »
กฎทองของคนฉลาด ใช้บัตรเครดิตแบบไหนไม่เป็นหนี้
บัตรเครดิต

-http://money.kapook.com/view83806.html-

Smart Spending…Smart Shopping (Lisa)

          ในยุคสมัยที่ใคร ๆ ก็พกบัตรเครดิตติดกระเป๋าสตางค์ความสะดวกอยู่แค่ปลายนิ้ว แต่หนี้ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมเช่นกัน การบริหารวงเงินที่ได้รับไปจนถึงบริหารความอยากและกิเลสจึงเป็นศิลปะที่ท้าทายผู้ถือบัตร มาดูกันว่ากฎทองของคนฉลาดใช้บัตรเครดิตมีอะไรบ้าง

คิดหน้าคิดหลังก่อนใช้

          เพราะบัตรเครดิตคือการ “ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง” จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าใช้อย่างมีสติ คิดหน้าคิดหลังซะก่อนว่าของที่เราจะซื้อจำเป็นแค่ไหน ถ้าแค่บำบัดความอยาก เป็นของฟุ่มเฟือย ก็ให้คิดตรึกตรองให้ถ้วนถี่ เช่นว่าอยากได้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ทั้งที่คุณเพิ่งเปลี่ยนเมื่อปลายปีก่อน แบบนี้ถือว่าไม่จำเป็นนะ

อย่ากดเงินสดจากบัตรเครดิต

          ถ้าไม่เดือดร้อนหรือจำเป็นจริง ๆ ล่ะก็อย่ากดเงินสดจากบัตรเครดิตเป็นอันขาดแม้ว่าการเบิกเงินสดล่วงหน้าจะเป็นสิทธิประโยชน์ที่ดูดี เพราะช่วยให้คุณพ้นจากภาวะเงินขาดมือในบางช่วง แต่เมื่อไหร่ที่เบิกเงินสดออกมาใช้ รู้ไว้ด้วยว่าต้องเสียทั้งค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสดและดอกเบี้ยที่คุณไม่อาจปฏิเสธได้



ตีกรอบตัวเอง

          อย่าระเริงไปกับตัวเลขวงเงินที่ผู้ออกบัตรอนุมัติให้ใช้ ถ้าเป็นไปได้คุณควรตั้งกฎเหล็กตีกรอบตัวเองด้วยยอดของการใช้บัตรเครดิตแต่ละเดือนไว้ไม่ให้เกิน 10-20% ของรายได้ จะให้ดีรูดสัก 10% ก็พอแล้ว เช่นว่าคุณเป็นพีอาร์มีเงินเดือน 40,000 บาท ก็ไม่ควรรูดบัตรเกินเดือนละ 4,000-8,000 บาท วิธีนี้เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลมได้ดีทีเดียว

มีวินัยในการชำระเงิน

          ท่องเอาไว้ “ใช้เท่าไหร่...จ่ายเท่านั้น” การมีวินัยในการชำระบัตรเครดิตจะทำให้เครดิตของคุณดีตามไปด้วย และเมื่อไหร่ที่คิดเบี้ยวหนี้ในระบบทุกรูปแบบ ข้อมูลของคุณจะถูกบันทึกไว้ในเครดิตบูโร คุณจะทำธุรกรรมการเงินกับสถาบันการเงินไหน ๆ ก็ยากและติดขัดไปหมด และจำไว้เลยว่าหนี้บัตรเครดิตนั้นดอกเบี้ยโหดและแพง ยิ่งเวลาคุณผิดนัดชำระ สถาบันการเงินผู้ออกบัตรจะชาร์จดอกเบี้ยในอัตราที่แพงน่าใจหาย ดังนั้น เมื่อได้รับการแจ้งยอดหรือทวงถามต้องรีบจ่ายให้ตรงเวลาและควรชำระให้ครบตามวงเงินที่เราใช้ หรือถ้าเดือนนั้นช็อตสุด ๆ อย่างน้อยชำระตามเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด 10% ก็ยังดี

ใช้บัตรใบเดียวก็เกินพอ

          ในกรณีที่ใช้บัตรเครดิตหลายใบ ต้องไม่ลืมพิจารณาวันตัดยอดของบัตรเครดิตแต่ละใบ เพื่อให้การใช้บัตรเครดิตเกิดประโยชน์สูงสุดในเรื่องระยะเวลาปลอดหนี้ และต้องบันทึกและรวบรวมรายละเอียดค่าใช้จ่ายของบัตรแต่ละใบอย่างละเอียด จะได้รู้ว่าในแต่ละเดือนคุณมีภาระต้องชำระเท่าไหร่ และบัตรใบไหนต้องชำระค่าธรรมเนียมรายปีเมื่อไหร่ แต่ถ้าไม่แน่ใจในนิสัยการใช้บัตรเครดิตของตัวเอง ควรยกเลิกบัตรเครดิตให้เหลือใบเดียว ซึ่งควรเป็นบัตรที่คุณชำระเงินได้สะดวกที่สุด และให้เงื่อนไขดีที่สุด เช่น ฟรีค่าธรรมเนียมตลอดชีพ หรือให้ส่วนลดและสิทธิประโยชน์กับการใช้จ่ายของคุณมากที่สุด



ใช้บัตรทุกครั้งต้องตรวจสอบ

          ทุกครั้งที่ควักบัตรเครดิตออกมาใช้และช้อป ไม่ว่าจะรูดบัตรที่ไหนหรือช้อปที่ไหน ก่อนจะจรดปลายปากกาลงไปเซ็นสลิป ควรตรวจสอบจำนวนเงินดูก่อนว่าตรงกับราคาของสินค้าและบริการหรือไม่ ให้เก็บสำเนาสลิปบัตรเครดิตไว้ทุกรายการที่รูด เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของใบแจ้งยอดบัญชีในภายหลัง

เลือกใช้บัตรที่ให้สิทธิประโยชน์ในการช้อป

          เลือกใช้บัตรที่นอกจากจะได้แต้มสะสมและส่วนลดแล้ว บางบัตรยังมีแคมเปญสุดคุ้ม เช่น รับเงินคืน 1% เมื่อใช้จ่ายครบทุกหนึ่งหมื่นบาท ถ้ารู้ตัวว่าเป็นนักช้อปตัวจริงแล้วละก็ เลือกถือบัตรแบบนี้ดีกว่าจะได้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเรา


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.lisaguru.com/-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #124 เมื่อ: มีนาคม 16, 2014, 08:48:40 am »
เงินทองต้องรู้ : ใช้สนุกแต่ไม่ทุกข์ถนัด
เงินทองต้องรู้ : ใช้สนุกแต่ไม่ทุกข์ถนัด : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล

-http://www.komchadluek.net/detail/20140314/180786.html#.UyUCaIXPuZQ-
 
                         ได้รับอีเมลจากคุณแม่ท่านหนึ่งที่มีลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งไม่เคยเก็บเงินเป็นเรื่องเป็นราว คุณแม่ท่านนี้ขอคำปรึกษาว่า ควรสอนให้ลูกเริ่มเก็บเงินหรือลงทุนอย่างไรดี นอกจากการนำเงินฝากธนาคารอย่างเดียว พร้อมทั้งบอกว่า แหล่งที่มาของเงินจะเป็นเงินค่าขนมที่เหลือเก็บประมาณเดือนละ 1,000 บาท และเงินจากซองอั่งเปาวันตรุษจีน 20,000 บาท
 
                         ไม่ได้ถามคุณแม่ว่า คุณลูกได้เงินค่าขนมเดือนละเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจะได้รับเท่าไหร่ เงินที่เหลือเดือนละ 1,000 บาท ก็ต้องถือว่า “มากพอสมควร” สำหรับเด็กชายวัยรุ่นที่อยู่ในวัยที่อยากได้โน่นอยากได้นี่ ต้องถือว่า “เก่งมากทีเดียว”
 
                         ขออนุญาตเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้ฟังว่า ตอนเรียนชั้นประถมศึกษา เพราะมีตำแหน่งเป็น “หัวหน้าห้อง” ก็เลยมีหน้าที่ต้องควบคุม “เงินห้อง” ที่เก็บจากนักเรียนทุกคนเอาไว้ใช้สอยเวลามีกิจกรรมต่างๆ เพราะความเป็นเด็กที่อยากได้โน่นได้นี่ แล้วเงินค่าขนมก็ไม่พอ เพราะใช้แบบวันต่อวันจนหมด สุดท้ายก็สนองความอยากของตัวเองด้วยการหยิบยืมเงินห้องไปใช้ก่อน และคิดว่า เวลาได้ค่าขนม ก็เอามาใช้คืน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ใช้คืน เนื่องจากว่า พฤติกรรมการใช้ค่าขนมก็ยังเป็นแบบวันต่อวัน พอถึงเวลาที่มีกิจกรรม ต้องใช้เงินห้อง ก็ต้องเดือดร้อนถึงผู้ปกครองต้องช่วยเคลียร์
 
                         แต่ก็โดนอบรมยกใหญ่ว่า ทำแบบนี้ก็เหมือนกับ “ขโมย” ถึงจะเป็นขโมยอย่างไม่ตั้งใจ เพราะคิดว่าจะใช้คืน แต่สุดท้ายก็คือ ขโมยนั่นแหละ
 
                         โชคดีที่หลังเหตุการณ์นั้น ทำให้สามารถเปลี่ยนกระบวนการและวิธีคิดเรื่องเงิน โดยเฉพาะการจัดสรรปันส่วน แยกกระเป๋าซ้าย-กระเป๋าขวา จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่มีงานทำ ก็จะแยกเงินออม เงินลงทุน เงินสำหรับใช้จ่าย ไว้อย่างชัดเจน รวมทั้ง “เงินที่ไม่ใช่ของเรา เอามาใช้ไม่ได้”
 
                         อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นเด็กชายวัยเยาว์กว่าลูกชายของคุณแม่ท่านนี้ ทุกครั้งที่เด็กชายคนนี้ได้เงินค่าขนม จะต้องซื้อจนหมด เขาจะเลือกซื้อของที่อยากได้ก่อน พอเงินเหลือ ได้รับเงินทอนกลับมา ก็ไม่ยอมออกจากร้าน แต่จะเดินวนอยู่ในร้าน หยิบของชิ้นโน้นชิ้นนี้ขึ้นมาดูว่าพอจะซื้อเพิ่มได้มั้ย ถึงแม้ไม่ใช่ของจำเป็น ถึงแม้ไม่ใช่ของที่อยากได้ แต่ก็จะซื้อ เพราะไม่ต้องการให้ “เงินเหลือ”
 
                         พฤติกรรมการใช้จ่ายนี้ติดตัวไปจนโต เพราะไม่ได้รับการแก้ไขหรือชี้แนะให้ทำอย่างถูกต้อง สุดท้ายเมื่อเวลาผ่านไป เขาก้าวเข้าสู่วัยทำงานและยังใช้เงินแบบที่เคยใช้เมื่อวัยเยาว์ ไม่ว่าจะทำมาหาได้เท่าไหร่ ก็ไม่เคยเหลือเก็บ ไม่เคยพอ จนสุดท้ายก็ต้องหยิบยืมกลายเป็นภาระหนี้สินรุงรัง และใช้ชีวิตยากลำบากมากขึ้น ทั้งๆ ที่หน้าที่การงานดี รายได้ของครอบครัวก็อยู่ในเกณฑ์ค่อนไปทางสูง
 
                         คราวนี้กลับมาที่คำถามของคุณแม่ท่านนี้ว่า จะสอนลูกให้เก็บเงินหรือลงทุนอย่างไรดี นอกเหนือจากเรื่องฝากธนาคาร ต้องบอกว่า สำหรับเด็กวัยนี้แล้ว การสอนให้เก็บเงินด้วยการฝากธนาคารนั้นก็ดีที่สุดแล้ว เพราะวัตถุประสงค์ของการสอนลูกน่าจะมีเป้าหมายอยู่ที่การสอนให้รู้จัก “เก็บออม” และรู้จักใช้ เก็บสะสมอย่างมีวินัย และใช้จ่ายอย่างพอเพียง คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อ
 
                         คุณแม่ต้องแยกระหว่าง “การออม” กับ “การลงทุน” ว่าแตกต่างกัน เพราะ “ออม” จะเป็นจุดเริ่มต้น เมื่อเรามีรายรับมากกว่ารายจ่าย ที่เหลือก็คือ เงินออม ซึ่งวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องและได้ผลที่สุด คือ ต้องเอารายรับหักเงินออมก่อน ส่วนที่เหลือค่อยใช้จ่าย หมายถึงเมื่อมีรายรับเข้ามาในแต่ละสัปดาห์หรือแต่ละเดือน ให้หัก “เงินออม” ออกจากรายรับอย่างน้อย 10% เช่น ได้รับค่าขนมวันละ 100 บาท ก็หักออกอย่างน้อย 10 บาททุกวัน หยอดใส่กระปุกไว้ ถ้าได้สัปดาห์ละ 500 บาท ก็หักอย่างน้อย 50 บาท หยอดกระปุกไว้ ที่เหลืออีก 450 บาทค่อยนำไปใช้จ่าย
 
                         ถ้าวัตถุประสงค์หลักของคุณแม่คือ การสอนลูกให้มีวินัยในการออม การฝากธนาคารอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือนนั่นก็ถูกต้องแล้ว
 
                         แต่ถ้าคุณแม่ต้องการอะไรที่แอดวานซ์ขึ้น เพราะไม่ได้หวังแค่สอนลูกให้มีวินัยในการเก็บออมอย่างเดียว เช่น ต้องการ “ผลตอบแทน” ที่มากขึ้น แบบนี้จะเข้าสู่โลกของ “การลงทุน” ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงก็ย่อมจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย พอถึงตรงนี้ต้องย้อนถามตัวเองว่า “พร้อมหรือยังกับการรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น” เพราะเมื่อเข้าสู่การลงทุน ก็มีโอกาสที่ “เงินต้น” ของคุณลูกจะสร้างทั้งกำไรและขาดทุน
 
                         ย้ำว่า “อายุ” จะน้อยหรือมากไม่สำคัญเท่า “ความรู้-ความเข้าใจ” และ “ความพร้อม”
 
                         เพราะเคยมีผู้บริหารระดับสูงในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่เปิดบัญชีซื้อกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นให้แก่ลูกชาย ตั้งแต่ลูกอายุแค่ 8-9 ขวบ จนปัจจุบันนี้ลูกโตเป็นหนุ่มแล้ว พร้อมๆ กับเงินลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนรวมที่บางช่วงก็กำไรมหาศาล ขณะที่บางช่วงทุนหายกำไรหด ตามการขึ้นลงของตลาดหุ้น
 
                         ไม่ว่าจะเป็นการออมด้วยการฝากเงินในธนาคาร หรือการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือน ก็ถือเป็นการสร้างวินัยในการบริหารจัดการเงินเหมือนกัน แตกต่างกันที่ “ผลตอบแทน” เพราะฝากแบงก์ก็ได้ดอกเบี้ยต่ำ แต่เงินต้นไม่หาย ผลตอบแทนก็เท่านั้น อาจจะขึ้นลงตามทิศทางดอกเบี้ย ซึ่งถ้าเงินไม่มากก็ไม่เห็นผลแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนการลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น อาจจะได้กำไรมาก กำไรน้อย หรือขาดทุนมาก ขาดทุนน้อย ก็มีโอกาสทั้งนั้น เพียงแต่โอกาสที่กำไรมากก็มีอยู่มาก
 
                         ถ้าคุณแม่ตัดสินใจจะพาคุณลูกเข้าสู่สนามการลงทุน เพราะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูงกว่า หลังจากนี้ก็ต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนเยอะๆ สะดวกที่สุดก็เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือเว็บไซต์ของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน หรือจะเลือกดูจากเว็บไซต์ของธนาคารพาณิชย์ก็ได้ทั้งนั้น แนะนำให้พุ่งตรงไปที่กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น ลองศึกษาดูว่า รูปแบบเป็นอย่างไร ลงทุนอย่างไร ต้องใช้เงินเท่าไหร่ (เข้าใจว่า ขั้นต่ำต่อการซื้อ 1 ครั้งจะอยู่ที่ 2,000 บาท ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น อาจจะซื้อ 2 เดือนต่อครั้ง) และพิจารณาผลตอบแทนของกองทุนประกอบการตัดสินใจไปด้วย
 
                         แต่หากคุณแม่อยากให้คุณลูกฝากเงินกับแบงก์ เพื่อสร้างวินัยการออมอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ได้คาดหวังเรื่องผลตอบแทน ก็อยากจะแนะนำเพิ่มเติมให้คุณแม่เพิ่มแรงบันดาลใจให้ลูกชายว่า ถ้าเดือนไหนมีเงินค่าขนมเหลือเกิน 1,000 บาท คุณแม่จะเติมเงินฝากให้เท่ากับส่วนที่เกิน เช่น เดือนนี้เหลือค่าขนม 1,200 บาท คุณแม่ก็เพิ่มอีก 200 บาท ลูกก็จะมีเงิน 1,400 บาท ลองดูว่าจะกระตุ้นให้ลูกเก็บออมได้มากขึ้นหรือไม่ แต่ก็มีข้อควรระวังว่า บางครั้งความมุ่งมั่นในการออมหรือการเคร่งครัดกับตัวเองมากไป อาจทำให้เกิดความเครียด ชีวิตหมดความสุข ซึ่งคุณแม่ต้องคอยดูแลเอง
 
                         พยายามทำให้เรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องสนุก พยายามทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันว่า “เงินนั้นใช้ได้อย่างสนุก แต่ทุกข์ต้องไม่ถนัด” และการสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ลูกตั้งแต่เด็ก จะทำให้เขาเติบโตอย่างมีคุณภาพอย่างแน่นอน
 
 
 
-------------------------
 
(เงินทองต้องรู้ : ใช้สนุกแต่ไม่ทุกข์ถนัด : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล)
 
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #125 เมื่อ: มีนาคม 18, 2014, 06:03:48 am »
เกษียณลั้นลา

-http://money.sanook.com/178386/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B2/-




คุณเคยมีความคิดแบบนี้กับการวางแผนเกษียณหรือไม่??

สาเหตุสำคัญที่ต้องวางแผนเกษียณก็เพราะเราต้องการใช้ชีวิตในช่วงก่อนและหลังเกษียณให้ใกล้เคียงกันมากที่สุด ลองนึกภาพว่าช่วงวัยทำงานคุณมีเงินใช้จ่ายอย่างสุขสบายเพราะมีรายได้จากการทำงานทำให้คุณมีบ้าน มีรถยนต์และท่องเที่ยวเมืองนอกเป็นบางครั้ง โดยตลอดช่วงของการทำงานคุณไม่ค่อยสนใจการวางแผนการใช้เงินสักเท่าไหร่ เพราะคิดว่าหาเงินมาเหนื่อยแล้วควรใช้ให้สมกับความเหนื่อยสักหน่อย ทำให้มีเงินเหลือเก็บไว้ไม่มาก เหตุการณ์นี้จะเป็นอย่างไรต่อไปเมื่อชีวิตหลังเกษียณที่ไม่ได้ทำงานและต้องอยู่ด้วยเงินเก็บเพียงอย่างเดียว

• เหตุการณ์ที่ 1 ถ้าใช้เงินเก็บหมดก่อนที่จะเสียชีวิตจะหาเงินตรงไหนมาใช้ดำรงชีพต่อไป
• เหตุการณ์ที่ 2 ถ้ามีอาการเจ็บป่วยเพราะโรคชราจะนำเงินที่ไหนมารักษา
• เหตุการณ์ที่ 3 ถ้าเป็นโรคที่ต้องมีการรักษาอย่างต่อเนื่องจะนำเงินที่ไหนมาจุนเจือครอบครัว

ถ้าช่วงก่อนเกษียณมีเงินใช้อย่างสุขสบาย แต่ชีวิตหลังเกษียณเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ข้างต้นแล้ว ชีวิตหลังเกษียณก็ไม่น่าจะสุขสงบตามใจคิดสักเท่าไหร่ แล้วอาจจะคิดว่า "ถ้ารู้ว่าแก่ตัวมาแล้วเป็นแบบนี้ รู้งี้รีบเก็บเงินตั้งแต่วัยรุ่นดีกว่า" อย่าให้เราต้องพูดแบบนี้ในช่วงเวลาที่สายเกินไป แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ดังนั้น ควรสร้างอนาคตตั้งแต่ปัจจุบัน แม้ว่าอาจจะเตรียมไม่ครบในทุกๆด้าน แต่ควรวางแผนเพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุดในอนาคต

วิธีหนึ่งที่ใช้ในการวางแผนเพื่อการเกษียณนั้นจะเป็นจำนวนเงินที่เราคาดว่าจะใช้หลังเกษียณว่าเราต้องการใช้เดือนละเท่าไหร่ เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าในปัจจุบันควรเก็บเดือนละเท่าไหร่ ดังนั้น ถ้าเราอยากมีเงินใช้หลังเกษียณมากๆก็ควรเริ่มเก็บตั้งแต่เนิ่นๆเพราะเราจะได้เริ่มเก็บจากเงินก้อนไม่ใหญ่มากและถ้าแผนของเราผิดพลาดจะได้มีเวลาที่ยาวนานพอเพื่อปรับปรุงแผนให้เสียหายน้อยที่สุด

ตัวอย่าง ตารางจำนวนเงินที่เราต้องการใช้หลังเกษียณ



หมายเหตุ คิดโดยใช้อัตราเงินเฟ้อ 3%

อธิบายตาราง

• สมมติว่ามีช่วงเวลานับจากวันเกษียณอีก 35 ปี(ตั้งแต่อายุ 60 - 95 ปี) ถ้าเราต้องการใช้เงินหลังเกษียณเดือนละ 10,000 บาท เราควรมีเงินออมให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงเวลานั้นทั้งหมด 2,598,413.68 บาท
• สมมติว่ามีช่วงเวลานับจากวันเกษียณอีก 25 ปี(ตั้งแต่อายุ 60 - 85 ปี) ถ้าเราต้องการใช้เงินหลังเกษียณเดือนละ 10,000 บาท ดังนั้นเราควรมีเงินออมให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงเวลานั้นทั้งหมด 2,108,764.53 บาท
• สมมติว่ามีช่วงเวลานับจากวันเกษียณอีก 15 ปี (ตั้งแต่อายุ 60 - 75 ปี) ถ้าเราต้องการใช้เงินหลังเกษียณเดือนละ 10,000 บาท ดังนั้นเราควรมีเงินออมให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในช่วงเวลานั้นทั้งหมด 1,448,054.71 บาท

อายุคาดการณ์หลังจากอายุ 60 ปีนั้นขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละบุคคล ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์จะทำให้คนอายุยืนขึ้น สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมไว้คือ ค่าใช้จ่ายที่เพียงพอหลังเกษียณ ผู้เขียนมีย่าที่ชรามาก ต้องนอนพักอยู่บนเตียงตลอดเวลา โชคดีที่ย่ามีลูกเยอะก็ทำให้มีคนดูแลในช่วงเวลานี้ แต่ถ้ามองไปในอีกหลายปีข้างหน้าเป็นช่วงที่คนไทยเป็นโสดมากขึ้น ครอบครัวที่แต่งงานก็มีลูกน้อยลง บางครอบครัวมีเพียง 1-2 คน แต่ละคนต้องดิ้นรนหาเลี้ยงครอบครัวของตนก็ไม่มีเวลาดูแลญาติผู้ใหญ่ แล้วตอนนั้นใครกันที่จะมาดูแลคนชราเหล่านี้ จุดนี้แหละทำให้เกิดเป็นธุรกิจใหม่ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับการดูแลคนแก่ตามบ้านมากขึ้น ถ้าตอนนั้นเราจำเป็นต้องจ้างคนมาดูแลจึงจำเป็นต้องเตรียมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไว้ด้วย

ในครั้งต่อไปเรามาติดตามกันว่าการลงทุนอะไรบ้างที่จะทำให้เงินของเรามีเพียงพอที่จะใช้ในช่วงวัยเกษียณ

ผู้เขียน : อภินิหารเงินออม

สนับสนุนข้อมูลโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #126 เมื่อ: มีนาคม 22, 2014, 06:05:01 pm »
Notebook, Smartphone ซื้อเงินสด/รูดเต็มหรือจ่ายบัตรผ่อนอย่างไหนดีกว่ากัน

-http://hitech.sanook.com/1388638/notebook-smartphone-%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%94-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%87%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5/-


Notebook, Smartphone ซื้อเงินสด/รูดเต็มหรือจ่ายบัตรผ่อนอย่างไหนดีกว่ากัน

ปัจจุบันคงต้องยอมรับว่าการเลือกจ่ายผ่านบัตรเครดิตนั้น ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะว่ามีความสะดวกสบายในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ Notebook, Smartphone หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีราคาหลักหมื่นบาทขึ้นไป ด้วยความที่ว่าเราไม่จำเป็นต้องพกเงินสดเยอะๆ ไปซื้อ ในสุ่มเสี่ยงสูญหายหรือโดนลักขโมย แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องบอกว่าการใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเงินสดหรือบัตรเครดิตก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป ซึ่งในบทความนี้เราจะมาเรียนรู้กันนะครับ

สำหรับคนที่ชอบพกเงินสดเป็นจำนวนมากหรือไม่มีบัตรเครดิต ในส่วนของการซื้อ Notebook, Smartphone รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ก็จะเป็นการนำเงินสดจำนวนมากไปซื้อ ซึ่งแน่นอนว่าจะการนำมาจากการกดตู้ ATM หรือ เบิกผ่านธนาคารที่เราใช้บริการอยู่ โดยข้อดีข้อเสียสามารถแบ่งออกเป็นได้ดังต่อไปนี้

ข้อดีของการใช้เงินสด

    มีอำนาจต่อรองราคาได้เพิ่มขึ้น ทำให้เราสามารถต่อรองราคาจากราคาเต็มที่ร้านตั้งเอาไว้ได้
    สามารถต่อรองขอเพิ่มเติมของแถม หรือของสมนาคุณอื่นๆ ได้

ข้อเสียของการใช้เงินสด

    ต้องเสียเงินก้อนออกไป แทนที่จะเอาไปหมุนหรือลงทุนอื่นๆ

ข้อดีของการใช้บัตรรูดเต็มหรือผ่อน

    ไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมากๆ ไว้กับตัวเอง ป้องกันการสูญหายหรือถูกขโมย
    ผ่อน 0% (กี่เดือนก็ว่ากันไป) ตามโปรโมชั่นที่กำหนดได้
    ได้แต้มคะแนน (Point) สามารถนำไปแลกของรางวัลหรือตั๋วเครื่องบินได้
    ไม่ทำให้เราจ่ายเงินก้อนโต ฉะนั้นส่วนที่เหลือสามารถนำมาหมุนหรือลงทุนได้
    บางบัตรได้ Cash Back 3% หรือ 5% แล้วแต่บัตรหรือโปรโมชั่น

ข้อเสียของการใช้บัตรผ่อน

    โอกาสต่อรองราคาค่อนข้างน้อย หรือถ้าลดราคาก็ลดได้ไม่เท่าเงินสด/รูดเต็ม

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับการเลือกใช้จ่ายว่าจะเป็นเงินสดหรือบัตร ที่จริงๆ แล้วก็มีข้อเด่นข้อด้อยแตกต่างกันออกไปนะครับ ทางที่ดีที่สุดคือใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการของเรา หวังว่าบทความนี้จะเป็นตัวช่วยในการซื้อ Notebook, Smartphone หรือของอื่นๆ ได้ไม่มากก็น้อย
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #127 เมื่อ: เมษายน 15, 2014, 06:57:58 am »
ไม่ตกเป็นเหยื่อการโฆษณา รู้ให้ลึกกับการทำ “ประกันชีวิต”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 เมษายน 2557 01:06 น.

-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9570000041107-

เคยไหมที่ทำประกันเพราะเกรงใจ และเคยหรือไม่ทำประกันชีวิตแต่ไม่รู้ว่ากรมธรรม์คุ้มครองอะไรบ้าง ...วันนี้ทีมงาน “ASTVผู้จัดการ” จะพาไปรู้จักประกันชีวิต และไม่ลืมที่จะบอกถึงเทคนิคดีๆ ในการทำประกันอีกด้วย....
       
       โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.นิยามว่า“การประกันชีวิต” เป็นวิธีการที่บุคคลกลุ่มหนึ่งร่วมกันเฉลี่ยภัยอันเนื่องจากการตาย การสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ และการสูญเสียรายได้ในยามชรา โดยที่เมื่อบุคคลใดต้องประสบกับภัยเหล่านั้นก็ได้รับเงินเฉลี่ยช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ตนเองและครอบครัว โดยบริษัทประกันชีวิตจะทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการนำเงินก้อนดังกล่าวไปจ่ายให้แก่ผู้ได้รับภัย
       
       โดยการประกันชีวิตแยกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
       
       1. ประเภทสามัญ เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูง ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป ในการพิจารณารับประกันชีวิตอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจสุขภาพ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของบริษัท และมีการชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี, ราย 6 เดือน, ราย 3 เดือน หรือรายเดือน
       
       2. ประเภทอุตสาหกรรม เป็นการประกันชีวิตที่มีจำนวนเงินเอาประกันภัยต่ำ โดยทั่วไปตั้งแต่ 10,000-30,000 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้ต่ำ การชำระเบี้ยประกันภัยจะชำระเป็นรายเดือน และไม่มีการตรวจสุขภาพ ฉะนั้นจึงมีระยะเวลารอคอย คือ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บตามธรรมชาติ บริษัทจะไม่จ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ แต่จะคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระมาแล้วทั้งหมด
       
       3. ประเภทกลุ่ม เป็นการประกันชีวิตที่กรมธรรม์หนึ่งจะมีผู้เอาประกันชีวิตร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ส่วนมากจะเป็นกลุ่มของพนักงานบริษัท ในการพิจารณารับประกันอาจจะมีการตรวจสุขภาพหรือไม่ตรวจก็ได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของบริษัท การประกันชีวิตกลุ่มนี้อัตราเบี้ยประกันชีวิตจะต่ำกว่าประเภทสามัญและประเภทอุตสาหกรรม
       
       สำหรับรูปแบบของการประกันชีวิตที่เป็นแบบพื้นฐานนั้นมี 4 แบบ คือ
       
       1. แบบตลอดชีพ เป็นการประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีพ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตเมื่อใดในขณะที่กรมธรรม์มีผลบังคับ บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ วัตถุประสงค์เบื้องต้นของการประกันภัยแบบนี้เพื่อจัดหาเงินทุนสำหรับจุนเจือบุคคลที่อยู่ในความอุปการะเมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต หรือเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายและค่าทำศพ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ตกเป็นภาระของคนอื่น
       
       2. แบบสะสมทรัพย์เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทจะจ่ายจำนวนเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญา หรือจ่ายเงินเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตลงภายในระยะเวลาประกันภัย การประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เป็นส่วนผสมของการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ ส่วนของการออมทรัพย์ คือส่วนที่ผู้เอาประกันภัยได้รับคืนเมื่อสัญญาครบกำหนด
       
       3. แบบชั่วระยะเวลาเป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในระยะเวลาประกันภัย วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการเสียชีวิตก่อนวัยอันสมควร การประกันชีวิตแบบนี้ไม่มีส่วนของการออมทรัพย์ เบี้ยประกันภัยจึงต่ำกว่าแบบอื่นๆ และไม่มีเงินเหลือคืนให้หากผู้เอาประกันภัยอยู่จนครบกำหนดสัญญา
       
       4. แบบเงินได้ประจำ เป็นการประกันชีวิตที่บริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่ากันอย่างสม่ำเสมอให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกเดือน นับแต่ผู้เอาประกันภัยเกษียณอายุ หรือมีอายุครบ 55 ปี หรือ 60 ปีเป็นต้นไป แล้วแต่เงื่อนไขในกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ สำหรับระยะเวลาการจ่ายเงินได้ประจำนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เอาประกันชีวิตที่จะเลือกซื้อ
       
       ทั้งนี้ รูปแบบของกรมธรรม์จะมีหลายรูปแบบและตั้งชื่อเป็นนามเฉพาะของแต่ละบริษัท ทุกรูปแบบพร้อมอัตราเบี้ยประกันภัยจะต้องได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนประกันชีวิต (อธิบดีกรมการประกันภัย) ก่อนจะนำเสนอขายแก่ประชาชน แต่โดยหลักวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นกรมธรรม์รูปแบบใดหรือชื่ออะไรก็ตาม จะอยู่ภายใต้แบบของการประกันชีวิตรวม 4 แบบ คือ
       
       1. แบบชั่วระยะเวลา ให้ความคุ้มครองในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ โดยบริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ผู้รับประโยชน์ ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้นั้น
       
       2. แบบตลอดชีพ บริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนเงินเอาประกันภัยให้ผู้รับประโยชน์ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิต ไม่ว่าจะเสียชีวิตเมื่อใดก็ตาม
       
       ทั้งแบบ 1 และแบบ 2 เป็นการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตแล้วเท่านั้น
       
       3. แบบสะสมทรัพย์ บริษัทจะจ่ายเงินตามจำนวนที่เอาประกันภัยไว้ให้แก่ผู้รับประโยชน์ถ้าผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ หรือจ่ายเงินเอาประกันชีวิตให้แก่ผู้เอาประกันภัยในกรณีที่มีชีวิตอยู่รอดพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้
       
       4. แบบเงินได้ประจำ บริษัทจะจ่ายเงินได้ประจำ หรือเงินบำนาญให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยเริ่มจ่ายตั้งแต่วันที่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติเนื่องจากความชรา ไปจนถึงวันที่กำหนดไว้ (อาจเป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง หรือตลอดอายุก็ได้)
       
       แบบ 3 ส่วนท้าย และแบบ 4 เป็นการจ่ายเงินโดยมีเงื่อนไขว่าผู้เอาประกันภัยต้องมีชีวิตรอดอยู่จนพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้
       
       สำหรับเทคนิคการทำประกันชีวิตให้คุ้มค่าและให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของการทำประกันชีวิตได้แก่
       
       1.ทำความเข้าใจ เรียนรู้ และศึกษาประกันชีวิตมีหลากหลายประเภท และหลากหลายความคุ้มครอง ผู้ที่ต้องการทำประกันควรศึกษาข้อมูลให้ดี โดยเฉพาะเรื่องของผลประโยชน์และเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย นอกจากนี้เราไม่ควรมองข้ามเรื่องการเปรียบเทียบกรมธรรม์ประเภทเดียวกันแต่คนละบริษัท แน่นอนว่ากรมธรรม์เหมือนกันแต่อาจจะแตกต่างกันในเรื่องของค่าใช้จ่าย
       
       2ไม่ควรมองข้ามการตรวจสุขภาพการทำประกันชีวิตโดยเฉพาะประกันสุขภาพนั้น การตรวจสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะโรคบางชนิดนั้นจะไม่ได้รับความคุ้มครองจากประกัน และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาเกี่ยวกับการเคลมประกันในอนาคต
       
       3.ซื้อประกันให้ครอบคลุมหนี้ที่มีการทำประกันชีวิตที่ดีควรที่จะรู้ความเสี่ยงและภาระที่เรามีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาระในการผ่อนรถ ผ่อนบ้าน หรือค่าเล่าเรียนบุตร รวมถึงการประเมินสวัสดิการที่เราได้รับ และเมื่อคำนวณทั้งหมดแล้วก็จะได้ตัวเลขหรือจำนวนเงินที่ควรจะมีหากเราเกิดเสียชีวิตขึ้นมา ซึ่งการทำประกันก็ควรจะครอบคลุมหนี้ที่เรามีเพื่อไม่เป็นภาระให้แก่คนที่อยู่ข้างหลัง
       
       4. รายได้เพิ่มควรเพิ่มทุนประกันแน่นอนว่าหากรายได้เพิ่มเราก็ควรที่จะเพิ่มทุนประกัน ซึ่งในทุนประกันที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจจะไม่พอในอนาคต
       
       5. จ่ายเบี้ยพอดี ไม่เป็นภาระอย่าลืมว่าการทำประกันส่วนใหญ่เป็นภาระระยะยาว การจ่ายเงินที่ยาวๆ นั้นอาจจะมีความเสี่ยงที่เราไม่อาจรับรู้ได้ในอนาคต ซึ่ง ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน หรือ TSI แนะนำว่า เบี้ยประกันชีวิตต่อปีไม่ควรเกิน 10% ของรายได้ต่อปี
       
       ขอบคุณข้อมูลจาก คปภ.
       และ TSI
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #128 เมื่อ: เมษายน 18, 2014, 09:49:33 pm »
เทคนิคผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ทำอย่างไรมาดูกัน

-http://home.kapook.com/view86423.html-


เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์, เฟซบุ๊ก Money Coach

          ผ่อนบ้านอย่างไรให้หมดเร็ว คำถามสำคัญที่คนซื้อบ้านอยากรู้ การผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ๆ คงเป็นเป้าหมายหลักของคนที่จรดปากกาเซ็นสัญญาซื้อบ้านเป็นของตัวเอง เพราะนั่นหมายความว่าคุณกำลังเป็นหนี้ก้อนโต ที่มีระยะเวลาในการผ่อนนับสิบปี

          ซึ่งถ้าคุณมีความพร้อมและตั้งใจที่จะผ่อนบ้านให้หนี้หมดลงอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอนาน 20-30 ปีตามสัญญากู้ซื้อบ้าน ก็สามารถผ่อนบ้านให้หมดเร็วได้เหมือนกัน และในวันนี้กระปุกดอทคอมก็ขอนำเอาบทความดี ๆ จาก เฟซบุ๊ก Money Coach มาฝากให้ได้ทำความเข้าใจ แล้วคุณจะรู้ว่าการผ่อนบ้านให้หมดเร็วก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเหมือนกันจ้า



 ผ่อนบ้านยังไง … ให้หมดเร็ว ๆ โดย คุณจักรพงษ์ เมษพันธุ์

          ดิฉันซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท เมื่อสองปีที่แล้ว ปัจจุบันส่งบ้านเดือนละ 18,000 บาท อยากจะส่งให้หมดเร็ว ๆ จะได้เสียดอกเบี้ยน้อย ๆ ต้องทำยังไง

          แหม…ถามกันแบบนี้ ถ้าทะลึ่งตอบตรง ๆ ว่า "ก็รีบปิดรีบโปะ จะได้หมดเร็วหมดไว" คงจะโกรธกันน่าดู

          แต่จะว่าไปนั่นก็เป็นวิธีการเดียวครับที่จะทำให้หนี้บ้านหมดได้เร็วได้ไวสมดังใจ ก็คิดเอาง่าย ๆ คุณยืมเงินเพื่อนสักคนมา 3 ล้าน ถามว่าวิธีการทำให้หนี้ที่ค้างเพื่อนไว้หมดไวที่สุดต้องทำยังไง

          ไม่มีคำตอบอื่นครับ นอกจากรีบเอาเงินไปคืนเขาให้หมดโดยเร็วที่สุด

          แต่ก็ใช่ว่าจะรีบโปะรีบเทโดยไม่มีแผนเลย เพราะการเร่งเอาเงินก้อนไปชำระหนี้บ้าน อาจส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน (ไม่พอใช้) รวมถึงแผนการเงินอื่น ๆ ในชีวิตคุณได้ ดังนั้นจะโปะ จะปิด มันก็ต้องมีหลักการกันสักนิดนึง

          จากโจทย์ที่ให้มา บ้านราคา 3,000,000 บาท ส่งเดือนละ 18,000 บาท ผมคาดว่าคุณคงทำสัญญากู้ยืมยาว 30 ปี ที่อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยราว 6 เปอร์เซ็นต์

          สำหรับแนวทางผ่อนชำระเพิ่มเพื่อให้หนี้หมดเร็วนั้น สามารถทำได้ 2 ทางด้วยกัน คือ ชำระเพิ่มเป็นจำนวนเท่า ๆ กันทุกเดือน หรือชำระเป็นเงินก้อนใหญ่คราวละมาก ๆ


เรามาดูที่แนวทางแรกกันก่อน

          1. ผ่อนชำระเพิ่ม เป็นจำนวนเท่า ๆ กันในแต่ละเดือน

          จากข้อมูลที่ส่งมา ปัจจุบันคุณส่งบ้านเดือนละ 18,000 บาท สมมติคุณวางแผนที่จะส่งเพิ่มอีกเดือน ละ 10% หรือ 1,800 บาท (ถ้ากลัวจำลำบากเพิ่มเป็น 2,000 บาท ก็ได้ครับไม่ผิดกติกา) รวมแล้วเดือน ๆ หนึ่งคุณส่งบ้านเดือนละ 19,800 บาท

          ในกรณีนี้บ้านของคุณจะผ่อนชำระหมดภายในระยะเวลา 22 ปี กับอีก 10 เดือน โดยประมาณ ซึ่งหมดเร็วขึ้น 7 ปีเศษแหนะ แถมยังลดดอกเบี้ยลงได้ร่วม ๆ 1 ล้านบาทครับ

          ทั้งนี้ถ้าอยากเร็วขึ้น ก็อาจปรับส่วนเพิ่มให้มากขึ้นอีกก็ได้ครับ ถ้าไหว

          2. ผ่อนชำระเพิ่มอีก 1 เดือน

          วิธีคิดในแนวทางที่สองก็คือ 1 ปี เราส่งบ้าน 13 เดือน แทนที่จะเป็น 12 เดือนครับ ซึ่งอาจจะใช้ช่วงโบนัสออก หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้เงินก้อน จะโปะเวลาไหน ช่วงใดของปีก็ได้ ได้ผลไม่ต่างกันครับ

          สมมติคุณส่งค่าบ้านเพิ่มเป็น 2 เดือน ในเดือนธันวาคมของทุกปี (เดือนอื่นส่งปกติ) พูดง่าย ๆ เดือนอื่นส่งเดือนละ 18,000 บาท แต่เดือนธันวาคมส่ง 36,000 บาท ซะเลย

          ในกรณีบ้านของคุณจะผ่อนชำระหมดภายในระยะเวลา 23 ปี กับอีก 10 เดือน เร็วขึ้นร่วม 7 ปี เหมือนกัน และลดดอกเบี้ยลงได้ร่วม ๆ 8 แสนกว่าบาท


ทำไม ? วิธีแรก ถึงหมดเร็วกว่า และลดดอกเบี้ยได้มากกว่า

          ไม่มีอะไรมากครับ เพราะวิธีแรกนั้น เราตัดต้นไปทุกเดือน แม้จะนิดหน่อยแค่ 1,800 บาทก็ตาม เมื่อต้นลดลงทุกเดือน เวลาก็สั้นลง ดอกเบี้ยก็ลดลงตามไปด้วยเท่านั้นเอง

          ทีนี้หากใครอยากผ่อนบ้านหมดเร็วกว่าในตัวอย่างที่ผมนำเสนอ ก็สามารถปรับแผนการผ่อนชำระของคุณได้ครับ ก็อย่างที่บอก ยิ่งโปะเยอะก็ยิ่งหมดเร็ว

          หัวใจสำคัญของวิธีการข้างต้นก็คือ กรุณาบอกธนาคารด้วยว่า เงินที่คุณนำฝากเข้าไปเพิ่มนั้น เพื่อต้องการตัดเงินต้นที่เป็นหนี้บ้านอยู่ อย่าไปนำฝากเข้าไปในบัญชีออมทรัพย์ เฉย ๆ เพราะถ้าไม่บอกธนาคาร เขาก็จะตัดยอด 18,000 บาทเหมือนเดิมนะครับ ต้องบอกด้วยว่าจะตัดหนี้ด้วยยอด 19,800 บาท (กรณีรายเดือน) และ 36,000 บาท (กรณีรายปี) มิฉะนั้น จะไม่เกิดผลลัพธ์ในแบบที่ต้องการนะครับ

          อย่างไรก็ดี อย่าเร่งการผ่อนชำระมากเสียจนแผนการเงินในชีวิตประจำวันเสียหายนะครับ


สำหรับท่านที่ห่วงเรื่องดอกเบี้ย ไม่อยากเสียดอกเบี้ยเยอะ

          อีกแนวทางหนึ่งที่พอจะทำได้เหมือนกัน ก็คือ การรีไฟแนนซ์บ้าน ก็เหมือนการทำสัญญากู้ยืมเงินกันใหม่ โดยเราสามารถทำสัญญาใหม่ได้ หลังจากผ่อนชำระเกิน 3 ปีไปแล้ว (อันนี้ต้องดูเงื่อนไขจดจำนองของแต่ละธนาคารอีกที)

          ถ้าปัจจุบันบ้านที่เราผ่อนอยู่นั้นมีอัตราดอกเบี้ยที่สูง ท่านก็อาจพิจารณาขอรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารเดิม หรือธนาคารใหม่ (กดดันธนาคารเดิมที่ใช้อยู่ 555) เพื่ออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ต่ำกว่า

          บางท่านอาจบอกว่า วิธีการนี้จะทำให้ระยะเวลาผ่อนชำระยาวออกไปอีก อันนี้ต้องบอกว่าไม่จริงนะครับ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเราจะตกลงกับธนาคาร สัญญาบนโลกนี้เขียนอย่างไรก็ได้ครับ ตราบใดที่สองฝั่งคู่สัญญายอมรับและไม่ผิดกฎหมาย

          สำคัญ คือ การร่นเวลาผ่อนชำระในสัญญาใหม่จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของเรานะครับ ถ้าไม่ติดปัญหาตรงนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

          ในมุมมองของผม บ้านนั้นถ้าผ่อนหมดเป็นของเราเร็ว ๆ ได้ก็ดีครับ แต่ถ้าการเพิ่มยอดส่ง ทำให้เป็นภาระเพิ่ม การรักษากติกาผ่อนชำระตามเงื่อนไขไปก่อน ก็เป็นเรื่องที่ไม่เสียหายจนเกินไปนัก

          สิ่งสำคัญ คือ คุณทำบ้านของคุณ ให้เป็น "บ้าน" จริง ๆ หรือเปล่า หรือเป็นแค่ที่พักเอาแรง เพื่อพรุ่งนี้จะได้ตื่นไปวิ่งไล่ตามหาเงินอีกครั้ง

          "HOME กับ HOUSE มันต่างกันมากนะครับ"


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #129 เมื่อ: พฤษภาคม 05, 2014, 10:39:37 am »
 เลือกใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาด
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/creditcard/Pages/Creditchoice.aspx-

      ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีข้อกำหนดให้ผู้ออกบัตร เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย
ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม และค่าบริการอื่น ๆ โดยให้ปิดประกาศไว้ในที่เปิดเผย ณ สำนักงานทุกแห่ง รวมทั้งให้ระบุ
ในเอกสารชี้ชวน ใบสมัคร และสัญญา
 
     ดังนั้น ก่อนเลือกใช้บริการผู้บริโภคควรศึกษาค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ผู้ออกบัตรแต่ละแห่งเรียกเก็บจากลูกค้ารวมถึง
ภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ท่านสามารถเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมเบื้องต้นได้จาก อัตราค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบ
 
     โดย ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้บริการบัตรเครดิต ที่ประมวลจากอัตราค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบใน
เว็บไซต์ของ ธปท. สรุปได้ ดังนี้

     - ค่าธรรมเนียมแรกเข้า   0 - 15,000 บาท  ขึ้นกับชนิดของบัตรเครดิต
     - ค่าธรรมเนียมรายปี   0 - 30,000 บาท ขึ้นกับชนิดของบัตรเครดิต
     - ค่าธรรมเนียมในการชำระเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ   0 – 50 บาทต่อครั้ง
     - อัตราดอกเบี้ย   (ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ออกบัตรเรียกเก็บดอกเบี้ย เบี้ยปรับ และค่าบริการ
       ต่าง ๆ รวมกันเกินร้อยละ 20 ต่อปีไม่ได้)
     - ค่าธรรมเนียมการเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิต  (ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ออกบัตรเรียกเก็บ
       ค่าธรรมเนียมเกินร้อยละ 3 ของจำนวนเงินสดที่เบิกถอนไม่ได้)
     - ค่าติดตามทวงถามหนี้ 0 - 384 บาทต่องวด
       - ค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินในการใช้บัตรเครดิตในต่างประเทศ  ร้อยละ 2 - 2.5 ของอัตราแลก
       เปลี่ยนอ้างอิง

       ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายข้างต้นอาจเปลี่ยนแปลงได้ จึงควรตรวจสอบรายละเอียดรายการต่าง ๆ เพื่อความมั่นใจ
นอกจากนี้ ควรเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์และความสะดวกอื่น ๆ ที่สำคัญ ดังนี้

     - รอบระยะเวลาบัญชี
     - ระยะเวลาการชำระคืนโดยปลอดดอกเบี้ย
     - จำนวนร้านค้าที่รับบัตร
     - ความสะดวกในการชำระเงิน
     - เงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ผู้ถือบัตรจะได้รับ
     - บริการเสริม และโปรโมชั่นต่าง ๆ
     - พันธมิตรทางธุรกิจของผู้ออกบัตร

     รู้ไหมว่า
      - ค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมรายปี คุณสามารถต่อรองกับผู้ออกบัตร เพื่อขอยกเว้น
        การเรียกเก็บได้
        - สิทธิประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากบัตรเครดิตชนิดต่าง ๆ เช่น บัตรพลาตินัม (Platinum) คุณควรนำมา
        เปรียบเทียบกับเงื่อนไขและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการใช้บัตรด้วย เนื่องจากค่าธรรมเนียมรายปีจะสูงกว่า
        บัตรธรรมดา

-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/creditcard/Pages/Creditchoice.aspx-
-http://www2.bot.or.th/feerate/internal.aspx?PageNo=7-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)