ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
sithiphong:
5 ข้อห้ามเพื่อชีวิตที่ปลอดหนี้สิน!
4 เม.ย. 58 21.16 น.
-http://money.sanook.com/269577/-
เข้าสู่ช่วงปลายเดือนทีไร ใครหลายคนมักจะเกิดอาการเหมือนโดนไฟดูดขึ้นมาทันควัน (ช็อตนั่นเอง – -“) และพอไม่มีเงินขึ้นมา สิ่งแรกที่เราคิดนั่นคือ ขอยืมเงินชาวบ้านดีฝ่า (อย่าลืม.. อ่านเคล็ดลับวิธีปฎิเสธเพื่อนยืมเงินประกอบด้วยนะครับ) หรือไม่ก็ตัดสินใจนำเงินอนาคตมาใช้แทน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด บัตรรถไฟฟ้า เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว จนบางครั้งการใช้เงินในอนาคตที่ว่านี้แหละ อาจจะทำให้เราเป็นหนี้โดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้ พอรู้ตัวอีกที โอ้ยยยย ตรูไม่มีปัญญาจะจ่ายแล้วววว
วันนี้ @TAXBugnoms มีเคล็ดลับการใช้ชีวิตดีๆ แบบปลอดหนี้สินมาเล่าสู่กันฟัง รับประกันได้ว่า ถ้าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ อ่านแล้วปฎิบัติตามได้ ต่อให้หนี้สินมากแค่ไหนก็ไม่อาจมากล้ำกรายได้เลยล่ะจ้าาาา
ข้อแรก : อย่าใช้เกินกว่าที่หามาได้
กูรูการเงินทั้งหลายมักจะแนะนำว่า ให้ปรับเปลี่ยนสมการการเงินของตัวเราใหม่ นั่นคือ ได้เงินมาเท่าไรหักออกก่อนด้วยเงินออมแล้วที่เหลือค่อยใช้จ่าย (รายได้ – เงินออม = รายจ่าย) แต่บางคนก็บอกว่าจะให้ออมยังไงไหว ชั้นจะตายอยู่แล้วจ้าาา ดังนั้นถ้าทำตามไม่ไหวจริงๆแล้วล่ะก็ สิ่งแรกที่ควรทำคือสร้างความเชื่อมั่นให้ตัวเองก่อนว่า “ตรูจะไม่ใช้เกินกว่าที่หาได้!!!” เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะอย่างแน่นอนครับ
ข้อสอง : อย่าสนใจของนอกกายที่ไม่จำเป็น
ตามจากข้อแรกมาทันควัน ส่วนใหญ่แล้วที่เราใช้จ่ายมากกว่าที่หาได้นั้น สาเหตุมันเกิดจากของนอกกายทั้งหลายที่ไม่ตายแต่ก็อยากได้จริงๆเลยนี่แหละครับ บางคนเห็นเพื่อนเปลี่ยนโทรศัพท์ใหม่ก็อยากจะเปลี่ยนตาม เห็นคนรอบข้างมีของดีของใช้ทันสมัยทั้งหลาย หรือไลฟ์สไตล์ที่น่าอิจฉา ใจมันก็๋อยากได้ขึ้นมาซะงั้น แต่เราลืมถามตัวเองไปว่า แล้วเราน่ะ “เหมาะสม” กับการใช้จ่ายพวกนั้นหรือไม่
และเหตุผลอีกข้อหนึ่งนั้นเกิดจาก “กับดักรายจ่าย” เพราะเราไม่เคยรู้ตัวเลยว่า ตัวเราเองนั้นได้จ่ายเงินไปมากขนาดไหน และที่สำคัญเจ้ารายจ่ายที่จ่ายไป เราแบ่งได้หรือยังว่า รายจ่ายไหนคือ “รายจ่ายที่จำเป็น(Need)” หรือ “รายจ่ายที่ต้องการ(Want)” กันแน่!
รายจ่ายที่จำเป็น คือ รายจ่ายทีต้องใช้ ถ้าไม่ได้จ่ายไปเราก็ตายแน่ๆแต่รายจ่ายที่ต้องการ คือ รายจ่ายที่เราไม่มีก็ไม่ตาย แค่ดิ้นทุรนทุรายไปสักพักเดียวเองจ้าาและสุดท้ายก่อนที่จะจ่ายเงินออกไป ลองถามตัวเองก่อนทุกครั้งว่า “ตรูจ่ายไปทำไมฟระ”
ข้อสาม : อย่าเห็นของลดราคาแล้วตัวสั่น
ข้อนี้ถือว่าเป็นปัญหาของทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา เพราะแต่ละคนมีความชอบที่แตกต่างกัน บางคนชอบชอปปิ้งเสื้อผ้า เห็นเสื้อผ้า SALE ทีไรก็อดใจไม่ไหว บางคนชอบสินค้าไอที เดินงานคอมมาร์ทที่ไรก็ห้ามใจไม่อยู่ เพราะเราทุกคนล้วนมีความชอบนู่นนี่นั่นแตกต่่างกันไป แต่วิธิที่ห้ามใจได้ดีที่สุด นั่นคือ “หยุดมองของลดราคา” แต่ให้ซื้อเมื่อ “จำเป็นจริงๆ” เท่านั้น ไอ้ประเภทที่ซื้อๆไปก่อนเพราะกลัวพลาดของดีราคาถูก บางครั้งกลายเป็นผูกติดหนี้สินโดยที่่ไม่รู้ตัวนะคร้าบบบ
ข้อสี่ : อย่ากระสันอยากมีเหมือนคนอื่นเขา
สำหรับข้อนี้ เป็นเรื่องใจล้วนๆ เพราะความอิจฉาริษยาเราต้องดับให้ขาด หากมีเรื่องพวกนี้ตลอดเวลาในใจ เราก็จะกลายเป็นคนที่มัวมองหาเป้าหมายที่จะแข่งขัน เปรียบเทียบ อยากมี อยากเป็น อย่างคนอื่นเขา แต่จริงๆเราเคยถามตัวเองไหมว่า “ชั้นต้องการอะไร” และ @TAXBugnoms เชื่อเลยครับว่า ถ้าเรารู้ตัวเองว่าต้องการอะไร เราจะตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้เต็มๆ เลยล่ะครับและเมื่อไม่ต้องใช้จ่าย โอกาสที่จะเป็นหนี้มันก็น้อยลงไปเหมือนเงาตามตัวเลยล่ะคร้าบบบ
ข้อห้า : อย่าเอาชีวิตไปผูกติดสินค้าเงินผ่อน
ผ่อน 0% 10 เดือน 20 เดือน 30 เดือน นั้นคือตัวยั่วยวนชั้นดีที่จะทำให้เราตบะแตก ตัดสินใจเป็นหนี้โดยที่คิดว่า ค่อยทยอยๆจ่ายก็ได้น่า ไม่เห็นเป็นไรเลย จากประสบการณ์ที่เคยเห็นมา บางคนมีบัตรเครดิตกี่บัตร พี่ท่านจัดเต็มวงเงินทุกบัตรเลยคร้าบ ทีนี้มันก็เป็นปัญหาตามมาว่า ผ่อนทุกเดือน จ่ายทุกเดือน หนี้เก่าไปหนี้ใหม่มา แต่ตัวคุณพี่น้้นหาอะไรกินไม่ได้เลยเพราะใช้หนี้จนหัวโตกันเลยทีเดียว
เคล็ดลับทั้ง 5 ข้อนี้ มีไว้เพื่อเตือนใจเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ก่อนจะตัดสินใจเป็นหนี้ แต่หนี้จะเกิดขึ้นได้นั้น มันต้องมาจากความอยากที่จะใช้จ่าย ถ้าหากแก้ปัญหาที่ตรงจุด ลดหนี้สิน เราต้องหยุดตั้งแต่ความคิดที่จะใช้จ่าย ไม่ใช่หยุดความคิดที่จะสร้างหนี้ เพราะถ้ารู้ตัวช้าแบบนั้น บางครั้งอาจจะไม่ทันการณ์นะคร้าบบบบบ
ขอบคุณบทความดีๆจาก -www.aommoney.com-
sithiphong:
คุ้มโคตรๆ!! กับเงินฝาก 5 ประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษี!!
http://money.sanook.com/276497/
หลายๆคนมีปัญหากับการฝากเงินธนาคาร บางครั้งบ่นว่าต้องเสียดอกเบี้ย วันนี้ @TAXBugnoms เลยขอนำเรื่องราวดีๆมาบอกต่อให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆฟังกันครับว่า มันมีวิธีการฝากเงินแล้วได้ดอกเบี้ย แถมยังไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับว่ามีอะไรบ้าง
1. เงินฝากเผื่อเรียกจากธนาคารออมสินและธนาคารเกษตรและสหกรณ์
สำหรับเงินฝากเผื่อเรียกนี้ ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีจากดอกเบี้ยที่เราได้รับทั้งจำนวนครับ ซึ่งคำว่าเผื่อเรียกนี้ หมายความรวมถึงเงินฝากเผื่อเรียกแบบพิเศษด้วยนะครับ ดังนั้นถ้าใครฝากเงินกับธนาคารสองแห่งนี้ รับประกันได้เลยครับว่าไม่ต้องเสียภาษีอย่างแน่นอน
อ้อ… นอกจากเงินฝากแบบเผื่อเรียกแล้ว รางวัลสลากต่างๆที่เราได้รับจากการลงทุนในสลากออมสินและสลากธกส. ส่วนนี้ก็ได้รับยกเว้นภาษีเช่นเดียวกันแถมยังได้ลุ้นรางวัลใหญ่อีกด้วยครับ
2. เงินฝากออมทรัพย์จากสหกรณ์ออมทรัพย์
สำหรับเงินฝากประเภทนี้ คือเงินฝากออมทรัพย์กับทางสหกรณ์ออมทรัพย์ต่างๆ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัย สหกรณ์ออมทรัพย์สำหรับข้าราชการแต่ละหน่วยงาน ซึ่งบางครั้งได้เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปอย่างเราๆเข้าไปฝากเงินได้เหมือนกันครับ
3. เงินฝากออมทรัพย์ธนาคารพาณิชย์ส่วนที่ไม่เกินสองหมื่นบาท
เงินฝากธนาคารออมทรัพย์สำหรับธนาคารพาณิชย์ทั่วไปก็ได้ยกเว้นภาษีเช่นเดียวกัน แต่กฎหมายให้จำนวนดอกเบี้ยสูงสุดไว้ที่ 20,000 บาทเท่านั้น ซึ่งถ้าหากใครฝากเกิน 20,000 บาท ก็ต้องเสียภาษีตั้งแต่บาทแรก ไม่ใช่เสียเฉพาะส่วนที่ยกเว้นนะครับ และอันนี้หมายความรวมถึงบัญชีออมทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น ฝากไม่ประจำ ออมทรัพย์พิเศษ ก็อยู่ในประเภทนี้ครับ
4. เงินฝากประจำปลอดภาษี
สำหรับดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝากประจำรายเดือนติดต่อกัน โดยมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 24 เดือน และมีเงินฝากแต่ละครั้งไม่เกิน 25,000 บาท หรือรวมทั้งหมดไม่เกิน 600,000 บาท จะได้รับสิทธิยกเว้นรายได้ส่วนนี้ครับ ซึ่ง @TAXBugnoms เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้จักกันดีในชื่อของเงินฝากประจำปลอดภาษีนั่นเอง
5. เงินฝากประจำสำหรับผู้สูงอายุ
ประเภทสุดท้ายคือ เงินฝากประจำที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป โดยได้รับดอกเบี้ยเงินฝากไม่เกิน 30.000 บาทต่อปี (ดอกเบี้ยที่ว่านี้ต้องรวมเงินฝากประจำประเภทอื่นๆด้วยนะครับ) และที่สำคัญคือผู้ฝากต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 55 ปี ถึงจะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีจากดอกเบี้ยที่ว่านี้นะครับ ถึงแอบเรียกว่า เงินฝากประจำคนแก่ เอ้ย คนมีอายุนั่นเองครับ
และทั้งหมดนี้คือประเภทเงินฝากดีๆที่ได้รับดอกเบี้ยแล้วไม่ต้องเสียภาษีที่เราทุกคนควรรู้ไว้ เผื่อมีใครจะใช้เพื่อวางแผนประหยัดภาษีและการจัดพอร์ทการลงทุนของตัวเองไปพร้อมๆกันครับ
sithiphong:
กู้สินเชื่อที่พักอาศัย ผ่านไม่ผ่าน ดูที่อะไร?
-http://money.sanook.com/278293/-
คุณกำลังคิดจะยื่นขออนุมัติสินเชื่อบ้านหรือไม่? หากใช่ คุณควรอ่านบทความนี้ เพราะข้อมูลที่เรานำเสนอจำเป็นอย่างมากในการที่สินเชื่อของคุณจะได้รับการอนุมัติ ซึ่งหากทราบถึงหลักเกณฑ์คุณก็สามารถคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าสินเชื่อของตนจะได้รับการอนุมัติหรือไม่ จะได้ไม่ต้องนั่งลุ้นรอผลจากทางธนาคาร หรือหากมั่นใจว่าจะได้รับการปฏิเสธก็จะได้ไม่ส่งคำขออนุมัติให้เสียเวลา และเรายังปิดท้ายด้วยเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการกู้ร่วมมาฝากอีกด้วย
หลักเกณฑ์การพิจารณามีดังต่อไปนี้:
1. ความสามารถในการชำระหนี้ของคุณมีแค่ไหน
ธนาคารผู้ให้สินเชื่อจะพิจารณาจากรายได้ ในกรณีที่มีผู้กู้ร่วม ก็จะนำรายได้ของผู้กู้ร่วมมาคำนวณด้วย และส่วนมากจะให้กู้เป็นวงเงินสูงสุดประมาณ 30 – 40เท่าของรายได้ ซึ่งแล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละธนาคาร ทั้งนี้ทั้งนั้นธนาคารจะนำอาชีพของผู้กู้มาประกอบการตัดสินใจ ซึ่งถ้าเป็นอาชีพที่มั่นคงก็อาจได้รับการอนุมัติวงเงินสูงกว่า และยังพิจารณาไปถึงหนี้สินต่อรายได้ต่อเดือนของคุณ ซึ่งปกติแล้วทางธนาคารอาจไม่อนุมัติหากอัตราหนี้สินต่อรายได้ปัจจุบันของคุณเกิน40%
2. ความเหมาะสมของหลักประกัน
มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่คุณต้องการซื้อส่งผลต่อการอนุมัติของธนาคาร หากเป็นอาคารที่มีมูลค่าทางตลาดสูง ตั้งอยู่ในทำเลดี และหากทำประกันให้อสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวก็อาจเพิ่มโอกาสการได้รับอนุมัติสินเชื่อเช่นกัน
3. คุณสมบัติของผู้กู้
อายุและประวัติส่วนตัวของคุณก็มักถูกใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ตั้งแต่อาชีพไปถึงอายุ ซึ่งอายุของคุณเมื่อครบเวลาผ่อนชำระต้องไม่เกิน70ปี รวมไปถึงเครดิตสกอร์จากเครดิตบูโร ถ้าอยู่ในระดับที่ดีโอกาสที่จะได้รับการพิจารณาก็สูงขึ้นไปอีก
เกร็ดความรู้หากจะกู้ร่วม!
คุณรู้หรือไม่ ในกรณีที่อีกฝ่ายหนีหนี้หรือไม่จ่าย คนที่เป็นผู้กู้ร่วมจำต้องรับผิดชอบหนี้สินดังกล่าวเต็มจำนวน ฉะนั้นก่อนที่คุณจะตกลงกู้ร่วมกันใคร มั่นใจเสียก่อนว่าคุณไตร่ตรองมาดีแล้ว บางทีหากคนที่มาขอให้คุณเป็นผู้กู้ร่วมอาจเป็นครอบครัว ซึ่งการปฏิเสธก็ยาก เพราะฉะนั้นคุณควรศึกษาสถานะทางการเงินของอีกฝ่ายให้ดีเสียก่อน
สิ่งที่คุณต้องถามตนเองคือ:
1. อีกฝ่ายไว้ใจได้แค่ไหน
ลองถามตนเองอย่างจริงจังว่าคุณไว้ใจผู้กู้แค่ไหน เขาเป็นคนแบบไหน อย่ากลัวการเสียเพื่อนเพราะหากเกิดอะไรขึ้น เงินที่คุณต้องรับผิดชอบอาจสูงจนกระทั่งคุณลำบาก อีกทั้งการตามทวงหนี้หรือการตามทวงเงินจากผู้กู้นั้นไม่ใช่เรื่องสนุก
2. ลิมิตของคุณมีเท่าไหร่
หากคุณตัดสินใจจะเซ็นเป็นผู้กู้ร่วม ในเมื่อคุณต้องแบกรับความเสี่ยงในกรณีที่อีกฝ่ายไม่จ่ายหนี้ คุณก็ควรมีสิทธิ์กำหนดลิมิตจำนวนหนี้สินที่คุณต้องจ่ายในกรณีที่อีกฝ่ายหนีหนี้ และอย่าลืมเก็บเอสารหลักฐานทุกอย่างเอาไว้ในกรณีที่คุณต้องใช้ในภายหลังหากเกิดอะไรขึ้น
การกู้ร่วมไม่ใช่เรื่องแย่ แต่คุณต้องกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้ตัวคุณเองเดือดร้อนและคุณไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่คุณจะต้องการความช่วยเหลือบ้าง
ทีมงาน MoneyGuru พร้อมเสมอที่จะตอบคำถามเกี่ยวกับสินเชื่อบ้านของคุณ หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อเราได้ที่ info@moneyguru.co.th หรือ www.moneyguru.co.th
เรื่อง : MoneyGuru
create by smethailandclub.com
sithiphong:
อยู่ดีๆ ตกงาน ควรใช้บัตรเครดิตต่อหรือไม่?
-http://money.sanook.com/280513/-
หากวันหนึ่ง คุณพบว่าคุณต้องตกงาน และคุณยังไม่มีงานใหม่ คุณอาจเกิดคำถามกับตัวเองว่า ปกติเป็นคนที่ใช้บัตรเครดิตตลอด พอตกงาน ขาดรายได้ ยังควรใช้ต่อไปหรือไม่ แล้วถ้ามีหนี้บัตรเครดิตอยู่ด้วยแล้วล่ะ จะทำอย่างไรกับชีวิตการเงินของคุณดี วันนี้ MoneyGuru อยากให้คุณใจเย็นๆ เพราะทุกปัญหาการเงินมีทางแก้ วันนี้เราจึงเอาคำตอบของสถานการณ์นี้มาฝากกัน
หากยังมีหนี้อยู่ ทำอย่างไรกับหนี้สินดี?
วิธีจัดการเบื้องต้นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรมากนักกับเวลาที่บรรดาธุรกิจที่ประสบกับภาวะหนี้สิน นั่นก็คือการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในการชำระหนี้ในช่วงระยะเวลานั้นๆ นั่นเอง
เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่คุณต้องทำเลยคือ อย่าหนีหนี้ ยกหูโทรศัพท์หาธนาคารเจ้าของบัตร เล่าสถานการณ์ให้ฟัง และดูว่าธนาคารสามารถช่วยอะไรเราได้บ้างหรือไม่
ต่อมา ที่ควรทำคือ การชำระหนี้อย่างน้อย จ่ายขั้นต่ำ สำหรับหนี้ทุกก้อนที่คุณมี โดยเริ่มจากหนี้สินที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันก่อน ทั้งค่ารถ ค่าบ้าน เพราะหากคุณไม่ยอมจ่ายหลายๆเดือน คุณอาจจะถูกยึดหลักทรัพย์เหล่านั้นไป
ต่อมาคือ หนี้สินที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ได้แก่ บัตรเครดิต ซึ่งก็เหมือนกับหนี้สินประเภทอื่นๆ คือ พยายามจ่ายขั้นต่ำของทุกบัตรที่คุณมีอยู่ ลองคุยกับธนาคารว่าสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้หรือไม่ แล้วยิ่งหากคุณมีประวัติเครดิตที่ดีมาตลอด ถือว่าคุณเป็นลูกหนี้ชั้นดี คุณจะยังมีภาษีพอที่จะต่อรองธนาคารได้
ซึ่งส่วนมากนั้น หากคุณซื่อสัตย์กับธนาคารจริง ธนาคารจะเข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ ดีกว่าคุณไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ กลายเป็นบุคคลล้มละลาย หนี้ของคุณจะกลายเป็นหนี้สูญทันที และธนาคารจะไม่ได้ประโยชน์อะไร หรืออีกกรณีหนึ่งคือ คุณบอกกับธนาคารว่า คุณจะทำการโอนยอดหนี้ไปบัตรอื่น ธนาคารอื่น ก็อาจจะเป็นการช่วยเพิ่มน้ำหนักในการเจรจาอีกทางหนึ่ง
เป็นคนปลอดหนี้ ควรใช้บัตรเครดิตต่อไปหรือไม่?
หากคุณเป็นคนกลุ่มนี้ อาจจะน่าโล่งใจกว่าคนกลุ่มแรก เพราะคุณไม่มีหนี้สินต้องพะวง เพียงแค่ต้องหารายได้มาจุนเจือค่าใช้จ่ายรายวัน และรายเดือนในช่วงเวลาที่คุณยังหางานไม่ได้ และยังต้องใช้เงินเก็บสำรองกรณีฉุกเฉิน ที่คุณเก็บสะสมไว้ก่อนหน้านี้
แต่กระนั้น คุณก็คงไม่สามารถมองเห็นอนาคตได้ว่าคุณจะได้งานเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น การใช้เงินในช่วงนี้ของคุณต้องใช้อย่างระมัดระวังมากที่สุด ดังนั้น การใช้บัตรเครดิต อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่า คุณต้องคุยเจรจากับทางธนาคาร หรือ เลือกบัตรเครดิตที่อัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดเท่าที่คุณจะหาได้ เพื่อที่คุณสามารถใช้จ่ายในช่วงสองถึงสามเดือนที่คุณหางานทำอยู่ โดยที่คุณไม่ต้องเสียดอกเบี้ยมากจนเกินไป
ตัดลดงบประมาณจนกว่าจะได้งานใหม่
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คุณก็หลีกเลี่ยงข้อนี้ไม่ได้ คือ คุณต้องประหยัด! คุณจะไม่สามารถมีไลฟ์สไตล์เดิมก่อนที่คุณจะตกงานได้ไปซักพัก ก่อนที่จะได้งานใหม่ เพราะตอนนี้คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกองทุนฉุกเฉินที่ไม่มากมายเท่าไหร่นัก (แล้วแต่ว่าก่อนหน้านี้คุณอมเงินไว้มากแค่ไหน) ถึงจะมากก็ไม่ควรใช้จ่ายมากอยู่ดี ควรที่จะใช้ให้ประหยัดที่สุด ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายที่คุณไม่สามารถตัดออกได้ ก็ควรใช้บัตรเครดิตในการจ่าย เพราะอย่างน้อยคุณยังสามารถสร้างเครดิตของคุณได้ต่อไป แต่อย่าลืมล่ะ ต้องมีเงินพอที่จะชำระบิลบัตรเครดิตด้วยนะ มิฉะนั้น คะแนนเครดิตสกอร์ของคุณย่ำแย่แน่นอน
หากมีข้อสงสัยด้านการเงิน หรือผลิตภัณฑ์ทางการเงิน MoneyGuru อยู่เคียงข้างคุณเสมอที่ -www.moneyguru.co.th- หรือ -info@moneyguru.co.th-
เรื่อง : MoneyGuru
Create by -smethailandclub.com-
sithiphong:
7 เคล็ดลับเพื่ออัพเกรดให้เป็นสุดยอดมนุษย์เงินเดือน
6 มิ.ย. 58 22.09 น.
-http://money.sanook.com/284525/-
ทุกๆวันนี้ มนุษย์เงินเดือน หลายๆคนอาจจะกำลังบ่นว่า จะเอาอะไรกันนักหนา ทั้งๆที่ทุกวันนี้เราขยัน อดทน ตั้งใจทำงานจนจะตายคาออฟฟิศอยู่แล้ว มันยังไม่ดีพออีกหรอ!!!! ทำไมชีวิตถึงไม่ได้ก้าวหน้าเสียที
แต่จริงๆแล้วสิ่งที่เราเห็นไม่ใช่ว่าจะไม่มีหรอกนะครับ บางทีเราอาจจะมีแต่ยังไม่รู้ตัวก็ได้ว่า วันนี้ @TAXBugnoms เลยมีแนวคิดดีๆ 7 ข้อ มาแบ่งปันให้ทุกคนประสบความความสำเร็จในฐานะ สุดยอดมนุษย์เงินเดือน มาฝาก อยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่า่มีอะไรบ้าง งั้นเรามาดูกันเลยดีกว่า
1. ความอดทน มนุษย์เงินเดือนที่ประสบความสำเร็จทุกวันนี้ ล้วนเริ่มต้นจากความอดทนมานักต่อนัก ซึ่งความอดทนที่ว่าไม่ใช่ทนทำงานหนักเหมือนวัวเหมือนควาย อย่างที่ใครเค้าชอบพูดกันนะครับ แต่มันคือการอดทนทำงานให้เสร็จตามเป้าหมาย ถึงแม้ว่าเราจะไม่อยากทำ เพราะนั่นคือ คุณสมบัติของการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่เรียกตัวเองว่า “มืออาชีพ”
2. การฝึกฝนและพยายาม ความเพียรพยายาม หมั่นฝึกฝนในสิ่งที่เราได้เรียนรู้มาจากการทำงานในแต่ละวัน เอามาร่วมกันกับการ Focus เป้าหมายและมองหาหนทางสร้างอาชีพเพิ่มเติมที่ไม่ได้หยุดแค่การเป็นมนุษย์เงินเดือน เพื่อสร้างความก้าวหน้าในอาชีพที่ทำ หรือสร้างหนทางใหม่ๆให้กับสายงานที่เราทำอยู่ แบบนี้ คือ การฝึกฝนและพยายามที่ถูกต้องครับ
สำหรับบางคนอาจจะสงสัยว่า พยายามจะทำแค่ไหนถึงจะไปถึงฝันผมอยากแนะนำให้อ่านบทความนี้เพิ่มเติมดูครับโอกาส ความสำเร็จ และการอิ่มตัวมีจริงไหม?
3. สร้างความมีประสิทธิภาพ นายหมีแห่งออมมันนี่เคยสอนมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งไว้ว่า ทำงานมากแค่ไหนไม่ได้แปลว่าดี แต่การทำงานดีคือการทำงานฉลาดและมีประสิทธิภาพต่างหาก ซึ่งหมายความว่า เรายิ่งต้องสร้างประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้น โดยทำงานให้เสร็จรวดเร็วขึ้นและถูกต้องมากขึ้น เพราะยิ่งงานเร็วขึ้นเท่าไร เรายิ่งมีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นมากยิ่งขึ้นได้อีก #จะขึ้นไปไหน
4. อย่าฉลาดจนเกินงาม ในสังคมไทยมีคำกล่าวไว้ว่า จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ซึ่งหมายถึงคนส่วนใหญ่ไม่ชอบให้ใครเกินหน้าตา ซึ่งคล้ายๆกับวัฒนธรรมที่เรียกว่า The Tall Poppy Syndrome ของประเทศออสเตรเลียที่ไม่ต้องการให้ใครเด่นเกินหน้าใคร ถ้าใครเด่นเกินก็จะถูกกำจัดทิ้งไปเสีย ดังนั้น การแสดงให้คนอื่นรู้ว่าเราเหนือกว่า บางครั้งอาจจะเป็นปัญหาชีวิตของมนุษย์เงินเดือนได้เหมือกัน เช่น การหักหน้าเจ้านายหรือผู้ใหญ่ หรือแม้แต่เพื่อร่วมงานก็ตาม วิธีแก้ คือ แนะนำให้หันมาเพิ่มความสามารถในการบริหารจัดการความรู้สึกคนรอบข้างจะดีกว่า รับรองว่าชีวิตจะดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยครับ
แต่ถ้าเกิดคิดว่าอยากเปลี่ยนงานขึ้นมาจริงๆ
ลองตรวจสอบตัวเองที่บทความนี้เลยครับ
5 คำถามก่อนตัดสินใจเปลี่ยนงานใหม่
5. ตามข่าวสารให้ทัน ในยุคที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร การจัดการองค์ความรู้ให้สั้น กระชับ ฉับไว เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นมนุษย์เงินเดือนที่รู้ทันและรู้กว้าง เพื่อสร้างโอกาสให้กับชีวิต แต่ไม่ใช่เอาแต่ติดตามข่าวสารจนไม่ทำงานนะครับ แบบนั้นจะกลายเป็นปัญหาได้แน่ๆคร้าบ
6. หันมาสนใจเรื่องวางแผนการเงิน อีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนไม่สามารถก้าวไปถึงขั้นสุดยอดได้นั้น เกิดจากปัญหาเรื่องการเงินซึ่งเป็นปัจจัยอันดับ 1 จนถึงกับมีคำกล่าวว่า “เงินไม่ได้สร้างความสุข แต่อย่างน้อยมันไม่ทำให้ทุกข์เพิ่มขึ้น” ดังนั้นอย่าลืมวางแผนการเงินให้กับชีวิตกันด้วยนะครับ
ทำไม? มนุษย์เงินเดือนทุกคนต้องรู้จักกับการวางแผนการเงิน
10 ขั้นตอนสู่อิสรภาพการเงินของมนุษย์เงินเดือน
7. เพลินกับการผ่อนคลายชีวิต มีคนกล่าวไว้ว่า “การพักผ่อนคือส่วนหนึ่งของการทำงาน” ดังนั้นการทำงานที่คร่ำเคร่งมากเกินไปจนหลงลืมเวลาด้านอื่นๆของชีวิต ก็อาจจะทำให้กลายเป็นปัญหาในอนาคตได้ ดังนั้นการผ่อนคลายเล็กๆน้อยๆ เช่น ฟังเพลง ดูหนัง ทำสปา เล่นกีฬาต่างๆ เพื่อสร้างองค์รวมของสุขภาพร่างกายที่ดี และเป็นการผ่อนคลายอีกวิธีหนึ่งที่ให้เราทำงานได้ดียิ่งขึ้นครับ
สุดท้ายแล้ว 7 เคล็ดลับที่จะมาแนะนำสำหรับมนุษย์เงินเดือนนี้ ถ้าบริหารจัดการให้ดีและทำได้ครบทุกข้อ ย่อมสามารถทำให้เรากลายเป็นสุดยอดมนุษย์เงินเดือนได้อย่างแน่นอนครับ และที่สำคัญกว่านั้น เราไม่ควรจบแค่อ่านผ่านๆเพียงอย่างเดียว แต่อย่าลืมนำไปปฎิบัติกันด้วยนะคร้าบบบบบบบบบบ
เรื่องและภาพจาก -www.aommoney.com-
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version