ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
sithiphong:
มนุษย์เงินเดือนรวยได้ แน่ แค่ 8 ข้อ !
-http://money.sanook.com/354439/-
-https://moneyhub.in.th/-
สนับสนุนเนื้อหา
ใครว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่มีวันรวย เราขอค้านเลยค่ะ มนุษย์เงินเดือนรวยได้ แน่นอน เพราะคนที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นแม้ว่าจะมีเงินเดือนที่คงที่และไม่มากนัก แต่หากรู้จักเก็บออมและบริหารการใช้จ่ายเงินให้ดี ก็สามารถที่จะก้าวนำตัวเองไปสู่ความร่ำรวยได้เหมือนกัน ซึ่งวันนี้เราก็มีเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยบริหารเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนให้รวยได้มาฝากกันค่ะ
1. ออมสัก 10-30% ทุกเดือน
เมื่อเงินเดือนออก เราจะต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินออม โดยออมแค่ 10-30% พอค่ะ เช่น ได้เงินเดือน 10,000 บาท ก็อาจจะแบ่งออมไว้สัก 1000-3000 บาทนั่นเอง แค่นี้ก็จะทำให้มีเงินออมเหลือใช้ในแต่ละเดือนแล้วล่ะ โดยการออมเงินนั้นเราอาจจะออมใส่กระปุกออมสินไว้หรือฝากธนาคารก็ได้ แต่ถ้าให้ดีฝากธนาคารจะดีกว่า เพราะจะทำให้เรามีวินัยในการเก็บเงินมากขึ้นและไม่เผลอนำเงินออกมาใช้จนหมดนั่นเอง
2. ทำบัญชีรายรับ รายจ่าย
บัญชีรายรับ รายจ่ายก็นับว่าสำคัญมากเลยล่ะ เพราะการจดบัญชีรายรับรายจ่ายไว้จะทำให้เรารู้ว่าในแต่ละวันเราจ่ายอะไรไปบ้างและจำเป็นมากแค่ไหน อีกทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าในขณะนี้เราใช้จ่ายเงินไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว เพื่อจะได้ไม่เผลอเพิ่มรายจ่ายไปมากกว่านี้นั่นเอง เรียกได้ว่ารายรับรายจ่ายเป็นเครื่องมือที่ลดความฟุ่มเฟือยได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ
3. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
อยากรวยต้องรู้จักตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนนะคะ โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าเดือนนี้จะต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ หรืออีก 5 เดือนจะต้องเก็บเงินได้เท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้เรามีกำลังใจที่อยากจะไปให้ถึงจุดหมายให้ได้มากที่สุดเลยล่ะ นอกจากนี้เราอาจจะใช้การตั้งเป้าหมายด้วยสิ่งจูงใจบางอย่าง เช่นจะต้องเก็บเงินให้ได้เท่านั้นเพื่อซื้อโทรศัพท์ เพื่อไปเที่ยวหรือเพื่อะไรก็ตามที่คุณอยากได้ ก็จะช่วยเป็นแรงกระตุ้นในการเก็บออมเงินได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ
4. เลือกการลงทุนสักอย่างที่เหมาะกับคุณ
ใช่ว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่สามารถทำกำไรด้วยการลงทุนได้นะ เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนเมื่อมีเงินพอที่จะลงทุนโดยไม่เดือดร้อนได้แล้วและจะต้องเลือกลักษณะการลงทุนให้เหมาะกับตัวเองที่สุดนั่นเอง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนอะไรสักอย่าง คุณควรเก็บออมเงินให้ได้สักก้อนก่อนแล้วค่อยใช้เงินที่เหลือจากการเก็บออมมาลงทุนนั่นเอง
5. ทำประกันสังคมไว้สิ
หลายคนอาจจะมองว่าการทำประกันสังคมจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนของประกัน แต่หากคิดในทิศทางที่ตรงข้ามกันจะพบว่ามันมีประโยชน์กว่าที่คุณคิดมากเลยล่ะ ลองคิดดูสิว่าหากเราเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลก็จะต้องใช้เงินมากอยู่เหมือนกันอีกทั้งยังขาดรายได้อีกด้วย แต่หากทำประกันสังคมไว้ล่ะก็ ถึงแม้ว่าเราจะเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลแต่ก็ยังได้เงินคืนจำนวนหนึ่งเลยล่ะ
นอกจากนี้ผู้หญิงเรายังสามารถใช้สิทธิประกันสังคมในการคลอดบุตรได้อีกด้วยนะ เห็นไหมว่าไม่ว่าจะเข้าโรงพยาบาลหรือคลอดบุตรก็ยังมีเงินให้ใช้ และไม่รบกวนเงินเก็บจนเกินไปอีกด้วย ดังนั้นมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ มาทำประกันสังคมกันดีกว่าค่ะ
6. ชำระบัตรเครดิตให้ตรงเวลา
แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นมนุษย์เงินเดือนแต่หลายคนก็คงมีบัตรเครดิตไว้ครอบครองกันอย่างแน่นอน ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกสบายในการใช้จ่ายเงินของแต่ละคนนั่นเอง แต่หากใช้บัตรเครดิตแล้วล่ะก็จะต้องจ่ายชำระค่าบัตรเครดิตให้ตรงเวลาด้วยนะคะ เพราะหากปล่อยให้พ้นเวลาชำระไปล่ะก็ ดอกเบี้ยจะบานขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยล่ะ คงไม่มีใครที่อยากจะเพิ่มภาระหนี้ให้กับตัวเองหรอกจริงไหมคะ
7. ช้อปปิ้งให้น้อยลง
สำหรับใครที่ติดนิสัยเงินเดือนออกทีไรก็ต้องไปช้อปปิ้งทุกที ต้องเปลี่ยนนิสัยของตัวเองกันหน่อยแล้วนะคะ เพราะการช้อปปิ้งนี่ล่ะที่เป็นสาเหตุหลักของความยากจนเลย ดังนั้นหากไม่จำเป็นก็ลดลดการช้อปลงหน่อยก็ดีเหมือนกันเนอะ จะได้มีเงินเหลือเก็บและก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้นั่นเองค่ะ
8. พยายามลดค่าใช้จ่ายลง
เงินเดือนออกทีไรก็ไม่เคยพอกับค่าใช้จ่ายสักที แถมบางครั้งยังไม่มีเงินเหลือใช้อีกด้วย นั่นอาจเป็นเพราะค่าใช้จ่ายที่มากเกินไปในแต่ละเดือน เพราะฉะนั้นหากคุณอยากรวยล่ะก็ จะต้องพยายามลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เช่นการช้อปปิ้งบ่อยเกินไปหรือการกินข้าวนอกบ้าน เพราะมันจะทำให้สิ้นเปลืองเงินไปโดยเปล่าประโยชน์เลยล่ะ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไปบ้างก็ดีนะคะ
อยากรวยไม่ใช่เรื่องยาก ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนก็ตาม เพียงแค่เราปรับการใช้จ่ายเงินใหม่และขยันเก็บออมให้มากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายอะไรที่ไม่จำเป็นก็เลี่ยงซะ
แค่นี้ก็จะมีเงินเก็บได้ไม่ยากแล้วล่ะ แถมยังก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้อย่างง่ายดายขึ้นอีกด้วยนะ ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนลองทำตามวิธีของเราดูนะคะแล้วคุณก็จะก้าวไปสู่จุดหมายได้อย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเลยล่ะ
Advertorial
สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
------------------------------------------
3 สุดยอด วิธีออมเงิน จากหลักพันกลายเป็นหลักล้าน!
-http://money.sanook.com/354395/-
-https://moneyhub.in.th/-
สนับสนุนเนื้อหา
ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็พบกับผู้คนที่รู้จักการวางแผนการใช้เงิน การลงทุนเพื่อการต่อยอดของการออมกันมากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนรอบข้าง หรือว่าจะเป็นเหล่าคนดัง ดารานักร้อง หรือแม้แต่กระทั่งนักการเมืองนั่นเอง
จะสังเกตได้เลยว่าเขาได้นำเงินเก็บมาเพื่อทำการต่อยอด เพิ่มมูลค่า หรือทำการออมเพื่อใช้จ่ายในอนาคตนั่นเอง ทั้งนี้เป็นเพราะว่าสาเหตุต้นมาจากระบบเศรษฐกิจที่ไม่แน่ไม่นอน หรือว่าจะเป็นการออมเพื่อเป็นการลงทุน หรือทำกิจการเพื่อที่จะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินของตัวเองให้มากขึ้น เพื่อที่อนาคตวันข้างหน้าจะได้มีเงินทุนสำรองเพื่อที่จะใช้จ่ายกันนั่นเอง
จะดีแค่ไหนหากเรามีเงินใช้จ่ายแบบสบายๆ มีเงินในบัญชีเยอะแยะ วิธีออมเงิน จากหลักพันให้เป็นหลักล้านทำอย่างไร และเป็นไปได้จริงหรือไม่ที่เงินหลักพันจะกลายเป็นหลักล้านด้วยวิธีการเพียงแค่ 3 วิธี
ทุกข้อสงสัย การออมเงินเป็นหนึ่งในวิธีการที่ทำให้เรามีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและเป็นหลักประกันในการใช้จ่ายในอนาคต และยังเป็นวิธีที่จะทำให้เงินของเรางอกเงย ได้อีกด้วย จากการที่เรานำเงินไปฝากกับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง แต่ลองคิดดูว่ากว่าที่เงินเราจะงอกเงยได้ถึงจุดที่เรียกได้ว่า มั่งคั่ง ก็ต้องใช้เวลานาน หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยกับการหวังผลตอบแทนจากการฝากเงิน ถ้าเราไม่ได้มีเงินได้มากขนาดตัวเลขถึงหลักล้านขึ้นไป
แล้วเราจะมี วิธีออมเงิน อย่างไรให้ได้รับผลประโยชน์สูงที่สุด ในกรณีเรามีเงินอยู่ในมือเพียงแค่หลักพันบาท เกี่ยวกับการออมเงินจากหลักพันสู่หลักล้าน งั้นเราไปพบกับ 3 วิธีการออมเงินจากหลักพันให้เป็นหลักล้านกันเลย
ออมเงินก่อนใช้
ไม่ว่าคุณจะมีรายได้เท่าใด สิ่งแรกที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่ง เพราะหากใช้เงินแล้วค่อยออม รับรองว่าส่วนใหญ่จะใช้จนหมด ไม่เหลือออมแน่นอน ฉะนั้นเมื่อได้เงินเดือนควรเก็บเป็นเงินออมเสียก่อน เหลือเท่าไรค่อยใช้เท่านั้น แบ่งเก็บแบ่งไว้ใช้ให้ชัดเจน
ออม 1 ใน 4 ของเงินได้
สิ่งที่ต้องทำคือควรออมเงินอย่างน้อย 1 ใน 4 ของเงินเดือน หากทำงานไปสักระยะเงินเดือนสูงขึ้น สัดส่วนการออมก็ต้องสูงขึ้นตามด้วย นอกจากการออมเงินด้วยการฝากธนาคารคุณอาจออมเงินในรูปแบบของการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดทำเลดีที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท
ออมพร้อมการลงทุน
การซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ที่มีความเสี่ยงต่ำ สำหรับข้อดี จะได้ผลตอบแทนมากกว่าฝากเงินธนาคาร และไม่ต้องเสียภาษี แต่จะมีข้อเสีย ดังนี้หากต้องการใช้เงิน ไม่สามารถถอนเงินได้ทันที จะต้องขายหน่วยลงทุนก่อนได้เงินในวันรุ่งขึ้น และกำหนดจำนวนเงินชั้นต่ำในการซื้อกองทุน เงินที่ได้รับคือ ราคา NAV (มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุนของวันนั้น)
การฝากบัญชี ข้อดีคือฝาก-ถอนเมื่อใดก็ได้ ไม่มีชั้นต่ำในการฝากเงิน ข้อเสียคือดอกเบี้ยไม่สูง และต้องเสียภาษี 15 เปอร์เซ็นต์ในกรณีที่ได้รับดอกเบี้ยมากกว่าปีละ 20,000 บาท ที่มาของดอกผลจากการลงทุน... ปีละ 3-3.5%
เลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แบบไม่ปันผล มีความเสี่ยง 20 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง หุ้นกู้ ปีละ 5-7% เลือกกองทุนในกองทุนอลังหาริมทรัพย์ ซึ่งมี 2 รูปแบบ คือ
• แบบ Lease Hold ลงทุนแบบเซ้งระยะยาว 30 ปี ผลตอบแทนระยะแรกสูง แต่ราคาจะตกลงเรื่อย ๆ เมื่อใกล้ครบกำหนดขาย
• แบบ Free Hold ลงทุนแบบซื้อขาด ผลตอบแทนระยะแรกไม่ค่อยสูง แต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใกล้ครบกำหนดขาย เพราะราคาที่ดินปรับขึ้นทุกป ปีละ 18-20%
เลือกลงทุนในกองทุนตราสารทุน (กองทุนหุ้น) มีความเสี่ยง 60-70 เปอร์เซ็นต์ แต่ให้ผลตอบแทนสูง"ยิ่งออมเร็ว ยิ่งรวยเร็ว ยิ่งสบายเร็ว"
นอกจากรู้วิธีการออมเงินแล้วควรมีวินัยในการออมเป็นระบบทำให้เราเห็นภาพของเม็ดเงินในอนาคตได้ชัดเจนมากขึ้น
ยิ่งถ้าเราสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้ และให้ความสำคัญเฉพาะรายจ่ายที่จำเป็นและตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ก็จะยิ่งทำให้เรามีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือนมากขึ้นและขยับเข้าใกล้คำว่า มั่งคั่ง ได้เร็วขึ้นนะคะ
ควรรู้จักการประหยัดอดออมเพราะจะทำให้เรารู้ค่าของเงินมากขึ้น ถ้าเราเพิ่มทางเลือกในการออมให้หลากหลายเพื่อให้เงินของเรางอกเงยเป็นหลายแสนหลายล้าน ลองนำไปปรับใช้กับการออมในชีวิตประจำวัน แล้วจะรู้ว่าการมีเงินล้านไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดอีกต่อไป
การออมเงิน หรือการเก็บเงินเพื่ออนาคตวันข้างหน้านี้จะสามารถทำให้เรามีความมั่นใจ และความมั่นคงทางระบบการเงินเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะหากคุณได้ใช้เงินอย่างสิ้นเปลือง ดำเนินชีวิตอยู่บนความหวาดระแวง หรือไม่มีความมั่นคงทางการเงินเสียแล้ว ชีวิตคุณจะเกิดความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเพียงเท่านั้น และบอกได้เลยว่าเมื่อถึงเวลา หรือเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นจริงๆคุณจะเกิดความเครียดจนเดินไม่ถูกเลยนั่นเอง ดังนั้นเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่คุณได้ริเริ่มทำการออมวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่สายเอาเสียเลยนั่นเองค่ะ
Advertorial
สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
tanawatwt:
แจกเว็บไซต์อัพเดทดอกเบี้ยเงินฝากประจำ เป็นตารางเปรียบเทียบทุกธนาคารครับ
มีบอกทั้งดอกเบี้ย ระยะเวลาฝาก เงื่อนไขต่างๆเลยครับ สะดวกมาก ^^
iMOney.in.th
sonchai:
จริงๆมองว่าเงินทองต่อให้มีเยอะแค่ไหน ถ้าคุณไม่รู้จักใช้ซักวันก็จะหมดไป
บ้านภูเก็ต
sithiphong:
ถ้าแต่งบัญชี คนที่ดูเป็น ดูยังไงก็รู้
แต่ถ้าเป็นการเดินบัญชีจากข้อเท็จจริง นั่นเป็นสิ่งที่ดี
------------------------------------
เทคนิคการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement) ให้ดูดี
-http://money.sanook.com/363379/-
-https://moneyhub.in.th/-
สนับสนุนเนื้อหา
รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารดูจะเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นขึ้นมาทันที เมื่อเจ้าของบัญชีต้องการทำธุรกรรมทางการเงินบางอย่าง ที่เด่นชัดก็คือการขอสินเชื่อกู้ยืมเงินจากธนาคาร การสมัครเปิดบัญชีกับบริษัทโบรกเกอร์เพื่อซื้อ-ขายหุ้น ที่จำเป็นต้องมีการพิจารณาการเดินบัญชีเพราะว่าผู้ให้บริการต้องการความมั่นใจว่า ผู้จะกู้นั้นมีความสามารถหรือมีความน่าจะสามารถในการชำระหนี้ได้ ผู้ที่ต้องการวางแผนไปยังอนาคตจึงควรรู้ถึงความสำคัญของการเดินบัญชีธนาคารซึ่งคงไม่สามารถปรับแต่งกันได้ในระยะสั้น ถ้าขาดความเข้าใจหรือแก่นแท้ของการเดินบัญชีธนาคาร (Bank Statement)
รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร มีความสำคัญอย่างไร
การเดินบัญชีธนาคารเป็นเหมือนบันทึกการเดินทางของกระแสเงินสดของเจ้าของบัญชีธนาคารนั้น มีการบันทึกวันเดือนปีของธุรกรรมทางการเงิน รายการจำนวนเงินฝาก ถอนและโอน ซึ่งเป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วและไม่สามารถตกแต่งเปลี่ยนแปลงได้ ผู้ที่จะให้กู้เงิน เช่น ธนาคาร มีสิทธิ์ขอเอกสารการเดินบัญชีธนาคารจากผู้ที่ต้องการกู้เงิน เอกสารการเดินบัญชีธนาคารจึงมีความสำคัญในแง่ของหลักฐานที่ช่วยยืนยันสถานะทางการเงินของบุคคล
ทำไมธนาคารจึงต้องการพิจารณารายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร
ธนาคารหรือผู้ให้กู้เงินมีภาระความเสี่ยงหลังจากอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งสองทางคือเป็นหนี้ที่ดีและหนี้เสีย หนี้เสียคือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้กับธนาคารและอาจจะไม่สามารถติดตามเงินต้นคืนมาได้ในระยะเวลาอันสั้น ธนาคารจึงต้องมีความรอบคอบและต้องการความมั่นใจก่อนการอนุมัติสินเชื่อให้กับธุรกิจหรือบุคคลธรรมดา ซึ่งรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเป็นสิ่งเดียวที่แสดงหลักฐานการหมุนเวียนเงินเข้าออกบัญชีของเจ้าของบัญชี โดยธนาคารเองก็มีหลักการวิเคราะห์รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร ทั้งจำนวนเงินที่ฝากเข้าและถอนออก ความสม่ำเสมอ พฤติกรรมการถอนเงิน ยอดเงินคงเหลือ และรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ
ทำไมบริษัทโบรกเกอร์ต้องการรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร
การเปิดบัญชีกับบริษัทโบรกเกอร์เพื่อจะทำการซื้อขายหลักทรัพย์ก็จำเป็นต้องใช้รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเช่นกัน ซึ่งก็มีหลักเกณฑ์พิจารณาที่เข้มงวดแตกต่างกัน ถ้าเป็นบัญชีแบบ Cash Balance หรือใช้ตามจำนวนเงินจริงที่มีการฝากไว้กับโบรกเกอร์ก็เข้มงวดน้อยกว่าบัญชีแบบ Credit Balance ที่มีการกู้ยืมเงินส่วนหนึ่งหรือยืมหุ้นจากโบรกเกอร์ โบรกเกอร์จะพิจารณา Bank Statement เพื่อดูศักยภาพของผู้ขอเปิดบัญชี ถ้ามีความเหมาะสมจึงจะอนุมัติการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ได้
รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่ดีควรเป็นอย่างไร
การเดินบัญชีธนาคารนั้นไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ โดยมากธนาคารหรือบริษัท จะขอแบบย้อนหลัง 6 เดือน เพราะเชื่อว่าเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด และพิจารณาหลายเดือนติดต่อกัน เพื่อดูความสม่ำเสมอและรูปแบบหรือแพทเทิร์นในลักษณะซ้ำ ๆ กันเพื่อเปรียบเทียบ รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่ดีควรมีเงินฝากเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ เช่น บัญชีที่ใช้รับเงินเดือน เงินโอนจากค่าสินค้าและบริการต่าง ๆ
นอกจากเงินฝากแล้ว การโอนเงินและถอนเงินก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มีการพิจารณา อย่างน้อยต้องถอนให้น้อยกว่าเงินที่เข้ามาในแต่ละเดือน จำนวนเงินและจำนวนครั้งที่ถอน จะถูกนำไปพิจารณาถึงพฤติกรรมการใช้เงิน ที่สำคัญควรมีเงินคงเหลือแต่ละเดือนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เช่น ปลายเดือนมกราคมเหลือเงินสะสม 25,000 บาท ต่อมาปลายเดือนกุมภาพันธ์เหลือเงินสะสม 27,000 บาท เดือนมีนาคมเหลือเงินสะสม 30,000 บาท ก็เข้าลักษณะว่าเป็นการใช้เงินที่น้อยกว่ารายจ่าย
บุคคลสามารถตกแต่งรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารได้หรือไม่
เนื่องจากรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารเป็นสิ่งที่บันทึกธุรกรรมทางการเงินที่ผ่านไปแล้ว บุคคลจึงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ ถ้ามีการปลอมแปลงเอกสารการเดินบัญชีธนาคารก็เป็นเรื่องที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่บุคคลสามารถสร้างการเดินบัญชีธนาคารในอนาคตได้ โดยการตั้งเป้าหมาย เช่น คาดว่าจะขอกู้เงินจากธนาคารเดือนมกราคมปีหน้า ก็ต้องเริ่มฝากเงิน-ถอนเงินอย่างเป็นระบบตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในปีนี้ โดยระมัดระวังการถอนเงินแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือโอนเงินเล่นข้ามบัญชีตัวเองเพื่อเติมเต็มหน่วยจุดทศนิยม เช่น 0.23 บาท ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้เป็นเรื่องผิดสังเกตที่ธนาคารจะดูอย่างละเอียด
ความจริงแท้ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคาร
จริงอยู่ที่บุคคลสามารถสร้างรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารของตนเองได้ในรอบระยะเวลา 6 เดือนล่วงหน้าก่อนยื่นเรื่องขอกู้เงินธนาคาร เช่น การยืมเงินสดจากคนใกล้ชิดมาเข้าบัญชีและถอนออก ฝากเข้าหมุนเวียนกันไป แต่จะไม่มีประโยชน์เลยในระยะยาวเพราะว่ากำลังหลอกตัวเอง รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารควรจะมีความเป็นธรรมชาติมากที่สุดและเป็นไปตามพฤติกรรมของตนเองอย่างแท้จริง
การพยายามสร้างรายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารที่สวยหรูเป็นเพียงเปลือกนอกและไม่เกิดประโยชน์ภายใน ควรจะปรับปรุงพฤติกรรมการใช้เงินที่แท้จริงของตนเองมากกว่า เช่น ทำงานที่มีรายได้สม่ำเสมอและวางแผนการใช้เงิน คุณควรจะรู้ว่าจะเหลือเงินเท่าใด ใช้จ่ายเงินเท่าใด เช่น รู้ว่าต้องใช้จ่ายเดือนละ 30,000 เมื่อเดือนนั้นมีเงินรายรับ 50,000 คุณก็อาจจะวางแผนการถอนเงิน 2-3 ครั้งต่อเดือน เช่น ครั้งละ 10,000 หรือ 15,000 บาท เป็นต้น
และลดการถอนเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สื่อให้เห็นว่าคุณขาดการวางแผนใช้จ่ายเงิน แต่ต้องไม่เป็นการออกแบบมากเกินไปจนดูขาดความเป็นธรรมชาติ
การใช้เงินอย่างมีแบบแผนทั้งการจัดการรายรับและวิธีการใช้จ่ายเงินของคุณตามไลฟ์สไตล์ของคุณเอง จะทำให้รายละเอียดการเดินบัญชีธนาคารมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า โดยมีกรอบกว้าง ๆ กำหนดไว้ก็เพียงพอ เพราะสิ่งที่สำคัญไม่ใช่การออกแบบ Bank Statement แต่เป็นการออกแบบวิธีการใช้จ่ายเงินของคุณเองต่างหาก ซึ่งถ้าทำได้ดีก็จะเป็นรากฐานของความสำเร็จทางการเงินในระยะยาวต่อไป
Advertorial
สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
sithiphong:
งบการเงินส่วนตัว วางแผนชีวิตของคุณวันนี้
-http://money.sanook.com/368057/-
การทำงบการใช้จ่ายอาจจะดูเป็นเรื่องปวดหัวสำหรับเราทุกคนนะคะ จะให้มานั่งแยกประเภทว่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ก็เยอะเกิน ไหนจะค่าเช่า ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ เงินลงทุน ค่าการศึกษา ค่าเอ็นเตอร์เทน ค่าอาหาร ค่าโน่นนี่นั่นอีกเยอะไปหมด ไหนจะต้องมาแบ่งเป็นประเภทย่อยลงไปอีก สรุป คนทำงงเอง จริงมั้ยคะ
นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายแต่ละประเภท ก็ใช่ว่าจะเท่ากันทุกเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ยังไงก็ไม่เท่ากันทุกเดือน ค่าซื้อของเข้าบ้าน ค่าอาหาร ค่าของใช้ในบ้าน บางเดือนน้อย บางเดือนเยอะไม่เท่ากัน แล้วจะทำงบยังไง ว่าเดือนนึงเราต้องใช้เท่าไหร่ ต้องกันเงินไว้เท่าไหร่ถึงจะพอ แล้วแต่ละเดือนก็มีเรื่องให้คิดเยอะอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมานั่งทำงบประมาณรายเดือนอีกด้วย เรามาดูกันค่ะ ว่าการจัดทำงบประมาณนั้นมี่ความสำคัญอย่างไร
การจัดทำงบประมาณ หรือ budget คือ งบประมาณส่วนบุคคล คือ การวางแผนการประมาณรายได้ รายจ่ายล่วงหน้า เพื่อทำการจัดสรรเงินที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยมีการกำหนดแหล่งที่มาของรายได้ วิธีการจัดหมวดหมู่ของรายจ่าย และมีการตรวจสอบควบคุมรายจ่ายโดยจัดสรรเป็นงบประมาณตามเหมาะสมได้
การทำงบประมาณการเงินส่วนบุคคล เพื่อวางแผนจัดสรรเงินที่เรามีอยู่อย่างจำกัดให้เป็นไปอย่างประสบความสำเร็จ ทำให้เราสามารถมีเงินใช้จ่าย มีเงินเก็บออม มีเงินลงทุนเพื่อความมั่นคงด้านการเงินในอนาคตของเรา และครอบครัวต่อไป
ทำงบการเงินส่วนบุคคล ใครว่าต้องเป็นเรื่องยุ่งยาก
วันนี้เรามาดูวิธีการจัดการงบการเงินส่วนตัว แบบที่ หนี้ก็จ่ายครบ เงินก็มีใช้ กันดีกว่าค่ะ วิธีคิดง่ายๆ คือการวางงบแบบ 50/30/10/10 เป็นวิธีการแบ่งเงินเดือนออกเป็น 4 ส่วน แต่ละส่วนก็จะมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เราสามารถนำเงินมาใช้จ่ายได้อย่างไม่ขาดมือนั่นเองค่ะ
วิธีการจัดการด้านการเงินแบบนี้ทั้งยืดหยุ่น และสามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย แต่ช่วยทำให้คุณมีเป้าหมายด้านการเงินชัดเจน และไม่หลุดออกนอกวงโคจรค่ะ มาดูวิธีการกันเลยค่ะ
1. 50% เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
เราทุกคนต่างก็รอวันนั้นของเดือนจริงมั้ยคะ วันเงินเดือนออก การแบ่งเงินก้อนแรกง่ายๆ คือการนำยอดเงินเดือน หลังหักภาษี หลังหักเงินส่งกองทุนเลี้ยงชีพ (เพราะบางบริษัทมีบริการนี้ให้พนักงาน) มาหารสองค่ะ
ตัวอย่าง
เงินเดือน 20,000 หลังหักประกันสังคม 4% (20000*4/100=800) เหลือ 20000-800 = 19,200 บาท
ยกยอด 19,200 บาท แบ่งครึ่ง ได้แก่ 19200/2 = 9,600 บาท
พอได้อย่างนี้แล้ว ก็ให้นำเงินจำนวนนี้ที่เราแบ่งไว้สำหรับจ่ายค่าเช่า ค่าเดินทาง ค่าอาหารที่ใช้จ่ายรายเดือน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ ที่เป็นรายจ่ายรายเดือนของเราทั้งหมดค่ะ ไม่ต้องห่วงค่ะ สูตรการทำงบประมาณแบบนี้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามจำเป็นนะคะ เรามาดูส่วนต่อไปกันก่อนค่ะ
2. 30% เพื่อการปลดหนี้
สิ่งต่อมาที่จะต้องคิดหลังจากได้เงินเดือนอีกอย่างก็คือ ฉันจะต้องจ่ายหนี้ใครบ้าง ถูกมั้ยคะ เงินส่วนนี้เป็นเงินที่คุณจะนำมาจ่ายหนี้นั่นเองค่ะ
ตัวอย่าง
30% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*30/100 = 5,760 บาท
เงินจำนวนนี้เป็นส่วนที่เราจะต้องนำไปใช้จ่ายค่าหนี้บัตรเครดิต ค่าหวยป้าปากซอย ฯลฯ
3. 10% เพื่อการออม
จะลืมการเตรียมการเพื่ออนาคตของเราไม่ได้ค่ะ การวางแผนเผื่ออนาคตเป็นสิ่งสำคัญนะคะ ดังนั้นเราก็จำเป็นจะต้องมีเงินส่วนหนึ่งที่เรากันไว้เพื่อเป็นการออมเงินเพื่ออนาคตของเราด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเพื่อทริปต่างประเทศที่เราฝันไว้ เก็บเงินซื้อรถ เก็บเงินเพื่อออมหรือลงทุนกินดอกเบี้ยก็รวมอยู่ในส่วนนี้ค่ะ
โดยเราสามารถแบ่งย่อยเงินส่วนนี้ออกเป็นหลายๆ กระปุกได้ อาจจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งฝากบัญชีเพื่อการออม อีกส่วนอาจจะนำไปลงทุนแบบ DCA อีกส่วนอาจจะเก็บเพื่อทริปในฝันของเรา เป็นต้นค่ะ
ตัวอย่าง
10% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*10/100 = 1,920 บาท
แบ่งเป็น 3 ส่วนเพื่อแยกเก็บตามจุดประสงค์ 1,920/3 = 640 บาท
4. 10% เพื่อให้รางวัลตัวเอง
เงินก้อนนี้ตามชื่อเลยค่ะ เอาไว้ให้รางวัลตัวเอง งบไปกินจิ้มจุ่ม เก็บเงินซื้ออุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่ต้องการ ซื้อเสื้อผ้า ซื้อกระเป๋า ซื้อของให้ตัวเอง หรือค่ากินค่าเที่ยวก็อยู่ในจำนวนนี้ค่ะ ทำงานหนักมาทั้งเดือน จะไม่ให้รางวัลตัวเองหน่อย ก็เดี๋ยวจะหมดกำลังใจกันซะก่อนนะคะ
ตัวอย่าง
10% ของ 19,200 บาท เท่ากับ 19200*10/100 = 1,920 บาท
สิ่งสำคัญคือ ระบบการจัดสรรปันส่วนรายได้แบบนี้ไม่ได้เป็นเรื่องตายตัวค่ะ คุณสามารถจัดแบ่งปรับเปลี่ยนได้ตามที่คุณเห็นว่าเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของคุณ
หากคุณมีหนี้เยอะ แทนที่จะแบ่ง 30% เพื่อใช้หนี้ก็อาจจะแบ่งเยอะหน่อยเพื่อนำไปปลดหนี้ก็ได้เหมือนกัน เราอาจจะเปลี่ยนสูตรเป็น 50/40/5/5 แทนเพราะว่าเราต้องการจะใช้หนี้ให้หมดเร็วๆ ก็ได้เหมือนกันค่ะ
ตัวอย่าง
สูตร 50/40/5/5
แบ่งเงิน 50% เป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน
แบ่ง 40% สำหรับการใช้หนี้ เงิน
เก็บออมลงทุนอาจจะลดเหลือ 5%
แล้วส่วนให้รางวัลตัวเองลดเหลือ 5%
เห็นมั้ยคะว่าการใช้สูตรนี้ยืดหยุ่นแค่ไหน การทำงบการเงินเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรทำนะคะ แต่ว่ามันไม่ได้จำเป็นจะต้องเป็นเรื่องยุ่งยากเสมอไปค่ะ ลองนำสูตรดังกล่าวไปปรับใช้งานดูกับชีวิตประจำวันได้เลยค่ะ
MASii
สนับสนุนข้อมูล
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version