ผู้เขียน หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"  (อ่าน 149388 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #160 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2014, 08:23:23 am »
ใครๆ อาจจะมองว่าเหรียญบาท เหรียญ5บาท มีค่าน้อย แต่ในความเป็นจริงเหรียญกษาปณ์เหล่านี้สามารถใช้ฝากหรือชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไม่ต่างจากธนบัตร เพียงแต่มีกฎเกณฑ์ที่ต้องเข้าใจ

วันเสาร์ 2 สิงหาคม 2557 เวลา 05:00 น.


-http://www.dailynews.co.th/Content/economic/256506/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2!+%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9D%E0%B8%B2%E0%B8%81-


จากกรณีที่มีการแชร์ภาพและข้อความเหรียญผู้ปกครองพาลูกสาววัย5ขวบ นำเงินเหรียญที่หยอดกระปุกได้กว่า6600บาท ไปฝากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แต่กลับถูกปฏิเสธว่าตู้เซฟเต็ม ไม่มีที่เก็บ ให้นำไปธนาคารพาณิชย์อื่นที่อยู่ติดกันนั้น ได้สร้างคำถามให้เด็กน้อยไร้เดียงสาว่า "ทำไมเขาไม่รับฝากเงินหนูคะ" จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์และข้อสงสัยในสังคมว่า การรับฝากเหรียญของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันใช้หลักเกณฑ์ใดในการตอบรับหรือปฏิเสธการรับฝาก มีค่าธรรมเนียมการรับฝากอย่างไร และหากธนาคารไม่รับฝากตัวลูกค้าเองจะต้องดำเนินการอย่างไรกับเหรียญที่เหมือนไร้ค่าในปัจจุบันนี้

เบื้องต้นจากการสอบถามไปยังศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ทราบว่า ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้เข้าไปกำกับดูแลเรื่องการรับฝากหรือไม่รับฝากเหรียญกษาปณ์ของธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากเป็นการทำข้อตกลงของชมรมธนาคาร ซึ่งแต่ละธนาคารจะตั้งหลักเกณฑ์และค่าธรรมเนียมการรับฝากเหรียญกษาปณ์ไว้ อาทิ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร้อยละ1ของมูลค่าเหรียญกษาปณ์, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ฝากเงินไม่เกิน 2,000บาท ไม่คิดค่าบริการ หากยอดเงินฝากส่วนที่เกิน2,000บาท คิดร้อยละ1 ,ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 2 ของมูลค่าที่ฝากหรือแลกเงินทั้งหมดตั้งแต่100 เหรียญขึ้นไป, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) ไม่เกิน500เหรียญ ไม่คิดค่าธรรมเนียม ตั้งแต่ 501เหรียญขึ้นไป ร้อยละ1ของมูลค่ารวม, ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ร้อยละ2ของมูลค่ารวม หรือของยอดเงินฝากส่วนที่เกิน100บาท ยอดเงินฝากต่ำกว่า100บาท ไม่คิดค่าบริการ, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ตั้งแต่ 200เหรียญ ขึ้นไปอัตราค่าบริการร้อยละ2ของจำนวนรวมมูลค่าเหรียญขั้นต่ำ20บาท

ทั้งนี้ กฎกระทรวงได้กำหนดจำนวนเหรียญกษาปณ์ที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย กล่าวคือ เหรียญ1สตางค์ ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน5บาท,เหรียญ5, 10, 25, 50สตางค์ ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน10บาท,เหรียญ1บาท ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน500บาท, เหรียญ5 บาท ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน500บาทและเหรียญ10บาท ชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน1,000บาท

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) 1213

หากธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธการรับฝากเหรียญ สามารถร้องเรียนมายัง ศคง. โดยส่ง Email มาที่ fcc@bot.or.thและระบุข้อมูลดังนี้

1. ชื่อ – นามสกุลจริงของผู้ร้องเรียน

2. ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ ที่สามารถติดต่อได้

3. สำเนาบัตรประชาชน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง

4. รายละเอียดเรื่องร้องเรียน

5. เอกสารหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้ หากมีเหรียญเป็นจำนวนมาก สามารถรวบรวมเหรียญดังกล่าวไปแลกคืนได้ที่สำนักบริหารเงินตรา กรมธนารักษ์ โทร. 0-2280-7404-8

ขอบคุณข้อมูลจาก -http://www2.bot.or.th/feerate/internal.aspx?PageNo=1,http://www.treasury.go.th/ewt_news.php?nid=93&filename=index-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #161 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2014, 09:12:54 am »
เลือกบัตรเครดิตผิด! ทำไงดี???
 
-http://www.komchadluek.net/detail/20140801/189351.html-

 
         คุณเพิ่งได้รับบัตรเครดิตที่คุณสมัครไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน พร้อมวงเงินที่น่าพอใจ ซึ่งอาจจะเป็นบัตรเครดิตประเภทคืนเงิน บัตรเครดิตช้อปปิ้ง บัตรเครดิตสะสมแอร์ไมล์ แต่เมื่อคุณใช้ไปได้สักพัก คุณกลับรู้สึกว่า ตายล่ะ! สไตล์การใช้เงินของเราไม่เหมาะกับบัตรเครดิตประเภทนี้เลย ทำอย่างไรดี วันนี้ MoneyGuru.co.th ขอเอาเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาสถานการณ์นี้มาฝากกัน
 
 
         วิธีแก้ทั่วไป
         จริงๆ แล้ววิธีแก้ปัญหานั้น จะรู้ได้ ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าเรามีปัญหากับเจ้าบัตรนี้ที่จุดไหน แต่คร่าวๆ ก็คือ เราอยากจะ "ปิดบัตรเครดิต" นั้นทิ้ง แล้วสมัครบัตรใหม่ ซึ่งถามว่าทำได้หรือไม่ ต้องบอกว่าทำได้ แต่สิ่งที่คุณต้องระวังคือ ผลกระทบต่อเครดิตบูโร เพราะเครดิตบูโรที่ดีจะขึ้นอยู่กับความยาวนานของการคงบัญชีบัตรเครดิตเอาไว้ เพราะฉะนั้น หากคุณต้องการยกเลิกจริงๆ ยิ่งคุณรู้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี หลังจากนั้น รีบเลือกบัตรเครดิตที่ดีที่สุดสำหรับคุณ แล้วสมัครบัตรเครดิตนั้นเสีย และหลังจากนั้น ก็ใช้บัตรเครดิตอย่างมีวินัย ก็สามารถสร้างเครดิตบูโรให้กลับมาดีตามเดิมได้ หรือถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร การเปิดบัตรเครดิตเพิ่มอีกซักหนึ่งใบ ก็ไม่เสียหายอะไร และอาจจะเป็นข้อดีด้วยซ้ำ เพราะคุณจะได้รับวงเงินรวมมากขึ้น และการคิดคะแนนเครดิตบูโรอีกส่วนหนึ่งคือ อัตราส่วนยอดการใช้จ่ายต่อวงเงิน เพราะฉะนั้น ยิ่งวงเงินเยอะ ยิ่งดีนั่นเอง
 
         อย่างไรก็ตาม หากมาดูกันเจาะลึกถ้าแต่ละคนมีปัญหากับบัตรเครดิตของตนเองต่างกัน แล้วเราจะแก้อย่างไร?
 
         มีปัญหากับบัตรเครดิตเงินคืน
         คุณได้รับบัตรเครดิตแบบเน้นการคืนเงินจากการช้อปปิ้งมา 1 ใบ และเน้นว่าจะได้มากเมื่อช้อปปิ้งกับศูนย์การค้า A และในเครือเท่านั้น เวลาผ่านไปสองเดือน คุณมีเหตุให้ต้องย้ายบ้าน และในละแวกบ้านคุณไม่มีห้างสรรพสินค้าดังกล่าวแล้ว ส่งผลให้คุณไม่สามารถช้อปปิ้ง และได้รับเงินคืนอีกต่อไปเหมือนที่ตั้งใจไว้ จึงทำให้คุณอยากปิดบัตรนั้นเสีย  สำหรับวิธีแก้คือ ลองยกหูโทรศัพท์หาธนาคารเจ้าของบัตรดู และเล่าสถานการณ์ให้ฟัง ธนาคารมักมีปัตรเครดิตเงินคืนมากกว่าหนึ่งบัตร บางทีธนาคารสามารถอณุญาตให้คุณเปลี่ยนบัตรเป็นบัตรประเภทอื่นได้ เพียงแค่คุณต้องระวังในเรื่องค่าธรรมเนียมรายปี อัตราดอกเบี้ยที่อาจเปลี่ยนแปลงไปจากบัตรเดิมแค่นั้นเอง
 
         มีปัญหากับบัตรเครดิตสะสมแอร์ไมล์ หรือสะสมคะแนน
         ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มักมีคนมีปัญหากับบัตรเครดิตแบบสะสมแอร์ไมล์มากขึ้น เพราะอัตราการแลกที่สูงขึ้น หรือข้อจำกัดต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นเวลาแลกจริงๆ เพราะฉะนั้น ทำให้การแลกไมล์ เพื่อได้ตั๋วเครื่องบิน หรือส่วนลดทำได้ยากกว่าเดิม หรือไม่ก็ต้องใช้จ่ายมหาศาล กว่าจะได้ตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นซักหนึ่งใบ สิ่งนี้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับบัตรเครดิตสะสมคะแนนเพื่อแลกของรางวัลเช่นเดียวกัน ที่ของแต่ละชิ้นที่คุณอยากได้ ต้องใช้คะแนนสูงมากจนแทยจะเป็นลมเลยทีเดียว แล้วแถมบัตรเครดิตพวกนี้ มีค่าธรรมเนียมรายปีแพงเสียด้วยสิ ทำให้คุณกลับมาคิดใหม่ว่า นี่เราทำบัตรเครดิตอันนี้แล้วจะคุ้มค่าจริงหรืออ?
 
         วิธีแก้คือ คล้ายๆ กับข้อแรก คือ ติดต่อกับธนาคาร ลองดูว่าเขาอนุญาติให้คุณสมัครบัตรใหม่ที่อาจจะได้สิทธิพิเศษน้อยลง แต่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปีเท่าเดิมได้หรือไม่ ส่วนบัตรเครดิตสะสมแอร์ไมล์นั้น ด้วยความที่เป็นบัตรเครดิตประเภทร่วมธุรกิจของธนาคารกับสายการบิน อาจจะเป็นการยากที่คุณจะเปลี่ยนไปสู่บัตรร่วมของสายการบินอื่น แต่คุณอาจเปลี่ยนไปยังบัตรร่วมกับสายการบินเดิม ที่ต่ำลงมา และเสียค่าธรรมเนียมน้อยลง เป็นต้น
 
         หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกซื้อบัตรเครดิต เราอยู่ข้างคุณเสมอที่ -www.moneyguru.co.th-
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #162 เมื่อ: สิงหาคม 03, 2014, 09:14:19 am »
 เงินทองต้องรู้ : คนแคระทั้งเจ็ด : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล
-k_wuttikul@hotmail.com-


-http://www.komchadluek.net/detail/20140801/189224.html-

 
                           ในขณะที่ “คนแคระทั้งเจ็ด” เป็นเพื่อนตัวเล็กที่แสนดี ผู้ให้ที่พักพิงกับสโนไวท์ เจ้าหญิงน้อยแสนสวยในเทพนิยายของพี่น้องตระกูลกริมม์ ที่ถูกราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายริษยาในความงามจนหาทางกำจัดเธอทุกวิธี แต่สำหรับ “เงินทองต้องรู้” วันนี้ “คนแคระทั้งเจ็ด” กลับมีความหมายในทางตรงข้าม เพราะหมายถึง “อุปสรรค 7 ประการ” ที่ทำให้หลายคนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข เพราะถูกทำให้ “แคระแกร็น” เสียก่อน
 
                           เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ผลวิจัยการเตรียมความพร้อมการวางแผนการเงินของคนวัยทำงาน” โดยสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน วัตถุประสงค์ก็เพื่อติดตามพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยทำงาน อายุ 40-60 ปี เกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมกับวัยเกษียณ
 
                           ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงของการนำเสนอผลวิจัย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดทำบทสรุปฉบับย่อ โดยระบุว่า กลุ่มคนทำงานช่วงอายุ 40-60 ปี ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินเพื่อเกษียณ และมีอัตราการออมและอัตราการใช้เงินออมอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก ซึ่งหากแยกกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 3 กลุ่ม พบว่า เป็นกลุ่มเกษียณสุข 44% เกษียณพอเพียง 27% และเกษียณทุกข์ 29%
 
                           บทวิจัยของ ดร.บุญเลิศ จิตรมณีโรจน์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย บ่งชี้ว่า กลุ่มตัวอย่างที่ตกอยู่ในกลุ่มเกษียณทุกข์จำนวน 29% นั้น มี “ข้อผิดพลาด” ในการวางแผนเพื่อเกษียณอยู่ 7 ประการ ทำให้คนที่อยู่ในวัยนี้มีเงินออมไม่พอใช้หลังเกษียณ
 
                           “ข้อผิดพลาด” ที่ทำให้เงินออมกลายเป็น “แคระแกร็น” ทั้งเจ็ดประการ คือ เริ่มวางแผนการเงินช้าเกินควร มีความมั่นใจมากเกินควร ไม่มีความเข้าใจด้านการวางแผนเท่าที่ควร ประมาณค่าใช้จ่ายหลังเกษียณน้อยเกินควร ประมาณอายุคาดเฉลี่ยน้อยเกินควร ออมเงินไว้น้อยเกินควร และเกษียณอายุก่อนกำหนดเร็วเกินควร
 
                           ลองแยกดูทีละเรื่อง เริ่มจากเรื่องแรก “เริ่มวางแผนการเงินช้าเกินควร” บทวิจัยระบุว่า คนส่วนใหญ่รู้จักวางแผนการออม ที่มุ่งเน้นการออมเงินในช่วงวัยทำงาน แต่ขาดความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนเกษียณ ซึ่งมุ่งเน้นที่รายได้ในวัยหลังเกษียณ ผลการสำรวจพบว่า คนทำงานช่วงอายุ 21-30 ปี เริ่มวางแผนเกษียณในสัดส่วน 20% อายุ 31-40 ปี สัดส่วน 27% อายุ 41-50 ปี สัดส่วน 35% และอายุระหว่าง 51-60 ปี คิดเป็น 19%
 
                           ดังนั้น อายุเฉลี่ยในการเริ่มวางแผนเกษียณจึงอยู่ที่ 42 ปี ซึ่งช้าเกินไป !
 
                           มีการตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงก่อนอายุ 40 ปี เราอาจให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินเพื่อเรื่องอื่นก่อน เช่น ซื้อรถ ซื้อบ้าน แต่งงาน รวมทั้งท่องเที่ยวและสันทนาการ
 
                           ข้อผิดพลาดประการที่ 2  การวางแผนด้วยความมั่นใจมากเกินควร เพราะทั้งๆ ที่กลุ่มตัวอย่างที่ไม่เคยวางแผนเพื่อการเกษียณเลย แต่กลับมั่นใจว่า คุณภาพชีวิตหลังเกษียณจะใกล้เคียงกับปัจจุบัน มีสัดส่วนสูงถึง 43% ส่วนอีก 28% เชื่อว่าคุณภาพชีวิตจะดีขึ้นกว่าปกติ สิริรวมแล้วกลุ่มนี้มีสัดส่วนสูงถึง 71% ขณะที่คนที่ไม่แน่ใจมีจำนวน 22% และคนที่เชื่อว่าชีวิตหลังเกษียณจะแย่กว่าปัจจุบัน มีจำนวนเพียง 7%
 
                           มีผลสำรวจพนักงานชาวอเมริกันจำนวน 1,057 คน เมื่อปี 2552 พบว่า มีเพียง 47% ที่เคยวางแผนเพื่อการเกษียณ แต่มีคนมากถึง 61% ที่ตอบว่า ตนเองมีความมั่นใจมากและมากที่สุดที่จะมีเงินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหลังเกษียณ ซึ่งก็อาจจะสะท้อนได้ว่า “หลักคิด” ในเรื่องนี้ไม่ว่าจะชาติใด ก็น่าจะใกล้เคียงกัน
 
                           ข้อผิดพลาดประการที่ 3  ไม่มีความเข้าใจด้านการวางแผนเท่าที่ควร ทั้งนี้ เพราะกลุ่มตัวอย่างคาดว่าจะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในสัดส่วนที่สูงขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น และละเลยผลของเงินเฟ้อในอนาคต โดยจากผลสำรวจพบว่า ในปัจจุบันกลุ่มตัวอย่างคาดว่าจะลงทุนในหุ้น 11% และเพิ่มเป็น 18% ในวัยเกษียณ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว กฎของการลงทุนในหุ้นข้อหนึ่ง ก็คือ สัดส่วนการลงทุนในหุ้น เท่า 100 ลบด้วยอายุ แปลว่า ยิ่งอายุมากขึ้น สัดส่วนการลงทุนในหุ้นยิ่งควรจะลดลง
 
                           ส่วนข้อผิดพลาดประการที่ 4 ประมาณค่าใช้จ่ายหลังเกษียณน้อยเกินควร โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายในปีแรกหลังเกษียณต่อรายได้ในปีสุดท้ายก่อนเกษียณ ที่กลุ่มตัวอย่างใช้ในการวางแผนมีค่าเฉลี่ยเพียง 34% ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ 70% ซึ่งเป็นค่าขั้นต่ำที่นิยมใช้ในการวางแผนทางการเงิน
 
                           ข้อผิดพลาดประการที่ 5  การประมาณอายุขัยเฉลี่ยน้อยเกินควร โดยอายุคาดเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างเพศชาย คือ 76.5 ปี ซึ่งมากกว่าอายุคาดเฉลี่ยของประชากรชายไทยซึ่งอยู่ที่ 74 ปี ดังนั้น ผู้ชายส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะเผชิญกับความเสี่ยงด้านสุขภาพชีวิต เพราะพยายามใช้เงินในช่วงหลังเกษียณน้อยๆ เพื่อจะได้มีเงินใช้ตลอดช่วงอายุ ขณะที่อายุคาดเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างเพศหญิง คือ 76.6 ปี น้อยกว่าอายุคาดเฉลี่ยของประชากรหญิงไทยซึ่งอยู่ที่ 79 ปี ดังนั้น ผู้หญิงส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะเผชิญกับความเสี่ยงที่เกิดจากการมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่าที่คาดไว้ ซึ่งอาจจะส่งผลให้เงินออมเพื่อเกษียณหมดก่อนสิ้นอายุขัย เพราะพวกเธอคิดว่า อายุจะสั้น ทั้งๆ ที่จริง อายุคาดเฉลี่ยของผู้หญิงยืนยาวกว่านั้น
 
                           มาถึงข้อผิดพลาดประการที่ 6  การออมเงินไว้น้อยเกินควร ถ้าพิจารณาสินทรัพย์เพื่อการเกษียณไม่รวมอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะมีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับวัยเกษียณ แต่ถ้ารวมอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะมีเงินออมเพียงพอสำหรับวัยเกษียณ
 
                           และข้อผิดพลาดประการสุดท้าย  การเกษียณอายุก่อนกำหนด โดยพบว่า 28% ของกลุ่มตัวอย่างต้องการเกษียณก่อนกำหนด แต่ผู้ที่ต้องการเกษียณก่อนกำหนดส่วนใหญ่มีเงินออมไม่เพียงพอสำหรับวัยเกษียณ
 
                           บทวิจัยยังปิดท้ายด้วยการสรุปว่า กลุ่มของผู้ตอบที่มีโอกาสเงินไม่พอใช้หลังเกษียณ ได้แก่ 1.เพศหญิง อายุ 51-60 ปี 2.เป็นกลุ่มที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้เลย  และ 3.เป็นกลุ่มที่ขาดการได้รับความรู้หรือขาดความเข้าใจหรือไม่เคยวางแผนเกษียณ
 
                           ส่วนตัวแล้วเกลียดคำว่า “มนุษย์ป้า” เพราะรู้สึกไม่แฟร์กับคนที่ไม่ได้ตั้งใจมีพฤติกรรมเบียดเบียนหรือเบียดบังคนอื่น แต่อาจจะทำอะไรไม่ถูกที่ถูกทาง เพราะความ “ไม่รู้” กฎกติกามารยาทที่ “คนรุ่นใหม่” สร้างขึ้น แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อเขียนมาถึงย่อหน้าสุดท้ายก็อดนึกถึง “มนุษย์ป้ากับคนแคระ (แกร็น) ทั้งเจ็ด” ไม่ได้
 

-------------------------------
 
(เงินทองต้องรู้ : คนแคระทั้งเจ็ด : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล -k_wuttikul@hotmail.com-)
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #163 เมื่อ: สิงหาคม 07, 2014, 10:16:08 pm »
“เครดิตบูโร” ปล่อยผีลูกหนี้รายย่อย 6 แสนรายเฮ 8ปี ปลดพ้นแบล็กลิสต์

-http://money.sanook.com/204329/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%A3-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2-6-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AE-8%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C/-


เครดิต บูโรปล่อยผี ลูกหนี้รายเล็กเบี้ยวหนี้เกิน 8 ปี วงเงินไม่เกิน 10,000 บาท โละชื่อออกจากฐานข้อมูล เตรียมออกประกาศ กันยายนนี้ เผยลอตแรก 6 แสนราย ย้ำชัดแค่ถอนชื่อออก แต่ภาระหนี้ยังมีอยู่ ฟากนายแบงก์ยันรับมาตรการนี้ได้ ชี้ดูรายได้ปัจจุบัน-ภาระหนี้เป็นหลัก

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต (กคค.) ซึ่งมีผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นประธาน กำลังพิจารณาเตรียมออกประกาศฉบับใหม่ เกี่ยวกับเรื่องการจัดเก็บข้อมูลของเครดิตบูโร โดยจะให้ถอนชื่อลูกหนี้รายย่อยที่ผิดนัดชำระเกิน 8 ปี และมีมูลหนี้ไม่เกิน 10,000 บาทออกจากฐานข้อมูลเครดิตบูโร เนื่องจากที่ผ่านมา สถาบันการเงินจะแจ้งข้อมูลสถานะเครดิตของลูกหนี้เข้ามารวมไว้ที่เครดิตบูโร ย้อนหลังได้ถึง 36 เดือน ซึ่งในรายที่มีสถานะผิดนัดชำระ และยอดหนี้ น้อยมาก ไม่เกิน 10,000 บาท สถาบันการเงินก็มักจะไม่ยื่นฟ้องดำเนินคดี เพราะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย แต่จะแสดงการค้างชำระต่อไปเรื่อย ๆ

จากการตรวจสอบพบว่า ปัญหาส่วนใหญ่เกิดความผิดพลาดของลูกหนี้ และมีบางส่วนที่เป็นลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งขายหลักทรัพย์มาใช้หนี้แล้วแต่ยังเหลือเงินค้างบางส่วน ทั้งธนาคารและลูกหนี้ก็ไม่ได้ติดตามหนี้กันมานาน แต่ยังมีรายงานสถานะเครดิตว่าผิดนัดชำระมาตลอด จึงเป็นเหตุให้ลูกหนี้เหล่านี้ไม่สามารถกลับเข้ามาใช้บริการสินเชื่อในระบบ ได้ และต้องหันไปหาสินเชื่อนอกระบบแทน ซึ่งเป็นนโยบายที่ภาครัฐและ ธปท.พยายามแก้ไขอยู่

"ประกาศฉบับนี้เหมือนเป็นการให้โอกาสแก่ประชาชน ที่เคยมีปัญหาข้อมูลค้างในเครดิตบูโรมายาวนาน ซึ่งคณะกรรมการมองแล้วว่า สมควรแก่เหตุ เนื่องจากเป็นลูกหนี้รายเล็กที่มียอดหนี้ผิดนัดชำระน้อยมาก ไม่เกิน 10,000 บาท เพื่อให้สามารถกลับตัวและมีโอกาสเข้ามาใช้บริการสินเชื่อในระบบได้อีกครั้ง" นายสุรพลกล่าว

ทั้งนี้ คาดว่ามีลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวประมาณ 6 แสนราย จากจำนวนลูกหนี้ที่อยู่ในฐานข้อมูลเครดิตบูโรกว่า 27 ล้านราย คาดว่าภายในเดือน ก.ย.นี้ กคค.น่าจะออกประกาศดังกล่าวได้

ก่อนหน้า นี้นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ได้ให้คณะกรรมการไปศึกษาแนวทางจัดการปัญหาลูกหนี้รายเล็กที่มีข้อมูลค้าง ชำระเป็นเวลานาน ซึ่งพบว่าในหลายประเทศใช้วิธีกำหนดระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลเอาไว้เช่นกัน กรณีประเทศสหรัฐอเมริกาจัดเก็บข้อมูลไว้เพียง 7 ปี หากเจ้าหนี้ไม่ดำเนินการแก้ไขก็จะถอดข้อมูลออกจากเครดิตบูโร ขณะที่ประเทศอังกฤษก็ใช้วิธีเดียวกัน แต่เก็บข้อมูลไว้เพียง 6 ปีเท่านั้น

นาย สุรพลย้ำว่า การถอนรายชื่อลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ตามประกาศที่จะออกมาดังกล่าวนั้น เป็นการถอนออกจากฐานข้อมูลของเครดิตบูโรเท่านั้น มิได้หมายความว่าหนี้สินต่าง ๆ ที่ลูกหนี้ค้างอยู่กับสถาบันการเงินจะหมดสิ้นไปด้วย ลูกหนี้ยังคงมีภาระใช้คืนหนี้เช่นเดิม เพียงแต่จะไม่ได้แสดงรายการข้อมูลนี้ในเครดิตบูโร หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับทางสถาบันการเงินว่าจะไปดำเนินการอย่างไรต่อไป ซึ่งอาจตัดเป็นหนี้สูญ ขายหนี้ออกให้บริษัทรับจ้างติดตามหนี้ หรือยื่นฟ้องศาลเพื่อดำเนินคดี

ด้านนายฐากร ปิยะพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด (กรุงศรี คอนซูเมอร์) กล่าวว่า การแก้กฎหมายดังกล่าว คงไม่กระทบต่อการทำงานของสถาบันการเงินจนเกิดความเสี่ยงเร่งตัวขึ้นอย่างมี นัยสำคัญ เนื่องจากปกติบริษัทก็ปล่อยกู้ให้แก่ลูกค้าที่มีประวัติการค้างชำระหนี้ใน เครดิตบูโรอยู่แล้ว หากสามารถพิสูจน์เจตนาได้ และคุณสมบัติทางการเงินอื่น ๆ ผ่านเกณฑ์

ส่วนการบริหารจัดการลูกหนี้กลุ่มนี้ หากพบว่ามีมูลหนี้น้อยกว่า 1,000 บาท ค้างชำระมาหลายปี บริษัทจะตัดเป็นหนี้สูญเลย แต่ถ้าเกินนั้นก็จะติดตามหนี้ตามปกติ แต่ก็ต้องดูว่าคุ้มค่ากับต้นทุนค่าติดตามทวงหนี้หรือไม่ หรือบางรายอาจขาดทุนด้วยซ้ำ โดยปัจจุบันบริษัทมีหนี้เสียสินเชื่อบัตรเครดิตประมาณ 1.3-1.4% ของสินเชื่อรวม ขณะที่หนี้เสียสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 3.2-3.3%

"ถ้า เครดิตบูโรล้างหนี้ให้ลูกค้ากลุ่มนี้ เราก็จะมีประวัติลูกค้ากลุ่มนี้แค่ในส่วนที่เป็นลูกค้าของเรา หากลูกค้าสถาบันการเงินอื่นที่เคยถูกล้างชื่อไปแล้วมาขอ เราไม่มีประวัติก็อาจเป็นความเสี่ยงได้ แต่ก็คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อระบบมากมายนัก"

ส่วนนายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เห็นด้วยกับแนวคิดของเครดิตบูโรดังกล่าว เพราะเชื่อว่าส่วนใหญ่ลูกหนี้ไม่มีเจตนาที่จะค้างชำระหนี้ แต่ช่วงหนึ่งอาจประสบปัญหาในชีวิต ซึ่งการล้างข้อมูลดังกล่าวก็เหมือนเป็นการให้โอกาสกับเขากลับเข้ามาสู่ระบบ การเงินได้อีกครั้ง ปกติธนาคารจะดูข้อมูลเครดิตบูโร 3 ปีย้อนหลัง ทั้งประวัติการชำระหนี้ ประกอบกับหน้าที่การทำงาน รายได้ หนี้ต่อรายได้ หากผ่านเกณฑ์ก็ปล่อยสินเชื่ออยู่แล้ว

ขณะที่นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเช่นกันว่า ส่วนใหญ่ธนาคารจะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากความสามารถของลูกค้าเป็นหลัก หากเครดิตบูโรต้องการล้างรายชื่อลูกหนี้รายเล็ก ๆ ที่ผิดนัดชำระมานานออกไปจากระบบ ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าสินเชื่อบุคคล ซึ่งธนาคารกำหนดเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำไว้ที่ 15,000 บาทต่อเดือนอยู่แล้วเป็นกลุ่มที่มีความสามารถชำระหนี้ดีพอ มีแรงต้านทานพอสมควรหากปัจจัยทางเศรษฐกิจได้รับผลกระทบ ปัญหาการผิดนัดชำระจำนวนเงินเล็กน้อยไม่น่าจะมีนัยมากนัก

http://money.sanook.com/204329/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B9%82%E0%B8%A3-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2-6-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AE-8%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C/
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #164 เมื่อ: สิงหาคม 09, 2014, 07:18:16 pm »



 วิธีสังเกตธนบัตร

-http://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/production_and_security/Pages/identify.aspx-


          ธนบัตรเป็นสิ่งพิมพ์มีค่าประเภทหนึ่ง มีความพิเศษแตกต่างจากสิ่งพิมพ์มีค่าประเภทอื่น เพราะนอกจากลักษณะต่อต้านการปลอมแปลงที่ต้องบรรจุไว้ในพื้นที่พิมพ์อันจำกัดแล้ว ลวดลายในธนบัตรยังต้องมีคุณค่าทางศิลปะ มีความประณีตสวยงาม และเน้นเอกลักษณ์ความเป็นไทย  ดังนั้น เพื่อคงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือสมเป็นสื่อกลางสำหรับใช้ในการแลกเปลี่ยน ธนบัตรต้องมีลักษณะพิเศษที่ยากต่อการปลอมแปลง แต่ประชาชนสามารถสังเกตจดจำได้ดี และแยกแยะความแตกต่าง ด้วยวิธีสังเกตง่าย ๆ ๓ วิธี ได้แก่ สัมผัส  ยกส่อง และพลิกเอียง

          อย่างไรก็ดี เพื่อความมั่นใจจึงควรสังเกตจุดสำคัญต่าง ๆ บนธนบัตรอย่างน้อย ๓ จุด ขึ้นไป สำหรับธนบัตรแบบที่ใช้ในปัจจุบัน มีรายละเอียดการสังเกต  ดังนี้







.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #165 เมื่อ: สิงหาคม 11, 2014, 08:52:01 pm »
6 มาตรการปลอดภัย เมื่อใช้แอพธนาคารผ่านสมาร์ทโฟน
โพสต์เมื่อ : 1 สิงหาคม 2557 เวลา 16:21:57

-http://money.kapook.com/view94837.html-



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

           วิธีใช้งานแอพพลิเคชั่นธนาคารผ่านสมาร์ทโฟนอย่างปลอดภัย ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีอำนวยความสะดวกให้เราได้มากขนาดนี้ ความปลอดภัยในการใช้งานแอพพลิเคชั่นธนาคารผ่านสมาร์ทโฟนก็เป็นเรื่องที่ควรศึกษาไว้ก่อน

           เมื่อมีสมาร์ทโฟนเกิดขึ้นในโลกใบกลม ๆ พร้อมด้วยเทคโนโลยี 3G ก็เอื้อให้เราโหลดแอพพลิเคชั่นชนิดต่าง ๆ มาใช้งานได้อย่างรวดเร็วทันใจ ลดภาระให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปทำธุรกรรมที่ไหนให้เหนื่อย อย่างตอนนี้เพียงแค่โหลดแอพพลิเคชั่นของธนาคารที่เราฝากเงินไว้ ก็สามารถทำธุรกรรมได้แทบจะทุกอย่าง เสมือนได้ไปธนาคารด้วยตัวเองจริง ๆ ทว่ากระแสข่าวเรื่องการโจรกรรมข้อมูลและเงินผ่านแอพลิเคชั่นที่เคยเกิดขึ้น ก็อาจทำให้หลายคนไม่กล้าจะทำธุรกรรมผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคารเลยสักครั้ง ถ้าอย่างนั้นเพื่อความมั่นใจ ลองมาดู 6 มาตรการความปลอดภัยในการใช้งานแอพพลิเคชั่นธนาคารผ่านสมาร์ทโฟนกันก่อนดีกว่า

1. ดาวน์โหลดจากลิงก์ในเว็บไซต์หลักของธนาคาร

           ในเมื่อแอพพลิเคชั่น ใน App Store หรือ Google Play ยังปะปนไปด้วยแอพพลิเคชั่นปลอมอยู่บ้าง ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเราควรดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นธนาคารจากลิงก์ในเว็บไซต์หลักของธนาคารที่มักจะแปะไว้ให้ลูกค้ามาดาวน์โหลด อีกทางหนึ่งก็สามารถไหว้วานให้พนักงานธนาคารดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นให้เลยก็ได้ จะได้มั่นใจว่าเราดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นธนาคารของจริงมาใช้งาน

2. หมั่นอัพเดทแอพพลิเคชั่นเสมอ

           เมื่อดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นมาใช้งานแล้วก็ใช่ว่าจะแล้วกันไปนะคะ แต่เราต้องคอยตรวจสอบเวอร์ชั่นล่าสุดของแอพพลิเคชั่นบ่อย ๆ แล้วจัดการอัพเดทแอพของเราให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ด้วย เพราะสาเหตุที่เขาต้องอัพเดทเวอร์ชั่นแอพอยู่ตลอด ก็เพื่อแก้ปัญหาและจุดด้อยทางเทคนิค หลีกเลี่ยงการเจาะเข้าถึงข้อมูลของพวกมิจฉาชีพนั่นเอง

3. เปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ

           ขั้นแรกคุณควรจะตั้งรหัสผ่านหรือพาสเวิร์ดที่เดายากเอาไว้ก่อน เหล่า วัน/เดือน/ปี เกิดพยายามอย่าเอามาตั้งเป็นรหัสผ่านเลยดีกว่า แต่แนะนำให้นำเอาเลขสำคัญ ๆ ของหลาย ๆ คนมาผสมกัน เพื่อสร้างความซับซ้อนมากขึ้น นอกจากนี้ก็ควรเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อย ๆ แต่ทั้งนี้คุณเองก็ควรจดจำรหัสผ่านของตัวเองให้แม่นด้วยนะคะ

4. เข้าแอพพลิเคชั่นด้วยอินเทอร์เน็ตส่วนตัวเท่านั้น

           แอพพลิเคชั่นของบางธนาคารจะตั้งระบบรักษาความปลอดภัยในการใช้งานให้เราโดยอัตโนมัติ ด้วยการบล็อกไม่ให้เข้าใช้งานหากตรวจจับได้ว่าเรากำลังใช้งาน Wifi สาธารณะอยู่ หรืออาจมีข้อบังคับให้ต้องใช้สัญญาณ 3G และ 4G เพื่อเข้าถึงข้อมูลเท่านั้น ทว่าแอพพลิเคชั่นจากบางธนาคารก็เปิดให้เข้าใช้งานด้วย Wifi ได้สบาย ๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลตัวคุณเอง ควรตรวจสอบให้ดีก่อนทุกครั้งว่า กำลังจะเข้าถึงข้อมูลบัญชีธนาคารของตัวเองด้วยสัญญาณโทรศัพท์ ไม่ใช่สัญญาณ Wifi

5. เก็บรักษาสมาร์ทโฟนให้ดี

           บ่อยครั้งที่เราได้ข่าวว่าข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลสู่สาธารณะเพราะโทรศัพท์ถูกมือดีขโมยไป ฉะนั้นเราก็ควรก็บรักษาโทรศัพท์มือถือและสมาร์ทโฟนให้ดี ๆ โดยเฉพาะคนที่บันทึกข้อมูลส่วนตัวสำคัญ ๆ ไว้ในสมาร์ทโฟนหลายอย่าง ก็ยิ่งต้องระวังสมาร์ทโฟนสูญหายให้มาก เพราะแม้ว่าแอพพลิเคชั่นธนาคารในสมาร์ทโฟนจำเป็นต้องล็อกอินเข้าไปใหม่ทุกครั้ง ทว่าโจรอาจล็อกอินเข้าสู่ระบบแอพพลิเคชั่นธนาคารได้ง่าย ๆ ด้วยการปะติดปะต่อข้อมูลที่เราบันทึกไว้ในโทรศัพท์ได้

6. เคลียร์ข้อมูลส่วนตัวออกจากสมาร์ทโฟน

           อย่างที่บอกไปแล้วว่าหากโทรศัพท์มือถือหายไป ก็อาจจะเป็นได้ที่โจรจะนำข้อมูลที่เราบันทึกไว้ในสมาร์ทโฟนไปใช้ทำธุรกรรมอื่น ๆ ได้อย่างหวานหมู ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เราก็ไม่ควรบันทึกข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ เช่น เลขประจำตัวประชาชน เลขบัญชีธนาคาร และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ไว้ในสมาร์ทโฟน พร้อมกันนั้นก็ควรต้องล็อกเอาท์ทุกครั้งหลังเลิกใช้งานแอพพลิเคชั่นธนาคาร อีเมล และโซเชียลเน็ตเวิร์กทุกชนิดด้วย


           อย่างไรก็แล้วแต่ก็ต้องขอบคุณความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในยุคนี้ ที่มีขีดความสามารถในการอำนวยความสะดวกให้เราได้มากขึ้นทุกวัน เพียงแค่เราเองก็ต้องตามให้ทันเทคโนโลยีและใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดด้วยเท่านั้นเองนะคะ


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #166 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2014, 09:18:56 am »
ทำไมบางร้านต้องกำหนดขั้นต่ำรูดบัตรเครดิต???

-http://money.sanook.com/207253/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%95/-




คุณอยู่ที่ร้านค้าแห่งหนึ่ง คุณกำลังจะจ่ายเงินซื้อสินค้าราคาราว 300 บาท คุณกำลังหยิบบัตรเครดิตใบโปรดขึ้นมาจ่าย เพราะคุณไม่อยากใช้เงินสด และอยากสะสมแต้ม ยังไม่ทันที่คุณจะยื่นบัตร พนักงานก็บอกคุณว่า ทางเรารับบัตรเครดิตขั้นต่ำ 500 บาทนะคะ คุณประหลาดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกเสียจากก้มหยิบเงิน จ่ายเงิน และรีบออกจากร้านไป วันนี้ MoneyGuru.co.th จะมาไขข้อสงสัยให้คุณว่า ทำไมบางร้านถึงกำหนดขั้นต่ำการรูดบัตรเครดิต ซึ่งเราเห็นกันอย่างหลากหลายในปัจจุบัน ตั้งแต่ 300 500 800 หรือบางร้านกำหนดไว้สูงถึง 1,500 บาท ถึงจะรูดบัตรเครดิตได้




คำตอบง่ายๆ คือ ทุกอย่างมีต้นทุน และการให้บริการบัตรเครดิตแก่ลูกค้า หมายถึงต้นทุนต่อสินค้าที่เพิ่มขึ้นของคนขาย กล่าวคือ สินค้าชนิดเดียวกัน แทนที่เขาจะได้กำไรส่วนต่างเต็มๆ เหมือนกับการเก็บเงินสด เขาต้องได้กำไรลดลงนั่นเอง ซึ่งต้นทุนตรงนั้น มาในส่วนของค่าธรรมเนียมที่ทางร้านจะต้องจ่ายให้กับธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ที่ราว 2-3% ของยอดในการรูดแต่ละครั้ง

เพราะฉะนั้น หากมองในฐานะที่เราเป็นผู้ประกอบการ สินค้าที่ราคาไม่แพง นั่นหมายถึงสินค้าที่เราได้กำไรส่วนต่างไม่มากอยู่แล้ว และหากต้องเสียค่าธรรมเนียมอีก คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจ และสมเหตุสมผลเท่าไหร่

อย่างไรก็ตาม  อาจขึ้นอยู่กับแต่ละผู้ประกอบการและร้านค้าด้วย หากสัดส่วนกำไรมากอยู่แล้ว การให้บริการบัตรเครดิต อาจจะกลายเป็นเรื่องที่คุ้มค่ามากกว่าขาดทุน หรือกำไรน้อยลง เพราะอย่างไรเสีย จากการวิจัยได้บอกว่า ผู้คนเลือกที่จะใช้บัตรเครดิตมากกว่าเงินสดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่จำเป็น เป็นสินค้าฟุ้มเฟือย อาทิ เสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ สิ่งเหล่านี้ หากคุณให้บริการบัตรเครดิต อาจช่วยให้คุณเพิ่มยอดขายมากขึ้น จากการดึงดูดลูกค้าที่อยากใช้บัตรเครดิตมากกว่า เป็นต้น หรือไม่ก็ หากคุณไม่ให้บริการบัตรเครดิต คุณอาจจะเสียลูกค้าให้คู่แข่งของคุณที่เลือกให้บริการด้วยบัตรเครดิตนั่นเอง

ผลักภาระให้ผู้ซื้อ
จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้บางร้านตัดสินใจแก้ปัญหา ด้วยการคิดค่าธรรมเนียม 2-3% จากลูกค้า หากตัดสินใจที่จะซื้อด้วยบัตรเครดิตแทน เพื่อผลักภาระ เราจะเห็นได้บ่อยในเอเจนซีซื้อตั๋วเครื่องบิน หรือร้านอาหารแพงๆ บางร้าน ซึ่งสุดท้ายก็มักจะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงการกระทำดังกล่าว

แล้วจริงๆ มีการกำหนดขั้นต่ำในการรูดบัตรหรือไม่??
คนที่ดูแลนโยบายด้านนี้ไม่ใช่ธนาคาร แต่คือ เครือข่ายให้บริการบัตรเครดิต ได้แก่ Visa MasterCard Amex หรือ JCB ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่มีการกำหนดขั้นต่ำในการรูดบัตรเครดิตใดๆ ทั้งสิ้น สุดท้ายอำนาจจึงตกอยู่ในมือของคนขายเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ต้องการจะให้บริการในส่วนนี้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม หากเราได้เข้าใจถึงสาเหตุว่าทำไมเขาถึงต้องกำหนดขั้นต่ำ ก็อาจจะทำให้เราอารมณ์เสียน้อยลงเวลาถูกปฏิเสธไม่ให้ใช้บัตรเครดิตก็เป็นได้

หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการสมัครบัตรเครดิต เราอยู่เคียงข้างคุณเสมอที่  -www.moneyguru.co.th-

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #167 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2014, 11:43:36 am »
ภาษีอากรจากการลงทุนในตราสารหนี้


-http://money.kapook.com/view95240.html-



เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

          สำหรับนักลงทุนสิ่งสำคัญที่ควรรู้และศึกษาข้อมูลให้ดี ก็คือ การเสียภาษีอากร จากการลงทุนในตราสารหนี้นั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น หุ้นกู้ หรือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่ทราบข้อมูล หรือคนที่ยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับการเสียภาษีอากรนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมมีข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาฝากให้ทำความเข้าใจกันค่ะ

          รายได้ที่เกิดจากการลงทุนในตราสารหนี้ทั้งหุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาล แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ดอกเบี้ยรับ กำไรจากการขายตราสารหนี้ และเงินได้จากส่วนลดของตราสารหนี้ที่เกิดขึ้น เมื่อมีการซื้อ-ขายครั้งแรกจากผู้ออกตราสารหนี้ โดยอัตราและวิธีการเสียภาษีของเงินได้ดังกล่าว แยกตามประเภทของผู้ที่ได้รับเงินได้ว่า เป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล และยังแบ่งประเภทย่อยเป็นต่างประเทศและในประเทศ

          ท่านนักลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดาในประเทศ จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 ของรายได้ทุกประเภท และมีสิทธิเลือกนำไป รวมคำนวณภาษี ณ สิ้นปีได้

          นิติบุคคลในประเทศ ให้นำรายได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณภาษี ตามอัตราที่ตนเสียภาษี โดยอาจถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 1 สำหรับ นิติบุคคลบางประเภท และในกรณีที่เป็นสถาบันการเงิน จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 3.3 ของเงินได้ประเภทดอกเบี้ยและเงินได้จากส่วนลด โดยรายละเอียดของอัตราภาษีแต่ละประเภท ปรากฏในตารางต่อไปนี้

          1. อัตราภาษีของบุคคลธรรมดา (ข้อมูล ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549)



          2. อัตราภาษีของนิติบุคคล (ข้อมูล ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2549)



          หมายเหตุ : กรณีนักลงทุนต่างประเทศ (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) ที่ได้รับยกเว้นภาษีจากเงินได้ที่ได้รับจากพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่ออกโดยรัฐบาล องค์การของรัฐบาล หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรมข้างต้นนั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามนโยบายของภาครัฐและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษีได้ที่ www.rd.go.th




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #168 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2014, 01:11:10 pm »

ทำไมใช้บัตรเดบิต ไม่ช่วยสร้างเครดิตบูโร?
-http://www.komchadluek.net/detail/20140815/190205.html-

 
                           คุณคงเคยได้ยินใช่หรือไม่ว่า การมีเครดิตบูโรที่ดี จะทำให้การเงินของคุณในอนาคตเป็นเรื่องหายห่วง จะกู้สินเชื่อ สมัครบัตรเครดิต ขอวีซ่าไปประเทศใหญ่ๆ ก็ง่ายไปหมด เพราะมันถือว่าคุณเป็นคนมีเครดิตดี มีการเงินที่มั่นคง ประเด็นที่ MoneyGuru.co.th จะหยิบยกวันนี้ก็คือ หากวันนี้คุณเลือกที่จะใช้บัตรเดบิต เป็นวิธีในการใช้จ่ายเป็นหลัก คุณกำลังพลาดโอกาสสำคัญในการสร้างเครดิตบูโรที่ดีให้กับตัวคุณเอง และเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น เรามาดูกัน
 
 
                           บัตรเดบิต กับ บัตรเครดิต ทำงานต่างกัน!
 
 
                           หลายคนคิดว่า บัตรทั้งสองใบ ก็รูดใช้จ่ายเหมือนกัน แต่ทำไมบัตรเครดิตช่วงสร้างเครดิตบูโรได้ แต่อีกใบไม่สามารถทำได้ คำตอบก็คือ การทำงานของทั้งสองประเภทที่แตกต่างกัน เมื่อคุณใช้บัตรเดบิต คุณต้องมีเงินในบัญชีธนาคารเพียงพอที่คุณจะซื้อของนั้นๆ คุณจะสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ โดยเงินจะถูกหักออกไปในทันทีที่คุณใช้จ่าย
 
                           ในขณะที่ บัตรเครดิต ไม่ใช่ บัตรเครดิตทำงานในลักษะณะที่ว่า คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินในบัญชี แต่คุณมีสิ่งที่เรียกว่า "เครดิตวงเงิน" ที่ธนาคารเห็นว่าสถานะทางการเงินระดับคุณ รายได้ระดับคุณ สามารถมีวงเงินได้เท่าไหร่ และหลังจากนั้น คุณก็นำบัตรเครดิตไปรูดใช้จ่ายได้ เปรียบเสมือน "การยืมเงินธนาคารทุกๆ ครั้งที่คุณใช้จ่าย" นั่นเอง
 
 
                           เมื่อไม่ใช่การยืม เครดิตบูโร ก็ไม่เกิด!!
 
 
                           บางคนอาจจะคิดว่า มันไม่ตลกหรอ ที่เราก็มีเงินซื้อของอยู่ ทำไมเราต้องไปยืมธนาคารมาจ่ายแทนเราก่อนล่ะ เราก็ใช้เงินเราไม่ดีกว่าหรือ? คำตอบคือ ไม่ การที่เรายืมเงินธนาคารมาใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยในวันนี้ จะเป็นประโยชน์กับเราในการยืมเงินธนาคารก้อนใหญ่มาใช้จ่ายในอนาคต หากจำเป็น เช่นการซื้อบ้าน ซื้อรถ เพราะอะไร? เพราะถ้าเราไม่เคยยืมเงินธนาคารเลย ไม่ว่าจะมาก จะน้อย ธนาคารไม่สามารถประเมิน หรือไม่มีประวัติเราอยู่ในระบบเลยว่าเราจะสามารถเป็นลูกหนี้ของธนาคารได้ดีแค่ไหน มีความรับผิดชอบทางการเงินมากแค่ไหน
 
                           เพราะฉะนั้น การใช้บัตรเครดิต คือวิธีการที่ง่ายที่สุดที่คุณจะสร้างประวัติเครดิตของคุณ เพียงแค่คุณใช้จ่ายปกติ เพียงแต่หันมาใช้บัตรเครดิต แทนที่จะเป็นบัตรเดบิต เมื่อถึงรอบบิล คุณก็ชำระบิลบัตรเครดิตเต็มจำนวนในทุกเดือน คุณก็สามารถสร้างเครดิตได้ง่ายๆ แล้ว
 
                           อย่างไรก็ตามหากคุณคิดว่า การใช้บัตรเครดิตเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่งต่อการเป็นหนี้มากเกินไป และคุณไม่จำเป็นต้องใช้เครดิตบูโรในอนาคตอยู่แล้ว คุณไม่มีแพลนจะขอสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ การใช้บัตรเดบิตเพื่อตัดปัญหาเสียแต่ต้นลม ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็เป็นได้ แต่ถ้าคุณยังมีความไม่แน่ใจว่าคุณต้องใช้เครดิตบูโรหรือไม่ การเริ่มสร้างเสียตั้งแต่วันนี้ ก็ไม่น่าจะเสียหลายอะไร
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #169 เมื่อ: สิงหาคม 17, 2014, 08:38:40 am »
กลับบ้านตรงเวลา... ไม่ทุ่มเทให้กับงาน ?

-http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1408180959#-

คอลัมน์ เอชอาร์ คอร์เนอร์ ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ http://tamrongsakk.blogspot.com

พนักงานที่ทำงานแล้วกลับบ้านดึก ๆ เป็นคนทุ่มเทให้กับงานจริงหรือครับ ?

หัวหน้างานหลายคนมักจะนำเรื่องนี้มาเป็นเรื่องสำคัญในการพิจารณาช่วงขึ้นเงินเดือนประจำปี หรือจ่ายโบนัสเสียด้วยสิ

หลักคิดก็ไม่ซับซ้อนอะไรมาก ใครกลับดึกคนนั้นอุทิศตัวให้กับงาน ใครกลับเร็ว (หมายถึงพอถึงเวลาเลิกงานแล้วสักพักก็กลับบ้าน
ไม่ได้หมายถึงกลับก่อนเวลาเลิกงานนะครับ) ก็แสดงว่าคนคนนั้นไม่สู้งาน ไม่ขยัน ไม่ทุ่มเทให้กับงาน ฯลฯ แล้วแต่สารพัดข้อหาจะยัดเยียดให้

หัวหน้าหลายคนที่มีความคิดทำนองนี้มักจะเรียกลูกน้องประชุมช่วงใกล้ ๆ จะเลิกงานอยู่เป็นประจำ
เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อง (บางคน) กลับบ้านเร็วเกินไป
และการประชุมก็มักจะลากยาวไปจนค่ำ ๆ เสียด้วย

ท่านเคยเจอหัวหน้างานทำนองนี้บ้างไหมครับ ?

ผมว่าปัญหาทำนองนี้เป็นปัญหาในเรื่องของวิธีคิดแบบเชื่อมโยงตรรกะที่อาจจะจริง หรือไม่จริงก็ได้
ซึ่งความคิดทำนองนี้ก็เลยทำให้เกิดค่านิยมบางอย่างในตัวคนขึ้นมา ยิ่งถ้าคนคนนั้นได้เป็นหัวหน้า
หรือเป็นผู้บริหารแล้วยังมีวิธีคิดแบบรวบยอดที่อาจจะไม่ถูกต้องทำนองนี้ ย่อมจะทำให้คนที่เป็นลูกน้องอึดอัดหาวเรอ เผลอ ๆ นั่งเซ็งกันได้เป็นธรรมดา

ส่วนลูกน้องที่ "ทำงานเป็น" รู้ว่าหัวหน้าชอบคนกลับดึก ๆ ก็มักจะดึงเชิงในช่วงเวลางาน คือในชั่วโมงทำงานก็ทำแบบเนียน ๆ เรื่อย ๆ
จะได้มีอะไรเอาไว้ทำตอนหลังเลิกงาน บางคนอาจจะคิดว่ากลับค่ำ ๆ ดึก ๆ หน่อยก็ดี รถจะได้ไม่ติดมาก ก็นั่งเล่น Facebook ไปตอนที่หัวหน้าไม่ได้เดินมาตรวจงาน
พอหัวหน้าเดินมาก็ทำเป็นเอางานขึ้นมาทำ ฯลฯ ก็แล้วแต่เทคนิคของแต่ละคน

เรามาลองดูอีกมุมหนึ่งไหมครับว่า การมีค่านิยมให้ลูกน้องกลับบ้านดึก ๆ ทั้ง ๆ ที่ลูกน้องก็เคลียร์งานหมดแล้ว บริษัทจะเกิดความเสียหายอะไรบ้าง

1.ต้องจ่ายค่าล่วงเวลา ในกรณีที่หัวหน้าสั่งให้ลูกน้องทำงานหลังเวลาทำงานปกติ ซึ่งบริษัทก็จะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้

2.ค่าน้ำ, ค่าไฟฟ้า, ค่าโทรศัพท์ ที่บริษัทต้องจ่าย เพราะการที่พนักงานอยู่หลังเวลางาน หน่วยงานนั้น ๆ ยังต้องเปิดไฟแสงสว่าง,
เปิดแอร์, พนักงานยังต้องไปเข้าห้องน้ำใช้น้ำใช้กระดาษทิสชู, ใช้เครื่องถ่ายเอกสาร, เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ (แต่อาจเล่น Facebook ส่วนตัว),
โทรศัพท์คุยกับคนที่บ้าน ฯลฯ ลองให้ฝ่ายบัญชีเก็บข้อมูลค่าใช้จ่ายของแต่ละฝ่ายหลังเวลางานดูสิครับว่า วัน ๆ หนึ่งหรือเดือน ๆ หนึ่งคิดเป็นเงินกี่บาท ปีละกี่บาท

3.พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง "Work Life Balance" ที่ต้องเสียไป กว่าจะกลับถึงบ้านกี่โมง
หลายคนต้องมีครอบครัวต้องดูแล การพักผ่อนน้อย ไม่ได้ออกกำลังกายทำให้เสียสุขภาพในระยะยาว
บริษัทอาจจะมีคนขี้โรคเพิ่มมากขึ้นจากการไม่สมดุลชีวิตกับการทำงาน คนนะครับไม่ใช่เครื่องจักร (ขนาดเครื่องจักรยังต้องมีการพักซ่อมบำรุงเลย)
ต้องมีการพักผ่อนให้เหมาะสมด้วย ไม่ใช่โหมงานดึกทุกวันทุกเดือนตลอดทั้งปี

4.จากผลกระทบข้อ 3 พนักงานบางคนมีปัญหาครอบครัว เช่น ภรรยา (บางคนที่ทำตัวเป็นฝ่ายสืบสวน)
จะคอยซักถามว่าทำไมสามีกลับบ้านดึก มีกิ๊กหรือเปล่า แล้วก็ทะเลาะกัน หรือลูกไม่มีใครดูแลทำให้เป็นเด็กติดเกม ฯลฯ
ซึ่งปัญหาครอบครัวเหล่านี้หลายครั้งจะกลับมาเป็นปัญหาในเรื่องงาน

เพราะเมื่อพนักงานเครียดเรื่องครอบครัวก็เลยทำให้เซ็ง เบื่อ ไม่อยากทำงานไปเลยก็มี
อย่าลืมว่าแต่ละคนล้วนมีครอบครัว มีญาติพี่น้อง ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก หรือมีแต่เรื่องงานเพียงอย่างเดียว
จึงจำเป็นต้องมีชีวิตส่วนตัวและครอบครัวด้วยนะครับ

5.พนักงานที่รับแนวคิดทำนองนี้ไม่ได้ (โดยเฉพาะพนักงานรุ่นใหม่ไฟแรงพวก Gen Y)
จะมองว่าหัวหน้าเป็นพวกบริหารเวลาไม่ดี ครอบครัวมีปัญหา โลกแคบเพราะมีแต่ที่ทำงานไม่รู้จักไปสังคมสังสรรค์ซะบ้างเลย ฯลฯ
ก็เลยลาออกไปอยู่ที่อื่นดีกว่า บริษัทก็จะต้องเสียเวลามาสัมภาษณ์หาคนมาแทนกันอีก

ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการหาคนมาทดแทน แถมเมื่อได้คนมาแทนแล้วอีกไม่นานก็มีแนวโน้มจะทำให้พนักงานใหม่ลาออกอีกเช่นเคย
เพราะรับค่านิยมแบบนี้ไม่ได้ ยิ่งบางแห่งทำงานสัปดาห์ละ 6 วันแล้วต้องกลับดึก ๆ ทุกวันจะพบว่าอัตราการลาออกสูงเพราะสาเหตุนี้แหละครับ

ที่ผมพูดมาข้างต้นนี้ไม่ได้หมายความว่าผมสนับสนุนให้ท่านทำงานกันไปวัน ๆ โดยคอยจ้องนาฬิกาว่าพอถึงเวลาเลิกงานก็รีบกระโจนไปรูดบัตรออกจากบริษัททันทีนะครับ !

เพียงแต่อยากจะให้ข้อคิดว่า ในการทำงานนั้นเขาให้เวลาทำงานกัน 8 ชั่วโมงต่อวัน เราก็ควรจะทำให้เต็มประสิทธิภาพหรือเต็มที่กับมัน
บริหารเวลาให้ดี ทำงานให้เสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย หรือควบคุมดูแลงานของเราให้ดีในแต่ละวัน
และมีเวลาหลังเลิกงานในการสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานบ้าง, ออกกำลังกายบ้าง, พักผ่อนบ้าง ฯลฯ เพื่อสมดุลชีวิตไม่ให้บ้างาน (Workaholic มากจนเกินไป)

แต่ถ้าช่วงไหนที่มีงานด่วน งานเร่ง งานฉุกเฉินที่ต้องรับผิดชอบ อาจจะต้องอยู่ดึกดื่นเพื่อเคลียร์งานด่วนเหล่านั้น
อย่างนี้ก็ยังพอรับได้เพราะเป็นงานที่จำเป็นเร่งด่วน ซึ่งคงไม่ใช่การทำงานเกินเวลาแบบเป็นประจำทุกวัน วันละเกิน 12 ชั่วโมงไปอย่างนี้ตลอดทั้งปี
และติดต่อกันหลายปี แถมเมื่อมีพนักงานใหม่เข้ามาทำงานก็ต้องทำงานกันตามค่านิยมอย่างนี้แหละถึงจะอยู่ด้วยกันได้

ถ้ามีแนวคิดอย่างนี้ละก็ ผมว่าคงไม่สมเหตุสมผลแล้วละครับ !

ก็ในเมื่อถ้าพนักงานทำงานเสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ จะมีเหตุผลอะไรอีกที่หัวหน้าจะต้องให้อยู่ดึก ๆ ทุกวันล่ะ

คงมาสรุปกันตรงที่หลักพระพุทธองค์ท่านเคยสอนไว้ก็คือ การเดินสายกลาง ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่งน่ะ น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุด

เพียงแต่หัวหน้างานหันกลับมาใช้คติ "Work Life Balance" ให้ดีทั้งตัวเองและลูกน้อง จะได้มีความสุขทั้งในงานและชีวิตส่วนตัว จะได้ Win-Win ไม่ดีกว่าหรือครับ

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)