ผู้เขียน หัวข้อ: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"  (อ่าน 149396 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #200 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2014, 05:44:50 am »
โบนัส

-http://money.sanook.com/243233/%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%AA/-


สวัสดีค่า บทความนี้เป็นบทความสุดท้ายที่นานิจะเขียนในฐานะแบรนแอมบาสเดอร์ของโครงการ Your First Click แล้วนะค้า และบทความส่งท้ายนี้นานิจะเขียนถึงสิ่งที่ทุกคนเฝ้ารอมาหลายเดือนแล้วนั่นก็คือ… โบนัสค่า ^^


คนส่วนใหญ่คงมีแผนกันไว้แล้วหล่ะ ว่าจะเอาโบนัสไปซื้ออะไรบ้าง กระเป๋าใหม่ ชุดเก๋ หรือทริปเที่ยวต่างประเทศ มีเผื่อใจไว้เรื่องลงทุนกันรึยังคะ? 555 อาจจะเผลอๆลืมกันไป แต่นั่นแหละ บทความนี้จะดึงคุณกลับมา สำหรับตัวนานิเองเข้าใจดีว่าการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้น อย่าว่าแต่ลงทุนเลย แค่จะเก็บออมได้ในแต่ละเดือนนั้นมันก็ยากลำบากมากแล้ว เพราะค่าใช้จ่ายสมัยนี้มันสูงขึ้นเยอะจริงๆ ดังนั้นใครที่เงินเดือนสองหมื่นนี่ เก็บได้สองสามพันก็ถือว่าเก่งพอตัวทีเดียว เพราะฉะนั้น โบนัสนี่แหละคือโอกาสทองในการเก็บออมหรือลงทุน เพราะมันเป็นอะไรที่นอกเหนือจากเงินเดือนปกติ

แน่นอนว่าถ้าให้เก็บหมด ชีวิตก็อับเฉาพอดี แต่ถ้าอยากจะเฮได้ในระยะยาวนั้น นานิแนะนำให้มาเจอกันตรงกลางค่ะ คือแบ่งครึ่งๆ โบนัสครึ่งนึงเอาไปใช้ซะให้เต็มที่ อีกครึ่งนึงเอามาลงกองทุนซะจะได้ช่วยหักภาษีด้วย เท่ากับได้สองต่อเลยหรือถ้าแม่นเรื่องลงทุนแล้วก็เอามาออมในหุ้นกันค่ะ อยากจะบอกว่า ทำแบบเนี้ยไปทุกปี อีกหลายปีข้างหน้านี่เผลอๆ เงิน passive income จากเงินโบนัสที่เราเอาไปลงทุนเหล่านี้นี่อาจจะพอส่งเราเที่ยวได้โดยไม่ต้องหวังพึ่งโบนัสใหม่อีกต่อไปด้วยซ้ำ ^_^

เท่าที่พบมามนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเริ่มทำงานใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะมีเป้าหมายคือ อยากมีเงินล้านให้ได้ก่อนอายุ 30 หลายคนมองว่าง่ายๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่มองเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้บอกเลยว่า ทุกคนทำได้ค่ะ ไม่ยากถ้าตั้งใจ นานิคำนวณมาให้เรียบร้อยละ ส่วนใหญ่เราเรียนจบกันตอนอายุ 21 ปี ดังนั้นแต่ละคนจะมีเวลา 9 ปีในการปั้นเงินล้านขึ้นมาจากอากาศ บางคนก็อาจจะบอกว่า โอเค งั้นต้องเก็บเงินปีละ 111,111 บาท มันถึงจะได้ ซึ่งถ้าตั้งใจทำงานและหารายได้พิเศษเสาร์อาทิตย์เนี่ย ก็ไหวค่ะ แต่อย่าลืมว่า เรายังสามารถใช้การลงทุนมาเป็นเครื่องทุ่นแรงได้ด้วย

ดังนั้น สบายขึ้นมาอีกนิสนึงก็คือ “เก็บเงินเดือนละ 3,500 บาทและเก็บโบนัสปีละ 35,000 บาทค่ะ แล้วนำไปซื้อกองทุนทุกเดือนๆไป” กองทุนหุ้นน่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 8% ต่อปีค่ะ และถ้าใครยังเก็บเงินไม่ได้เดือนละ 3,500 ก็มีสองวิธีคือ ใช้วันเสาร์อาทิตย์เป็นการหารายได้พิเศษ หรือไม่งั้นก็ต้องไปออมเพิ่มหนักๆเอาปีหลังๆ (แต่นานิว่าวิธีแรกดีกว่านะคะ ^^ ไม่ยากอย่างที่คิดหรอก ใครเก่งภาษาก็นี่เลย นานิแนะนำให้รับแปลเอกสาร หน้าละประมาณ 250 บาท ทำวันเสาร์ 2 หน้า อาทิตย์อีก 2 หน้า ก็ได้เพิ่มมาละสัปดาห์ละ 1,000 บาทแหน่ะ!)

ทีนี้นานิอยากมาเน้นย้ำอีกทีเรื่องโบนัสนะคะ ถ้าเราเก็บและลงทุนเดือนละ 3,500 บาทอย่างเดียว แต่ไม่เหลือโบนัสมาโปะเพิ่มตอนปลายปี ตอนอายุ 30 เราจะมีแค่ประมาณ 550,000 บาทเท่านั้น แต่ถ้าเอาโบนัสมาใส่ทุกปี ปีละ 35,000 บาทเนี่ย ก็จะได้เพิ่มมาอีกประมาณ 440,000 บาท! รวมแล้ว 30 ปี ก็มี 990,000 บาท (555 ยังไม่ถึงล้าน เอาเป็นว่าอายุ 30 ปีกะอีกสามเดือนละกันน้า ^_^) เห็นมั้ยคะ โบนัสนี่แหละโอกาสทองในการออมเลยทีเดียว

สุดท้ายนี้นานิก็หวังว่าเพื่อนๆจะเริ่มตั้งเป้าหมายของปีหน้ากันไว้แล้วนะค้าว่าอยากทำอะไรบ้าง นานิก็ขออวยพรให้ทำได้สำเร็จตามเป้าหมายกันทุกๆคนนะคะ สุขสันต์วันปีใหม่ และขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ ^_^

ผู้เขียน : นานิ นิธินวกร - ผู้เริ่มต้นคลิกแรกผ่าน Click2Win

สนับสนุนข้อมูล ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #201 เมื่อ: มกราคม 04, 2015, 06:25:28 am »
ลูกหนี้เฮ! ผ่านกม.ทวงหนี้ “ข่มขู่-ทวงผิดเวลา” เจอโทษปรับ-อาญา


-http://money.sanook.com/243899/%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AE-%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A1.%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89-%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%B9%E0%B9%88-%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A9%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%B2/-


-http://www.matichon.co.th/index.php-

ลูกหนี้เฮ! ผ่านกม.ทวงหนี้ “ข่มขู่-ทวงผิดเวลา” เจอโทษปรับ-อาญา


นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผอ.สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 3 วาระ เรียบร้อย คาดว่าจะมีผลบังคับต้นปี 2558 นี้ ส่งผลให้ลูกหนี้ได้รับการคุ้มครองจากการทวงหนี้จากเจ้าหนี้ หรือผู้ทำหน้าที่แทนในการทวงหนี้มากขึ้น

สำหรับข้อห้ามที่ระบุไว้ในร่างกฎหมาย พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ มี 5 ข้อ ได้แก่

1.ห้ามมิให้ผู้ติดตามหนี้ติดต่อบุคคลอื่น ที่ไม่ใช่ลูกหนี้ เว้นแต่เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสถานที่ติดต่อลูกหนี้

2.ห้ามมิให้ผู้ติดตามหนี้ กระทำการในลักษณะที่เป็นการละเมิด และคุกคาม ในการติดตามทวงถามหนี้ อาทิ ใช้ความรุนแรง ใช้วาจา หรือภาษาดูหมิ่น ถากถาง เสียดสี การเปิดเผยความเป็นหนี้ของผู้บริโภคแก่ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง

3.ห้ามติดตามทวงหนี้เกินสมควรแก่เหตุรวมถึงการติดต่อทางโทรศัพท์วันละหลายครั้ง และก่อให้เกิดความเดือดร้อน รำคาญ

4.ห้ามมิให้ผู้ติดตามหนี้กระทำการในลักษณะที่เป็นเท็จ หรือทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในการติดตามทวงหนี้ เช่น ทำให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของศาล เจ้าพนักงานบังคับคดี รัฐ หน่วยงานของรัฐ ทนายความ หรือสำนักงานกฎหมาย ทำให้เชื่อว่าหากไม่ชำระหนี้จะถูกดำเนินคดี ถูกยึดหรืออายัดทรัพย์หรือเงินเดือน ข่มขู่ว่าจะดำเนินการใด ทั้งที่ไม่มีอำนาจจะกระทำได้ตามกฎหมาย

5.ห้ามไม่ให้ผู้ติดตามหนี้ ติดตามทวงถามหนี้ในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม อาทิ เรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายใดๆ เว้นแต่ได้มีการตกลงไว้ล่วงหน้า ติดต่อลูกหนี้เกี่ยวกับหนี้โดยทางไปรษณียบัตร เอกสารเปิดผนึก หรือโทรสาร ใช้ภาษา สัญลักษณ์ ชื่อทางธุรกิจ บนซองจดหมายในการติดต่อลูกหนี้ ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการติดตามทวงถามหนี้ ส่วนการติดต่อกับลูกหนี้นั้น ให้ติดต่อตามสถานที่ที่ลูกหนี้แจ้งไว้ ในกรณีที่ไม่สามารถติดต่อได้ โดยได้พยายามตามสมควรแล้ว ให้ถือเอาสถานที่ติดต่ออื่น เป็นสถานที่ที่เหมาะสมในการติดต่อได้ สำหรับการติดต่อลูกหนี้ทางโทรศัพท์ โทรสาร หรือติดต่อบุคคล สำหรับวันทำการให้ติดต่อได้ในเวลา 08.00-20.00 น. ส่วนวันหยุดราชการติดต่อได้ในเวลา 08.00-18.00 น. เว้นแต่ได้ตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร


ด้านบทกำหนดโทษแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ โทษทางปกครองจะถูกปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ตามมาตรา 24 และทางอาญาจะถูกเพิกถอนการจดทะเบียน และจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือว่าเป็นการลงโทษขั้นสูงสุด รวมทั้งให้มีการตั้งคณะกรรมการกำกับการทวงถามหนี้ ขึ้นมาดูแลรับผิดชอบการดำเนินงานด้วย
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #202 เมื่อ: มกราคม 24, 2015, 08:24:40 am »
เคลียร์หนี้อย่างไรให้ได้ผล

-http://money.sanook.com/249639/-

การเป็นหนี้มันเป็นสิ่งที่ทรมานใจไม่ใช่น้อยเลยนะครับ หลายๆคนทำงานได้รับเงินเดือนมาแค่เพียงมีเงินผ่านกระเป๋าไปใช้หนี้สิน และที่ผมสังเกตมานะครับคือคนที่มีหนี้เยอะๆนั้น มีแนวโน้มที่จะมีหนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ก็คงมีคนสงสัยว่าเพราะอะไร จริงๆ แล้วเราต้องไม่ลืมว่ามนุษย์เงินเดือนมักจะมีเงินจำกัดตามเงินเดือนที่ตัวเองมีในแต่ละเดือน การมีหนี้ก็ส่งผลทำให้เราต้องใช้ดอกเบี้ยคืนกับเจ้าหนี้และเมื่อวันหนึ่งหนี้สินที่ผุดขึ้นเรื่อยๆมันเยอะมากจนเกินความสามารถของเงินเดือนที่เราจะจ่ายได้

เพื่อนผมหลายๆคนเคยปประสบปัญหาลักษณะนี้ เงินเดือน 20,000 บาท เดิมทีมีหนี้บัตรเครดิตอยู่ 5,000 บาท ก็สามารถผ่อนได้ แต่ต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 12,000 บาทและ 18,000 บาท ซึ่งอย่างไรก็ตามเขาก็ต้องกินต้องใช้ทำให้ไม่สามารถชำระจำนวนเต็มได้ และเริ่มมีดอกเบี้ยผุดเข้ามา

และรวมถึงพฤติกรรมในการใช้เงินของเพื่อนผมคนนี้ค่อนข้างฟุ้งเฟ้อ ทำให้มียอดบัตรเครดิตและดอกเบี้ยที่ต้องชำระมากกว่าเงินเดือนประมาณ 3 เท่า (อย่างว่านะ เขามีหลายบัตรมาก) ทีนี้พอเงินเดือนออกแต่ละครั้งก็ไม่สามารถใช้หนี้ได้ง่ายๆ กลายเป็นการจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งวันหนึ่งหนี้สินมันพอกพูนอย่างหนักจนทำให้เกิดความเครียด แต่อย่างว่านะครับเครียดแค่ไหนหนี้ก็ต้องจ่ายอยู่ดี เรื่องนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคนนะครับ เพราะฉะนั้นแล้วเราจะต้องมาดูว่าแนวทางในการจัดการหนี้และการใช้ชีวิตควรเป็นอย่างไร

สร้างทัศนคติไม่สร้างหนี้เพิ่ม

หลายๆอย่างเริ่มด้วยความเชื่อ เป้าหมาย และศรัทธานะครับ (อารมณ์ประมาณว่าสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีหนี้ๆๆ จะไม่ติดหน้าๆๆ) แล้วก็ลองคิดถึงอนาคตของตัวเองพร้อมตั้งคำถามว่า “เมื่อถึงวัยเกษียณเราอยากจะมีชีวิตอย่างไร?” และคำนวณดูว่า “เราจะต้องมีเงินในวันนั้นเท่าไหร่?”

เสร็จแล้วก็ลองกลับมาย้อนดูตัวเองว่าในปัจจุบันว่าสถานะทางการเงินของเราเป็นอย่างไร แน่นอนครับว่าจุดเริ่มต้นของทัศนคติคือการไม่สร้างหนี้เพิ่ม เราจะรู้แล้วว่าอนาคตมันจะลำบากมากขนาดไหนหากไม่มีเงิน เพราะนอกจากมันทำให้เรามีโอกาสหลุดพ้นหนี้แล้วก็ยังสามารถทำให้เราก้าวไปสู่การสร้างความมั่งคั่งได้ด้วย

พิจารณาความสำคัญของหนี้แต่ละก้อน

สำหรับคนที่พร้อมจะยุติชีวิตที่เป็นหนี้ เราอาจจะมาดูในเรื่องของภาระหนี้ที่เรามีอยู่ว่าอยู่ที่ตรงไหนบ้าง หนี้แต่ละก้อนมันอาจจะทำร้ายเงินในกระเป๋าเราได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ย ระยะของการชำระหนี้

โดยส่วนตัวแล้วผมจะพยายามจัดการหนี้วายร้ายที่มีความสามารถทำลายเงินในกระเป๋าเราได้อย่างรุนแรง โดยเฉพาะหนี้ที่ใช้เวลาสั้นๆวิ่งเข้ามาหาเรา และหนี้ที่มีดอกเบี้ยที่แพงหูฉีก ผมยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ ถ้ามีหนี้ 2 แหล่งนี้เข้ามาในชีวิตคุณ คุณจะเลือกปราบตัวไหนก่อน

หนี้ 10,000 บาท ที่ต้องจ่ายในเดือนหน้า ดอกเบี้ย 5%
หนี้ 10,000 บาท ที่ต้องจ่ายอีก 3 วัน ดอกเบี้ย 20%
ถ้าเรามีเงินจำกัดที่ 10,000 บาท ผมเชื่อว่าคุณประเมินได้ทันทีว่าคุณจะใช้หนี้กับเจ้าหนี้ข้อ 1 หรือ 2 และในชีวิตจริงเมื่อเรามีหนี้หลายๆแบบก็ลองมาดูว่าเราจะ จัดลำดับความสำคัญของมันอย่างไร อะไรควรต้องรีบใช้เพื่ออนาคตทางการเงินที่ดีของเราก็สามารถจัดเป็นขั้นเป็นตอนได้

ให้ความสำคัญกับหนี้ที่ไม่มีดอกเบี้ย

ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆและหลายๆคนมักจะลืมนึกถึง หนี้บางอย่างไม่มีดอกเบี้ยครับ เช่น หนี้ที่ยืมพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ในสังคมไทยเรานั้นโดยส่วนใหญ่จะไม่คิดดอกเบี้ยกัน มันก็เลยกลายเป็นจุดที่ทำให้ลูกหนี้หลายๆคนละเลยความสนใจเพราะคิดว่า คืนเมื่อไหร่ก็ได้ เอาไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยคืน แต่พอเป็นแบบนี้แล้วมันก็อาจจะทำให้เราเกิดปัญหาได้โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างกัน

หลายๆคนให้ยืมเพราะเกรงใจ ไม่กล้าทวงเงินคืนและกลัวจะทะเลาะกัน จะว่าไปกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับเราดีนะ ดีกว่าเจ้าหนี้ที่เก็บดอกเบี้ยเราทั้งนั้น การให้ยืมฟรีๆเกิดจากมิตรภาพ ความช่วยเหลือ จึงความใส่ใจในมิตรภาพเป็นการตอบแทนเช่นเดียวกันครับ ก็อย่าลืมเจ้าหนี้กลุ่มนี้นะครับ ต้องไม่ลืมที่จะคืนเงินเขาและรักษาความสัมพันธ์ไปอย่างยาวนาน

สำหรับใครที่ต้องการเคลียร์หนี้ เราลองมาเริ่มกันเลยดีไหมครับ เริ่มตั้งเป้าหมายในวันนี้โดยจินตนาการสิ่งที่อยากเป็นก่อน ไม่ต้องไปสร้างหนี้เพิ่มและลองดูว่าเราจะสามารถเคลียร์อย่างไรตามลำดับก่อนหลังให้ได้ผล ลองดูนะครับทุกคนที่มีหนี้สามารถทำได้และสุดท้ายคุณจะมีความมั่งคั่งที่ยั่งยืนอย่างแน่นอน

ต้าร์ กวิน สุวรรณตระกูล
ผู้แต่งหนังสือ รวยได้จริงกับสิ่งที่เรียกว่าเงินเดือน







คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #203 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2015, 09:37:45 pm »
ยื่นภาษี 2558 พร้อมวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
-http://money.kapook.com/view112464.html-

ตารางสรุปการหักลดหย่อนและยกเว้นภาษีเพื่อการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับปีภาษี 2554
-http://www.rd.go.th/publish/45879.0.html-

โปรแกรม ช่วยคำนวนภาษี ภ.ง.ด. 91
-http://rdserver.rd.go.th/publish/sample/download.php?type=91-


-------------------------------------

ยื่นภาษี 2558 พร้อมวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
http://money.kapook.com/view112464.html

ตารางสรุปการหักลดหย่อนและยกเว้นภาษีเพื่อการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับปีภาษี 2554
http://www.rd.go.th/publish/45879.0.html

โปรแกรม ช่วยคำนวนภาษี ภ.ง.ด. 91
http://rdserver.rd.go.th/publish/sample/download.php?type=91
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #204 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 22, 2015, 09:15:59 pm »
รวมที่สุด 3 วิธีแบ่งใช้เงินให้รวยที่ทำได้จริง!!

-http://money.sanook.com/258045/-



เงินเดือนออกแล้วจ้า!!

ช่วงต้นเดือนเป็นช่วงที่หลายคนลั้นลามากๆเพราะเงินเดือนพึ่งออก อารมณ์ประมาณว่าช่วงต้นเดือนเป็นฤดูจ่ายตังค์ ของบางอย่างที่เล็งไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้วยังซื้อไม่ได้เพราะเงินหมด ก็เก็บความรู้สึกอัดอั้นตันใจเอาไว้ พอเงินเดือนออกปุ๊บก็จัดหนักทันที พอความรู้สึกอัดอั้นมันเบาลงเพราะซื้อของที่อยากได้ไปหมดแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเข้ามาแทนที่ เวลามองไปในกระเป๋าสตางค์จากแบงก์พันเป็นปึกๆเหลืออีกทีไม่กี่ร้อยบาท รวมถึงบิลที่ใช้รูดบัตรเครดิตเข้ามาแทนทีเงินสดในกระเป๋า สมองก็จะคิดว่า “เดือนนี้จะจ่ายแบบนี้เป็นเดือนสุดท้ายและจะได้ออมเงินสักที” สุดท้ายเดือนต่อไปก็เข้ารูปแบบเดิมที่มีแต่คำว่า “จ่าย จ่ายและจ่าย”

หากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เงินหมดกระเป๋าก่อนสิ้นเดือน เราควรแบ่งใช้เงินให้เป็นระเบียบมากขึ้น ส่วนไหนให้เก็บก็ต้องเก็บอย่าไปแอบหยิบมาใช้เด็ดขาด ส่วนไหนจ่ายหนี้ก็ควรจ่ายให้ตรงตามเวลา ส่วนที่เหลือจึงนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน บทความนี้จะแนะนำวิธีแบ่งเงินใช้จ่ายเพื่อให้ชีวิตเรามีระเบียบวินัยมากขึ้น ซึ่งควรนำแต่ละวิธีไปปรับใช้ให้เข้ากับลักษณะนิสัยการใช้เงินของตนเอง

รวมที่สุด 3 วิธีแบ่งใช้เงินให้รวยที่ทำได้จริง!!

วิธีที่ 1 แยกบัญชีอัตโนมัติ – ออมเป็นระบบ



วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบทำทุกอย่างให้เป็นอัตโนมัติ โดยตั้งระบบตัดบัญชีโอนเงินออกไปไว้ตามบัญชีรายจ่ายต่างๆที่ตั้งระบบไว้ หากจะใช้วิธีนี้ก็จะต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายแต่ละส่วนให้แน่นอนว่าเรามีรายจ่ายอะไรบ้าง เราแบ่งรายจ่ายอย่างง่ายออกเป็น 3 ส่วน ตามนี้เลยจ๊ะ

เงินออม
รายจ่ายที่ต้องจ่ายทุกเดือน
เงินรายได้(เงินเหลือใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน)

เมื่อได้รับเงินเดือนแล้วก็จะถูกตัดอัตโนมัติไปใส่ไว้ที่ “บัญชีเงินออมและบัญชีรายจ่าย” ตามสัดส่วนที่เรากำหนดไว้ ควรปรับให้เหมาะสมกับรูปแบบวิธีการใช้ชีวิตของตนเอง บางคนอาจจะมีรายจ่ายน้อยก็อาจจะออมมากกว่า 30% ก็ได้ ตัวอย่างการแบ่งสัดส่วน

เงินออม 30%
รายจ่ายที่ต้องจ่ายทุกเดือน 45%
ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน 25%

แนวคิดของวิธีนี้มีเป้าหมายแตกต่างกัน ดังนี้

1. บัญชีเงินเดือน(เงินรายได้)

==> บัญชีนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่รายได้เข้ามา แต่เป็นที่สุดท้ายที่เราจะได้ใช้ อย่ากดเงินไปใช้อย่างลั้นลาตั้งแต่ครั้งแรกที่เงินเข้าบัญชีเงินเดือน แต่ต้องใช้หลังจากที่หักจากบัญชีเงินออมและบัญชีรายจ่ายในข้อ 2,3 เรียบร้อยแล้ว เราจะใช้เงินที่เหลือในบัญชีเงินเดือนเท่านั้น โดยจะต้องหาวิธียังไงก็ได้ที่ต้องใช้เงินจำนวนนี้ให้พอใช้ถึงสิ้นเดือนและไม่ก่อหนี้เพิ่ม

2. บัญชีเงินออม

==> เราสามารถเลือกได้ตามความเหมาะสมของการลงทุนเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ โดยเลือกตามความเสี่ยงที่เรายอมรับได้

ระยะสั้น – เงินเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินเพราะถอนได้ทันทีในเวลาที่รีบใช้เงินก็ฝากไว้กับบัญชีออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน
ระยะปานกลาง – เงินเก็บไว้เพื่อลงทุนให้เติบโต เช่น ฝากประจำ กองทุนรวมตลาดทุน โปรแกรมออมทอง โปรแกรมออมหุ้น หุ้นปันผลสูง หุ้นกู้เกรด A
ระยะยาว – เงินเก็บไว้เพื่อเกษียณอายุ เช่น RMF ประกันชีวิตชนิดบำนาญ กบข.(ข้าราชการ) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ(เอกชน)

3. บัญชีรายจ่ายที่ต้องจ่ายทุกเดือน

==> เป็นรายจ่ายประเภทหนี้สินต่างๆ หรือรายจ่ายประจำที่ชีวิตเราขาดไม่ได้ เช่น

หนี้ที่ต้องจ่าย คือ หนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต หนี้เงินกู้นอกระบบ
รายจ่ายที่จำเป็นต้องจ่ายทุกเดือน หากไม่จ่ายจะทำให้ชีวิตเราลำบากแน่นอน เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ หากไม่จ่ายเราก็จะถูกตัดน้ำ ตัดไป ตัดการสื่อสาร

วิธีที่ 2 แบ่งเงินใช้วันละ 200 บาท – เป้าหมายชัดเจน
วิธีนี้เป็นของน้องฝ้ายเลขาน้องหมีแห่งดินแดน Aommoney ของเรานี่เอง ด้วยสภาพแวดล้อมรอบๆที่ทำงานมีแต่ของแพงเพราะทำงานย่านใจกลางเมืองแถวรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ ก็ต้องควบคุมรายจ่ายให้ดีเพื่อเป้าหมายสูงสุดของชีวิต คือ เก็บเงินทำนม แม้ว่าตอนนี้เรียนจบปริญญาตรีแล้วแต่ขนาดของนมยังอยู่ระดับประถมอยู่เลย นมโตไม่ทันตามวัยก็ต้องใช้มีดหมอเป็นทางลัด

เมื่อได้รับเงินเดือนน้องฝ้ายจะใช้วิธีตัดรายจ่ายทั้งหมดออกไปก่อน เช่น ค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศํพท์ กองทุนนม เหลือเท่าไหร่ก็จะใช้วิธีหารเฉลี่ยต่อวัน โดยตั้งใจไว้ว่าใช้ไม่เกิน 200 บาทต่อวัน แล้วก็แลกแบงก์ 100 มาเก็บใส่ถุงแบบนี้

หากทำแบบนี้ต่อไปกองทุนนมของน้องต้องเติบโตขึ้นแน่นอน แฟนเพจช่วยเป็นกำลังใจให้น้องฝ้ายด้วยนะจ๊ะ ^_^




วิธีที่ 3 แบ่งเงินใช้วันละ 120 บาท

อ่านกระทู้นี้แล้วชอบมากๆ คิดว่าน่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้อย่างมาก เราขอเล่าโดยใช้ข้อความในกระทู้ที่ตัดตอนออกมาบางส่วนแล้วแทรกด้วยความคิดเราเพื่ออธิบายเรื่องที่น่าสนใจเป็นสีส้ม (หากต้องการอ่านเรื่องราวทั้งหมดรบกวนคลิกที่ลิงค์ในส่วนของหมายเหตุด้านล่างนะจ๊ะ)

เริ่มเรื่องกันเลยจ้า…

ทำงานที่โรงพยาบาลได้เกือบๆ ปี เราก็เปลี่ยนงานค่ะ มาทำเอกชนแทน ลักษณะงานก็เปลี่ยนไป ต้องปรับตัวนิดหน่อย ค่าตอบแทนสูงกว่ารัฐ ประมาณ 3 เท่า งานไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ แต่เน้นการบริการมากกว่า การแบ่งหน้าที่การจัดการดีกว่าที่เดิมค่ะ

ช่วงที่เพิ่งเปลี่ยนงาน เราต้องวางแผนการจัดงานเงินใหม่เพราะรายได้เพิ่มขึ้น เราก็ต้องเก็บมากขึ้น ตอนที่ทำงานอยู่โรงพยาบาลเก็บเดือนละ 5,000-7,000 บาท (จากรายได้ หมื่นกว่าบาท) ตอนนี้รายรับประมาณ 4x,xxx บาท เราเก็บโหดมากค่ะ หักไว้ 3หมื่นบาท/เดือน ไว้เป็นเงินเก็บที่เหลือก็ใช้จ่าย เป็นค่าอาหาร ค่าห้องพัก ค่าน้ำมัน รวมๆแล้วก็ใช้ประมาณหมื่นกว่าบาท

แนวคิดว่า “รายได้มากขึ้นก็ต้องออมเงินมากขึ้น” นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

เงินออมควรเติบโตตามรายได้ หลายคนอาจจะได้ยินบ่อยๆว่า “เงินเดือนมากขึ้นรายจ่ายก็มากขึ้น” หันไปทางไหนก็มีแต่รายจ่าย สิ้นเดือนมาก็ไม่มีเงินเก็บ หันไปดูรอบๆตัวก็ไม่ได้สิ่งของที่เป็นชิ้นเป็นอันกลับมา หากมีเงินเดือนเพิ่มขึ้นกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์เพราะเก็บเงินไม่อยู่ แม้ว่าเงินเดือนเรามากขึ้น แต่เราก็ใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมก็ได้ ถือคติว่า “อยู่เงียบๆแต่เงินเพียบนะจ๊ะ”

ตอนนี้เข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ (ในภาคอิสาน) สิ่งยั่วยุ มันก็เยอะ ออกจากห้องเป็นต้องเสียเงิน เราก็เลยจัดการการใช้เงินโดยถอนแค่เดือนละ 1 ครั้ง (เท่าที่จะใช้) ต้องบอกก่อนว่าเราทำบัญชีรายรับรายจ่ายเป็นประจำอยู่แล้วเพื่อให้รู้ว่าเราใช้อะไรไปบ้างเกินความจำเป็นรึเปล่า แต่ตอนนี้มันอยู่ตัวแล้ว เราไม่ได้ทำบัญชีแล้วค่ะเพราะคุมเงินอยู่แล้ว

ทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย

สำหรับคนที่อยากรู้ว่าเงินตัวเองหายไปไหนในแต่ละเดือนก็ต้องจดไว้ว่าจ่ายกับอะไรไปบ้าง เพื่อควบคุมรายจ่าย หากเราทำเป็นกิจวัตรก็จะรู้ว่าแนวทางการจ่ายเงินของเราเป็นแบบไหน ก็จะจัดทำเป็นงบประมาณรายจ่ายได้และอาจจะไม่ต้องจดบัญชีต่อไป แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น จากที่เคยอยู่กับพ่อแม่ก็แยกตัวออกมาอยู่ส่วนตัว คนโสดก็อาจจะแต่งงานมีครอบครัว หรือมีการอย่าร้างต้องดูแลลูกฝ่ายเดียว ก็อาจจะต้องจดบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อจะได้รู้พฤติกรรมการใช้เงินของตัวเองที่เปลี่ยนไปจะได้คุมรายจ่ายของตนเองได้



เงินที่ถอนมาเราเน้นแบงค์ 100 กับ แบงค์ 20 ค่ะ เนื่องจากเราต้องใช้เงินที่มีอยู่ในจำนวนที่จำกัด จึงต้องคุมเข้มหน่อย อยากสบายในอนาคตก็ต้องอดทน นี่คือปฏิทินเงินค่ะ วิธีใช้ง่ายมากค่ะ ถ้าวันนี้วันที่ 1 ก็หยิบซองเลข 1 ไปใช้ ใช้ตามวันเลยค่ะ วันละ 120 บาทที่คำนวณไว้ ใช้กินได้อิ่มหนำสำราญค่ะ ข้าวพิเศษ 3 มื้อยังได้เลยวันนึงก็ใช้ประมาณ 120 บาทแต่เราซื้อข้าวถุงละ 8 บาทกับข้าว 25 บาท (ได้เยอะมาก) เราก็แบ่งทาน 2 มื้อ ประมาณ 10โมงเช้ากับบ่าย 3 มื้อเย็นกินนมบ้างไม่กินบ้างลดหุ่นไปในตัวเราจะได้สวยและรวยมาก

วินัยการใช้เงินคือสิ่งสำคัญที่สุด

เราทำงานเหนื่อยแล้วขอใช้เงินให้หายเหนื่อยหน่อยเถอะนะ จะให้เข้มงวดเรื่องการใช้เงินอีกมันบังคับตัวเองมากเกินไป ชีวิตนี้ก็เครียดมากพอแล้ว หากคิดแบบนี้พอถึงวันเงินเดือนออกเราก็จะจ่ายเงินจนหมด จนบางครั้งไม่คิดจะออมเงินเก็บไว้เลย ซึ่งแนวคิดแบบนี้ค่อนข้างอันตรายในระยะยาว

ลองคิดขำๆว่าหากเราเกิดป่วยด้วยโรคอะไรสักอย่างที่ต้องนอนพักเป็นเดือนๆ บริษัทจะยังจ้างเราอยู่ไหมและหากเราไม่เก็บเงินเผื่อไว้ตอนป่วยหละชีวิตจะเป็นยังไง รวมถึงค่ายา ค่ารักษาพยาบาลอีกจิปาถะจะนำเงินส่วนไหนมาจ่าย อย่ามองว่าคนที่มีระเบียบวินัยเข้มงวดกับการเงินแล้วจะมีชีวิตลำบาก ไม่มีความสุข ทั้งที่ความจริงแล้วเขามีความสุขที่เห็นเงินออมเติบโตขึ้น เรามองว่าความสุขบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงิน เช่น การมีเวลาให้ครอบครัว การทำกับข้าวทานเองที่บ้าน การทำผักสวนครัวกับลูก ฯลฯ

พอกลับห้องก็เอาเงินที่เหลือเก็บแยกไว้ นี่คือกล่องเก็บแบงค์ 20 และนี่กล่องเก็บแบงค์ 100 ค่ะ เหรียญก็ใส่คอนโดเหรียญอีกเช่นเคย ไม่น่าเชื่อว่าเราเหลือเงินกลับห้องทุกวันค่ะ บางวันใช้แค่ 30 บาทเองนะ



พ่อกับแม่มีรายได้ประจำประมาณ คนละ 5x,xxx / เดือนค่ะเราก็เลยซื้อของให้แทน เพราะคุณแม่เค้าจจะไม่ค่อยซื้อของให้ตัวเองเช่นโทรศัพท์ ใช้มาเป็น 10 ปี จนปุ่มลอกหมด หรือลำโพงเสีย แบตเสื่อมก็ไม่เปลี่ยนก็เลยซื้อเครื่องใหม่ให้ท่าน กลับบ้านก็พาไปทานข้าว ซื้อเป็นสิ่งของให้แทนค่ะ เพราะดูแล้วถึงให้เงินไปท่านก็คงไม่ใช้และไม่ซื้อของให้ตัวเองด้วย

ค่าโทรศัพท์เดือนนึงไม่เกิน (รวมอินเตอร์เน็ต) 500 บาทค่ะของฟุ่มเฟือยมีบ้างค่ะ จะเป็นพวกเสื้อผ้า รองเท้า แต่เราไม่ติดแบรนด์เนมซื้อให้ใส่แล้วดูดีก็พอค่ะ บางตัวซื้อมา 200 เพื่อนถามว่ากี่พันก็มีนะแต่รองเท้าที่ใส่ทำงานเราจะเน้นคุณภาพ ใส่สบาย และใช้ได้นาน ก็อาจจะแพงบ้างแต่นานๆซื้อที

เราพักอยู่คนเดียวค่ะ ทำงาน 11.00-20.00 น. ทำงาน 6 วัน/สัปดาห์เลิกงานห้างก็ทยอยปิดกันแล้ว ถ้าอยู่คนเดียวไม่ค่อยทานข้าวในห้างนะคะ แต่ถ้ากลับบ้านก็จะพาคุณพ่อ คุณแม่ ออกไปทานเสมอ (กลับบ้านเดือนละครั้ง ครั้งละ2-4 วัน) เงินที่ใช้เกินจากเงินรายวัน ก็เป็นเงินที่แบ่งไว้ หรือเป็นเงินที่เหลือจากเงินรายวันค่ะ ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ…

วิธีแบ่งสัดส่วนการใช้เงิน

การจดบัญชีรายจ่ายจะทำให้เรารู้จักนิสัยการจ่ายเงินของตัวเอง รู้ภาพรวมว่าส่วนใหญ่แล้วจ่ายไปกับอะไรบ้างแล้วเราจะแบ่งใช้เงินตามสัดส่วนรายจ่ายของตัวเองได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าเจ้าของกระทู้คนนี้จะได้รับเงินดือน 4 หมื่นกว่าๆแต่ก็ใช้เงินเพียง 12,000 บาทต่อเดือน หรือประมาณ 30% ของรายได้

กดเงิน 12,000 บาท
==> ค่าใช้จ่ายรายวัน 120*30 = 3,600 (เหลือวันละ 10-90 บาท)
==> ค่าห้อง รวมน้ำ ไฟ เน็ต = 5000
==> ค่าโทรศัพท์ = 500
==> ค่าน้ำมัน = 250
==> ของใช้อื่นๆ = 1,000

ก็จะเหลือใช้อีกเกือบ 2,000 บาทค่ะ

ชอบวิธีไหนก็ลองเลือกไปใช้ดูนะจ๊ะ ไม่จำเป็นต้องเหมือนเป๊ะ
เพราะต้องดัดแปลงให้เข้ากับลักษณะการใช้เงินของแต่ละคน

หมาเหตุ ขอขอบคุณแหล่งที่มาข้อมูลวิธีที่ 3

แชร์ประสบการณ์การออมเงิน (ฉบับคนธรรมดา) ==> http://pantip.com/topic/32167383

ขอบคุณบทความดีๆจาก www.aommoney.com 

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #205 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2015, 11:07:17 pm »
6 รายการรูดบัตรสุดเสี่ยง ควรเลี่ยงถ้าไม่อยากเป็นหนี้หัวโต

-http://money.kapook.com/view113034.html-


  รูดบัตรเครดิตไม่ให้เป็นหนี้ ก็ต้องรู้วิธีที่ถูกต้อง ด้วยข้อห้ามของการรูดบัตรเครดิต รู้ไว้จะได้เลี่ยงซะ !

          บัตรเครดิตมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ยืดเวลาในการใช้จ่ายเงินสด นำคะแนนสะสมไปแลกเป็นส่วนลดหรือสิทธิพิเศษ ช่วยอำนวยความสะดวกในการชำระค่าสาธารณูปโภค รวมถึงยังเป็นตัวสร้างคะแนนเครดิตชั้นดี ที่จะนำไปสู่ความน่าเชื่อถือในการกู้ยืมต่าง ๆ ด้วย อย่างไรก็ตามการใช้บัตรเครดิตอย่างผิดวิธีก็อาจโยนคุณไปสู่หุบเหวของความหายนะได้ และด้วยเหตุนี้เราจึงควรคิดให้ดีก่อนรูดบัตร โดยเฉพาะ 6 สิ่งดังต่อไปนี้ ที่เราควรหลีกเลี่ยงการจ่ายด้วยบัตรเครดิตจะดีกว่า..


1. ค่าผ่อนบ้าน

          แม้ว่านี่จะเป็นทางออกในยามฉุกเฉิน แต่ก็ไม่ใช่ไอเดียที่ดีแน่ ๆ ที่จะจ่ายค่าผ่อนบ้านหรือค่าเช่าบ้านด้วยบัตรเครดิต เพราะหลักการง่าย ๆ ก็คือ การจ่ายหนี้ใด ๆ ด้วยการสร้างหนี้อีกอันหนึ่งขึ้นมา จะสร้างปัญหาให้ตามมาอย่างไม่มีวันจบนั่นเอง

2. ค่ารักษาพยาบาล

          ค่ารักษาพยาบาลที่สูงลิ่วจนคุณต้องจ่ายด้วยการรูดบัตร จะนำมาซึ่งหนี้ค้างชำระและดอกเบี้ยจำนวนมาก ที่อาจทำให้จ่ายบิลไม่ไหวเช่นกัน แถมหากคุณไม่สามารถจะชำระค่าใช้จ่ายได้ตรงเวลา อัตราดอกเบี้ยก็สูงขึ้นอีกจนจ่ายเท่าไรก็ไม่ลด พาให้เสียเครดิตไปหมด

3. ค่าเทอม

          แม้ว่าการศึกษาจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่การจ่ายค่าเทอมด้วยบัตรเครดิตจะส่งผลร้ายมากกว่าผลดี เพราะโดยส่วนใหญ่เมื่อตัดสินใจใช้บัตรเครดิตนั่นหมายถึงคุณอาจมีเงินสำรองไม่เพียงพอ ลองคิดสิว่าถ้าเกิดถึงกำหนดจ่ายบัตร แล้วคุณหาเงินก้อนมาจ่ายเต็มจำนวนไม่ทัน ดอกเบี้ยจะแพงหูฉี่ขนาดไหน !
 
4. การพนัน

          หากคุณไม่ได้ถือเงินสดไว้ในมือ อาจมองไม่เห็นว่าเสียเงินไปกับการพนันเท่าไรแล้ว และด้วยเหตุนี้การใช้บัตรเครดิตเพื่อจ่ายค่าเกมการพนันต่าง ๆ จึงเป็นไอเดียที่แย่สุด ๆ ทางที่ดีไม่ควรเล่นการพนันตั้งแต่แรกจะง่ายกว่านะ

5.งานแต่งงาน

          เงินทุกบาททุกสตางค์ที่คุณจ่ายไปในสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน จะให้สิ่งตอบแทนเป็นดอกเบี้ยจำนวนมหาศาล นอกจากนี้คุณยังอาจเผลอใช้จ่ายเกินวงเงินเพื่อพิธีแต่งงานในฝัน รู้ตัวอีกทีอาจปวดหัวกับยอดหนี้จนต้องกุมขมับ เชื่อสิ..แต่งงานพร้อมหนี้แบบนี้ไม่ดีมั้ง

6. ค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ

          คุณอาจคิดว่าการรูดการ์ดในค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ อาจไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร แต่นั่นอาจเป็นสาเหตุให้คุณไม่ได้ตระหนักว่ามันรวมกันเป็นเท่าไรแล้ว อย่างเช่น คุณอาจจะรูดซื้อสินค้าและบริการครั้งละ 300-500 บาท ซึ่งเมื่อรวมกันตอนปลายเดือนอาจถึง 10,000 บาทได้ ซึ่งหากคุณไม่สามารถจ่ายยอดเต็มได้ รับรองจ่ายดอกเบี้ยจนกระเป๋าแบนแน่ ๆ

 
          อันที่จริงการมีบัตรเครดิตสามารถอำนวยความสะดวกและช่วยเป็นหลักฐานทางเครดิตได้ ดังนั้นจะใช้จ่ายอะไรก็ระมัดระวังและอย่าให้เกินตัว จะได้ใช้บัตรเครดิตอย่างคุ้มค่าไม่เป็นหนี้จ้า


http://money.kapook.com/view113034.html

.

คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #206 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 05:51:09 pm »
บ้านมือสอง เลือกซื้ออย่างไรดี!

-http://home.sanook.com/3417/-

การซื้อบ้านมือสองนั้นสะดวกสบายเพราะพร้อมเข้าอาศัย คุณไม่ต้องรอโครงการก่อสร้างเสร็จ สามารถเข้าดูสภาพบ้านและมั่นใจได้ว่าบ้านมีอยู่จริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีความเสี่ยงหลายประการ เช่นว่าเจ้าของบ้านอาจให้ข้อมูลไม่ครบ ทำให้เกิดความเสียหายตามมา การซื้อบ้านสักหลังเป็นเรื่องใหญ่ คุณอาจต้องใช้เงินเก็บกว่าครึ่งชีวิตในการซื้อ เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง วันนี้จึงมาแนะนำว่าคุณควรตรวจสอบอะไรบ้างเวลาต้องการซื้อบ้านมือสอง

1. ราคาและเงื่อนไข
ในการซื้อขายบ้านนั้นคุณต้องจ่ายภาษี ควรทำข้อตกลงกันให้ชัดเจนว่าตัวภาษีใครต้องเป็นผู้จ่าย เฟอร์นิเจอร์ในบ้านรวมอยู่ในราคานี้ด้วยหรือไม่ หลายครั้งที่ผู้ขายรับปากว่าจะให้เฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศ แต่เอาเข้าจริงกลับขนออกไปจนหมดบ้าน คุณควรระวังและทำข้อตกลงให้ชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร และยังมีเรื่องประกันที่ต้องสอบถาม อีกทั้งเรื่องโฉนดที่ดิน คุณควรถามให้แน่ใจว่าตัวโฉนดไม่ได้ติดจำนอง หากติดจำนองก็ต้องถามว่าสามารถไถ่ถอนมาให้ได้หรือไม่ และต้องตรวจเช็คใบอนุญาตก่อสร้างให้ถี่ถ้วน หากชื่อเจ้าของอาคารเป็นคนละคนกับเจ้าของที่ ก็ต้องให้เขาทำเรื่องแจ้งย้ายออก คุณควรปฏิบัติการอย่างรอบคอบที่สุดเพราะเงินที่คุณต้องจ่ายไม่ใช่จำนวนน้อยๆ อาจต้องขอกู้ยืมสินเชื่อบ้านมาซื้อและติดหนี้กับทางธนาคารด้วยซ้ำ

2. ประวัติบ้าน
ข้อมูลที่คุณควรถามคือข้อมูลของผู้รับเหมาก่อสร้าง ก่อสร้างในปีใด และสามารถติดต่อผู้รับเหมาได้หรือไม่ เพื่อที่จะตรวจสอบได้ว่าผู้รับเหมามีใบอนุญาตไหม พิมพ์เขียวนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเนื่องจากว่าเจ้าของอาจให้ข้อมูลไม่หมด คุณสามารถลองเลียบเคียงถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นดู ทั้งประวัติเจ้าของบ้านและข้อมูลจิปาถะเพื่อความสบายใจ

3. สภาพบ้าน
สภาพของบ้านเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน อย่างแรกที่คุณควรสำรวจดูคือสิ่งแวดล้อมว่าบ้านตั้งอยู่ในจุดที่เสี่ยงน้ำท่วมหรือไม่ มีมลพิษเยอะแค่ไหน มีมลภาวะจากเสียงไหม เช่นตั้งอยู่ใกล้โรงงานอุตสาหกรรมทำให้มีระดับมลพิษสูง หรือมีกลิ่นไม่พึงประสงค์หรือเปล่า

ตัวบ้านนั้นต้องไม่เอียง คุณควรตรวจสอบคานและพื้นว่าไม่มีการแอ่นตัว และตรวจหาร่องรอยการซ่อมแซมให้ละเอียด ผนังบ้านมีรอยร้าวไหม เป็นรอยร้าวแบบที่อันตรายหรือเปล่า หากมีรอยร้าวก็เป็นไปได้ว่าอาจก่อให้เกิดอันตราย หากคุณไม่สามารถทำได้เพราะไม่มีความรู้ทางด้านนี้ก็ควรหาสถาปนิกหรือวิศวกร มาช่วยดูได้เช่นกันว่าบ้านที่คุณคิดจะซื้อนั้นยังมีโครงสร้างที่แข็งแรงดี อยู่หรือไม่
หากมีคำถามสามารถติดต่อเราได้ที่ www.moneyguru.co.th หรือ info@moneyguru.co.th


คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #207 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 28, 2015, 08:59:19 pm »
7 นิสัยที่ทำให้คุณกลายเป็นเศรษฐีอย่างรวดเร็ว


-http://money.sanook.com/254749/-

เรามักจะเห็น เศรษฐี ทั้งหลายมีเงินมากมาย มีชีวิตที่ดี สมบูรณ์พูนสุข จนบางครั้งแอบนึกอิจฉา ส่วนหนึ่งนั้นมาจากหน้าที่การงานที่พวกเขาทำ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือ “นิสัย” ต่างหากครับ

ในความเป็นจริงแล้ว ความร่ำรวยนั้นไม่ได้มาจากโชคหรือโอกาส แต่มันมาจากนิสัยบางอย่างที่เราทุกคนทำซ้ำๆในทุกวันของชีวิต และวันนี้ @TAXBugnoms ได้รวบรวมข้อมูลมาให้อ่านกันว่า … นิสัย 7 อย่างที่ว่านั้น มันมีอะไรบ้าง

1. ตั้งเป้าของความสำเร็จไว้ล่วงหน้า
เศรษฐีส่วนใหญ่มักจะมองเห็นเป้าหมายของตัวเองว่า “อยากจะทำอะไร” เราต้องยอมรับความจริงก่อนว่า ความร่ำรวย ที่เกิดขึ้นมานั้นไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่มันเกิดจากการสร้างตามเป้าหมายที่เราวางไว้

ดังนั้นถ้าหากคุณอยากเป็นเศรษฐี ลองถามตัวเองก่อนดีไหมครับว่า “เป้าหมายของเราคืออะไร” และที่สำคัญ ต้องไม่ใช่แค่คำว่า “อยากรวย” “อยากสบาย” “อยากมีเงินใช้” แต่มันต้องเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ต่างหากครับ ตัวอย่างเช่น “ฉันจะมีเงิน 1 ล้านใน 5 ปีต่อจากนี้ โดยวิธีการสร้างรายได้เพิ่มจากการทำธุรกิจออนไลน์”

2. จับจ้องในเป้าหมายทุกๆวัน
เมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการจับจ้องหรือ Focus ไปที่เป้าหมาย ใช้พลังและความคิดสร้างสรรค์ที่เรามีเพื่อให้รู้ว่า เราจะไปถึงเป้าหมายได้อย่างไร อย่างเช่น ถ้าเราบอกตัวเองว่าอยากทำธุรกิจออนไลน์ เราต้องรู้ด้วยว่าเราจะทำธุรกิจออนไลน์แบบไหน อย่างไร และทำยังไงบ้าง

สำหรับเรื่องนี้ Brian Tracy นักสร้างแรงบันดาลใจชื่อดังเคยบอกไว้ว่า..

เศรษฐีนั้นไม่ใช่คิดถึงเป้าหมายทุกเดือนหรือทุกวัน
แต่พวกเขาเหล่านั้นคิดถึงเป้าหมายและความก้าวหน้าในทุกๆชั่วโมงเลยทีเดียว

3. ใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้
อุปนิสัยที่สำคัญสำหรับเศรษฐีอีกข้อหนึ่งคือ “ใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้” และที่สำคัญกว่านั้นคือ “ต้องมีวินัยในการออม” ไปพร้อมๆกัน ไม่ใช่พอมีรายได้เพิ่มขึ้นแล้วจะกลายเป็นหน้าใหญ่ใจโต ซื้อของโก้หรูมาใช้ เปลี่ยนบ้านใหม่ รถใหม่ แต่เราต้องสร้างนิสัยที่ดีเรื่องการเงินไว้ล่วงหน้าต่างหากครับ

4. สร้างคุณค่าในงานที่ทำ
เศรษฐีส่วนใหญ่จะสร้างคุณค่าในงานมากกว่าคนธรรมดาถึง 2-3 เท่า นั่นคือใส่ความตั้งใจลงไปในงานทุกชิ้นที่พวกเขาได้ลงมือทำ รวมถึงทุ่มเททำงานโดยที่ไม่ย่อท้อ และที่สำคัญไปกว่านั้น พวกเขายังเลือกสร้างคุณค่าในตัวเองด้วยการลงทุนในความรู้ตลอดเวลาอีกด้วย

5. ไม่เคยท้อแท้แม้จะไม่ถึงเป้าหมาย
แน่นอนว่าเราทุกคนไม่ใช่มนุษย์ขั้นเทพ ย่อมจะมีสิ่งที่ผิดพลาดและไม่ประสบความสำเร็จในระหว่างทางที่ก้าวเดิน ธุรกิจอาจจะเจ็ง เป้าหมายอาจจะพลาด แต่สำหรับคนที่มีคุณสมบัติเป็นเศรษฐีนั้น เมื่อผิดพลาดและผิดหวังจากสิ่งที่ทำ เขามักจะถามตัวเองเสมอว่า “เราได้เรียนรู้อะไรจากข้อผิดพลาดนั้นบ้าง” เมื่อได้คำตอบแล้ว ก็อย่าทำพลาดซ้ำสองอีก นี่แหละครับคือเหตุผลที่ทำให้เศรษฐีทั้งหลายไม่ยึดติดกับความผิดหวัง แต่มุ่งเป้าหมายไปยังความสำเร็จตลอดเวลา ชนิดที่เรียกว่า ไม่มีอะไรหยุดยั้งได้!!!

JK Rolling ผู้เขียนหนังสือชื่อดังอย่าง Harry Potter เคยโดนสำนักพิมพ์ปฎิเสธงานถึง 12 ครั้งก่อนที่จะได้รับการตีพิมพ์ แต่เธอไม่หยุดยั้งที่จะสร้างสรรค์ผลงาน เพราะเชื่อว่า…หนังสือเรื่องนี้คือเป้าหมายของชีวิต!!

6. เข้าใจความเสี่ยง
เรามักจะเห็นเศรษฐีหลายคนกล้าทำอะไรที่แหวกแนวกว่าคนอื่น จนบางครั้งอาจจะดูเหมือนกับคนบ้า แต่ที่จริงแล้วความสำเร็จที่ได้จากความบ้า นั้น มันเกิดจากความเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงต่างหากครับ เพราะเมื่อไรที่เราเข้าใจความเสี่ยง เราจะมองเห็นภาพชัดเจนทั้งเรื่องของต้นทุนและความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น ถ้าระดับความล้มเหลวเป็นที่ยอมรับได้ นั่นแหละคือสาเหตุที่เค้ากล้า แม้ว่าคนอื่นจะมองว่าบ้าก็ตาม

7. เป็นคนใจกว้าง และไม่เห็นแก่ตัว
หลายคนมักมีความเชื่อผิดๆว่า คนรวยคือคนที่เห็นแก่ตัว เบียดเบียนคนอื่น แต่ทว่าเศรษฐีที่แท้จริงนั้น เขาจะเป็นผู้สร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นต่างหากครับ เพราะยิ่งเขามีเงินมากขึ้น เขายิ่งช่วยเหลือโลกนี้ได้มากขึ้น และที่สำคัญการสร้างความร่ำรวยทั้งหลายนั้น คือ การสร้างคุณค่าให้กับคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นความคิดอันทรงพลัง หรือผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง ถึงจะทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็นเศรษฐีตัวจริง และที่สำคัญที่สุด คนเหล่านี้ไม่เคยคิดเห็นแก่ตัว … แต่คิดจะให้ผู้อื่นตลอดเวลามากกว่าครับ

สุดท้ายนี้ ผมเชื่อว่านิสัยที่ดีนั้น เราสร้างขึ้นมาได้จากการฝึกฝน ดังนั้นถ้าหากอยากเป็นเศรษฐี เรามาเริ่มต้นกันตั้งแต่วันนี้ดีไหมคร้าบบบบ




คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #208 เมื่อ: มีนาคม 14, 2015, 09:32:54 pm »
8 ขั้นตอน ก่อนไปดู “บ้าน”

-http://home.sanook.com/3761/-

เนื่องจากในปัจจุบันทั้ง “บ้าน” “คอนโดมิเนียม” “ทาวเฮาส์” และ“ทาวโฮมส์” ผุดขึ้นกันเป็นดอกเห็ด จนผู้ที่ต้องการมีที่พักอาศัยเป็นของตนเองเลือกไม่ถูกว่าจะยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินให้กับโครงการไหน
หรือแม้แต่การจัดช่วงเวลาพรีเซลล์ของโครงการที่พักอาศัยต่างๆ ที่เชิญชวนให้ผู้สนใจเข้าไปเยี่ยมชมตัวอย่าง “บ้าน” ก็มีขึ้นแทบทุกอาทิตย์ ว่าแต่สำหรับคนที่อยากมี “บ้าน” ควรเตรียมตัวไปดูสถานที่เหล่านั้นอย่างไรบ้าง

Sanook!Home เลยมี 10 ขั้นตอน เตรียมความพร้อมก่อนไปดู “บ้าน” มาฝากทุกๆ คน

1.หาข้อมูลล่วงหน้าจากเว็บไซต์ของโครงการต่างๆ ที่ตรงกับความต้องการของตนเอง ทั้งทำเล สภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกใกล้เคียง เพื่อจะได้เลือกและจำกัดจำนวนการเข้าชมบ้านเฉพาะโครงการที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด รวมถึงบ้านบางหลังก็มีข้อมูลออนไลน์แบบที่คุณสามารถมองเห็นภาพบ้านผ่านจากอินเทอร์เน็ต หรือมือถือของคุณได้เลย

2.หากต้องการใช้บริการนายหน้า ควรเลือกนายหน้าที่รู้และเข้าใจว่าคุณต้องการอะไร และพร้อมเสมอที่จะพาคุณเข้าไปชมบ้าน

3.เมื่อจะเข้าชมที่อยู่อาศัยที่ใดสักแห่งหนึ่ง คุณควรเตรียมอุปกรณ์บันทึกภาพเช่นสมาร์ทโฟน แทบเล็ต กล้องถ่ายภาพดิจิตอล รวมถึงเม็มโมรี่การ์ดที่มีความจุเพียงพอสำหรับการถ่ายภาพจำนวนมาก และที่ขาดไม่ได้เลยคือแบตเตอรี่สำรอง เพราะคุณจะต้องถ่ายภาพบ้านให้ละเอียดทุกซอก ทุกมุม

4.เมื่อไปถึงสถานที่นั้นๆ ให้ถ่ายภาพตั้งแต่ด้านนอก ด้านหน้าโครงการเพื่อใช้ในการแยกแยะว่าบ้านหรือคอนโดมิเนียมนี้เป็นของโครงการไหน ถ่ายตั้งแต่ชื่อโครงการ เลขที่ห้อง หรือสัญลักษณ์อะไรก็ได้ที่สามารถแบ่งแยกแต่ละโครงการได้อย่างชัดเจน

5.นอกจากภาพถ่ายแล้ว เรื่องของความรู้สึกประทับใจที่คุณมีต่อที่พักอาศัยนั้นๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก โดยคุณต้องจดสิ่งเหล่านั้นลงในกระดาษให้ละเอียด รวมถึงสำรวจวัสดุ ตำแหน่งของการวางสิ่งต่างๆ ภายในบ้านหรือคอนโดมิเนียมนั้นให้ละเอียด อ่อ…อย่าลืมจดชื่อโครงการกำกับไว้ด้วย เพราะจะได้นำไปอ่านทบทวนและเปรียบเทียบได้ในภายหลัง การจดจะช่วยให้คุณเห็นข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

6.ทำเลและสภาพแวดล้อมที่พักอาศัยเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งสถานที่หลักๆ ที่คุณควรคำนึงถึงคือระบบสาธารณูปโภคต่างๆ สถานศึกษา โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า แหล่งจับจ่ายใช้สอย ฯลฯ รวมไปถึงผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในย่านนั้น

7.เมื่อพิจารณาสิ่งเหล่านี้จากในแต่ละโครงการ หรือบ้านแต่ละหลังเรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้ลองนำคุณสมบัติ ข้อดี ข้อเสีย จุดเด่น จุดด้อยของบ้านแต่ละหลังเปรียบเทียบกัน แล้วคุณก็เลือกบ้านที่มีคะแนนเข้าตาคุณมากที่สุดแยกไว้จำนวนหนึ่ง

8.หลังจากได้บ้านที่เข้าตารวมกันแล้วจำนวนหนึ่ง แนะนำว่าคุณควรกลับไปดูที่พักอาศัยเหล่านั้นอีกครั้ง เพื่อเปรียบเทียบบ้านที่เข้าตาในจำนวนที่เหลืออยู่ แล้วค่อยๆ ตัดตัวเลือกที่ไม่ใช่ออกไป คราวนี้ในมือคุณก็จะเหลือแต่ “บ้าน” ที่ใช่ และตรงกับความต้องการของคุณมากที่สุด
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
Re: รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
« ตอบกลับ #209 เมื่อ: มีนาคม 15, 2015, 11:05:11 am »
7 ความเชื่อการเงินแบบผิดๆ ที่ทำให้ชีวิตคุณพัง
14 มี.ค. 58 16.31 น.

-http://money.sanook.com/263969/-

บทความใหม่นี้ฉลองครบรอบหนึ่งปีในการทำเพจ Mr.Grayman จากสิ่งที่ตัวผมเองได้เจอมาเลยทำให้รู้เลยว่าปัญหาของคนสมัยนี้ มักจะดักดานเรื่องการเงินแต่แก้ไขไม่ได้ เพราะว่ามันเกิดจากความเข้าใจด้านการเงินที่ผิดพลาดครับ บางคนหลังไมค์มาท้าต่อยพี่เกรย์หาว่าสอนแต่เรื่องกว้างๆไม่รู้จักพูดให้ดี ให้รู้เรื่อง พูดจาสุภาพบ้าง พี่เกรย์ฟังแล้วอยากจะถามเหมือนกันว่า “เสือกอะไรเพจกู ไม่อ่านก็ปิดจอไป หรือไม่ก็เชิญมึงไปทำเพจเองเล่นเองไลค์เองสิครับ” แต่ก็ไม่กล้าพูดไปเกรงใจว่าจะไม่สุภาพครับ

ทีนี้ปัญหาเรื่องการเงินมันเกิดจากความเชื่อผิดๆครับ อาจจะเกิดจากที่ครอบครัวคุณไม่ได้สั่งสอน หรือสอนแล้วไม่จำ หรือสังคมทีคุณอยู่มันแย่มาก แต่ไม่เป็นไรครับ เราจะมาเปลี่ยนแปลงแนวคิดผิดๆ 7 ข้อนี้ไปด้วยกัน ถ้าพร้อมแล้วเริ่มกันเลยนะครับ

1. ไม่ต้องวางแผนเกษียณหรอก เพราะเราจะทำงานไปจนตาย
หลังการที่คิดว่าตัวเองจะอยู่ค้ำฟ้านี่ไม่รู้มาจากไหนนะครับ เอางี้ดีกว่า ผมขอบอกว่าการที่คนเราทำงานจนตายไม่ใช่เรื่องผิดหรอกครับ แต่สิ่งที่ผิดจริงๆคือ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้แต่ดันไม่ตาย เพราะว่าหนังเราอาจจะเหนียวเหมือนควายป่า ทำให้เกิดความผิดปกติที่ร่างกาย เช่น พิการ หรือ ทุพลลภาพ จนโดนไล่ออกจากงาน ทีนี้อยากทำงานจนตายก็ทำไม่ได้ครับเพราะดันเป็นง่อยไปแล้ว คำถามตามมาคือ แล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้ ถ้าไม่รู้จักวางแผนชีวิตล่วงหน้า

2. แค่จ่ายค่าใช้จ่ายก็จะตายแล้ว จะวางแผนการเงินได้ยังไง
คำพูดนี้ปลอบใจตัวเองได้ดีมากๆ เลยครับ แต่ผมอยากบอกว่าเพราะคุณไม่ได้วางแผนการเงิน ชีวิตคุณเลยเป็นแบบนี้ไงครับ หรือคุณจะยอมรับว่าเวลาเป็นหนี้คุณได้ใคร่ครวญดีแล้ว เวลาจะซื้อของใช้ต่างๆ เวลาจะซื้อบ้าน ผ่อนรถ ฯลฯ แต่คงว่าไม่ได้หรอกครับ เพราะนี้อาจจะเป็นอาการทางสมอง ยังไงแนะนำให้รีบรักษานะครับ (ยิ้ม)

แต่สำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องเป็นหนี้ พี่เกรย์ขออวยพรให้ฟันฝ่าอุปสรรคไปได้นะครับ คนบางคนความจำเป็นไม่เหมือนกัน พี่เกรย์หมายถึงคนที่อ้างเหตุผลแบบง่าวๆเท่านั้น หวังว่าคงจะเข้าใจ อย่างน้อยก็เอาเวลาที่เล่นเฟสบุ๊กไปหาเงินมาช่วยโปะหนี้ น่าจะดีกว่านะครับ

3. รู้จักพอก็รวยได้
ตอบก่อนไหมครับว่าเท่าไร ถึงพอ แล้วถ้าหากวันนี้พอแล้ว หยุดทำงานสิครับ ไม่ทราบว่าทำงานไปหาคุณพ่อคุณแม่หรอครับ?

4. อยากได้ งานง่ายๆ สบาย รายได้ดี
อันนี้คงบอกได้แค่ว่า “เมากาวก็ไปนอนนะลูก”

5. แค่ดูแลตัวเองให้ดี ไม่ต้องซื้อประกันก็ได้
คือแบบนี้ครับ การทำประกันคือการป้องกันความเสี่ยงนะครับ อย่าเข้าใจผิด การดูแลสุขภาพให้ดีเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำครับ แต่ถ้าเราเกิดอุบัติเหตุ เราได้เผื่ออะไรไว้สำหรับชีวิตคนอื่นที่อยู่ข้างหลังบ้างไหมครับ ลองคิดสิครับว่า ถ้าเราโกอินเตอร์ไปเค้าจะเจออะไรบ้าง เคยเผื่อเขาบ้างไหมครับ หรือเกิดมาชาตินี้ไม่มีใครรักสักคนเลยครับ

อีกกลุ่มคือพวกที่คิดว่าทำประกันคือการแช่งตัวเอง แต่บอกให้คนอื่นเชื่อในวิทยาศาสตร์ ผมไม่แน่ใจว่าใครบ้านะครับ

6. ซื้อบ้านถูกกว่าเช่า เอาค่าเช่ามาผ่อนดีกว่า
คิดให้เยอะๆ ถึงค่าใช้จ่ายที่ตามมา ค่าดูแลรักษา ราคาขายต่อ ความสะดวก การเอาเงินก้อนไปลงทุน การหมุนเงิน และปัจจัยอื่นๆบ้าง พวกที่คิดแบบนี้สุดท้ายบ่นว่าผ่อนไม่ไหว แล้วจะซื้อมาทำซีซาร์สลัดให้คุณพ่อรับประทานทำไมครับ

7. การลงทุนมีความเสี่ยง เลยไม่กล้าลงทุน
ทุกอย่างในโลกนี้มีความเสียงหมดแหละครับ เอาเงินไว้ที่บ้านก็เสี่ยงมอดแดรกส์ กินข้าวก็เจอพวกสารพิษ ทำงานก็เจอเพื่อนหลอก แต่ที่เสี่ยงจริงๆ มันคือการที่คุณไม่มีความรู้ในสิ่งที่คุณทำ แล้วทำเหมือนรู้ทุกเรื่อง สุดท้ายก็เลยเป็นแบบนี้แหละ

บทความการเงินนี้ เขียนด้วยความหวังดีกับทุกคนครับ
อาจจะพูดแรง แต่ที่พูดไปต้องขอชี้แจงว่า
เพราะไม่อยากเห็นพวกคุณต้องไปเก็บขวดขายตอนแก่ครับผม










.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)