ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง

รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"

<< < (47/58) > >>

sithiphong:
ภาษีและการบริหารการเงิน[ซีรีส์]
ตอน ใครควรลงทุนใน LTF และลงทุนอย่างไร ?
-http://money.sanook.com/342067/-

ช่วงปลายปีแบบนี้ มีข้อเสนอข้อแนะนำการบริหารเงินเพื่อประโยชน์ทางภาษีกันมากมาย เพราะ เปิดศักราชใหม่มา ผู้มีเงินได้ต้องทำหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อคำนวณภาษีตามหน้าที่กันแล้ว .. และ ข้อเสนอที่เป็นที่นิยมมากที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนก็คือ ....การเสนอแนะให้ลงทุนระยะยาวเพื่อได้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี โดยเฉพาะ การลงทุนใน กองทุน RMF และ LTF

การยกประเด็นการลงทุนในกองทุนแฝด RMF และ LTF เพื่อประโยชน์ทางภาษี ถูกยกแต่ประเด็นประโยชน์ทางภาษีจนบางครั้งละเลย ไปว่า แท้จริง กองทุน RMF และ LTF คือ การลงทุนประเภทหนึ่งที่มีวัตถุประสงค์ของการลงทุน และเงื่อนไขที่ต้องเรียนรู้ทั้งในเรื่องความเสี่ยง และ รู้ว่า การลงทุนในกองทุนแฝดนี้ผลตอบแทนคือ อะไร...และใครควรลงทุนในกองทุนไหนอย่างไร

วันนี้เรามาเริ่มที่ กองทุน LTF หรือ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ long-term equity fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่เกิดมาจากแนวคิดที่ต้องการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นจดทะเบียนในตลาดรอง เช่น SET และ MAI เพื่อช่วยให้ตลาดทุนไทยมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น และยังช่วยสร้างวินัยในการออม ของผู้ลงทุนรายย่อยในระยะยาวมากยิ่งขึ้นด้วย

จากหลักการของการจัดตั้ง LTF ชัดเจนว่าเป็นการลงทุนในตราสารทุน หรือชัดเจนคือลงทุนในหุ้น ซึ่งมีระยะเวลาเป็นตัวกำหนดชัดเจนว่า อย่างน้อย 5 ปี ปฏิทิน เพื่อให้ตรงกับวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาว ดังนั้นในการลงทุนผู้ลงทุนต้องเข้าใจว่าในการลงทุนกองทุนประเภทนี้ มีความเสี่ยงอยู่ด้วย และผลตอบแทนขึ้นอยู่กับฝีมือการบริหารของผู้จัดการกองทุนเป็นสำคัญ ว่าจะสามารถพิชิตตลาดได้มากน้อยเพียงใด

นักลงทุนต้องคำนึงว่าตลอด 5 ปีผลตอบแทนที่ควรได้ควรเป็นเท่าไรจึงคุ้มกับการลงทุน โดยเปรียบเทียบกับการลงทุนอื่นๆ หรือ หากมีฝีมือ ก็ลงทุนเองอาจได้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในกองทุนเล่านี้ก็ได้ เพราะ เมื่อลงทุนใน LTFแล้ว กรณีที่ผู้ลงทุนสั่งขายหรือสับเปลี่ยนระหว่างกองทุน LTF หน่วยลงทุนที่ซื้อก่อนจะถูกนำไปขายก่อน (First-In First-Out : FIFO) โดยผู้ลงทุนไม่สามารถกำหนดให้ บลจ.ขายหน่วยลงทุนก้อนอื่นที่ซื้อทีหลังได้ ตัวอย่างเช่น : ซื้อ LTF ในปี 2550 2551 2552 และ 2553 ต่อมาผู้ลงทุนต้องการขาย LTF บลจ.จะขายหน่วยลงทุนที่ซื้อในปี 2550 ก่อน และเรียงลำดับไปตามปีที่ซื้อก่อนเสมอ

สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีนั้น เงินที่ซื้อหน่วยลงทุนใน LTF จะได้รับยกเว้น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15 % ของเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปี และไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งเงื่อนไขนี้มีการปรับปรุงจากเดิมที่ได้รับการยกเว้นในการลงทุน LTF สูงสุด 15 % ของเงินได้ในแต่ละปี
การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขนี้ทำให้ เงินที่ลงทุนใน LTF แล้วได้สิทธิเว้นภาษี 15 % จึงเป็นเงินได้หลักที่ไม่ได้รับสิทธิใดๆมาก่อน หรือง่ายๆคือ จากเงินเดือนเป็นหลัก ส่วนรายได้จากอื่นๆ เช่นเงินปั่นผลที่ได้สิทธิประโยชน์มาแล้วจะไม่สามารถนำมาเป็นฐานในการลงทุนได้อีก ส่วนกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (capital gain) ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้

ดังนั้น เมื่อเงื่อนไขของสิทธิประโยชน์ทางภาษีของ การลงทุนใน LTF คือฐานเงินเดือนเป็นหลัก แล้วเงินเดือนเท่าไรเป็นต้นไปจึงควรเริ่มต้นลงทุนใน LTF ...?

ลองมาดูตัวอย่างของมนุษย์เงินเดือน โดยกำหนดเงื่อนไขว่าเป็นคนโสด ที่สามารถหักค่าลดหย่อยส่วนตัว ได้เพียงอย่างเดียวไม่นำค่าลดหย่อยอย่างอื่นมาคำนวณร่วมเพื่อความเข้าใจง่ายๆ กัน
จากฐานของรายได้ที่ที่เสียภาษีตามเกณฑ์ของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นั้น ซึ่งเป็นภาษีแบบขั้นบันได โดยรายได้ 150,000 แรกได้รับการยกเว้น ดังโครงสร้างภาษีข้างล่างนี้

"ดูที่รูป"

หากท่านเป็นผู้มีเงินเดือน 20,000 บาท การคำนวณจะเป็นดังนี้ คือ

รายได้พึงประเมินคือรายได้ทั้งปี เท่ากับ เงินเดือน 20,000 บาท x 12 เดือน = 240,000 บาท
เงินได้สุทธิ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน คือ 240,000 – 60,000 – 30,000 = 150,000 บาท
ตามตัวอย่างนี้ เงินได้สุทธิที่นำมาคำนวณภาษีคือ 150,000 บาท ซึ่งจากฐานรายได้นี้ เท่ากับผู้มีเงินได้ไม่ต้องเสียภาษีเนื่องจากได้รับยกเว้น ภาษีตามโครงสร้างอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะลงทุนใน LTF เพื่อผลประโยชน์จากการลดหย่อยภาษี

อีกตัวอย่าง หากเป็นผู้ที่มีเงินเดือน 25,000 บาท
รายได้พึงประเมินคือรายได้ทั้งปีเท่ากับ 25,000 บาท x 12 เดือน = 300,000 บาท
เงินได้สุทธิ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเท่ากับ 300,000 – 60,000 – 30,000 = 210,000 บาท
ตามโครงสร้างรายได้ 150,000 บาทแรกได้รับยกเว้นดังนั้น
ภาษีที่ต้องเสีย คือ 210,000 – 150,000 = 60,000 ซึ่งตามโครงสร้างต้องเสียภาษี ในอัตรา 5 %เท่ากับ 60,000 x 0.05 = 3,000 บาท


และจากเงื่อนไขผลประโยชน์ที่จะได้รับสิทธิทางภาษีสูงสุด 15 % ของเงินได้พึงประเมินในการลงทุน LTF ดังนั้น ท่านสามารถคำนวณการลงทุนในLTF ดังนี้ คือ
เงินได้พึงประเมิน 300,000 x 0.15 = 45,000 บาท
นั่นคือสามารถซื้อกองทุน LTF ได้สูงสุด 45,000 บาท

นี้คือ ตัวอย่างของการลงทุนในกองทุนยอดฮิต ที่ช่วงปลายปี จะมีการโปรโมทให้กับมนุษย์เงินเดือนเข้ามาลงทุน โดยพยายามบอกถึงประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับ แต่ที่จริงแล้ว หากท่านจะลงทุนในกองทุน ก็ต้องคำนึงในหลายๆด้าน ต้องรู้จักว่ากองทุนนั้นคืออะไร มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง และผลประโยชน์ที่จะได้รับจริงๆคืออย่างไร
ไว้ครั้งหน้าเรามาดูการลงทุนในกองทุนยอดฮิตอีกตัวหนึ่งคือ RMF ว่ามีเงื่อนไขอย่างไรประกอบการตัดสินใจในการลงทุน เพื่อการบริหารเงินและภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

ขอบคุณแหล่งข้อมูล

-http://www.start-to-invest.com/-

-http://www.aommoney.com/taxbugnoms-

-http://www.fundfine.com/-

sithiphong:
คาถาพารวยด้วยแก้ว 3 ประการสำหรับมนุษย์เงินเดือน
-http://money.sanook.com/350671/-

-http://money.sanook.com/350671/-

สนับสนุนเนื้อหา

Tar Kawin AomMoney Guru

IDOL DCA ให้ความรู้การลงทุนด้วยภาษาง่ายๆ

เขียนบทความนี้กันต้นปีเลยแล้วกันนะครับ พอดีเห็นช่วงนี้มีคนชอบแชร์์เรื่องเกี่ยวกับ ดวงชะตาของราศีไหนจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็มีคนแซวไว้อยู่เหมือนกันว่าต้องเป็นราศีที่ทำมาหากิน ฮาๆ พอเห็นคนชอบดวง สูตรลับ ผมเองก็เลยอยากจะมอบคาถาพารวยในแบบฉบับของผมบ้างนะครับ จะได้ร่ำรวยกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

คาถาพารวยของผมก็ง่ายๆเลย เพียงแค่เราท่องว่า

“เพิ่มตัง จ่ายยั้ง ออมจัง”

มาดูความหมายของแต่ละคำกันเลยดีกว่า

เพิ่มตัง = เพิ่มรายได้

วิธีการเพิ่มตังสำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้นก็มีหลายวิธีนะครับ อย่างแรกสุดเลยก็คือ การได้ขึ้นเงินเดือนจากที่ทำงาน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว ก็ตั้งใจทำงาน สร้างสรรค์ผลงานให้กับเจ้านายเห็น รับรองว่าถ้าเจ้านายไม่ขึ้นเงินเดือนให้ แต่ผลงานเราเตะตาเจ้านายในบริษัทอื่น รับรองว่าคุณจะเกิดการถูกแย่งตัวกันเลยทีเดียวนะครับ บางทีก็จะมี Head Hunter โทรมาคุยเลยว่า อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ ไปลองสัมภาษณ์กับที่นั่นที่นี่ไหม?

วิธีการที่ผมเคยทำก็คือเราต้องทำให้คนรู้จักเรามากให้มากขึ้น โดยเฉพาะทางสื่อ Online เช่น Facebook, LinkedIn, ฺBlog ทำ Profile ความเชี่ยวชาญของเราและคอยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราถนัด พอข้อมูลข้อเราไปเตะตาใครที่เขาต้องการอยู่ เขาจะติดตามเราพร้อมสืบประวัติและอ่านข้อมูลเรา เพื่อนำไปพิจารณาการ Offer งานใหม่ๆครับ

หรือถ้าหากใครมีความคิดดีๆในการสร้างธุรกิจของตัวเองหลังเลิกงาน หรือในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยนะครับ บางคนชอบขายของ Online สมัยก่อนผมเลยทำพวกงาน ล่ามภาษาอังกฤษ สอนพิเศษเด็กๆ วันหนึ่งๆได้เงินมาเพิ่ม 2,000 – 3,000 บาทเลย ทำไปทำงานรายได้ส่วนนี้พอๆกับงานประจำเลย (เรียกได้ว่าทำแบบจนลืมนัดกับแฟนกันทีเดียว)

จ่ายยั้ง = คิดและวางแผนก่อนใช้เงิน

ถ้าวิธีการแรกรู้สึกลำบ๊ากลำบากในการหาเงินเพิ่ม ลองมาประหยัดกันแทนดูไหมครับ ผมเคยอ่านคำพูดของเบนจามิน แฟรงคลิน (คนที่คิดสายล่อฟ้านั่นแหล่ะครับ) พูดถึงเรื่องการออมเงินว่า ถ้าเราประหยัด 1 เพนนี ก็จะมีเงินเพิ่ม 1 เพนนี นะเธอว์!!! ซึ่งมันก็เป็นจริงนะครับ การประหยัดตังบางทีมันง่ายกว่าการหาตังซะอีก

ถามว่าประหยัดอย่างไร วิธีง่ายๆเลยก็คือลองสำรวจตัวเองว่าวันๆใช้จ่ายอะไรบ้าง ลองทำบันทึกรายรับรายจ่ายไว้ก็ได่นะครับ แล้วพอเราไล่เรียงออกมาแล้วเราจะเห็น รายจ่ายอยู่ 2 แบบที่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ

รายจ่ายที่ไร้สาระในชีวิตที่ตัดค่าใช้จ่ายได้: คือผมเข้าใจนะครับว่าคนเราต้องใช้เงินไปกับความสุข แต่ถ้าเรามีความสุขจนเป็นหนี้ อันนี้จะกลายเป็นความทุกข์ได้ ลองดูนะครับว่ารายจ่ายไร้สาระมันเกิดขึ้นในตัวเราบ้างหรือเปล่า อย่างตัวผมเองมีอยู่ช่วงๆหนึ่งเคยบ้ากินไอติมทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น หมดค่าไอติมไปเยอะมาก แถมอ้วนอีกต่างหาก เลยใช้วิธี กินอันที่มันถูกลง กับ กินให้มันถี่น้อยลงเป็น 3 วันครั้ง

รายจ่ายที่จำเป็นแต่เราหาวิธีประหยัดได้: เชื่อไหมว่าบางครั้งรายจ่ายที่จำเป็นก็ประหยัดได้นะ เพียงแค่เราหาวิถีประหยัดมันให้เจอ เมื่อก่อนผมเคยต้องนั่งรถเมล์ไปสถานี BTS และจ่ายค่า BTS ไปทำงาน แต่อยู่ๆผมก็เจอวิธีที่ประหยัดได้มากกว่าเดิม คือแถวๆบ้านผมจะมีคนไปที่ทำงานด้วยกัน 4-5 คน ก็เลยหารค่ารถไปด้วยกัน นัดกันมาเจอแล้วโบกแทคซี่ไปด้วยกัน ถึงเร็วกว่าเดิมค่ารถต่อคนถูกกว่าเดิมด้วยครับ พวกนี้มันขึ้นอยู่กับการวางแผนนะ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นใครว่ามันจะลดไม่ได้ล่ะ!!

ออมจัง = ออมเงินเยอะๆและหาทางต่อยอดเงินออม

แน่นอนครับว่า เงินออมนั้นมาจากความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและรายจ่าย หากเรามีรายรับเยอะกว่ารายจ่ายเมื่อไหร่ เงินออมย่อมเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะเซ็งกับดอกเบี้ยเงินฝาก ใช่ไหมครับ ออมอย่างเดียวสมัยนี้มันอาจจะไม่ได้สร้างความมั่งคั่งมากเท่ากับสมัยก่อน การเปลี่ยนเงินออมไปเป็นเงินที่ป้องกันความเสี่ยงและการลงทุนก็เป็นสิ่งที่สามารถทำเพิ่มได้

การป้องกันความเสี่ยงเป็นเบื้องต้นเลยที่เราน่าจะทำนะ เช่น การซื้อประกันไว้ เพราะถ้าเราเก็บเงินออมไปเรื่อยๆ แต่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ต้องจ่ายเงินทีเป็นหมื่นเป็นแสน บางทีกลายเป็นความมั่งคั่งหายไป การทำประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ

นอกจากนี้แล้วเราก็ควรจัดพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติมตามความเสี่ยงของเรา ด้วยการนำเงินออมไปลงทุนใน หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ ฯลฯ เพื่อให้เงินงอกเงยมากกว่าเดิม แต่การลงทุนมีความเสี่ยงเหมือนกันนะ หุ้นมีขึ้นก็มีลง ลงทุนไปก็อาจจะขาดทุนได้ การศึกษาและบริหารความเสี่ยงก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะหนีไม่ได้ เมื่อเราสร้างเงินออมให้งอกเงยแล้วก็จะรวยขึ้นได้มากเช่นกันครับ

เพิ่มรายได้ – ลดรายจ่ายไม่จำเป็น – ต่อยอดผลตอบแทนเงินออม

ลองนำไปปรับใช้ในชีวิตของเราดูนะครับว่าจะต้องทำอย่างไร และก็ขอให้ทุกคนร่ำรวยๆ นะครับ

ขอบคุณบทความดีๆจาก -www.aommoney.com-

sithiphong:
เงินทอง เก็บไว้ได้ ไม่เสีย
หากใช้จ่ายไม่ยั้ง ชีวิตจะพบกับความลำบาก

เมื่อเก็บเงินได้  มีเงินออม
ต้องศึกษาหาความรู้เรื่องเงินๆทองๆ และรู้จักการลงทุน
เพื่อเพิ่มเงินออมให้มากขึ้น
ที่สำคัญ ต้องให้เงินทำงานแทนเราตลอด 24 ชั่วโมง

เราจะสบายในตอนที่เราอายุมาก  ไม่ลำบากทั้งกายและทั้งใจ





--- อ้างจาก: sithiphong ที่ มกราคม 20, 2016, 09:48:20 pm ---คาถาพารวยด้วยแก้ว 3 ประการสำหรับมนุษย์เงินเดือน
-http://money.sanook.com/350671/-

-http://money.sanook.com/350671/-

สนับสนุนเนื้อหา

Tar Kawin AomMoney Guru

IDOL DCA ให้ความรู้การลงทุนด้วยภาษาง่ายๆ

เขียนบทความนี้กันต้นปีเลยแล้วกันนะครับ พอดีเห็นช่วงนี้มีคนชอบแชร์์เรื่องเกี่ยวกับ ดวงชะตาของราศีไหนจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็มีคนแซวไว้อยู่เหมือนกันว่าต้องเป็นราศีที่ทำมาหากิน ฮาๆ พอเห็นคนชอบดวง สูตรลับ ผมเองก็เลยอยากจะมอบคาถาพารวยในแบบฉบับของผมบ้างนะครับ จะได้ร่ำรวยกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

คาถาพารวยของผมก็ง่ายๆเลย เพียงแค่เราท่องว่า

“เพิ่มตัง จ่ายยั้ง ออมจัง”

มาดูความหมายของแต่ละคำกันเลยดีกว่า

เพิ่มตัง = เพิ่มรายได้

วิธีการเพิ่มตังสำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้นก็มีหลายวิธีนะครับ อย่างแรกสุดเลยก็คือ การได้ขึ้นเงินเดือนจากที่ทำงาน ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว ก็ตั้งใจทำงาน สร้างสรรค์ผลงานให้กับเจ้านายเห็น รับรองว่าถ้าเจ้านายไม่ขึ้นเงินเดือนให้ แต่ผลงานเราเตะตาเจ้านายในบริษัทอื่น รับรองว่าคุณจะเกิดการถูกแย่งตัวกันเลยทีเดียวนะครับ บางทีก็จะมี Head Hunter โทรมาคุยเลยว่า อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ ไปลองสัมภาษณ์กับที่นั่นที่นี่ไหม?

วิธีการที่ผมเคยทำก็คือเราต้องทำให้คนรู้จักเรามากให้มากขึ้น โดยเฉพาะทางสื่อ Online เช่น Facebook, LinkedIn, ฺBlog ทำ Profile ความเชี่ยวชาญของเราและคอยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่เราถนัด พอข้อมูลข้อเราไปเตะตาใครที่เขาต้องการอยู่ เขาจะติดตามเราพร้อมสืบประวัติและอ่านข้อมูลเรา เพื่อนำไปพิจารณาการ Offer งานใหม่ๆครับ

หรือถ้าหากใครมีความคิดดีๆในการสร้างธุรกิจของตัวเองหลังเลิกงาน หรือในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยนะครับ บางคนชอบขายของ Online สมัยก่อนผมเลยทำพวกงาน ล่ามภาษาอังกฤษ สอนพิเศษเด็กๆ วันหนึ่งๆได้เงินมาเพิ่ม 2,000 – 3,000 บาทเลย ทำไปทำงานรายได้ส่วนนี้พอๆกับงานประจำเลย (เรียกได้ว่าทำแบบจนลืมนัดกับแฟนกันทีเดียว)

จ่ายยั้ง = คิดและวางแผนก่อนใช้เงิน

ถ้าวิธีการแรกรู้สึกลำบ๊ากลำบากในการหาเงินเพิ่ม ลองมาประหยัดกันแทนดูไหมครับ ผมเคยอ่านคำพูดของเบนจามิน แฟรงคลิน (คนที่คิดสายล่อฟ้านั่นแหล่ะครับ) พูดถึงเรื่องการออมเงินว่า ถ้าเราประหยัด 1 เพนนี ก็จะมีเงินเพิ่ม 1 เพนนี นะเธอว์!!! ซึ่งมันก็เป็นจริงนะครับ การประหยัดตังบางทีมันง่ายกว่าการหาตังซะอีก

ถามว่าประหยัดอย่างไร วิธีง่ายๆเลยก็คือลองสำรวจตัวเองว่าวันๆใช้จ่ายอะไรบ้าง ลองทำบันทึกรายรับรายจ่ายไว้ก็ได่นะครับ แล้วพอเราไล่เรียงออกมาแล้วเราจะเห็น รายจ่ายอยู่ 2 แบบที่มันน่าหมั่นไส้จริงๆ

รายจ่ายที่ไร้สาระในชีวิตที่ตัดค่าใช้จ่ายได้: คือผมเข้าใจนะครับว่าคนเราต้องใช้เงินไปกับความสุข แต่ถ้าเรามีความสุขจนเป็นหนี้ อันนี้จะกลายเป็นความทุกข์ได้ ลองดูนะครับว่ารายจ่ายไร้สาระมันเกิดขึ้นในตัวเราบ้างหรือเปล่า อย่างตัวผมเองมีอยู่ช่วงๆหนึ่งเคยบ้ากินไอติมทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น หมดค่าไอติมไปเยอะมาก แถมอ้วนอีกต่างหาก เลยใช้วิธี กินอันที่มันถูกลง กับ กินให้มันถี่น้อยลงเป็น 3 วันครั้ง

รายจ่ายที่จำเป็นแต่เราหาวิธีประหยัดได้: เชื่อไหมว่าบางครั้งรายจ่ายที่จำเป็นก็ประหยัดได้นะ เพียงแค่เราหาวิถีประหยัดมันให้เจอ เมื่อก่อนผมเคยต้องนั่งรถเมล์ไปสถานี BTS และจ่ายค่า BTS ไปทำงาน แต่อยู่ๆผมก็เจอวิธีที่ประหยัดได้มากกว่าเดิม คือแถวๆบ้านผมจะมีคนไปที่ทำงานด้วยกัน 4-5 คน ก็เลยหารค่ารถไปด้วยกัน นัดกันมาเจอแล้วโบกแทคซี่ไปด้วยกัน ถึงเร็วกว่าเดิมค่ารถต่อคนถูกกว่าเดิมด้วยครับ พวกนี้มันขึ้นอยู่กับการวางแผนนะ ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นใครว่ามันจะลดไม่ได้ล่ะ!!

ออมจัง = ออมเงินเยอะๆและหาทางต่อยอดเงินออม

แน่นอนครับว่า เงินออมนั้นมาจากความสัมพันธ์ระหว่างรายรับและรายจ่าย หากเรามีรายรับเยอะกว่ารายจ่ายเมื่อไหร่ เงินออมย่อมเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็อาจจะเซ็งกับดอกเบี้ยเงินฝาก ใช่ไหมครับ ออมอย่างเดียวสมัยนี้มันอาจจะไม่ได้สร้างความมั่งคั่งมากเท่ากับสมัยก่อน การเปลี่ยนเงินออมไปเป็นเงินที่ป้องกันความเสี่ยงและการลงทุนก็เป็นสิ่งที่สามารถทำเพิ่มได้

การป้องกันความเสี่ยงเป็นเบื้องต้นเลยที่เราน่าจะทำนะ เช่น การซื้อประกันไว้ เพราะถ้าเราเก็บเงินออมไปเรื่อยๆ แต่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ต้องจ่ายเงินทีเป็นหมื่นเป็นแสน บางทีกลายเป็นความมั่งคั่งหายไป การทำประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงก็เป็นเรื่องที่ดีนะครับ

นอกจากนี้แล้วเราก็ควรจัดพอร์ตการลงทุนเพิ่มเติมตามความเสี่ยงของเรา ด้วยการนำเงินออมไปลงทุนใน หุ้น กองทุนรวม ตราสารหนี้ ฯลฯ เพื่อให้เงินงอกเงยมากกว่าเดิม แต่การลงทุนมีความเสี่ยงเหมือนกันนะ หุ้นมีขึ้นก็มีลง ลงทุนไปก็อาจจะขาดทุนได้ การศึกษาและบริหารความเสี่ยงก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะหนีไม่ได้ เมื่อเราสร้างเงินออมให้งอกเงยแล้วก็จะรวยขึ้นได้มากเช่นกันครับ

เพิ่มรายได้ – ลดรายจ่ายไม่จำเป็น – ต่อยอดผลตอบแทนเงินออม

ลองนำไปปรับใช้ในชีวิตของเราดูนะครับว่าจะต้องทำอย่างไร และก็ขอให้ทุกคนร่ำรวยๆ นะครับ

ขอบคุณบทความดีๆจาก -www.aommoney.com-

--- End quote ---

sithiphong:
“RMF-LTF-ประกันชีวิตแบบบำนาญ” ประโยชน์ที่ได้มากกว่าการลดหย่อนภาษี
http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000006542

โดย MGR Online    
20 มกราคม 2559 15:09 น.

คอลัมน์ บัวหลวง Money Tips
       โดย พนิต ปัญญาบดีกุล CFP®
       กองทุนบัวหลวง
       
       Retirement Mutual Fund (RMF) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เกิดขึ้นมาในปี 2544 แต่ในช่วงแรกยังไม่เป็นที่นิยม เนื่องจากมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร และความเข้าใจในเรื่องของการลงทุนก็ยังอยู่ในวงจำกัดเช่นกัน หลังจากนั้นประมาณ 3 ปี Long-Term Equity Fund (LTF) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ก็ถือกำเนิดตามมา เมื่อพูดถึง RMF และ LTF ผู้ลงทุนทราบดีว่าเป็นกองทุนที่ช่วยในการลดหย่อนหรือประหยัดภาษี
       
       ดังนั้นจึงขอทบทวนรายละเอียดของทั้ง 2 กองทุน และประโยชน์ที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากการลงทุนใน RMF และ LTF ที่สำคัญมากกว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว
       
       กองทุน RMF เป็นกองทุนที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนและสร้างวินัยให้คนเก็บออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณ หรือในวัยที่พ้นจากการทำงานและไม่มีรายได้ประจำแล้ว ดังนั้นจึงเป็นกองทุนที่มีผลต่อเนื่องในระยะยาว ไม่มีการจ่ายปันผลใดๆ คืน ต้องลงทุนต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปี (เว้นได้ 1 ปี แต่ห้ามเกิน 2 ปี) และห้ามขายคืนก่อนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ มีนโยบายการลงทุนหลากหลายประเภท เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกและจัดสรรการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่รับได้ และสามารถโอนย้ายระหว่างกองทุนทั้งในบริษัทหลักทรัพย์จัดการเดียวกันหรือต่างกันได้ เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนของตนเองเมื่อเวลาผ่านไป
       
       กองทุน LTF เป็นกองทุนที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นจดทะเบียนในตลาดรอง เช่น SET mai ทำให้ตลาดทุนมีการพัฒนาและมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามจุดประสงค์ดังกล่าวอาจจะไกลตัวเราที่เป็นประชาชนทั่วไป ดังนั้นอยากให้มองจุดประสงค์ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ กองทุนนี้ช่วยให้คนไทยรู้จักการลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในระยะยาว ทำให้เกิดการเรียนรู้และไม่กลัวการลงทุนมากเหมือนในอดีต
       
       ด้วยจุดประสงค์ดังกล่าวทำให้ LTF มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นจดทะเบียน จะมีการจ่ายปันผลหรือไม่ก็ได้ และผู้ลงทุนต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทินในแต่ละก้อนที่ลงทุน (นับปีที่ลงทุนและปีที่ขายคืนด้วย) จากเดิม LTF มีอายุประมาณ 10 ปี นับตั้งแต่ปีแรกที่ตั้งขึ้น และกำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2559 แต่ล่าสุด ครม.ได้มีมติต่ออายุสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปอีก 3 ปี จนสิ้นสุดปี 2562 รวมทั้งเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในการถือหน่วยลงทุนจากไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน เป็นไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน ตามรายละเอียดเงื่อนไของสรรพากร
       
       มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวม RMF และกองทุนรวม LTF ปี 2545-2558 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง



  ประกันชีวิตบำนาญแบบลดหย่อนภาษีได้ เป็นอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่ในปี 2554 สรรพากรได้ส่งเสริมการออมระยะยาวให้กับคนไทยเพื่อความมั่นคงในการดำรงชีพหลังเกษียณอายุจากการทำงาน และช่วยให้มีเงินบำนาญเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญนี้จึงมีกำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ไม่มีการจ่ายปันผลประโยชน์เงินคืนอื่นใดก่อนที่จะรับเงินบำนาญ (ยกเว้นกรณีเสียชีวิต) โดยที่จะสามารถรับเงินบำนาญตั้งแต่อายุ 55 ปีขึ้นไปจนถึงอายุไม่ต่ำกว่า 85 ปี และต้องกำหนดการจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญเป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ เช่น รายปี รายเดือน เป็นต้น
       
       มากกว่าประโยชน์ทางภาษี ถึงแม้ว่าเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะเป็นสิ่งจูงใจให้หลายๆ ท่านซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินดังกล่าว แต่จากจุดประสงค์หลักและประโยชน์ของทั้ง RMF LTF และประกันชีวิตแบบบำนาญ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า อยากจะให้พิจารณาข้อมูลจากฝ่ายวิจัยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในเรื่องสาเหตุของความกังวลใจในการใช้ชีวิตหลังเกษียณของคนไทย จะเห็นได้ว่าร้อยละ 51 จะมีเงินออมไม่เพียงพอหลังเกษียณ และไม่สามารถพึ่งพาลูกหลานได้ถึงร้อยละ 32
       
       สัดส่วนของจำนวนคน จำแนกตามสาเหตุของความกังวลใจในการใช้ชีวิตหลังเกษียณ



นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาถึงการออมเงินของผู้สูงอายุในปี 2550 จากผลการสำรวจพบว่า ผู้สูงอายุร้อยละ 31.3 ไม่มีเงินออมเพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตหลังเกษียณ และผู้สูงอายุส่วนใหญ่ (ร้อยละ 53) มีมูลค่าการออมไม่เกิน 2 แสนบาท เท่ากับว่าถ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 20 ปี ก็จะมีเงินใช้ไม่เกินเดือนละ 830 บาท หรือวันละ 28 บาทเท่านั้น ขณะที่มีจำนวนผู้สูงอายุเพียงร้อยละ 15 ที่มีมูลค่าการออมตั้งแต่ 700,000 บาทขึ้นไป
       
       อย่างไรก็ตาม การเก็บออมเงินระยะยาวใน RMF LTF และประกันชีวิตแบบบำนาญ ก็เป็นเพียงพื้นฐานส่วนหนึ่งเท่านั้น การที่จะบรรลุเป้าหมายทางการเงิน และเป้าหมายชีวิตที่ตั้งไว้ ควรให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเงินแบบรอบด้านด้วย


sithiphong:
หุ้นตก หลบลงกองทุน REIT ดีมั้ย
-http://money.sanook.com/352167/-

-http://www.settrade.com/login.jsp?txtBrokerId=IPO-
สนับสนุนเนื้อหา

ผู้เขียน : นฤมล บุญสนอง CFP®
รองกรรมการผู้จัดการ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด และ วิทยากรตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย



ช่วงเวลาที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนมาก ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องไปลงทุนอสังหริมทรัพย์ เพื่อเก็บค่าเช่า แต่มีปัญหาคือ เงินน้อย ทำเลดีๆไม่มี ยุ่งยาก ไม่มีเวลาดูแลเรื่องการซ่อมบำรุง และ เก็บค่าเช่า ขายต่อยาก ปัญหาร้อยแปดอย่าง นี่คือเหตุผลที่ต้องมารู้จัก กอง REIT กัน

REIT ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์” เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากเหมือนกับการลงทุนโดยตรง และ มีข้อจำกัดน้อยกว่าการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เป็นกองทรัพย์สินที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มีลักษณะเป็นกองทรัสต์ ไม่ใช่นิติบุคคลเหมือนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือ


1. สินทรัพย์ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต้องไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ถือกรรมสิทธิ์โดยทรัสตี (Trustee)
2. ทรัสตี (Trustee) มีอำนาจดูแลและบริหารจัดการทรัพย์สินในกองทรัสต์ รวมทั้งดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager)
3.ผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager) ทำหน้าที่บริหารอสังหาริมทรัพย์ประเภทนั้น ๆ เช่น ดูแลทรัพย์สินให้พร้อมเช่า จัดหาผู้เช่า จัดเก็บค่าเช่า เป็นต้น
4. REIT สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลายประเภท และจะออกไปลงทุนในต่างประเทศก็ได้
5. REIT สามารถกู้มาลงทุนได้ไม่เกิน 35% ของ สินทรัพย์รวม และถ้ามีการจัดอันดับว่า REIT นั้นมีคุณภาพผ่านระดับ Investment Grade ขึ้นไป ก็สามารถกู้ได้ถึง 60% ซึ่งประเด็นนี้ ทำให้ REIT มีโอกาสในการขยายธุรกิจสูงกว่า กองทุน Property Fund ที่กู้ได้แค่ 10% เท่านั้น REIT จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


การลงทุนใน REIT เหมาะกับใคร?
REIT รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากค่าเช่า หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว REIT จะต้องจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอย่างน้อย 90% ของกำไรสุทธิ พูดสั้นๆได้รับค่าเช่าเต็ม หักค่าคนดูแลนิดหน่อย ค่าเช่ามักไม่ค่อยมีความผันผวน ทำให้ REIT ไม่เหมาะกับนักลงทุนประเภทเก็งกำไร แต่จะเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง ถ้าเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยงของ REIT เรียงจากน้อยไปมาก คือ หุ้นกู้, REIT, หุ้น นั่นเอง


ข้อดีของการลงทุนใน REIT คือ ?
1) สามารถเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ชอ บ โดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ
2) ไม่ต้องเหนื่อย
3) กระจายความเสี่ยง เช่น เงิน1.0 ล้านบาท ถ้าเลือก 4 กองทุน จะได้ ทำเลที่ต่าง เป็นการกระจายความเสี่ยง เป็นต้น
4) REIT สามารถซื้อขายกันได้ในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ซื้อง่ายขายคล่อง
5) ผลตอบแทนที่อยู่ในระดับดี จากข้อมูล SET SMART ผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 6-7% ต่อปี


ลองยกตัวอย่าง REIT :
AMATAR เป็น REIT ที่ลงทุนในกรรมสิทธิ และสิทธิการเช่า อสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร (ชลบุรี) และนิคมอุตสาหรรมอมตะซิตี้ (ระยอง) เพื่อเก็บค่าเช่าแล้วนำมาจ่ายเป็นผลตอบแทนให้ผู้ลงทุน


IMPACT GROWTH โครงการอิมเพคเมืองทองธานี แจ้งวัฒนะ


LHSC(LH Shopping Centers Leasehold REIT) โครงการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21

นักลงทุนที่รัก ต้องประเมินตนเองว่ารับความเสี่ยงได้ระดับใด และทําความเข้าใจลักษณะของ REIT ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน นะคะ เน้นย้ำต้องดูที่ทำเล ทำเล และ ทำเล ก่อนตัดสินใจ ชัยชนะจะเป็นของท่านโชคเฮงรับทรัพย์

ผู้เขียน : นฤมล บุญสนอง CFP®
รองกรรมการผู้จัดการ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด และ วิทยากรตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version