ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
sithiphong:
เงิน 750 บาท ในแต่ละเดือนของประกันสังคม แบ่งไปไหนบ้าง!?
-http://money.sanook.com/180958/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99750-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1-%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87/-
เงินของเรา เขาทำอย่างไร เราต้องรู้
เงิน 750 บาท ในแต่ละเดือนของประกันสังคม แบ่งไปไหนบ้าง!?
เงิน 750 บาท ในแต่ละเดือนของประกันสังคม จะถูกแบ่งเป็น...
- 225 บาท ดูแลเรื่องเจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และตาย ถ้าไม่ใช้สิทธิ เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้คืน
- 75 บาท ใช้ประกันการว่างงาน ถ้าว่างงานเมื่อไหร่ ก็เอาเงินส่วนนี้มาใช้ในระหว่างที่หางานใหม่ แต่ถ้าไม่ว่างงานเลย เงินส่วนนี้ก็จะหายไป ไม่ได้คืน
- 450 บาท เก็บเป็นเงินออม จะได้คืนเมื่ออายุครบ 55 ปี
โดยเงื่อนไขการได้เงินก้อนสุดท้าย (เงินออม เมื่ออายุครบ 55 ปี) คืน คือ
1. จ่ายประกันสังคมไม่ครบ 1 ปี ได้คืนส่วนที่จ่ายเป็นเงินก้อน เรียกว่าบำเหน็จชราภาพ เช่น จ่ายเดือนละ 750 บาทมาโดยตลอด 10 เดือน (750 บาท จะถูกหักเป็นเงินออม 450 บาท) เมื่ออายุครบ 55 ปี จะได้คืน 450 บาท x 10 เดือน = 4,500 บาท
2. จ่ายครบ 1 ปี แต่ไม่ถึง 15 ปี จะได้เป็นเงินก้อนเรียกว่าบำเหน็จเช่นกัน แต่จะมากกว่าข้อ 1. คือ ได้ส่วนที่นายจ้างสมทบด้วย เช่น จ่าย 750 บาท ตลอด 7 ปี (84 เดือน) ที่จะได้รับคืนเมื่ออายุครบ 55 ปี คือ 450 บาท (ส่วนที่ตนเองจ่าย) + 450 บาท (ส่วนที่นายจ้างจ่าย) x 84 เดือน = 75,600 บาท
3. จ่ายตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จะได้รับเป็นเงินรายเดือน เรียกว่า บำนาญชราภาพ โดยคำนวณ 2 กรณี คือ
- กรณีจ่ายครบ 15 ปีเป๊ะๆ จะได้รับรายเดือน คือ 20% ของเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย สมมติ 60 เดือนสุดท้าย เฉลี่ยแล้วเท่ากับ 15,000 บาท จะได้รับ 20% คือ เดือนละ 3,000 บาท ไปจนตาย
- กรณีสมทบมากกว่า 15 ปี จะได้รับโบนัสเพิ่ม 1.5% ของเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย หากครบปี เช่น จ่ายครบ 20 ปี รายเดือนที่จะได้รับ คือ 20% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน + 1.5% ของเงินเดือนเฉลี่ย 60 เดือน x 5 ปี (จ่าย 20 ปี เกินจากที่กำหนดขั้นต่ำมา 5 ปี)
สมมติเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย เท่ากับ 15,000 บาท จะได้รายเดือน คือ (20% x 15,000 บาท = 3,000 บาท) + (1.5% x 15,000 บาท x 5 ปี) = 3,375 บาท รวมเป็น 6,375 บาท ต่อเดือน ไปจนตาย
กรณีที่ได้รับเงินบำนาญชราภาพแล้ว ยังไม่ครบ 5 ปีเลย แต่เสียชีวิตซะละ กรณีนี้จะได้รับบำเหน็จ 10 เท่าของเดือนสุดท้ายของเงินบำนาญที่ได้รับ เช่น รับรายเดือน เดือนล่าสุด 6,375 บาท ตายปุ๊บ รับ 63,750 บาท
ขอบคุณข้อมูลจาก มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
-https://www.facebook.com/fconsumerthai?fref=ts-
sithiphong:
7 วิธีประหยัดค่าใช้จ่ายที่ทำได้จริง เหลือเงินเก็บแน่นกระเป๋า
-http://money.kapook.com/view87914.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
วิธีประหยัดค่าใช้จ่ายที่ทำได้จริงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป จะได้มีเงินเหลือเก็บมากขึ้น ถ้าอยากลดค่าใช้จ่าย แล้วเพิ่มเงินเก็บให้กระเป๋าตุงก็ทำได้ไม่ยาก แค่ต้องอาศัยเคล็ดลับนิดหน่อยจ้า
ภาระค่าใช้จ่ายของใครแน่นเอียด จนยอดเงินติดลบแทบทุกเดือน ตอนนี้คงกำลังมองหาวิธีประหยัดค่าใช้จ่ายกันอยู่แน่ ๆ ใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นลองมาดูเคล็ดลับประหยัดค่าใช้จ่ายที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากต่อไปนี้ดีกว่า รับรองเลยว่าคุณจะเซฟเงินในกระเป๋าได้อีกเยอะ กลายเป็นคนที่เหลือเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำเลยเชียวล่ะ
ตัดงบเรื่องกินไปบ้าง
ถ้าลองคำนวณดูเล่น ๆ จะเห็นว่า ค่าใช้จ่ายในเรื่องปากท้องของเราในแต่ละเดือนกินพื้นที่งบประมาณไปมากพอดู เอาง่าย ๆ แค่ค่ากาแฟ และขนมตอนบ่ายในแต่ละวัน ก็ 100-200 บาท เข้าไปแล้ว ยิ่งกับคนที่ชอบตระเวนกินอาหารหรู ๆ จัดบุฟเฟ่ต์ทุกสัปดาห์ก็ยิ่งควักกระเป๋ามากขึ้นไปอีก แต่ถ้าลองตัดงบประมาณค่ากาแฟ ขนมหวาน และอาหารฟุ่มเฟือยลงไปบ้าง พร้อมทั้งทำอาหารกินเองที่บ้านแทนกินข้าวนอกบ้าน คงเหลือเงินในกระเป๋าไม่น้อยเลยเหมือนกัน ที่สำคัญยังเป็นการไดเอตทางอ้อมที่เห็นผลจริง และรวดเร็วโดยไม่ต้องเสียเหงื่อออกกำลังกายสักหยดเลยด้วย
ค่าเดินทางก็ประหยัดได้
ในเมื่อราคาน้ำมันมีแต่พุ่งขึ้นกับขึ้นขนาดนี้ ขืนใช้รถ 2 คัน ขับของใครของมันคงต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายในส่วนการเดินทางจนเมื่อยบ่าแน่ ๆ ดังนั้นหากเป็นไปได้ ลองไปคันเดียวกัน หรือเลือกใช้บริการรถสาธารณะในบางโอกาสดีกว่า ประหยัดทั้งค่าน้ำมัน ค่าที่จอดรถ แล้วยังประหยัดเวลาหาที่จอดรถให้ยุ่งยาก ส่วนค่าเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุดยาว คุณสามารถเซฟเงินในกระเป๋าได้ด้วยการจองโปรโมชั่นเครื่องบินแทนการขับรถทางไกล แค่นี้ก็มีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นอีกหลายบาทแล้วจ้า
ฉลาดเลือกกรมธรรม์
กรมธรรม์ในสมัยนี้มีให้เลือกหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นแบบออมเงิน และประกันสุขภาพ พร้อมประกันอุบัติเหตุไปด้วยในตัว ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าคุณจะเลือกซื้อกรมธรรม์แบบไหนให้ตัวเอง แต่ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจซื้อกรมธรรม์ อยากให้คุณคำนวณเบี้ยประกัน ผลประโยชน์ที่ได้รับ ระยะเวลาผ่อนส่ง รวมทั้งในส่วนของการลดหย่อนภาษีให้ดีด้วยนะคะ
ปาร์ตี้ได้ แต่เบา ๆ
เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะมีสังคม และสังสรรค์กับเพื่อนบ้างในแต่ละเดือน แต่ถ้าคุณลดความถี่ลงจากเดิม หรือเปลี่ยนแนวไปเที่ยวแบบที่ไม่ต้องใช้เงินมากนัก เช่น ปิกนิกในสวนสาธารณะ ดูฟรีคอนเสิร์ต หรือดูหนังในช่วงลดราคา ไม่ก็นัดปาร์ตี้กันที่บ้านเพื่อน แค่นี้ก็ประหยัดเงินในกระเป๋าไปได้อย่างไม่น่าเชื่อแล้วล่ะ
ค่าใช้จ่ายในบ้าน ลดได้ไม่ยาก
ลองคำนวณค่าใช้จ่ายภายในบ้านในแต่ละเดือนแล้วก็ต้องสะดุ้งเบา ๆ เพราะมีรายละเอียดจิปาถะที่ต้องใช้เงินทั้งนั้นเลยนะคะ แต่ถ้าอยากลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ คุณก็สามารถทำได้ง่าย ๆ แค่เลือกใช้ของที่คุ้มค่าทั้งในแง่ของคุณภาพ และราคา เพราะอย่าลืมว่าของคุณภาพดีบางทีก็ไม่จำเป็นต้องแพง หรือเป็นของแบรนด์ดังอะไร แถมของบางอย่างเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้ของดีมีคุณภาพมากนักอีกต่างหาก ที่สำคัญพ่อบ้านคนไหนที่เป็นสิงห์อมควัน ลองตัดขาดจากบุหรี่ก็น่าจะดี แล้วคุณจะเห็นได้ว่า มีเงินเหลือเก็บอีกมาก หนำซ้ำสุขภาพก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว
ประหยัดพลังงาน เท่ากับประหยัดเงิน
บิลค่าน้ำ และค่าไฟเป็นค่าใช้จ่ายสำคัญในบ้านที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นหากคุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานให้รักษ์โลกมากขึ้น อย่างปิดทีวีเมื่อไม่ได้ดู ตั้งอุณหภูมิแอร์ไม่ให้ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งที่ไม่ใช้งาน ปิดก๊อกน้ำให้สนิท รวมทั้งไม่เปิดน้ำทิ้งไว้ หรือแม้แต่อาบน้ำเย็นแทนการอาบน้ำอุ่น และปิดไฟในส่วนที่ไม่มีใครอยู่ก็ประหยัดเงินไปได้เยอะจนคาดไม่ถึงเลยจ้า
จำกัดค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
วิธีที่จะช่วยให้คุณเหลือเงินเก็บในกระเป๋าตามเป้าที่ตั้งไว้ คงหนีไม้พ้นการวางแผนการใช้จ่ายให้ตัวเอง และเดินตามแผนนั้นอย่างเคร่งครัด พยายามอย่าวอกแวกใช้เงินส่วนที่แบ่งไว้เก็บ หรือตัดสินใจเป็นหนี้เด็ดขาด โดยเฉพาะบัตรเครดิต ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าใช้เลยดีกว่านะคะ จะได้ไม่มีภาระหนี้ผูกพันในเดือนต่อ ๆ ไป และถ้าใช้เงินสดแทน คุณจะสามารถกำหนดค่าใช้จ่ายให้ตัวเองได้อย่างแม่นยำขึ้นด้วย
เพียงแค่ฝึกวินัยการใช้จ่ายของตัวเองให้อยู่ในกรอบที่ตั้งไว้ แค่นี้คุณก็จะบรรลุเป้าหมายการออมเงิน และประหยัดค่าใช่จ่ายในแต่ละเดือนไปได้เยอะแล้วล่ะค่ะ
sithiphong:
วางแผนการเงิน...สบายกระเป๋าตลอดปี (modernmom)
เรื่อง : นารา อาทิตย์รักษ์
-http://money.kapook.com/view88448.html-
วางแผนการเงิน..ได้ยินแล้วง่วงชะมัด เอาเป็นว่าเรื่องโครงสร้างตารางซีเรียส ๆ ปล่อยให้ท่านเจ้าหลักการหรือนักวางแผนการเงินมืออาชีพเขาทำกันไปก็แล้วกัน หลักการบ้าน ๆ ของเราเน้นง่าย ไร้ศัพท์แสง นั่นก็คือ ปีหน้า "ต้อง" จ่ายหรือเก็บเงิน เพื่ออะไรกับ "อยาก" ใช้จ่ายอะไรบ้าง ง่าย ๆ เท่านี้เอง งั้นมาเริ่มต้นวางแผนกันดีกว่า...
แผนการเลิศหรูมักสวยงามยามเพ้อฝัน ลงมือทำจริงทีไร เป็นศูนย์ทุกทีสิน่า...
สแกนกรรมก่อนสตาร์ด
รรมใดในอดีตที่ท่านก่อไว้ยังติดตามมาในภพเอ๊ยปีนี้หรือไม่ กรรมหมายถึงการกระทำ เช่น ผ่อนบ้านหรือผ่อนรถหรือเวรกรรม เช่น หนี้บัตรเครดิตจากการอัพเดตมือถือหรือกระเป๋าแบรนด์รุ่นล่า กู้ไปทัวร์ยุโรป หรือหนักมือกับการฉลองปีใหม่ไปนิด ฯลฯ อย่าลืมเช็กข้อมูลเครดิตว่ายังดีอยู่ หรือมีปัญหา จ่ายช้า ยังไม่ได้จ่ายหนี้ มีอะไรผิดปกติควรรีบติดต่อธนาคาร
ส่วนกรรมดีดูสิว่าสะสมทรัพย์สิน เงินฝาก ลงทุนซื้อหุ้นพันธบัตร ที่ดินหรือทองไว้มากน้อยแค่ไหน แล้วแต่ละเดือนมีเงินงอกเงยจากสมบัติเหล่านี้กี่บาทกี่สตางค์ รวมตัวเลขแล้วทุกเดือนเงินเข้าจะมีมากกว่าออก กรรมดีมากกว่าหนี้กรรม... ยินดีด้วยค่ะ แต่ถ้ายังติดลบอยู่ควรคิดหารายได้เพิ่มช่วยล้างหนี้ให้เร็วขึ้น
ปีนี้ต้องหรืออยากทำอะไรบ้าง
เตรียมตัวเตรียมใจและเงินไว้สำหรับจ่ายประจำก่อน ดูว่ารายเดือน มีรายจ่ายหลักอะไร ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ มีรายจ่ายประจำอะไรอีก ค่าอาหารพ่อแม่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ของกินของใช้ลูก ค่าน้ำมัน ฯลฯ
รายจ่ายบางเดือนที่มักจะลืมไป เช่น ครบกำหนดจ่ายค่าดูแลรักษาต่าง ๆ เช่น ประกันและพรบ.รถ ล้างแอร์ ค่าสาธารณูปโภคในอาคารหรือหมู่บ้าน หรือจ่ายภาษีถ้าต้องคิดเองจ่ายเอง ฯลฯ คิดมาให้ละเอียดยิบ เตรียมงบสนับสนุนโครงการ อยากไปเที่ยว เข้าคอร์สฟิตเนส ฝึกร้องเพลง เรียนปั้นดิน อบรมเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เรียนต่อ ดาวน์รถใหม่ หรือต่อห้องเพิ่ม ฯลฯ หรือคิดว่าจะเก็บเงินไว้ยามเกษียณอย่างจริงจังสักที โปรเจกต์อย่าเยอะมากเดี๋ยวจะเป็นแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ
หมายเหตุไว้ตรงนี้หน่อยว่าพยายามผลักดันเงินออมยามเกษียณไปอยู่ในรายจ่ายหลักให้จงได้ มาเริ่มเก็บเอาบั้นปลายก็สายเกินแก้ คนแก่ ๆ ไม่มีเงินเลี้ยงตัวเป็นปัญหาทั่วโลก ส่วนบ้านเราการพึ่งรัฐฯ หรือสวัสดิการสังคมในอนาคต คาดการณ์แล้วขอใช้ตัวเลขนี้ "555"
อย่าลืม...รายจ่ายทำลายบรรยากาศ
คนกำลังอารมณ์ดี ๆ ดูตามแผนที่วางไว้มีเงินพอตามฝันโครงการสวยหรู แต่ต้องสะดุดเหมือนมีใครมาขัดขาให้หกล้มเพราะรายจ่ายที่น่ารำคาญ คาดไม่ถึง แต่เขาต้องมาแน่ ๆ จำเป็นต้องซ่อมหรือเปลี่ยนอุปกรณ์ต่าง ๆ รถเสีย โทรศัพท์พัง แอร์เสีย ซ่อมบ้าน หรือพวกหมดสภาพตามอายุการใช้งานอย่าง เครื่องซักผ้า ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ ปรินต์เตอร์ตัวดี 2 ปีตายตลอด เตาไมโครเวฟ หรือรถยนต์เก่าทนใช้มานาน ฯลฯ ของเหล่านี้มีอายุขัยของมัน ซื้อมาเมื่อไรน่าจะจดวันซื้อและระยะการใช้งานไว้ จะได้รู้ว่าถึงเวลาเสียเงินซื้อใหม่หรือยัง ต้องมีเงินเพื่อการนี้ด้วย
อีกอย่างที่อาจซ่อมก็คือสุขภาพ ดูแลสุขภาพตัวเองและคนในครอบครัวดี ๆ ถ้าเจ็บป่วยหนักประกันที่มีอยู่อาจไม่ครอบคลุมต้องควักกระเป๋าเองนะ
ถ้ารู้แล้วว่าทั้งหมดเป็นจำนวนเงินเท่าไร กลับมาดูรายได้แต่ละเดือน กับทรัพย์สมบัติที่มีอยู่อย่างไหนนำมาแปลงเป็นเงินได้ โดยไม่สั่นคลอนหลักประกันในชีวิต ดูความเป็นไปได้ เรียงลำดับ ความสำคัญ และพยายามจัดสรรงบให้ลงตัวก็สบายไปอีก 1 ปีแล้วค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://www.momypedia.com/-
Vol.19 No.219 มกราคม 2557
sithiphong:
6 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดหลังแรก
-http://home.kapook.com/view88854.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
คอนโดกลายเป็นที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่แพ้การซื้อบ้านสักหลังเลย โดยเฉพาะคนในวัยทำงาน ที่ต้องการที่อยู่อาศัยสไตล์คนรุ่นใหม่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคโมเดิร์นแบบนี้ได้ตรงความต้องการทุกข้อ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากการซื้อคอนโดหลังแรกจะค่อนข้างบูมในหมู่คนที่เริ่มอยากลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์แบบเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง แต่ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดสักหลัง คงต้องผ่านการพิจารณาหลายขั้นตอน ทั้งเรื่องโดยทั่วไป จนกระทั่งหลักการซื้อขาย การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อคอนโด ดังนั้นวันนี้เราเลยขอนำเสนอ 6 ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อคอนโดหลังแรกมาให้คุณ ๆ ได้ศึกษากันก่อนค่ะ
1. พิจารณาสัญญา และกฎระเบียบให้ถี่ถ้วน
การซื้อคอนโดสักหลังไม่ต่างอะไรกับการทำสัญญาซื้อขาดอย่างหนึ่ง ที่จะบอกว่าเป็นภาระผูกพันระยะยาวก็คงไม่ผิดนัก ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดหลังแรก ควรต้องมั่นใจก่อนว่า คุณจะสามารถยอมรับระเบียบข้อบังคับของคอนโด และพักอาศัยในคอนโดหลังนี้ได้อย่างสบายใจ โดยตรวจสอบตั้งแต่เงื่อนไขของการเก็บค่าส่วนกลาง บริษัทผู้รับผิดชอบโครงการ นิติกร รวมทั้งบริษัทที่รับหน้าที่ดูแลคอนโดแห่งนี้หลังจากการซื้อขายจบสิ้น พร้อมกันนั้นควรตรวจสอบด้วยว่า เงื่อนไขการอยู่อาศัยเข้มงวดแค่ไหน เลี้ยงสัตว์ได้หรือเปล่า หรือมีข้อห้ามปฏิบัติในส่วนไหนบ้าง ตลอดจนการจอดรถ และระบบการรักษาความปลอดภัยด้วยนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกสบายของตัวคุณเอง และเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในภายหลัง
2. เปรียบเทียบราคาให้เหมาะสม
สำหรับคนที่จำเป็นต้องกู้ธนาคารเพื่อซื้อคอนโด หรือต้องซื้อคอนโดต่อจากบุคคลอื่น ก็แน่นอนว่า สนนราคาคอนโดของคุณต้องสูงกว่าราคาที่โครงการตั้งไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้คุณจึงต้องใส่ใจรายละเอียดในเรื่องของไฟแนนซ์ และการกู้ยืมเงินให้มาก รวมทั้งคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากราคาคอนโด เปรียบเทียบราคาให้เหมาะสมกับกำลังจ่ายของตัวคุณเองด้วย เพราะหากราคาคอนโดถูกโก่งไว้สูงเกินไป จนคิด ๆ ดูแล้วไม่คุ้มที่จะซื้อสักเท่าไร เราจะได้ไหวตัวทันนะจ๊ะ
3. คำนึงถึงความคุ้มค่า
ในเมื่อคอนโดกลายเป็นความต้องการอันดับต้น ๆ ของตลาด การแข่งขันจึงค่อนข้างสูง ซึ่งก็เป็นผลดีกับผู้บริโภคอุปโภคอย่างเรา ๆ เพียงแต่ว่า เราเองก็ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่ากับเงินที่จะต้องเสียไป พิจารณาให้รอบคอบว่า คอนโดที่เราสนใจนั้นมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ทำเลดีเริ่ด ติดรถไฟฟ้า ใกล้ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน ที่ทำงาน มีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องสมุด หรือข้อได้เปรียบที่ปล่อยผ่านไปไม่ได้อย่างไร ระบบการรักษาความปลอดภัย และสิทธิพิเศษที่ผู้อยู่อาศัยจะได้รับนั้นเหมาะสมกับเงินที่เราต้องจ่ายค่าส่วนกลาง และค่าคอนโดไปหรือเปล่า ซึ่งถึงแม้จะดูจุกจิกมากไปนิด แต่ในเมื่อจำนวนเงินที่จะออกจากกระเป๋าสตางค์เราไม่ใช่น้อย ๆ ก็ต้องเคี่ยวกันเป็นธรรมดาล่ะเนอะ
4. ความน่าเชื่อถือของโครงการ
มีข่าวให้ได้ยินกันบ่อย ๆ ถึงคนที่ถูกเจ้าของคอนโดโกง โดยทำสัญญาซื้อขายทั้ง ๆ ที่โครงการยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดี จนในที่สุดโครงการคอนโดสุดหรูนั้นก็ค้างอยู่ในวิมานกลางอากาศ สูญเงินเหยียบล้านแต่ไม่ได้เห็นโครงการคืบหน้าไปไหนสักที ดังนั้นเมื่อมีกรณีศึกษาแบบนี้แล้ว ก่อนตัดสินใจทำการซื้อขายคอนโด ก็น่าจะต้องตรวจสอบประวัติความเป็นมาของเจ้าของคอนโด คุณภาพงาน และมาตรฐานการทำงานที่ผ่าน ๆ มาของเขาด้วย ยิ่งถ้าเป็นโครงการที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง จนสามารถขยายโครงการไปได้หลาย ๆ ที่ในเวลารวดเร็วก็น่าจะไว้วางใจได้ในระดับหนึ่งนะคะ
5. โครงสร้างคอนโดต้องแข็งแรง
นอกจากความน่าเชื่อถือของเจ้าของโครงการคอนโดแล้ว ทางที่ดีควรต้องเจาะลึกไปถึงการสร้างคอนโดแห่งนี้ด้วย เพื่อให้เราแน่ใจได้ว่า โครงสร้างคอนโดจะแข็งแรงแน่นปึ้กจริง ๆ วัสดุที่ใช้ก็ควรมีคุณภาพดี พูดง่าย ๆ ก็คือ เมื่อเหยียบย่างเข้าไปในคอนโดต้องไม่เห็นรอยร้าว จุดชำรุดในที่ใด ๆ หรือถ้าเคาะผนัง และพื้นแล้วต้องไม่ได้ยินเสียงก้องกังวาน แสดงให้เห็นถึงความโปร่งบางของโครงสร้างเด็ดขาดนั่นเองค่ะ
6. สภาพแวดล้อมรอบด้านน่าพึงพอใจ
จุดเด่นของคอนโดในยุดนี้ต้องตั้งอยู่ในย่านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ถ้าไม่ติดย่านกลางเมือง มีรถไฟฟ้าในระยะใกล้ ๆ ก็ต้องอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้า แต่เหตุผลแค่นี้คงไม่พอให้เรายอมจ่ายเงินจำนวนมากแน่ ๆ จริงไหมคะ เพราะถ้าจะเสียเงินก้อนทั้งที สภาพแวดล้อมรอบด้านคอนโดก็ควรจะต้องเป็นที่น่าพอใจสำหรับเราพอสมควร เช่น อยู่ใกล้ที่ทำงาน เดินทางไปไหนมาไหนสะดวก ไม่ตั้งอยู่ในย่านชุมชนแออัด แต่ก็ไม่เปลี่ยวจนน่าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยจนเกินไป มีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา กล้องวงจรปิด และลานจอดรถต้องดูปลอดภัยไร้กังวลมาก ๆ ด้วย นอกจากนี้ควรพิจารณาถึงปัจจัยที่จะช่วยให้เราขายคอนโดได้โดยง่าย เผื่อกรณีที่คิดจะขายต่อในภายหลังด้วยนะคะ
ไม่ว่าใครก็อยากจะซื้อคอนโดหลังแรกให้คุ้ม อยู่สบายและไม่เสียดายเงินก้อนโตที่ต้องจ่ายไป ฉะนั้นก่อนเลือกซื้อคอนโด ก็อย่าลืมนึกถึงข้อควรพิจารณาเหล่านี้ด้วยนะจ๊ะ
sithiphong:
กู้บ้านผ่าน ไม่ได้แปลว่า ผ่อนบ้านไหว
-http://money.kapook.com/view89036.html-
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ThinkOfLiving.com
หลายคนดิ้นรนอยากเป็นเจ้าของบ้านสักหลัง ด้วยการทำงานหนักและพยายามเดินบัญชีสวย ๆ เพื่อให้สามารถขอกู้ซื้อบ้านผ่านฉลุย ทั้งยังตื่นเต้นดีใจที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อบ้าน แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว การซื้อบ้านกลับมีปัจจัยอื่น ๆ นอกเหนือจากแค่กู้บ้านผ่านเท่านั้น กระปุกดอทคอมจึงมีบทความดี ๆ ที่อธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง การกู้บ้านผ่าน และการซื้อบ้านไหว ที่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่จาก เว็บไซต์ ThinkOfLiving.com มาฝากให้ได้ทำความเข้าใจกันค่ะ
“กู้บ้านผ่าน” ไม่ได้หมายความว่าจะ “ซื้อบ้านไหว” โดย ThinkOfLiving.com
บ่อยครั้งที่เราเห็นคนใกล้ตัวคิดจะซื้อบ้าน จากที่ทีแรกตั้งงบประมาณไว้ 3 ล้านบาทก็คิดว่าพอสมควรแล้ว แต่พอเขาศึกษาบ้านมากขึ้นเรื่อย ๆ เข้าโครงการนี้ออกโครงการนั้น วิ่งวนไปอยู่สักพักหนึ่ง งบประมาณซื้อบ้านที่ตั้งไว้ทีแรกที่ 3 ล้านบาท ก็ขยายขึ้นไปเป็น 4-5-6 ล้านตามลำดับ ในระยะเวลาอันสั้น แล้วก็ไปหยุดอยู่ตรงงบประมาณสูงที่สุดที่พอจะกู้ธนาคารผ่านได้ โดยลืมไปเลยว่าตัวเองตั้งงบไว้ทีแรกเพียง 3 ล้านบาท … ยิ่งกู้บ้าน 100% จับเสือมือเปล่ายิ่งดี เพราะยังสามารถเก็บเงินก้อนเอาไว้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งเข้าบ้านได้ หรือบางรายหนักไปกว่านั้น ขอกู้เกินราคาบ้าน โดยส่วนเกินยอมให้ธนาคารคิดดอกเบี้ยแพงหน่อยไปเป็น "ค่าตกแต่ง" จะได้ไม่ต้องเสียเงินก้อนในการตกแต่งบ้านด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่า "ฉันกู้ผ่าน"
จริง ๆ ประโยคที่ว่า "ฉันกู้ผ่าน" กับ "ฉันซื้อไหว" มันไม่ได้มีความหมายเหมือนกันนะครับ หลาย ๆ คนชอบคิดไปเองว่า 2 ประโยคนี้มีความหมายเดียวกัน หรือไม่ก็หลงอยู่ในประโยคแรกแต่ไม่ได้คิดถึงประโยคที่สอง ด้วยเมฆหมอกที่มาบังตาจากความอยากได้อยากมีเกินกำลัง ของมันแน่อยู่แล้วครับว่า บ้านเดี่ยวราคา 5 ล้านบาท ส่วนใหญ่ย่อมดีกว่าทาวน์เฮาส์ราคา 3 ล้านบาทอยู่แล้ว
"กู้ผ่าน ผ่อนได้ เดี๋ยวเงินเดือนก็ขึ้น ได้โบนัสมาก็โปะ ปีสองปีแรกรัดเข็มขัดหน่อย ปีต่อ ๆ ไปก็ผ่อนสบาย ๆ แล้ว" คงจะเป็นเสียงในใจของคนหลาย ๆ คน ที่ลืมคิดไปว่าหากเศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่เพิ่ม บริษัทที่ทำอยู่ลดพนักงาน หรือไม่จ่ายโบนัสจะทำอย่างไร ?
ถ้ามีเงินเก็บ สามารถหยิบมาใช้ได้ หรือขยันทำงานมากขึ้น รับงานพิเศษ หาทางเอาตัวรอดได้ก็แล้วไป แต่ถ้าวินัยทางการเงินไม่พอ หรือเศรษฐกิจหดตัวแรง ๆ เงินช็อต อาจจะนำมาสู่การยึดทรัพย์เพื่อชำระเงินกู้ได้นะครับ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่เห็นธนาคารเอาบ้านมือสองมาขายทอดตลาดกันอยู่บ่อย ๆ หรอก … หลายคนยิ่งไปกว่านั้น กดเงินสดดอกเบี้ย 20-28% มาใช้ โดยไม่รู้ว่ายิ่งเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง
เรามาลองรู้จักคำว่า "พอดี" กันบ้างดีไหมครับ ? แต่ก่อนที่ผมจะพาไปรู้จักนั้น เดี๋ยวผมจะหยิบยกตัวเลขทางสถิติมาให้เห็นกันก่อน เพื่อที่จะได้เข้าใจภาพรวมคร่าว ๆ ของบ้านเมืองเรา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผมตัดสินใจเขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา … ข้อมูลประกอบ รายงานนโยบายการเงิน เดือนมีนาคม 2557 โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย
นี่เป็นตัวเลขล่าสุดของ หนี้สินภาคครัวเรือนต่อ GDP ซึ่งแสดงให้เห็นว่าครอบครัวไทยมีความสามารถกู้เงินมาใช้จ่ายได้เก่งมาก ภายใน 3 ปี ก็ทำให้หนี้สินครัวเรือนพุ่งจาก 63% ก่อนปี 2554 จนเฉียด 80% ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2556
ต่อมาเป็นตัวเลข NPL หรือหนี้เสียจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ (ซื้อแล้วผ่อนไม่ไหว) ที่มีแนวโน้มในขาขึ้นชัดเจน จาก 10,000 กว่าล้านบาท พุ่งไปเกือบแตะ 25,000 ล้านบาทในเวลาเพียง 3 ปี
ดูตัวเลขแล้วก็หนาว ๆ ร้อน ๆ เนอะ หลาย ๆ คนเห็นแล้วก็อาจจะโทษนู่นโทษนี่ ต่อว่านโยบายรถคันแรก ต่อว่าบัตรเงินสด ต่อว่าโฆษณาที่ทำให้ดูเหมือนว่าการกู้เงินเป็นเรื่องที่ง่ายมาก ขับรถเข้าไปปุ๊บได้เงินออกมาปั๊บ ยังมีรถใช้อยู่ แต่ลืมต่อว่าไปอย่างหนึ่ง … "ตัวคนกู้" นั่นเอง …
ของอย่างนี้มันตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกครับ สถาบันการเงินหลาย ๆ แห่งชอบโทรมาชวนให้ทำบัตรบ้าง กดเงินบ้าง กู้รถ กู้บ้านเกินกำลังบ้าง แต่ถ้าตัวคนกู้ไม่เอาด้วยเสียอย่าง เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับให้คุณจับปากกาเซ็นชื่อลงในเอกสาร ธุรกรรมทางการเงินก็คงจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่าสาเหตุหนึ่งคงจะมาจากการที่หลาย ๆ คนมีความรู้ในเรื่องนี้น้อยเกินไป ว่าใช้จ่ายอย่างไรเรียกว่า "ไหว" และใช้จ่ายอย่างไรเรียกว่า "ไม่ไหว"
การที่เราจะหาคำว่า "พอดี" ได้นั้น เราก็ต้องมารู้จักความหมายของ "ฉันกู้ผ่าน" กับ "ฉันซื้อไหว" เสียก่อน
ฉันกู้ผ่าน หมายความถึง จำนวนเงินที่ธนาคารคิดว่าสามารถทำกำไรจากคุณในความเสี่ยงที่เขายอมรับได้ (ไม่ใช่คุณยอมรับได้)
ฉันซื้อไหว หมายความถึง จำนวนเงินที่คุณสามารถจ่ายได้โดยไม่สร้างเดือดร้อนต่อตนเองและคนรอบข้าง
เงินกู้ก็เหมือนมีด ใช้ดี ๆ ก็เกิดประโยชน์ ใช้ผิดก็อาจจะเฉือนทำร้ายตัวเองรวมถึงคนที่อยู่รอบ ๆ เราได้ด้วย ดังนั้นธนาคารพาณิชย์จึงถูกตั้งเกณฑ์ขั้นต่ำในการปล่อยสินเชื่อขึ้นมา จากตัวเลขที่เรียกว่า "อัตราส่วนรายได้ต่อภาระจ่ายชำระหนี้" หรือ DSCR: Debt Service Coverage Ratio ซึ่งคำนวนจากการเอาเงินได้มาหารภาระที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน เช่น
เงินเดือน 50,000 บาท
ผ่อนชำระหนี้ 10,000 บาท
ก็เรียกว่ามี DSCR = 5 เท่า
โดยตัวเลขนี้ในเหตุการณ์ทั่วไปจะถูกกำหนดไม่ให้ต่ำกว่า 2 เท่า ก็คือเงินเดือน 50,000 บาท ผ่อนชำระหนี้ได้สูงสุด 25,000 บาท นั่นเอง
ทีนี้เรามาดูอัตราเฉลี่ยของประเทศไทยกันบ้างนะครับ ตรงนี้เป็นตัวเลขที่รวมรวบยอดประชากรทุกฐานะ ตั้งแต่มหาเศรษฐี จนถึงชนชั้นกลางที่สามารถกู้บ้านผ่านได้ ปรากฏว่ามีอัตราส่วนรายได้ต่อภาระจ่ายชำระหนี้ (DSCR) อยู่ที่ 4.4 เท่าโดยเฉลี่ย คิดง่าย ๆ ก็คือ มีเงินเดือน 44,000 บาท ผ่อนชำระหนี้ 10,000 บาท เหลือ 34,000 บาท เอาไว้ใช้จ่ายในแต่ละเดือนรวมถึงจ่ายภาษีรายได้ส่วนบุคคลด้วย ซึ่งผมก็เห็นว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างเหมาะสม สามารถใช้จ่ายกันได้อย่างสบาย ๆ ไม่เกินตัว
สำหรับบางคนไม่ใช่อย่างนั้นนะสิครับ สมมุติว่า นายเปี๊ยก มีรายได้ 50,000 บาทต่อเดือน (600,000 ต่อปี) อยากได้ทาวน์เฮาส์ราคา 2 ล้านบาท ผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ย 6% ก็จะอยู่ประมาณ 15,600 บาทต่อเดือน เหลือใช้ 34,400 บาทต่อเดือน (คิดเป็น DSCR = 3.2 เท่า) – คำนวณสินเชื่อด้วยโปรแกรมจากธนาคารอาคารสงเคราะห์
แต่พอเปี๊ยกดูบ้านไป ๆ มา ๆ แล้วก็เห็นว่าข้าง ๆ โครงการนี้ก็มีบ้านเดี่ยวอยู่ห่างไปไม่ไกล ในราคา 3.2 ล้านบาท ผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ย 6% ก็จะต้องจ่าย 24,900 บาทต่อเดือน เหลือใช้ 25,100 บาทต่อเดือน อัตราส่วน DSCR ลดลงเหลือ 2 เท่าเศษ ซึ่งเปี๊ยกเองก็สามารถกู้ผ่านได้อยู่ …
สายตาที่เคยมองทาวน์เอาส์ก็ถูกความฝันของบ้านเดี่ยว 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พร้อมสวนรอบข้างมาแทนที่ ลืมไปเลยว่าตัวเองเคยตั้งงบไว้ไม่เกิน 2 ล้านบาทเพราะ "กู้บ้านเดี่ยวผ่าน" ก็เลยเทใจมาที่บ้านที่ใหญ่กว่า ตั้งใจว่าจะรัดเข็มขัด ลดค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเอา
บังเอิญเปี๊ยกลืมไปว่า เงินเดือนแต่ละเดือนก็ต้องถูกหักภาษีไปนะ ต้องส่งประกันสังคมด้วยนะ หากเดือนไหนป่วยก็ต้องไปหาหมอด้วยนะ ประกันรถยนต์ก็ต้องจ่ายทุกปีนะ … แล้วพออยู่บ้านเดี่ยวค่าใช้จ่ายการดูแลบ้านก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ไหนจะดูแลรักษาต้นไม้ ตัดหญ้ารอบบ้าน จ่ายค่าส่วนกลางที่มักจะแพงกว่าโครงการทาวน์เฮาส์ทั่ว ๆ ไป … ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ได้คำนึงถึงเหตุการณ์สุดวิสัย ที่เปี๊ยกไม่อาจคำนวณได้ ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเศรษฐกิจโลก อุบัติเหตุ หรือเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่มีเงินก้นถุงเหลือมาใช้จ่ายในส่วนนี้
บ้านนั้นจัดเป็นการลงทุนก็จริงอยู่ เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากขึ้นก็จริงอยู่ แต่เราก็ไม่ต้องคิดไปว่าเราจะอยู่บ้านที่เราจะซื้อนี้ไปจนตายนะครับ … คนส่วนใหญ่มักคิดอย่างนั้น แต่แท้จริงแล้วบ้านสามารถขายเปลี่ยนมือและไปหาที่ใหม่ได้ตลอดเวลา ตราบใดที่เรามีสตางค์พอก็สามารถขยับขยายได้ … แต่สิ่งที่จะทำให้เรามีสตางค์ไม่พอนั้น ก็คือ "ดอกเบี้ย" คนเรากู้ธนาคารมักจะลืมเรื่องดอกเบี้ย หรือเงินจ่ายเปล่า ๆ นั้นไปเลย
ทาวน์เฮาส์ 2 ล้านบาท ผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ย 6% ผ่อนเดือนละ 15,600 บาท รวมต้องจ่ายทั้งหมด 3.744 ล้านบาท เป็นดอกเบี้ย 1.744 ล้านบาท
บ้านเดี่ยว 3.2 ล้านบาท ผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ย 6% ผ่อนเดือนละ 24,900 บาท รวมต้องจ่ายทั้งหมด 5.976 ล้านบาท เป็นดอกเบี้ย 2.776 ล้านบาท
คิดหยาบ ๆ ปีแรก 3.2 ล้านบาท ดอกเบี้ย 6% ตกเดือนละ 16,000 บาท … นี่คือเงินที่เสียไปฟรี ๆ นะครับ ไม่ได้ลดต้นนะ แต่เป็นส่วนกำไรของธนาคารต่างหาก
ผมเข้าใจว่าทุกคนอยากได้บ้านในฝัน แต่ถ้าเราซื้อบ้านอย่างมีสติอยู่ด้วยความพอดี ปัญหาการเงินหลาย ๆ อย่างก็คงจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแล้วธนาคารเขาก็ไม่ได้มาเดือดร้อนกับคุณด้วยนะครับ ดอกเบี้ยวิ่งทุกวัน ขนาดน้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี 54 หลายคนขอประนอมหนี้หยุดผ่อนได้ 3 เดือน แต่ดอกเบี้ยก็ยังไม่หยุดเดินนะ คิดทุกเม็ด ถ้าผ่อนไม่ไหวก็จับบ้านไปขายทอดตลาด หรือรีไฟแนนซ์ที่ยืดเวลาผ่อนนานขึ้น ให้คุณจ่ายต่อก้อนน้อยลงแต่เขาก็ได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเหมือนกัน
ความพอดีที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละคนนั้นคงไม่ใช่อัตราส่วนใด ๆ ที่คนอื่นเป็นผู้กำหนดขึ้น หรือเป็นสัดส่วนค่าเฉลี่ยประชากร มันแทนกันไม่ได้ครับ เพราะบริบทต่างกัน แต่ละคนมีภาระไม่เท่ากัน มีลักษณะการใช้ชีวิตแตกต่างกัน มีความพอใจในความมั่นคงไม่เท่ากัน ดังนั้นเกณฑ์ที่ดีควรจะเป็นเกณฑ์ที่ไม่ได้กำหนดลงไปอย่างเฉพาะเจาะจง
อย่างเช่นคำถามที่ผมชอบใช้ ..
หากคุณมีความคิดแม้แต่แว้บเดียวว่า "ฉันจะจ่ายไหวไหม ?" นั่นแหละครับ สรุปได้เลยว่า "คุณจ่ายไม่ไหว" แต่กำลังหาเหตุผลมาสนับสนุนความเกินพอดีของตนต่างหาก
ปล. คำถามนี้ไม่ใช่ "คุ้มค่าเงินไหม" นะครับ เรื่องคุ้มค่าเงินเป็นเรื่องแพงหรือถูก ซึ่งต้องพิจารณาทุกครั้งก่อนที่จะซื้อสินค้าทุกชนิด
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version