ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
sithiphong:
ว่าด้วยเรื่อง #สามยทรัพย์ และ #ภารยทรัพย์
ผมขอนำมาลงให้อ่านกัน เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้น ขอให้อ่านให้ครบครับ จะได้เป็นประโยชน์กับตัวของท่านเอง
ขอขอบคุณ ที่มา ทุกๆ ที่มา เป็นอย่างสูง ครับ
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/934834770036243?__xts__%5B0%5D=68.ARBrOJhIfuhMTiX84T17Lsjdg__mE8y7t8bt9KT8ZEYgmZPsZ3aOMASN3PudVWUNshiugn3mZfPC5f9yGnX8MXrBjxZHWSe0D_PpwmKsgjwuXYdPkMkpHk5c_nuu1YTmOLc4I6HuCjZnsezkMcl4y-ePDNz137l3jMuYWqQiMssJq4SZ7S1H&__tn__=K-R
.
*****--------------------------*****
.
สามยทรัพย์ (สามะยะ-) น. อสังหาริมทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากภาระจำยอม, คู่กับ ภารยทรัพย์.
ภารยทรัพย์ (พาระยะซับ) น. อสังหาริมทรัพย์ที่ตกอยู่ในภาระจำยอม, คู่กับ สามยทรัพย์.
ที่มา https://dict.longdo.com/search/%2A%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%2A
.
*****--------------------------*****
.
ภารยทรัพย์ (พาระยะซับ) น. อสังหาริมทรัพย์ที่ตกอยู่ในภาระจำยอม, คู่กับ สามยทรัพย์.
สามยทรัพย์ (สามะยะ-) น. อสังหาริมทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากภาระจำยอม, คู่กับ ภารยทรัพย์.
อังกฤษ-ไทย: ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน [เชื่อมโยงจาก royin.go.th แบบอัตโนมัติและผ่านการปรับแก้]
servient property ภารยทรัพย์ [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕]
easement สิทธิเหนือภารยทรัพย์ [ดู servitude ประกอบ] [รัฐศาสตร์ ๑๗ ส.ค. ๒๕๔๔]
easement สิทธิใช้ภาระจำยอม, สิทธิเหนือภารยทรัพย์ [ดู servitude ประกอบ] [นิติศาสตร์ ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๕]
ที่มา https://dict.longdo.com/search/%2A%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C%2A
.
*****--------------------------*****
.
ทางภาระจำยอม และ ทางจำเป็น
การตรวจสอบทางเข้าออก ทางภาระจำยอม ทางจำเป็น
.
การตรวจสอบทางเข้าออกแปลงที่ดินมีความสำคัญ และต้องตรวจถึงกรรมสิทธิ์แปลงที่ดินที่ใช้เป็นทางเข้าออก เพราะไม่ใช่ว่ามีป้ายของเทศบาลหรือของกทมติดอยู่จะแปลว่าทางนั้นเป็นทางสาธารณประโยชน์ เกิดไปเจอเจ้าของที่ซึ่งใช้เป็นทางมาเล่นแง่ทางกฎหมายภายหลังไม่ให้ใช้เป็นทางผ่านเข้าออกจะเสียเวลาและ (อาจหมายถึง) เสียเงินทองอีกต่างหาก
.
ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินการตรวจสอบทางเข้าออกนับเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อมูลค่าที่ประเมิน การตรวจสอบว่าถนนทางเข้าออกเป็นทางประเภทใด มีปัญหาจำกัดสิทธิหรือ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
.
ถนนสาธารณประโยชน์
ถนนภายใต้การจัดสรรที่ดิน สำหรับแปลงที่อยู่ภายใต้โครงการจัดสรร แปลงอื่นนอกโครงการจะมาใช้ไม่ได้
ถนนส่วนบุคคลทั่วไปที่แบ่งเป็นทางเข้าออกไว้ ซึ่งอาจะให้ใช้โดยทั่วไป หรือเป็นทางภาระจำยอม หรือทางจำเป็นก็ได้
.
ถนนตามข้อ 1 และ 2 จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นถนนส่วนบุคคลอาจจะต้องมาตรวจสอบโดยละเอียด ถนนหรือซอยบางสายอาจจะเป็นถนนอุทิศโดยปริยายก็ได้
.
ถนนอุทิศคืออะไร มีผลอย่างไรบ้าง
การอุทิศที่ดินให้เป็นที่สาธารณะ ย่อมตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทันทีที่แสดงเจตนำอุทิศ ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนโอน แม้หนังสืออุทิศระบุว่าจะไปจดทะเบียนก็ตาม และศาลจะบังคับให้ผู้อุทิศไปจดทะเบียนก็ไม่ได้เช่นกัน
เมื่อมีการอุทิศให้แล้ว แม้ผู้ที่ดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้อุทิศก็ตาม ก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
การอุทิศให้สาธารณะอาจทำโดยปริยาย คือ การยอมให้ประชาชนใช้สอยที่ดิน โดยไม่หวงกั้น ก็ได้
ทรัพย์ใดเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินย่อมเป็นตลอดไป แม้พลเมืองจะเลิกใช้ไปแล้วก็ตาม
.
แต่ถนนส่วนบุคคล จะต้องตรวจสอบว่าเป็นทางที่ใช้เฉพาะเจ้าของแปลงหรือเปิดทางให้คนอื่นใช้ โดยเป็นทางภาระจำยอมหรือทางจำเป็นหรือไม่
.
ทางภาระจำยอมและทางจำเป็น
แปลงที่ดินที่ไม่ได้ติดถนน ซอย ทางสาธารณะ จะต้องขอทางภาระจำยอมหรือทางจำเป็นแล้วแต่กรณี
ทางภาระจำยอม
ทางภาระจำยอม คือทางที่ได้มีการระบุไว้ที่แปลงที่เป็นภารยทรัพย์ (คือแปลงถนน) ว่ายอมให้แปลงสามยทรัพย์ (แปลงที่ดินที่ได้ประโยชน์จากทาง) โดยคนที่จะขอเปิดทางภาระจำยอม จะมีหลักดังนี้
ผู้ที่จะฟ้องขอให้เปิดทางภาระจำยอมต้องเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ติดทางที่จะขอเท่านั้น
การได้ภาระจำยอมโดยอายุความเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของบุคคลอื่นเท่านั้น ผู้ที่จะอ้างการได้มาซึ่งทางภาระจำยอมโดยอายุความจึงต้องเป็นเจ้าของที่ดินเท่านั้น ผู้เป็นเจ้าของบ้านแต่มิได้เป็นเจ้าของที่ดินไม่อาจอ้างการได้สิทธิโดยอายุความได้
ผู้เช่าหรือผู้อาศัยซึ่งใช้เดินผ่านที่ดินของผู้อื่น แม้จะไม่มีสิทธิได้ภาระจำยอม แต่หากต่อมาบุคคลดังกล่าวได้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในภายหลังก็มีสิทธิในภาระจำยอมได้ และมีสิทธินับระยะเวลาตอนใช้ภารยทรัพย์ในขณะเป็นผู้เช่าผู้อาศัยรวมเข้ากับระยะเวลาภายหลังได้กรรมสิทธิ์ด้วย
.
กรณีกรรมสิทธิ์รวม เมื่อได้มีการแบ่งแยกครอบครองเป็นสัดส่วนแล้ว ย่อมนับอายุในการเดินเพื่อภาระจำยอมได้ แต่ถ้ายังไม่ได้แยกครอบครองก็ยังไม่เริ่มนับ
อายุความภาระจำยอม ไม่ว่าที่ดินจะเป็น น.ส.4 หรือ น.ส.3 ก็ต้องใช้เวลาเดิน 10 ปี เพราะมาตรา 1401 ให้อายุความได้สิทธิในลักษณะ 3 มาใช้ ซึ่งได้แก่ มาตรา 1382 ครอบครองปรปักษ์ 10 ปี
.
การใช้ภาระจำยอมโดยถือวิสาสะ หรือได้ขออนุญาตจากเจ้าของที่ดินแล้ว เท่ากับยอมรับอำนาจกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่ดิน ไม่ได้ภาระจำยอมโดยอายุความ
การได้ภาระจำยอมโดยอายุความไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนหรือค่าเสียหายแก่ภารยทรัพย์
เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิกระทำทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษา และใช้ภาระจำยอม การจดทะเบียนภาระจำยอมก็เป็นการกระทำเพื่อรักษาสิทธิ เจ้าของสามยทรัพย์ย่อมมีสิทธิฟ้องบังคับให้จดทะเบียนภาระจำยอมได้
ภาระจำยอมที่เกิดขึ้นโดยสัญญา เมื่อมีการจำหน่ายสามายทรัพย์ ภาระจำยอมย่อมติดไปกับสามยทรัพย์ เว้นแต่ข้อสัญญากำหนดไว้เป็นอย่างอื่นแม้จะยังไม่จดทะเบียนก็ตาม
.
กฎหมายที่เกี่ยวข้องมีดังนี้
.
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 4
มาตรา 1387 อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอม อันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบต่อทรัพย์สินของตนหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น
มาตรา 1388 เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงภารยทรัพย์หรือในสามยทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์
มาตรา 1389 ถ้าความต้องการแห่งเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป ก็ไม่ให้สิทธิแก่เจ้าของสามยทรัพย์ที่จะทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ได้
มาตรา 1390 เจ้าของภารยทรัพย์ไม่สามารถทำอะไรซึ่งจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดลงไปหรือเสื่อมความสะดวก
มาตรา 1391 เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอม แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ ก็แต่น้อยสุดตามพฤติการณ์ เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดี แต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์ด้วย ต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ
มาตรา 1392 ถ้าภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นก็ได้ แต่ต้องแสดงได้ว่าการย้ายนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนและรับค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ต้องไม่ทำให้ความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง
มาตรา 1393 ถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในนิติกรรมอันก่อให้เกิดภาระจำยอม ภาระจำยอมย่อมติดไปกับสามยทรัพย์ซึ่งได้จำหน่ายหรือตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่น
มาตรา 1394 ถ้ามีการแบ่งแยกภารยทรัพย์ ภาระจำยอมยังคงมีอยู่ทุกส่วนที่แยกออก แต่ถ้าในส่วนใดภาระจำยอมนั้นไม่ใช้และใช้ไม่ได้ตามรูปการ เจ้าของส่วนนั้นจะเรียกให้พ้นจากภาระจำยอมก็ได้
มาตรา 1395 ถ้ามีการแบ่งแยกสามยทรัพย์ ภาระจำยอมยังคงมีอยู่เพื่อประโยชน์แก่ทุกส่วนที่แยกออกนั้น แต่ถ้าภาระจำยอมนั้นไม่ใช้ และใช้ไม่ได้ตามรูปการเพื่อประโยชน์แก่ส่วนใด เจ้าของภารยทรัพย์จะเรียกให้พ้นจากภาระจำยอมอันเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนนั้นก็ได้
มาตรา 1396 ภาระจำยอมซึ่งเจ้าของรวมแห่งสามยทรัพย์คนหนึ่งได้มา หรือใช้อยู่นั้น ให้ถือว่าเจ้าของรวมได้มาหรือใช้อยู่ด้วยกันทุกคน
มาตรา 1397 ถ้าภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์สลายไปทั้งหมดท่านว่าภาระจำยอมสิ้นไป
มาตรา 1398 ถ้าภารยทรัพย์และสามยทรัพย์ตกเป็นของเจ้าของคนเดียวกัน ท่านว่าเจ้าของจะให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมก็ได้ แต่ถ้ายังมิได้เพิกถอนทะเบียนไซร้ภาระจำยอมยังคงมีอยู่ในส่วนบุคคลภายนอก
มาตรา 1399 ภาระจำยอมจะหมดไปถ้ามิได้ใช้สิบปี
มาตรา 1400 ถ้าภาระจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ ถือว่าภาระจำยอมนั้นสิ้นไป แต่ถ้ากลับใช้ภาระจำยอมอีก ให้ถือว่าภาระจำยอมนั้นกลับมีขึ้นอีก แต่ต้องยังไม่พ้นอายุความที่ระบุไว้ก่อน ถ้าภาระจำยอมยังเป็นประโยชน์แก่สามยทรัพย์อยู่ แต่เมื่อเทียบกับภาระอันตกอยู่กับภารยทรัพย์แล้วประโยชน์นั้นน้อย เจ้าของภารยทรัพย์จะขอให้พ้นจากภาระจำยอมทั้งหมด หรือแต่บางส่วนก็ได้แต่ต้องใช้ค่าทดแทน
มาตรา 1401 ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ทางจำเป็น
ทางจำเป็นเกิดจากกรณีที่ที่ดินถูกล้อมจนไม่สามารถออกสู่ทางสาธารณะทั้งทางบกและทางน้ำ แต่ต้องเป็นทางสาธารณะที่ใช้งานได้สะดวก เช่น ถ้าติดคลองสาธารณะ แต่คลองนั้นตื้นเขินจนไม่สามารถใช้สัญจรไปมาได้หรือใช้ได้เป็นบางครั้งบางคราว ไม่สามารถใช้สัญจรได้ตลอดปี หรือที่ที่มีความลาดชันอันระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมาก ก็ไม่ถือว่าเป็นทางสาธารณะ แต่ถ้าเป็นเพียงเนินดินที่ยังสามารถเข้าออกสะดวกทั้งคนทั้งรถก็ไม่สามารถขอเปิดทางจำเป็นได้
ผู้ขอเปิดทางจำเป็นจะต้องเป็นเจ้าของที่ดินเท่านั้น ถ้าเป็นเพียงเจ้าของโรงเรียนสิ่งปลูกสร้างไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินจะขอเปิดทางจำเป็นไม่ได้
การได้สิทธิใช้ทางจำเป็น ไม่จำเป็นต้องมีนิติกรรมสัญญาระหว่างเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมกับเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ เพราะทางจำเป็นเป็นการได้สิทธิตามกฎหมาย แม้เพิ่งเข้ามาอยู่ในที่ดินซึ่งถูกล้อมก็ขอใช้ทางจำเป็นได้ แต่ถ้าก่อนซื้อที่ดินมาได้รู้อยู่แล้วว่าทางจำเป็นใช้เฉพาะเดินเข้าออกเท่านั้น เมื่อซื้อทีดินมาแล้วจะขอขยายทางจำเป็นเพื่อใช้รถยนต์ผ่านทางจำเป็นไม่ได้
ทางจำเป็นคงมีอยู่ตราบเท่าที่ยังจำเป็น ถ้าต่อมาผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินซื้อที่ดินแปลงต่อเนื่องทำให้มีทางออกสู่สาธารณะได้ถือว่าทางจำเป็นนั้นสิ้นสุดเพราะหมดความจำเป็น
ข้อแตกต่างระหว่างทางจำเป็นกับทางภาระจำยอม
ทางจำเป็นกับทางภาระจำยอมจะมีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่พอจะแยกให้เห็นความแตกต่างได้ดังนี้
ผู้ที่จะใช้สิทธิในทางจำเป็นได้จะต้องเป็นเจ้าของที่ดินเท่านั้น หากเป็นเจ้าของโรงเรือนแต่ไม่ใช่เจ้าของที่ดิน แม้จะถูกที่ดินอื่นล้อมก็ไม่มีสิทธิขอใช้ทางจำเป็น
การใช้ทางจำเป็นจะต้องเป็นการขอผ่านไปสู่ทางสาธารณะเท่านั้น จะขอผ่านไปสู่สถานที่หรือทางอย่างอื่นนอกจากทางสาธารณะไม่ได้ แต่ทางภาระจำยอมผ่านไปสู่ที่ใดก็ได้
ทางจำเป็นเกิดขึ้นกรณีที่ที่ดินถูกล้อมอยู่จนออกสู่ทางสาธารณะไม่ได้ เป็นการได้สิทธิโดยกฎหมาย แต่การขอใช้ทางภาระจำยอมไม่จำเป็นจะต้องเป็นที่ดินที่ถูกล้อมจนออกสู่ทางสาธารณะไม่ได้ แม้ที่ดินไม่ถูกล้อมก็สามารถขอใช้ทางภาระจำยอมได้ โดยอาจได้สิทธิภาระจำยอมโดยนิติกรรม หรือโดยอายุความ
ผู้ขอใช้ทางจำเป็นจะต้องเสียค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ แต่ทางภาระจำยอมโดยนิติกรรม กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าจะต้องเสียค่าทดแทนจึงแล้วแต่จะตกลงกันว่าจะมีการเสียค่าทดแทนหรือไม่
ทางจำเป็นเป็นการได้สิทธิตามกฎหมาย การได้สิทธิไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนภาระจำยอมที่ได้มาโดยนิติกรรมต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 1299 วรรค 1 มิฉะนั้นไม่บริบูรณ์
การพิจารณาทางจำเป็น
การทำทางผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ต้องให้พอสมควรแก่ความจำเป็นของผู้ขอผ่านและให้ที่ดินที่ล้อมอยู่เสียหายน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่นอาจขอทางจำเป็นทำถนนให้รถยนต์ผ่านได้ แต่ถ้าผู้ขอทางจำเป็นไม่มีรถยนต์ใช้จะขอทำถนนสำหรับรถยนต์ไม่ได้ ถือว่าเกินความจำเป็น
การใช้ทางจำเป็นไม่จำกัดอาจเป็นทางน้ำก็ได้ เช่น ที่ดินตั้งอยู่ในบริเวณที่มีทางสาธารณะเป็นทางน้ำ การสัญจรไปมาต้องใช้เรือเป็นพาหนะ เช่นนี้จะขอทางน้ำสำหรับใช้เรือผ่านไปมาได้ เว้นแต่จะเกินจำเป็นแก่ผู้ขอผ่านและเสียหายแก่เจ้าของที่ดินที่ให้ผ่านมาก เช่น ขอขุดคูคลองในที่ดินปิดล้อม เป็นเหตุให้เสียเนื้อที่มากอาจให้ได้เฉพาะแต่เดินผ่านที่ดินก็ได้
การที่เจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมจะขอใช้ทางจำเป็นเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ ต้องพิจารณาด้านที่ใกล้ทางสาธารณะที่สุด และเหมาะสมแก่ความจำเป็นที่สุด ไม่ได้หมายความว่าจะออกทางใดก็ได้ อย่างไรก็ดี แม้จะออกได้ก็ต้องให้เขาได้รับความเสียหายน้อยที่สุดจะเลือกตามชอบใจไม่ได้
การได้มาและการสิ้นสุดของทางจำเป็น
โดยที่ทางจำเป็นเป็นเรื่องการได้สิทธิโดยกฎหมาย ดังนั้น ทางจำเป็นจึงไม่ต้องจดทะเบียนแต่ประการใด แต่ผู้ขอใช้ทางจำเป็นต้องใช้ค่าทดแทนอันเนื่องมาจากความเสียหายที่เกิดจากการใช้ทางจำเป็นนั้นให้แก่เจ้าของที่ดินที่ให้ใช้ทาง อาจมีการตกลงกันให้จดทะเบียนเป็นทางภาระจำยอมก็ได้ ทางจำเป็นนั้นก็กลายเป็นทางภาระจำยอม
แม้จะบอกว่าทางจำเป็นไม่ต้องจดทะเบียน แต่หากมีกรณีพิพาทตกลงกันไม่ได้ ก็ต้องขึ้นศาล อาศัยคำพิพากษาของศาลให้จดทะเบียนทางจำเป็น ดำเนินการโดยอนุโลมปฏิบัติเช่นเดียวกับการจดทะเบียนภาระจำยอม
ทางจำเป็นเกิดขึ้นโดยเป็นการได้สิทธิตามกฎหมายเมื่อมีความจำเป็น ดังนั้น ถ้าหมดความจำเป็นไม่ถูกล้อมเมื่อใด เช่น ซื้อที่ดินติดต่อกับทางสาธารณะออกเองได้ทางจำเป็นก็จะต้องสิ้นสุดไป เว้นแต่ไปจดขอเป็นทางภาระจำยอม
หลักกฎหมายเกี่ยวกับทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวด 2 แดนแห่งกรรมสิทธิ์ และการใช้กรรมสิทธิ์ บัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา 1349 ที่ดินแปลงใดที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่สาธารณะได้ ที่ดินแปลงใดมีทางออกได้แต่เมื่อต้องข้ามสระ บึง หรือทะเล หรือมีที่ชันอันมีระดับที่ดินกับ ทางสาธารณะ สูงกว่ากันมากให้ใช้ความในวรรคต้นบังคับ
ที่และวิธีทาทางผ่านนั้นต้องให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ถ้าจำเป็น ผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ค่าทดแทนนั้นนอกจากค่าเสียหายเพราะสร้างถนน ท่านว่าจะกำหนดเป็นเงินรายปีก็ได้
มาตรา 1350 ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่สาธารณะไซร้ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน
ค่าทดแทน
ในเรื่องการขอใช้ทางจำเป็น กฎหมายบังคับว่า ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ โดยค่าทดแทนอาจมีได้ 2 ประการ คือ
ค่าทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่มีทางผ่าน เช่นตัดต้นไม้แผ้วทาง ขุดคูคลอง
ค่าทดแทนที่เป็นค่าใช้ที่ดินของเขาเป็นทาง การที่ต้องมีทางผ่านไปย่อมทำให้เจ้าของที่ดินไม่ได้ใช้ที่ดินตรงนั้นทำประโยชน์ได้ตามประสงค์ การใช้ค่าทดแทนในกรณีนี้คล้ายกับเป็นค่าเช่า จะตกลงกันเป็นรายปีหรือเป็นเงินก้อนก็ได้
หลักกฎหมายเกี่ยวกับสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 1 บทเบ็ดเสร็จทั่วไป บัญญัติไว้ดังนี้
มาตรา 1304 สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น
ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่น ตามกฎหมายที่ดิน
ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นต้นว่าที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ
ทรัพย์สินใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ เป็นต้นว่าป้อม และโรงทหาร สานักราชการบ้านเมือง เรือรบ อาวุธยุทธภัณฑ์
มาตรา 1305 ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น จะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา
มาตรา 1306 มิให้ยกอายุความขึ้นสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
มาตรา 1307 มิให้ยึดทรัพย์สินของแผ่นดินไม่ว่าทรัพย์สินนั้นจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่
ที่มา https://medium.com/laws-and-regulations/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%81-1085f3a43564
.
*****--------------------------*****
.
ความแตกต่างระหว่างทางจำเป็นและภารจำยอม
เขียนโดย bopitv เมื่อ พฤ, 01/24/2008 - 00:51. | in
นิติศาสตร์ บทความกฎหมาย ทางจำเป็น ภารจำยอม
วันที่เอกสารถูกสร้าง:
23/01/2008
ที่มา:
www.dtl-law.com
ความแตกต่างระหว่างทางจำเป็นและภารจำยอม
ทางจำเป็น
ทางจำเป็น เป็นเรื่องของที่ดินที่ถูกล้อมจนไม่มีทางออกสู่สาธารณะ ดังนั้นกฎหมายจึงได้บัญญัติให้สิทธิแก่เจ้าของที่ดินแปลงที่ถูกล้อมให้มีสิทธิผ่านที่ดินแปลงอื่นที่ล้อมอยู่ที่ใกล้ที่สุดออกไปสู่ทางสาธารณะได้ (เจ้าของที่ดินแปลงที่ถูกล้อม รวมถึง คนในครอบครัวและบริวารด้วย)
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรา ๑๓๔๙ บัญญัติว่า “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทาง สาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ ทางสาธารณะได้ที่ดินแปลงใดมีทางออกได้แต่เมื่อต้องข้ามสระ บึง หรือทะเลหรือมีที่ชัน อันระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมากไซร้ ท่านว่าให้ใช้ความในวรรค ต้นบังคับ ที่และวิธีทำทางผ่านนั้นต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิจะ ผ่าน กับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิจะผ่านจะสร้างถนนเป็นทางผ่านก็ได้ ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ เพื่อความ เสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น ค่าทดแทนนั้นนอกจากค่าเสียหาย เพราะสร้างถนน ท่านว่าจะกำหนดเป็นเงินรายปีก็ได้”
การได้มา
ทางจำเป็น เป็นการใช้สิทธิโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมาย ดังนั้นจึงเป็นการได้สิทธิโดยผลแห่งกฎหมาย
องค์ประกอบของทางจำเป็น
1.ต้องเป็นที่ดินที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่
2.ที่ดินที่ถูกล้อมนั้นต้องไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ (ข้อยกเว้น ถ้ามีทางออกอยู่ตามหลักข้างต้น แต่ต้องข้ามสระ บึง หรือทะเล หรือมีที่ชัน ซึ่งมีระดับสูงกว่ากันมาก ก็นำหลักข้างต้นมาใช้ได้
วิธีทำทางจำเป็น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้สิทธิแก่ผู้มีสิทธิจะผ่าน โดยให้ทำให้พอควรแก่ความจำเป็นแต่ต้องคำนึงถึงความเสียหายของที่ดินที่จะต้องทำทางผ่านให้น้อยที่สุดที่จะเป็นไปได้ ถ้าจำเป็นจะทำเป็นถนนก็ได้ สิทธิของเจ้าของที่ดินที่ถูกทางผ่าน ผู้มีสิทธิใช้ทางผ่านต้องใช้ค่าทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้นซึ่งอาจคิดเป็นเงินครั้งเดียวหรือรายปีก็ได้ (นอกจากค่าเสียหายเพราะสร้างถนน) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๙๗
ภารจำยอม
ภารจำยอม คือทรัพยสิทธิชนิดหนึ่งที่ตัดทอนอำนาจกรรมสิทธิโดยทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์หนึ่งๆที่เรียกว่า ภารทรัพย์ ต้องรับกรรมหรือภาระบางอย่างที่กระทบกระเทือนต่อทรัพย์สินของตน หรือทำให้ต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นเพื่อประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์อื่นที่เรียกว่า สามยทรัพย์
ตัวอย่าง เช่น การที่เจ้าของที่ดินแปลง ก. มีสิทธิเดินผ่านที่ดินแปลง ข. หรือมีสิทธิวางท่อน้ำผ่านหรือมีสิทธิปลูกโรงเรือนล่วงล้ำเข้าไป ดังนี้เรียกว่า เจ้าของที่ดินแปลง ก.มีภารจำยอมเหนือที่ดินแปลง ข.
การได้มาซึ่งภารจำยอม
กรรมสิทธิ์แห่งภารจำยอม อาจจะได้มาโดยวิธีการดังต่อไปนี้ คือ
1.โดยนิติกรรม
2.โดยอายุความ
3.โดยผลแห่งกฎหมาย
โดยนิติกรรม เป็นการตกลงระหว่างเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่จะให้อสังหาริมทรัพย์หนึ่ง ตกอยู่ภายใต้ภารจำยอมเพื่อเป็นประโยชน์แก่อีกอสังหาริมทรัพย์หนึ่ง โดยอาจจะมีค่าตอบแทนหรือไม่ก็ได้
ตัวอย่าง เช่น เจ้าของที่ดินแปลง ก. ยอมให้เจ้าของที่ดินแปลง ข. ได้ภารจำยอมเหนือที่ดินแปลง ก. สำหรับการเปิดทางสู่ทางสาธารณะมีกำหนด 10 ปี หรือ เจ้าของที่ดินแปลง ก. ตกลงว่า จะไม่ปลูกอาคารปิดกั้นทางลมและแสงสว่างแก่โรงเรือนของ ข. มีกำหนด 20 ปี
การทำนิติกรรมเพื่อให้มาซึ่งภารจำยอมนี้ อยู่ภายใต้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคแรก กล่าวคือ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะไม่สามารถใช้ยันบุคคลภายนอกได้ แต่ก็อาจจะใช้บังคับระหว่างคู่สัญญาในฐานะเป็นบุคคลสิทธิได้ นอกจากนี้ สิทธิดังกล่าวย่อมตกทอดแก่ทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามมาตรา ๑๕๙๙ และ๑๖๐๐
โดยอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ ที่บัญญัติไว้ว่า “ ภารจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ ๓ แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”
อายุความได้สิทธิที่จะนำมาใช้กับภารจำยอมคือมาตรา ๑๓๘๒ อันเกี่ยวข้องกับการครอบครองโดยปรปักษ์ ดังนั้น หากเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้ใช้อสังหาริมทรัพย์อื่น โดยสงบและเปิดเผยและมีเจตนาที่จะให้ได้ในสิทธิภารจำยอมของอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ ติดต่อกันเป็นเวลา ๑๐ ปี ย่อมได้ภารจำยอมเหืออสังหาริมทรัพย์นั้น โดยไม่จำเป็นว่า จะต้องมีประชาชนทั่วไปหรือบุคคลใช้เป็นประจำด้วยหรือไม่ และสืบเนื่องตามมาตรา ๑๓๘๗ ที่กล่าวเพียงเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นๆ ดังนั้นสามยทรัพย์และภารทรัพย์นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ติดกันก็ได้ อาจจะมีที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นคั่นอยู่ระหว่างกลางก็ได้เช่นกัน
สิทธิและหน้าที่ของสามยทรัพย์
1.เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิที่จะทำการใดอันเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ภารยทรัพย์
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๘ การดัดแปลงหรือเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์นั้น สามารถกระทำได้ในขอบเขตเท่าที่จำเป็น แต่ถ้าหากเป็นการเพิ่มภาระให้แก่เจ้าของภารยทรัพย์แล้วก็ไม่สามารถกระทำได้ ตัวอย่างเช่น หากได้ภารจำยอมให้ทำทางเดินกว้าง ๑ เมตรสำหรับเดินทาง จะสร้างเป็นทางกว้าง ๓ เมตรสำหรับรถใช้สัญจร ย่อมไม่อาจกระทำได้ หรือได้รับภารจำยอมให้ใช้น้ำสำหรับรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกบนสามยทรัพย์ ก็ไม่สามารถที่จะขยายไปจนถึงใช้น้ำสำหรับอุปโภคสำหรับกิจการอื่น ที่จะสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของภารยทรัพย์ได้
เช่นเดียวกันนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๙ ยังได้บัญญัติเพิ่มเติมไว้ ถ้าความต้องการแห่งเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป ท่านว่า ความเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ให้สิทธิแก่เจ้าของสามยทรัพย์ที่จะทำให้เกิดภาระเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ได้ อันหมายความว่า แม้ความต้องการของเจ้าของสามยทรัพย์จะเปลี่ยนแปลง ก็ยังไม่สามารถที่จะกระทำการใดๆอันเป็นการเพิ่มภาระให้แก่ภารยทรัพย์ได้ เช่น แต่เดิมได้ภารจำยอมให้นำรถบรรทุกผ่านที่ดินภารยทรัพย์เพื่อนำผลไม้ไปขายปีละ สองเดือน แต่เมื่อเปลี่ยนประเภทของไม้ผลที่ปลูก ทำให้ได้ผลผลิตมากขึ้น จะนำรถบรรทุกผ่านเป็นปีละ สี่หรือห้าเดือน เช่นนี้ย่อมไม่ได้ เพราะถือเป็นการเพิ่มภาระให้กับเจ้าของภารยทรัพย์ในการต้องดูแลและซ่อมแซมทางที่อาจจะเกิดความเสีบหาย
2.เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการใดๆเพื่อรักษาและใช้ภารจำยอมได้โดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับการนั้นๆเอง ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๓๙๑ ความว่า “ เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันเป็นจำเป็น เพื่อรักษาและใช้ภารจำยอม แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในกรณีนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์
เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดี แต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์ด้วยไซร้ ท่านว่าต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนประโยชน์ที่ได้รับ” เช่น หากได้ภารจำยอมให้ตัดถนนผ่านภารยทรัพย์ เจ้าของสามยทรัพย์ ก็มีสิทธิที่จะถมหรือปรับปรุง ตกแต่งให้เป็นถนนที่พร้อมสำหรับใช้สอย โดยต้องออกค่าใช้จ่ายเอง และถ้าหากจำเป็นก็อาจจะตัดต้นไม้สองข้างทางได้ แต่ต้องกระทำเท่าที่จำเป็น ตามที่บทบัญญัติมาตราที่ ๑๓๘๘ และ ๑๓๘๙ ในข้างต้น และตามวรรคสอง หากประโยชน์ที่ได้จากการดัดแปลงนั้น เป็นผลดีต่อเจ้าของภารยทรัพย์ด้วยแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ต้องช่วยกันออกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามส่วนแบ่งแห่งประโยชน์ที่เจ้าของภารยทรัพย์ได้รับ
สิทธิและหน้าที่ของเจ้าของภารยทรัพย์
1. เจ้าของภารยทรัพย์ ไม่สามารถกระทำการใดๆอันเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดลงหรือเสื่อมความสะดวกได้ ตามมาตรา ๑๓๙๐ “ ท่านมิให้เจ้าของภารยทรัพย์ประกอบกรรมใดๆอันจะเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดหรือเสื่อมความสะดวกไปมิได้”
เมื่อสังหาริมทรัพย์ใดอยู่ใต้ภารยจำยอมแล้ว เจ้าของภารยทรัพย์ก็มีหน้าที่ต้องยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นกับอสังหาริมทรัพย์ของตนในทุกกรณี โดยไม่มีสิทธิที่จะขัดขวางใดๆ เช่น ได้ภารจำยอมให้ทำทางเดินผ่านที่ดิน เจ้าของที่ดินไม่สามารถนำหินหรือสิ่งใดมากีดขวางเส้นทาง และถ้าเจ้าของสามยทรัพย์ได้รับความเสียหายเพราะการขัดขวางนั้นๆ ก็มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายได้
2. เจ้าของภารยทรัพย์มีสิทธิขอให้ย้ายภารจำยอมไปยังส่วนอื่นของภารยทรัพย์ได้ หากการกระทำนั้น ไม่ทำให้ความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลงไป และการกระทำดังกล่าวจะต้องเป็นประโยชน์กับเจ้าของภารยทรัพย์ด้วย โดยทั้งนี้ เจ้าของภารยทรัพย์ต้องยอมออกค่าใช้จ่ายเอง ตามมาตรา ๑๓๙๒ “ ถ้าภารจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นได้ แต่ต้องแสดงได้ว่า การย้ายนั้นเป็นประโยชน์แก่ตน และรับเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ต้องไม่ทำใหความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ลดลง”
ตัวอย่าง เช่น ในกรณีที่มีบ้านติดกัน บ้านหลังหนึ่งได้ภารจำยอมให้วางท่อน้ำหันไปยังอีกบ้าน เจ้าของบ้านที่อยู่ปลายท่ออาจจะยกเอข้ออ้างเรื่องความไม่สะดวกของการรองรับน้ำ มาขอให้เจ้าของบ้านสามยทรัพย์หันท่อไปทางอื่นได้ โดยต้องยอมออกค่าใช้จ่ายในการย้ายท่อให้เอง
การระงับสิ้นไปของภารจำยอม
1.เมื่อมีนิติกรรมที่กำหนดให้ภารจำยอมหมดสิ้นไป ระหว่างเจ้าของสามยทรัพย์และเจ้าของภารยทรัพย์ ซึ่งนิติกรรมดังกล่าวนี้ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อหน้าเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา ๑๒๙๙ และ ๑๓๐๑ จึงจะใช้ยันบุคคลภายนอกได้
2.เมื่อภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์สลายไป ตามมาตรา ๑๓๙๗ “ ถ้าภารยทรัพย์หรือสามยทรัพย์ได้สลายไปทั้งหมด ท่านว่าภารจำยอมย่อมสิ้นไป” แต่ถ้าหากมีการสลายไปเพียงบางส่วน ภารจำยอมก็ยังสามารถใช้การต่อได้
3.เมื่อไม่ได้ใช้ประโยชน์แห่งภารจำยอมเป็นเวลาสิบปี ตามมาตรา ๑๓๙๙ “ ภารจำยอมนั้น ถ้ามิได้ใช้สิบปี ท่านว่าย่อมสิ้นไป” บทบัญญัติดังกล่าวใช้ครอบคลุมถึงภารจำยอมในทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นทางนิติกรรม อายุความหรือผลแห่งกฎหมาย แต่ในกรณีที่เป็นภารจำยอมที่ได้มาโดยการจดทะเบียน เวลายกเลิกก็ต้องจดทะเบียนต่อหน้าเจ้าหน้าที่เช่นกัน
4.เมื่อภารยทรัพย์และสามายทรัพย์ตกเป็นเจ้าของคนเดียวก้น ตามมาตรา ๑๓๙๘ “ ถ้าภารยทรัพย์และสามายทรัพย์ตกเป็นเจ้าของคนเดียวกัน ท่านว่า เจ้าของจะให้เพิกถอนการจดทะเบียนภารจำยอมก็ได้ แต่ถ้ายังมิได้เพิกถอนไซร้ ถารจำยอมยังมีอยู่ในส่วนบุคคลภายนอก” ทั้งนี้เนื่องจาก ภารจำยอมเกิดขึ้นในกรณีบนพื้นฐานของความขัดแย้งของอสังหาริมทรัพย์ระหว่างสองบุคคล ดังนั้น เมื่อเจ้าของได้กลายเป็นคนเดียวกันแล้ว ภารจำยอมย่อมหมดไป แต่ถ้าภารจำยอมนั้นได้มาจากการจดทะเบียน ก็จำเป็นที่จะต้องจดทะเบียนเพิกถอนระงับต่อหน้าเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะไม่สามารถอ้างยันต่อบุคคลได้ในกรณีใดๆ ไม่ว่าบุคคลภายนอกจะเป็นผู้สุจริตหรือเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม
หากเป็นกรณีตรงข้าม คือได้ภารจำยอมโดยอายุความและไม่ได้จดทะเบียนต่อหน้าเจ้าหน้าที่แล้ว ก็ไม่ต้องจดทะเบียนระงับแต่อย่างใดและสามารถใช้ยันต่อบุคคลภายนอกได้เลย เนื่องจากอายุความของภารจำยอมจะต้องมีการนับใหม่เมื่อระงับไปแล้ว ไม่สามารถจะนับอายุความเดิมรวมไปด้วย
5. เมือภารจำยอมไม่มีความจำเป็นหรือหมดประโยชน์ต่อสามายทรัพย์ หรือมีประโยชน์เหลือน้อยจนไม่คุ้มกับภาระที่ภารยทรัพย์ต้องรับอยู่ ตาม ปพพ. มาตรา ๑๔๐๐ ที่บัญญัติว่า เมื่อภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามายทรัพย์ไซร้ ท่านว่า ภารจำยอมนั้นสิ้นไป แต่ถ้าความเป็นไปมีทางให้กลับใช้ภารจำยอมได้ไซร้ ท่านว่า ภารจำยอมนั้นย่อมกลับมีอีก แต่ต้องยังไม่พ้นอายุความที่ระบุไว้ในมาตราก่อน
ถ้าภารจำยอมยังเป็นประโยชน์แก่สามายทรัพย์บ้าง แต่เมื่อเทียบกันภารยะอันตกอยู่แก่ภารยทรัพย์แล้ว ประโยชน์นั้นน้อยนักไซร้ ท่านว่าเจ้าของภารยทรัพย็จะขอให้พ้นจากภารจำยอมทั้งหมด หรือแต่บางส่วนก็ได้ แต่ต้องใช้ค่าทดแทน”
การสิ้นสุดของภารจำยอมโดยวิธีนี้ อาจจะทำให้ภารจำยอมเกิดขึ้นอีกก็ได้ หากภารจำยอมนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อสามายทรัพย์ต่อไป และเจ้าของสามายทรัพย์สามารถเรียกร้องสิทธิได้ภายใน 10 ปี นับตั้งแต่การยกเลิกในครั้งแรก
สรุป ความแตกต่างระหว่างทางจำเป็นและภารจำยอม
1.ทางจำเป็นเป็นเรื่องเกี่ยวกับที่ดินโดยเฉพาะ ในขณะที่ภารจำยอมได้ครอบคลุมถึงอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เช่น บ้าน อาคาร ด้วย
2.ทางจำเป็นนั้น เป็นข้อจำกัดกรรมสิทธิ์ ที่ได้มาโดยกฎหมาย จึงไม่จำเป็นต้องทำหนังสือและจดทะเบียน(ตามมาตรา 1338) ในขณะที่ภารทรัพย์หรือกรรมสิทธิ์อันเกี่ยวกับภารจำยอมนั้น จำเป็นที่จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน (ตามมาตรา 1299) จึงจะมีผลสมบูรณ์และใช้ยันบุคคลภายนอกได้ ไม่ว่าจะได้มาโดยผลแห่งนิติกรรมหรือายุความก็ตาม
3.ทางจำเป็นนั้น ต้องเป็นการใช้เพื่อการออกสู่ทางสาธารณะเพียงอย่างเดียว แต่ภารจำยอมนั้นจะอาศัยออกไปยังที่อื่นๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นทางสาธารณะก็ได้
4.กรรมสิทธิ์ของทางจำเป็นนั้น ผู้ที่ได้กรรมสิทธิ์ผ่านทางไม่สามารถได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยอายุความ ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลานานเท่าใดก็ตาม เพราะการผ่านทางหรือทำทางจำเป็นนั้น ถือเป็นการผ่านโดยสุจริตและเคารพในสิทธิของเจ้าของที่ดินผู้มีสิทธิในทางเดินผ่าน ในขณะที่การได้ซึ่งภาระจำยอมนั้น สามารถได้กรรมสิทธิ์มาตามหลักของการครอบครองโดยปรปักษ์ ( ตามมาตรา)
5.ทางจำเป็นนั้น ผู้ที่ได้กรรมสิทธิ์จะต้องจ่ายค่าทดแทนเสมอ แต่ผู้ที่ได้กรรมสิทธิ์ในภาระจำยอมนั้น ไม่จำเป็นจะต้องจ่ายทดแทนใดๆ นอกจากการเสียค่าบำรุงอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นๆเอง
6.การได้กรรมสิทธิ์แห่งทางจำเป็นนั้น จะมีขึ้นได้เมื่อที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ถ้าต่อมาที่ดินแปลงนั้นมีทางออกสู่ทางสาธารณะ ความจำเป็นในการใช้ทางจำเป็นก็จะหมดสิ้นไป ส่วนการยกเลิกภาระจำยอมนั้น จำเป็นที่จะต้องมีการตกลงซึ่งกันและกัน หรือหากเป็นการได้ภาระจำยอมตามอายุความ ต้องเป็นในกรณีที่ไม่ได้มีการใช้กรรมสิทธินั้นเป็นเวลา สิบปี
---------------
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
www.dtl-law.com
ประเภทของหน้า: บทความกฎหมาย
ที่มา http://www.openbase.in.th/node/1963
.
*****--------------------------*****
.
สิทธิการใช้ทางภาระจำยอม
โดยคุณ webmaster เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2552 00:00:00
ข้อเท็จจริงและประเด็นคำถาม:
ข้อเท็จจริง
ที่ดินหลังบ้านซึ่งพ่อแม่ได้ขายไปตั้ง 20 ปีที่แล้วกับผู้ซื้อทำหมู่บ้านจัดสรร โดยระบุหลังโฉนดว่าต้องอนุญาตให้สามารถเดินเข้าออกได้ 1.25 เมตรสำหรับลูกหลานที่ยังอาศัยอยู่ ซึ่งเราก็เดินเข้าออกในหมู่บ้านนี้กันมาตลอด ต่อมาผู้ทำหมู่บ้านจัดสรรได้ขายที่ดินต่อไปแก่ผู้ซื้อรายใหม่ ผู้ซื้อรายปัจจุบันได้ปิดทางเดินไว้ ไม่ทราบว่าผู้ซื้อรายปัจจุบันมีสิทธิปิดกั้นทางเดินที่จดทะเบียนระบุหลังโฉนดหรือไม่
ประเด็นคำถาม
1. การได้มาซึ่งทางภาระจำยอมได้มาโดยวิธีใดบ้าง
2. สิทธิ-หน้าที่ของผู้ทรงกรรมสิทธิ์ในภารยทรัพย์และสามยทรัพย์ที่จดทะเบียนภาระจำยอมมีอยู่อย่างไร
3. ผู้ซื้อที่ดินภารยทรัพย์ที่จดทะเบียนภาระจำยอมเป็นทางเดินไว้สามารถปิดกั้นทางทำให้เสื่อมเสียประโยชน์ต่อสามยทรัพย์ได้หรือไม่
ความเห็นและข้อเสนอแนะ:
ตามกฎหมายแล้วผู้ทรงกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินย่อมมีสิทธิเต็มที่เหนือทรัพย์สินนั้น แต่มีบางกรณีที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ต้องถูกจำกัดสิทธิเด็ดขาดในทรัพย์สินซึ่งภาระจำยอมก็เป็นข้อจำกัดสิทธิ คือ เจ้าของทรัพย์ (เจ้าของภารยทรัพย์) ต้องยอมให้ผู้ใช้ประโยชน์ที่ดินข้างเคียง (สามยทรัพย์) ใช้สิทธิเหนือที่ดินภารยทรัพย์ เช่น ทางภาระจำยอมนั้นเจ้าของภารยทรัพย์ต้องยอมให้ผู้ใช้ประโยชน์ในสามยทรัพย์เดินผ่านที่ดินภารยทรัพย์ เจ้าของภารยทรัพย์จะอ้างความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินห้ามมิให้ผู้ใช้ประโยชน์ในสามยทรัพย์เดินผ่านทางภาระจำยอมไม่ได้
ภาระจำยอมนั้นมีวิธีการได้มาอยู่สองวิธีหลักด้วยกันคือ ได้มาโดยนิติกรรม เช่น ทำสัญญาตกลงเรื่องภาระจำยอมระหว่างเจ้าของที่ดิน และได้มาโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เช่น โดยอายุความ เป็นต้น การได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมนั้นหากไม่ดำเนินการจดทะเบียนไว้ จะใช้บังคับกันแต่เฉพาะคู่สัญญาที่เข้าทำการตกลงเท่านั้น บุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับสัญญาไม่สามารถอ้างภาระจำยอมได้ ตรงข้ามกับการได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยนิติกรรมที่ได้จดทะเบียนที่บุคคลที่เกี่ยวกับที่ดินสามารถอ้างสิทธิภาระจำยอมได้ตลอดตราบเท่าที่ยังมีการบันทึกภาระจำยอมไว้ในทะเบียน
กรณีที่ท่านเจอปัญหานั้น ที่ดินหลังบ้านท่านเป็นภารยทรัพย์ และที่ดินของท่านเป็นสามยทรัพย์ เมื่อบิดาท่านในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ได้จดทะเบียนทางภาระจำยอมเหนือที่ดินหลังบ้านซึ่งเป็นภารยทรัพย์ไว้ ตราบใดที่ยังไม่ยกเลิกการจดทะเบียน ไม่ว่าที่ดินหลังบ้านที่เป็นภารยทรัพย์จะขายเปลี่ยนมือกันไปกี่รายก็ตาม ผู้เป็นเจ้าของที่ดินภารยทรัพย์ก็ถูกจำกัดสิทธิไม่อาจปิดทางภาระจำยอมที่จดทะเบียน การที่เจ้าของที่ดินรายใหม่ปิดทางภาระจำยอมซึ่งจดทะเบียนไว้จึงเป็นการกระทำไปโดยไม่มีสิทธิจะกระทำ บิดาท่านในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์สามารถเรียกร้องให้เจ้าของที่ดินภารยทรัพย์เปิดทางภาระจำยอม แต่หากยังไม่ยอมเปิดทาง ท่านก็ต้องดำเนินการขออำนาจศาลออกคำพิพากษามาบังคับเจ้าของภารยทรัพย์ต่อไป
.
ข้อถือสิทธิ
คำถาม - คำตอบที่เกี่ยวเนื่องกับปัญหาข้อกฎหมายใน คลินิกกฎหมาย จัดทำขึ้นเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจทางด้านกฎหมายแก่ผู้เข้าชมเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงหรือใช้แทนการวินิจฉัยในการดำเนินคดีของทนายความแก่ลูกความเฉพาะรายได้ เนื่องจากการวินิจฉัยปัญหาของลูกความแต่ละรายมีรายละเอียดข้อมูลที่แตกต่างกัน หากมีการนำข้อมูลเว็บไซต์ไปใช้โดยไม่ได้ปรึกษาผู้ประกอบวิชาชีพด้านกฎหมาย ศูนย์นิติศาสตร์จะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
ที่มา http://www.tulawcenter.org/?q=law-clinic/content/51
.
*****--------------------------*****
sithiphong:
#คำพิพากษาศาลฎีกา ว่าด้วยเรื่อง #สามยทรัพย์ กับ #ภารยทรัพย์
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/934840646702322?__tn__=K-R
.
*****__________________*****
.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3551/2543
แหล่งที่มา: กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
เผยแพร่เมื่อ: 1 ม.ค. 2513 07:00:00
คำพิพากษาย่อสั้น
จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทางภาระจำยอม ส่วนบริษัท ท. เป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 1 อยู่ในฐานะเป็น ผู้แทนของบริษัท การที่จำเลยทั้งสองยอมให้รถยนต์ของบริษัทและรถยนต์ของผู้มาติดต่อธุรกิจกับบริษัทจอดในทางภาระจำยอมนั้นในลักษณะปิดกั้น หรือกีดขวางการใช้ทางดังกล่าวเข้าออก ทำให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้ทาง ภาระจำยอม ย่อมเป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมลดไปหรือเสื่อมความสะดวก ตาม ป.พ.พ. ม. 1390 โจทก์มีสิทธิ ห้ามจำเลยทั้งสองประกอบกรรมดังกล่าวได้
แม้คำขอจดทะเบียนทางภาระจำยอมจะระบุให้ใช้เป็นทางเดิน แต่เมื่อวิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปมีการสัญจรตามถนนและตรอกซอกซอยด้วยรถยนต์เป็นปกติธรรมดาเช่นเดียวกับทางเท้า อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็ใช้รถยนต์ในทางภาระจำยอมเช่นกัน ฉะนั้นการที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินสามยทรัพย์ใช้รถยนต์ผ่านทางภาระจำยอมซึ่งเดิมเคยใช้เป็นทางเท้า ย่อมเป็นการใช้ทางภาระจำยอมสัญจรตามปกติ ไม่เป็นการทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1388 และโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิใช้รถยนต์เข้าออกทางภาระจำยอมตามความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของเจ้าของสามยทรัพย์นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนรถยนต์ที่ใช้ว่ามีจำนวนมากหรือน้อย เหตุนี้การใช้รถยนต์เข้าออกเป็นจำนวน 200 คัน ผ่านทางภาระจำยอม หากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของสามยทรัพย์ยังดูแลรักษาทางภาระจำยอมมิให้เกิดความเสียหาย ก็ถือได้ว่าโจทก์มิได้ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นแก่ทางภาระจำยอมนั้น ส่วนเสาไฟฟ้าที่จำเลยทั้งสองขอให้รื้อถอนเป็นเสาไฟฟ้าถาวร ที่โจทก์ขอให้การไฟฟ้านครหลวงดำเนินการเพิ่มแทนเสาไฟฟ้าเดิม ซึ่งเป็นไปตามความเปลี่ยนแปลงและความเจริญของบ้านเมือง หาได้ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิปักเสาไฟฟ้าทั้งสองต้นนั้นได้
ที่มา https://deka.in.th/view-91162.html
.
*****__________________*****
.
บทบรรณาธิการสมัย 63 เล่มที่ 1-14
หมอเค้ก:
บทบรรณาธิการเล่มที่ ๔ สมัย ๖๓
คำถาม การได้ภ่าระจำยอมโดยทางนิติกรรมซึ่งได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนกงานเจ้าหน้าที่ หากต่อมามีการโอนภารยทรัพย์ไปใหแก่บุคคลอื่น ภาระจำยอมจะตกติดไปกับภารยทรัพย์หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๘๙/๒๕๕๒ ภาระจำยอมเป็นทรัพย์สินที่ก่อตั้งขึ้นด้วยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๕๘ และการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งภาระจำยอมของโจทก์ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคแรก แล้วจึงเป็นทรัพยสิทธิที่สมบูรณ์ มีผลทำให้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๕๓ ของ ค. ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๑๘๔ ของโจทก์ใช้สำหรับรถยนต์เข้าออกได้ทั้งแปลง เมื่อบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ภาระจำยอมย่อมตกติดไปกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๕๓ ซึ่งเป็นภารยทรัพย์ตามมาตรา ๑๓๙๓ จำเลยได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๕๓ มาจาก ค. จึงต้องยอมให้โจทก์ใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นทางเข้าออกสำหรับรถยนต์เข้าออก และต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๑๘๔ ของโจทก์ซึ่งเป็นสามยทรัพย์ตามมาตรา ๑๓๘๗ ภาระจำยอมดังกล่าวจะสิ้นไปเมื่อภารยทรัพย์หรือ สามยทรัพย์สลายไปทั้งหมด หรือสิ้นไปเพราะไม่ได้ใช้สิบปี หรือสิ้นไปเพราะภาระจำยอมนั้นหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ตามมาตรา ๑๓๙๗ มาตรา ๑๓๙๙ และมาตรา ๑๔๐๐ และกฎหมายมิได้ให้อำนาจแก่เจ้าของภารยทรัพย์ที่จะเลิกภาระจำยอมได้
คำถาม การได้ภาระจำยอมโดยทางนิติกรรมแต่ยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กับการได้ภาระจำยอมโดยอายุความแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนภาระจำยอม หากต่อมามีการโอนอสังหาริมทรัพย์(ภารยทรัพย์) ดังกล่าวไปให้แก่บุคคลอื่น ดังนี้ ระหว่างผู้ได้ภาระจำยอมกับผู้รับโอนภารยทรัพย์ผลเกี่ยวกับภาระจำยอมจะเป็นอย่างไร
คำตอบ (ก) การได้ภาระจำยอมโดยทางนิติกรรมแต่ยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๒๙/๒๕๔๒ แม้ ท.เจ้าของที่ดินเดิมยินยอมให้ทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ อันเป็นกรณีที่โจทก์ได้ภาระจำยอมโดยทางนิติกรรมก็ตาม แต่เมื่อยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาย่อมไม่บริบูรณ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง และคงใช้บังคับได้ในฐานะบุคคลสิทธิเฉพาะโจทก์กับ ท.ซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น แต่ไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอกด้วย เมื่อ ท.ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยถือว่าจำเลยเป็นบุคคลภายนอก ทั้งในเรื่องให้ หาได้มีบทบัญญัติให้ผู้รับต้องรับหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ผู้ให้ไปด้วยอย่างกรณีทายาทรับมรดกไม่ ความยินยอมดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันให้จำเลยต้องจดทะเบียนภาระจำยอมหรือเปิดทางพิพาทแก่โจทก์
อย่างไรก็ดี แม้การได้ภาระจำยอมโดยทางนิติกรรมจะไม่บริบูรณ์ เพราะมิได้จดทะเบียนการได้มา แต่หากปรากฎว่าได้ใช้ทางโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภารจำยอมติดต่อกันเป็นเวลา ๑๐ ปี ก็มีสิทธิได้ภาระจำยอมโดยอายุความ
คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๙๙๑/๒๕๕๑ ตามหนังสือสัญญาซื้อขายข้อ ๓ ระบุว่า น.ผู้ขายยอมให้ทางต่อเมื่อที่ดินส่วนอื่นได้ขายให้กับคนอื่น น.ได้ยินยอมจะให้ทางเดินกว้าง ๒ เมตร ความยาวจนถึงถนนใหญ่ไม่ว่าในกรณีใด ๆ เห็นได้ว่า ข้อตกลงดังกล่าวเกิดจากการที่โจทก์ซื้อที่ดินจากน.ซึ่งแบ่งขายที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินให้แก่โจทก์ เพื่อประสงค์ให้โจทก์มีทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะผ่านที่ดินของน. อันมีลักษณะเป็นการได้ประโยชน์ของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์อาศัยสิทธิของน.แต่เพียงฝ่ายเดียว ข้อตกลงที่ให้โจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นการได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมอันเป็นทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อโจทก์ยังไม่จดทะเบียนการได้มา จึงไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคแรก อย่างไรก็ตาม แม้การได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมของโจทก์จะไม่บริบูรณ์ดังกล่าว หากปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้ทางพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลา ๑๐ ปี โจทก์ก็มีสิทธิได้ภาระจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ ประกอบมาตรา ๑๓๘๒
(ข) การได้ภาระจำยอมโดยอายุความแต่ยะงไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัย ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๔๕๙/๒๕๕๑ แม้โจทก์จะซื้อที่ดินโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดแต่ก่อนเวลาที่โจทก์จะได้มาซึ่งที่ดินดังกล่าว จำเลยได้ใช้ที่ดินตลอดมาโดยสงบ โดยเปิดเผยและด้วยเจตนาให้ได้สิทธิภาระจำยอมติดต่อกันเกิน ๑๐ ปี จำเลยในฐานะเจ้าของสามยทรัพย์ย่อมได้ภาระจำยอมเหนือที่ดินของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๐๑ มิใช่เพียงรุกล้ำใช้อย่างสภาพทางจำเป็นแม้จำเลยจะยังไม่ไปจดทะเบียนสิทธิภาระจำยอมก็หาทำให้สิทธิดังกล่าวสิ้นไป เพราะทรัพย์วัตถุแห่งสิทธิเป็นประธานภาระจำยอมมีลักษณะเป็นสิทธิประเภทรอนสิทธิมิใช่การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ จึงไม่อยู่ในบังคับหลักกฎหมายที่ว่าสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียน มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๖๒/๒๕๔๘ คดีก่อนศาลฎีกาพิพากษาว่าทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๕๗๖๔ โดยอายุความ อันเป็นทรัพยสิทธิที่ติดไปกับตัวทรัพย์ กรณีหาใช่เป็นภาระจำยอมโดยนิติกรรมซึ่งยังมิได้จดทะเบียนอันเป็นบุคคลสิทธิไม่ จำเลยทั้งสองหาอาจอ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เป็นภารยทรัพย์โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต จึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ได้ไม่เพราะสิทธิตามความหมายในบทบัญญัติดังกล่าวต้องเป็นสิทธิในประเภทเดียวกันแต่ภาระจำยอมเป็นสิทธิในประเภทรอนสิทธิ ส่วนกรรสิทธิ์เป็นสิทธิในประเภทได้สิทธิเป็นสิทธิคนละประเภทกัน ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นผู้สืบสิทธิจากคู่ความในคดีก่อน คำว่าพิพากษาศาลฎีกาคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสอง
หมอเค้ก:
คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๔๘๒/๒๕๔๑ คดีก่อนโจทก์ฟ้อง ส.เจ้าของภารยทรัพย์ที่จำเลยรับโอนต่อมาโดยจำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีนั้นก็ตาม แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาว่า โจทก์ได้สิทธิภาระจำยอมในทางพิพาทตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๔๐๑ ประกอบมาตรา ๑๓๘๒ จึงเป็นการที่โจทก์ได้สิทธิภาระจำยอมอันเป็นทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรม ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๒๙๙ วรรค ๒ เป็นทรัพยสิทธิคนละประเภทกับกรรมสิทธิ์ที่เจ้าของกรรมสิทธิ์มีอำนาจในอสังหาริมทรัพย์ของตนเอง และเนื่องจากภาระจำยอมเป็นทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์ มิได้มุ่งเพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะภาระจำยอมจึงย่อมตกติดไปกับอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสามยทรัพย์และภารยทรัพย์แม้จะมีการโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวไปให้แก่บุคคลอื่น ภาระจำยอมก็หาได้หมดสิ้นไป เว้นแต่กรณีจะต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายเท่านั้น ภาระจำยอมจึงจะระงับดังนั้น ไม่ว่าจำเลยจะรับโอนที่พิพาทมาโดยสุจริตหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่อาจจะยกขึ้นต่อสู้กับสิทธิภาระจำยอมของโจทก์ได้ คำพิพากษาศาลดังกล่าวจึงผูกพันจำเลยด้วยในฐานะที่เป็นเจ้าของภารยทรัพย์
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๘๐๘-๕๘๑๒/๒๕๓๗ สิทธิภาระจำยอมของโจทก์ได้มีขึ้นโดยผลแห่งกฎหมายรับรอง และจะสิ้นสุดไปก็โดยเหตุต่างๆ ที่กฎหมายกำหนด ส่วนของจำเลยทั้งหมดที่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินภารยทรัพย์โดยทางทะเบียนไม่เป็นเหตุให้สิทธิภาระจำยอมของโจทก์สิ้นสุดลงได้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๑๖-๘๑๘/๒๕๓๓ ภารจำยอมเป็นทรัพยสิทธิประเภทที่จำกัดตัดทอนกรรมสิทธิ์เป็นทรัพยสิทธิที่ผูกพันอยู่กับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นภารยทรัพย์ เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นอันเป็นสามยทรัพย์ ไม่ใช่ทรัพยสิทธิส่วนตัวบุคคล แม้เจ้าของภารยทรัพย์จะเปลี่ยนตัวไปก็หาเป็นข้อสำคัญไม่ ส่วนมาตรา ๑๒๙๙ ที่บัญญัติว่า "สิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว" นั้น หมายความถึงแต่กรณีที่บุคคลได้มาโดยสุจริตซึ่งทรัพยสิทธิอันเดียวกันกับทรัพยสิทธิที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น จำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาเป็นการได้สิทธิประเภทกรรมสิทธิ์ในที่ดินภารยทรัพย์แล้วสร้างกำแพงปิดล้อมที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทางภารจำยอมที่โจทก์ใช้รถยนต์วิ่งเข้าออกที่ดินของโจทก์ กรณีจึงมิใช่การโต้เถียงกันในเรื่องการได้สิทธิในทรัพยสิทธิอันเดียวกัน จำเลยจะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยเสียค่าตอบแทนและสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภารจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินพิพาทต้องสิ้นไปหาได้ไม่
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๘๔/๒๕๓๓ ภารจำยอมจะสิ้นไปก็ต่อเมื่อภารยทรัพย์สลายไปทั้งหมดหรือมิได้ใช้สิบปี ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๙๗ หรือมาตรา ๑๓๙๙และภารจำยอมเป็นทรัพยสิทธิประเภทที่จำกัดตัดทอนกรรมสิทธิ์ เป็นทรัพยสิทธิที่ผูกพันอยู่กับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นภารยทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่นอันเป็นสามยทรัพย์ไม่ใช่ทรัพยสิทธิส่วนตัวบุคคล ดังนั้นแม้เจ้าของภารยทรัพย์จะเปลี่ยนตัวไปก็หาเป็นข้อสำคัญไม่ ส่วนสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนที่มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วนั้น หมายความถึงแต่กรณีที่บุคคลได้มาโดยสุจริตซึ่งทรัพย์สิทธิอันเดียวกันกับทรัพยสิทธิที่ยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น จำเลยซื้อที่ดินภารยทรัพย์เป็นการได้สิทธิประเภทกรรมสิทธิ์ในที่ดินภารยทรัพย์ มิใช่การได้สิทธิใทรัพย์สิทธิอันเดียวกันกับภาระจำยอม จำเลยจะยกการรับโอนกรรมสิทธิ์โดยเสียค่าตอบแทนและสุจริตขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ภารจำยอมที่มีอยู่ในที่ดินพิพาทต้องสิ้นไปหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๐๐๓/๒๕๓๓ ผู้ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 แม้จะยังไม่ได้จดทะเบียนภาระจำยอมและไม่ว่าผู้รับโอนภารยทรัพย์จะรับโอนมาโดยสุจริตหรือไม่ก็ตามก็ไม่อาจต่อสู้กับสิทธิภาระจำยอมดังกล่าวได้
คำถาม การฟ้องเท็จในคดีแพ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่
คำตอบ การฟ้องเท็จในคดีแพ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดทางอาญา และการฟ้องกับการยื่นคำให้การในคดีแพ่ง ไม่เป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๗๔/๒๕๑๓ การฟ้องเท็จนั้น ป.อ. มาตรา ๑๘๕ บัญญัติว่าต้องเป็นการฟ้องเท็จในคดีอาญา การฟ้องเท็จในคดีแพ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดทางอาญาแต่อย่างใด การฟ้องเท็จในคดีแพ่งจะถือว่าเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานอันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗ ตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การฟ้องความกับการแจ้งความต่อเจ้าพักงานเป็นการกระทำคนละประเภท การฟ้องความเป็นวิธีดำเนินการตามกระบวนวิธีพิจารณาความ ไม่ใช่เป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗ ตามที่โจทก์อ้าง และคำให้การที่จำเลยยื่นต่อศาลนั้นก็เป็นวิธีดำเนินการตามกระบวนพิจารณาความเช่นกัน หาใช่เป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การฟ้องและการยื่นคำให้การเท็จในคดีแพ่ง ไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ฟ้องจึงชอบแล้ว...ฯลฯ
การยื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒ เพื่อตั้งประเด็น แม้ผู้พิพากษาเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ หากข้อความเป็นเท็จก็ไม่เป็นการแจ้งความแก่เจ้าพนักงานตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗ เช่นกัน (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๒๒/๒๕๑๘ อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๓๐/๒๕๑๕) เป็นการใช้สิทธิทางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๕๕
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๓๐/๒๕๑๕ คำร้องคัดค้านที่ยื่นต่อศาลเพื่อตั้งประเด็นระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้น แม้ว่าผู้พิพากษาจะเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ หากจะฟังว่าตามคำร้องคัดค้านนั้นเป็นเท็จก็ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำเช่นนี้เป็นความผิดและจะนำมาตรา ๑๓๗ ประมวลกฎหมายอาญามาบังคับไม่ได้และเมื่อการยื่นคำร้องคัดค้านดังกล่าว เป็นการแสดงข้อความในกระบวนพิจารณาคดีในศาลเพื่อประโยชน์แก่คดีของจำเลยแม้ข้อความนั้นจะเป็นหมิ่นประมาทโจทก์ กรณีก็ต้องด้วยข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๑ จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์
โจทก์ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก จำเลย ยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อตั้งประเด็นระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนั้นแม้ว่าผู้พิพากษาจะเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการ แต่การที่จำเลยยื่นคำร้องคัดค้านนั้น ก็เป็นการยื่นคำคู่ความเพื่อตั้งประเด็นในการพิจารณาคดีของศาลหากจะรับฟังว่าข้อความตามคำร้องคัดค้านของจำเลยเป็นเท็จ ก็ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำเช่นนี้เป็นความผิดและจะนำมาตรา ๑๓๗ แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้แก่กรณีเช่นนี้ก็ไม่ได้ เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรานี้มิได้มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่การยื่นคำคู่ความเพื่อตั้งประเด็นในการพิจารณาคดีของศาลดังกล่าวข้างต้น
นายประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
หมอเค้ก:
บทบรรณาธิการเล่มที่ ๕ สมัย ๖๓
คำถาม สำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่ามีเหตุจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน แต่กระทำโดยป้องกันอันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน หากความสำคัญผิดเกิดขึ้นโดยความประมาท ผู้กระทำจะมีความผิดอย่างไร
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๙๖๘/๒๕๕๑ จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายกับพวกจะเข้ามาลักผลไม้ในไร่และผู้ตายเดินเข้ามาจะทำร้ายจำเลย แต่ผู้ตายไม่ได้มีอาวุธหรือพูดข่มขู่หรือมีกริยาอาการว่าจะทำร้ายจำเลยโดยวิธีใด อันจะทำให้จำเลยได้รับอันตรายร้ายแรง หากจำเลยเพียงแต่ยิงข่มขู่ก็น่าจะเป็นการเพียงพอที่จะทำให้ผู้ตายเกรงกลัวและหลบหนีไปได้เพราะผู้ตายมิใช่คนร้าย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตายบริเวณหน้าท้อง ๑ นัดจนผู้ตายล้มลงแล้วจำเลยยังใส่กระสุนปืนลูกซองเข้าไปใหม่แล้วยิงผู้ตายที่ศรีษะซ้ำอีก ๑ นัดจนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำโดยป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๖๙ และความสำคัญผิดของจำเลยเกิดขึ้นโดยความประมาท เนื่องจากมิได้ใช้ความระมัดระวังพิจารณาให้รอบคอบว่าผู้ตายกับพวกเป็นคนร้ายจริงหรือไม่ จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๙๑ โดยผลของมาตรา ๖๒ วรรคสองด้วย
เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๖๙ และ ๖๒ วรรคแรก กับมาตรา ๒๙๑ ประกอบด้วยมาตรา ๖๒ วรรคสอง อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๖๙ และ ๖๒ วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามมาตรา ๙๐
คำถาม ที่ดินที่จำนองมีการบ่งแยกออกเป็นหลายแปลงก่อนที่ผู้รับจำนองจะฟ้องบังคับจำนอง ดังนี้ ผู้รับจำนองมีสิทธิขอให้บังคับจำนองแก่ที่ดินทุกแปลงที่แบ่งแยกออกมาจากที่ดินจำนองหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๓๑๔ – ๘๓๑๕/๒๕๕๑ จำเลยฎีกาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๘๕ ตามสัญญาจำนองได้มีการแบ่งแยกออกเป็นอีก ๘ แปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๕๗๒๘-๕๕๗๓๕ ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ จึงถือว่าเป็นคนละแปลงกันและในคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายฟ้องและมิได้ขอบังคับถึงที่ดินเลขที่ ๕๕๗๒๘-๕๕๗๓๕ ทั้งไม่ได้ระบุไว้ในคำพิพากษาให้ขายทอดตลาดไปพร้อมกับที่ดินเลขที่ ๖๘๕ ดังกล่าว การที่โจทก์บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๕๗๒๘-๕๕๗๓๕ ด้วย จึงเป็นการบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับตามคำพิพากษานั้น
เห็นว่าแม้จะมีการแบ่งแยกที่ดินจำนองโฉนดเลขที่ ๖๘๕ ออกเป็นอีก ๘ แปลง ตามโฉนดเลขที่ ๕๕๗๒๘-๕๕๗๓๕ ก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ในฐานะผู้รับจำนองได้ตกลงยินยอมให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินที่จำนองออกไปโดยปลอดจากการจำนอง ต้องถือว่าการจำนองยังคงครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นทั้งหมดทุกส่วนที่แบ่งแยกออกไปด้วยกันอยู่นั่นเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๑๗ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะขอให้บังคับจำนองแก่ที่ดินทุกแปลงที่แบ่งแยกออกไปจากที่ดินที่จำนองจากทรัพย์ที่จำนองได้ ดั้งนั้นการที่โจทก์บังคับจำนองเอาแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๕๕๗๒๘-๕๕๗๓๕ ด้วย จึงมิใช่การบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยอันจะทำให้การบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับตามคำพิพากษาแต่อย่างใด
คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๘๖๒/๒๕๕๒ ภายหลังจากจำเลยที่ ๑ และที่ ๓ จำนองที่ดินโฉนดที่ดินที่พิพาทแล้วมีการแบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาทออกเป็นแปลงย่อยอีก ๓ แปลง ซึ่งที่ดินที่แบ่งแยกนี้ต้องติดจำนองทุกแปลง บุคคลใดรับโอนไปผู้รับจำนองติดตามไปบังคับจำนองได้เพราะเป็นทรัพย์สินซึ่งจำนองอยู่เดิมแม้จะแบ่งออกเป็นหลายส่วนจำนองก็ยังครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นหมดทุกส่วนด้วยกันอยู่นั่นเอง เมื่อคำขอท้ายฟ้องได้ขอให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดที่ดินที่พิพาทแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิบังคับจำนองที่ดินโฉนดที่ดินที่พิพาทได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๑๗ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บังคับจำนองเฉพาะที่ดินแปลงย่อยจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาพิพากษาให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดที่ดินพิพาทด้วย
คำถาม ผู้ได้ภาระจำยอมโดยอายุความมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ กรณีที่เจ้าของที่ดินภารยทรัพย์โอนที่ดินที่มีทางภาระจำยอมให้แก่บุคคลอื่นหรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๐๐/๒๕๕๑ อำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ เป็นอำนาจของเจ้าหนี้ โจทก์ที่ ๑ อ้างว่าโจทก์ที่ ๑ ได้ภาระจำยอมโดยอายุความในการเดินผ่านที่ดินของจำเลยที่ ๓ อันเป็นการกล่าวอ้างว่าตนมีสิทธิในทรัพย์ของผู้อื่นในลักษณะของทรัพยสิทธิ เมื่อเป็นเรื่องของทรัพยสิทธิโจทก์ที่ ๑ จึงไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา ๒๓๗ แต่ต้องไปว่ากล่าวเอาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ในส่วนที่ว่าด้วยภาระจำยอม ส่วนโจทก์ที่ ๒ นั้นได้ความเพียงว่าเป็นผู้เช่าที่ดินจากโจทก์ที่ ๑ โดยไม่ปรากฏว่ามีนิติสัมพันธ์ใดๆกับจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ ๒ จึงไม่ใช่เจ้าหนี้ที่จะมีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เพิกถอนการฉ้อฉลได้เช่นกัน
หมายเหตุ (โดย อ.ไพโรจน์ วายุภาพ)
หมอเค้ก:
โจทก์ที่ ๑ อ้างว่าได้ภาระจำยอมมาโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๐๑ประกอบมาตรา ๑๓๘๒ ซึ่งเป็นเรื่องทรัพยสิทธิในบรรพ ๔ ซึ่งไม่ก่อให้เกิดหนี้ผูกพันให้จำเลยที่ ๑ ต้องจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ จึงไม่ใช่เจ้าหนี้ที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา ๒๓๗ ได้ แต่ถ้ามีข้อตกลงระหว่างโจทก์ที่ ๑ กับจำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ที่ ๑ มีสิทธิภาระจำยอมในทางเดิน ย่อมก่อให้เกิดหนี้ทำให้โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าหนี้มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา ๒๓๗ ได้
คำถาม กรณีผู้จำนองถึงแก่กรรม หากผู้รับจำนองประสงค์จะฟ้องบังคับจำนอง ต้องบอกกล่าวบังคับจำนองก่อนตาม ปพพ.มาตรา 728 หรือ 735 และต้องบอกกล่าวแก่ผู้ใด
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๕๕๓/๒๕๕๒ ในกรณีที่เจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้รับจำนองประสงค์จะฟ้องบังคับจำนอง ปพพ.มาตรา ๗๒๘ บังคับให้เจ้าหนี้ต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังผู้จำนองซึ่งเป็นลูกหนี้ในคำบอกกล่าวนั้นเจ้าหนี้จะต้องกำหนดเวลาให้ผู้จำนองชำระหนี้จำนอง และกำหนดเวลาดังกล่าวจะต้องเป็นกำหนดเวลาอันสมควรด้วย เพื่อให้โอกาสผู้จำนองชำระหนี้จำนอง ทำให้ไม่ต้องถูกฟ้องให้ศาลสั่งยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองไปขายทอดตลาดเอกเงินมาชำระหนี้ การบอกกล่าวจึงเป็นเงื่อนไขซึ่งโจทก์ผู้รับจำนองจะต้องกระทำให้ถูกต้องก่อนจึงจะฟ้องบังคับจำนองได้ การบอกกล่าวดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาซึ่งจะต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา คือผู้จำนอง เมื่อผู้จำนองถึงแก่กรรมก่อนผู้รับจำนองมีหนังสือบอกกล่าว แม้จะมีผู้อื่นรับหนังสือนั้นไว้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองที่ชอบด้วย ปพพ.มาตรา ๗๒๘
เมื่อผู้จำนองถึงแก่กรรม มรดกของผู้จำนองซึ่งรวมถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของผู้จำนองย่อมตกทอดแก่ทายาทตาม ปพพ.มาตรา ๑๕๙๙ ,๑๖๐๐ ถ้ามีผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองแล้ว โจทก์ผู้รับจำนองประสงค์จะบังคับจำนอง โจทก์ต้องมีหนังสือบอกกล่าวแก่ผู้รับโอนล่วงหน้าเดือนหนึ่งก่อนตาม ปพพ.มาตรา ๗๓๕ ถ้ายังไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนอง แต่ผู้จำนองมีทายาทหรือผู้จัดการมรดกโจทก์ต้องบอกกล่าวแก่บุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นเสมือนผู้รับโอนทรัพย์สินที่จำนองการบอกกล่าวนี้ต้องทำเป็นจดหมายหรือหนังสือ และต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ๑ เดือน โจทก์จึงจะฟ้องบังคับจำนองได้ โจทก์มิได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทของผู้จำนองก่อนฟ้อง และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำนอง
คำถาม การบังคับขู่เข็ญให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ ถือเป็นประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินในความผิดฐานกรรโชกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗ หรือไม่
คำตอบ มีคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยไว้ ดังนี้
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๖๔๕/๒๕๔๓ จำเลยที่ ๑ ใช้กำลังทำร้ายชกต่อยผู้เสียหายเพื่อบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายจำต้องลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขาย การที่จำเลยที่ ๒ พูดกับผู้เสียหายว่า คิดจะโกงหรืออย่ามาเล่นกับฉันนะ ในขณะที่จำเลยที่ ๑ กระชากคอเสื้อ ผู้เสียหายอยู่และต่อมาจำเลยที่ ๑ ต่อยที่บริเวณหางคิ้วซ้ายผู้เสียหายจนบาดเจ็บเลือดออก และพูดกับผู้เสียหายว่าให้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินมิฉะนั้นจะเจ็บตัวอีก ถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ เป็นตัวการร่วมกันกับจำเลยที่ ๑ ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายและร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้ในสัญญากู้เงิน สัญญากู้เงินก่อให้เกิดสิทธิในหนี้ซึ่งมีวัตถุแห่งหนี้เป็นเงินแก่ผู้ให้กู้จึงเป็นประโยชน์ในทางทรัพย์สินแก่ผู้ให้กู้ เมื่อจำเลยทั้งสองได้ไปซึ่งสัญญากู้เงินจากการข่มขืนใจโดยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายให้ยอมลงลายมือชื่อว่าเป็นผู้กู้เงินจากจำเลยที่ ๒ อันเป็นการได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแล้วจึงเป็นการร่วมกันกระทำผิดฐานกรรโชกและทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย
ประเสริฐ เสียงสุทธิวงศ์
บรรณาธิการ
noranit:
ขอบคุณ คุณ ป้า หมอ หลายๆๆ เด้อ..........
ที่มา http://www.thaijudge.com/index.php?topic=304.5;wap2
.
*****__________________*****
.
sithiphong:
ผมนำมาลงอีกรอบ จะได้อ่าน กัน ลืม เจตนาเพื่อให้ความรู้เป็นวิทยาทาน
.
ผมดำเนินรอยตามพระบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในเรื่องที่สอนคนให้ตกปลาให้เป็น ไม่ใช่การให้ปลาไปกิน
.
เมื่อให้ปลาไปกิน กินหมดแล้ว ก็ยังลำบาก หากินไม่เป็น ดังนั้น การให้ความรู้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในความคิดเห็นของผม
.
และผมเองมีไฟล์คำนวณที่ผมทำเอง เป็นไฟล์Excel หากท่านใดสนใจแจ้งมาผ่านไลน์ส่วนตัวผม แจ้ง ชื่อกับ Email แล้วผมจะส่งให้ท่าน และเมื่อท่านสงสัยว่า จะกรอกข้อมูลอย่างไร โทร.มาสอบถามผมได้ครับ
.
#เทคนิคการคำนวนเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้เห็นว่า #หากลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้แล้ว จะ #ประหยัดเงินในกระเป๋าในการผ่อนชำระสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ได้อย่างไร
.
ที่มา https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/789939917859063
จากที่ผมเขียนและเคยนำมาลงให้อ่านกัน
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/786109688242086
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/786860394833682
https://www.facebook.com/noom.sithiphong/posts/788218648031190
.
ในเจตนาที่ลงนี้ ผมต้องการให้ความรู้กับท่านผู้อ่าน เพื่อสร้างแนวคิดและสร้างประโยชน์ของตัวท่านเองในการจัดการทางการเงินของท่านเอง บุญกุศลนี้ ข้าพเจ้าขออธิษฐานว่า ตั้งแต่บัดนี้ ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นผู้ที่เรียนรู้และเข้าใจในเรื่องที่ข้าพเจ้าเรียนรู้ในเรื่องต่างๆได้อย่างง่ายด้วยเทอญ
.
ผมจะมาเปรียบเทียบให้เห็นว่า หากเรามีการขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ การRefinance สินเชื่อที่อยู่อาศัยไปสถาบันการเงินอื่นใน 3 ปีแรก หรือ ทุกๆ 3 ปี เราจะได้อะไร หรือ เสียอะไรบ้าง
.
**********_____ย้ำ ย้ำ และ ย้ำ ว่า ปัจจุบันนี้ ถึงแม้จะไปขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารเดิมแล้วไม่ถึง 3 ปี ถึงแม้จะไปขอลดอัตราดอกเบี้ยมาไม่กี่เดือน เมื่อเราเห็นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารอื่นต่ำกว่า เราสามารถเข้าไปทำเรื่องขอลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งได้_____**********
.
มายกตัวอย่างกันเลย ในตัวอย่างจะสมมุติว่า อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดอายุสัญญาฯ แต่หากอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลง ตัวเลขทั้งหมดจะมีการเปลี่ยนแปลงไป และในเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องที่ผมสมมุติตัวเลขขึ้นมา เพื่อให้ดูง่ายขึ้น และตัวเลขเป็นตัวเลขโดยประมาณการ แต่มีความใกล้เคียง ครับ
.
ธนาคารแก้มหอม
.
โปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ในกรณีที่มีการ Refinance ไปยังธนาคารแก้มหอม
.
อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.75%ต่อปี
.
อัตราดอกเบี้ย 3 ปีแรก MRR-3.85 หรือเท่ากับ 2.90%ต่อปี
.
อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป เท่ากับ MRR-0.50%ต่อปี หรือเท่ากับ 6.25%ต่อปี
.
ค่าธรรมเนียมต่างๆมีดังนี้
.
1.ค่าจดจำนอง(ที่กรมที่ดิน) 1% ของวงเงินกู้ (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท คิดค่าจดจำนอง ประมาณ 30,000.-บาท)
2.ค่าอากรสัญญากู้ คิดเป็น 0.05% ของวงเงินกู้ และ คู่ฉบับ 5 บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.- บาท คิดเป็นค่าอากร จำนวน 1,500 บาท บวก คู่ฉบับ 5 บาท) รวมเป็น 1,505.-บาท
3.ค่าประเมินราคา (สมมุติ) จำนวน 2,800.-บาท (ในกรณีที่วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท)
4.ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (สมมุติ) 10,000.-บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท)
5.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (สมมุติ) คิด 0.10%ของวงเงินกู้ ค่าธรรมเนียมในข้อนี้ ฟรี
6.ในกรณีที่ปิดบัญชีก่อน 3 ปี จะคิดอัตราดอกเบี้ย MRR% ต่อปี และเรียกคืนค่าธรรมเนียมในข้อ 5
.
ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)
.
อัตราดอกเบี้ย MRR = 7.125%ต่อปี
.
โปรโมชั่นอัตราดอกเบี้ย ในกรณีที่ลูกค้าขอลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย
.
อัตราดอกเบี้ย 1 ปีแรก 3.50%ต่อปี
.
อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 2 และ ปีที่ 3 MRR-3.00%ต่อปี หรือเท่ากับ 4.125%ต่อปี
.
อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-1.75%ต่อปี หรือเท่ากับ 5.625%ต่อปี
.
ค่าธรรมเนียมต่างๆไม่มี (ยกเว้นค่าธรรมเนียมประกันอัคคีภัยที่จะต้องต่ออายุ (สมมุติ) จำนวน 10,000.-บาท)
.
มาถึงข้อมูลเจ้าของบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัย
.
นายโน๊ตตี้ นามสกุลลูกพี่โบ๊ตซัง อายุปัจจุบัน 35 ปี เดิมมีวงเงินที่อยู่อาศัย 3,300,000.-บาท ทำประกันอัคคีภัยไว้ 3 ปี ปัจจุบันเมื่อครบ 3 ปี ภาระหนี้ลดเหลือ 3,000,000.-บาท มีค่าประกันอัคคีภัยที่ต้องจ่ายจำนวน 10,000.-บาท โดยใช้วงเงินสินเชื่อที่ ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)
.
ระยะเวลาคงเหลือในการกู้ตามสัญญากู้ฯ 25 ปี (300 เดือน) ผ่อนชำระเดือนละ 18,900.-บาท
.
อัตราดอกเบี้ยเดิมที่ใช้อยู่คือ MRR-1.75%ต่อปี คือ 5.375%ต่อปี
.
มาดูผลการคำนวนกันครับ
.
ในกรณีที่ไม่ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารณัชชี่ (เป็นการใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม)
.
ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 1
.
ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 212,876.76 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 467,523.24 บาท
.
ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 2,249,249.59 บาท
.
ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 278 เดือน
.
ในกรณีที่ 2 การขอลดอัตราดอกเบี้ย กับ ธนาคารณัชชี่ (เป็นธนาคารเดิมที่ใช้วงเงินสินเชื่ออยู่)
.
ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 2
.
ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 348,854.83 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 331,545.17 บาท
.
ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 1,867,726.09 บาท
.
ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 258 เดือน หรือ 21 ปีกว่าๆ
.
ในกรณีที่ 3 การ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย ไป ธนาคารแก้มหอม
.
ผลการคำนวณ จะอยู่ในตารางที่ 3
.
ในระยะเวลา 3 ปีต่อมา จะชำระต้นเงินกู้ไป 437,632.76 บาท และชำระดอกเบี้ยไป 242,767.24 บาท
.
ตลอดอายุสัญญากู้ฯ จะชำระต้นเงินไป 3,000,000.-บาท และชำระดอกเบี้ยทั้งหมด จำนวน 2,135,738.- บาท
.
ระยะเวลาการผ่อนชำระ (หากไม่มีการขอลดอัตราดอกเบี้ย จนตลอดอายุสัญญากู้ฯ หรือการRefinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น จำนวน 300 เดือน หรือ 25 ปี) จะมีระยะเวลา 278 เดือน หรือ 21 ปีกว่าๆ เช่นกัน
.
แต่ในกรณีที่ Refinance สินเชื่อที่อยู่อาศัย ไปธนาคารแก้มหอม ยังมีค่าธรรมเนียมต่างๆ อีกจำนวน 44,305.-บาท ตามรายละเอียดดังนี้
.
1.ค่าจดจำนอง(ที่กรมที่ดิน) 1% ของวงเงินกู้ (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท คิดค่าจดจำนอง ประมาณ 30,000.-บาท)
2.ค่าอากรสัญญากู้ คิดเป็น 0.05% ของวงเงินกู้ และ คู่ฉบับ 5 บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.- บาท คิดเป็นค่าอากร จำนวน 1,500 บาท บวก คู่ฉบับ 5 บาท) รวมเป็น 1,505.-บาท
3.ค่าประเมินราคา (สมมุติ) จำนวน 2,800.-บาท (ในกรณีที่วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท)
4.ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (สมมุติ) 10,000.-บาท (วงเงินกู้ 3,000,000.-บาท)
5.ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (สมมุติ) คิด 0.10%ของวงเงินกู้ ค่าธรรมเนียมในข้อนี้ ฟรี
.
เมื่อนำค่าธรรมเนียมต่างๆ จำนวน 44,305.- หักออกจากจำนวนดอกเบี้ย (ในกรณีที่ 2 คือ ขอลดอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารณัชชี่) ที่สามารถลดการจ่ายดอกเบี้ย และ นำเงินจำนวนนี้ ไปชำระต้นเงินกู้ได้อีก จำนวน 44,472.94 บาท (ได้จากการคำนวณตาข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 4 คือ 30,000 + 1,505 + 2,800 + 10,000 จะได้เท่ากับ 44,472.94 บาท)
.
หมายเหตุ ในกรณีนี้ ผมไม่นำเงินที่ได้จากการเวนคืนกรมธรรมประกันอัคคีภัยที่ต่ออายุกับธนาคารณัชชี่ มารวมคำนวณด้วย เนื่องจากผมไม่ทราบการคำนวณของบริษัทที่รับประกันอัคคีภัย
(ในกรณีที่มีการ Refinance จากสถาบันการเงินหนึ่ง ไปยังอีก สถาบันการเงินอีกแห่ง ส่วนใหญ่ วงเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย ครบ 3 ปีไปแล้ว แต่หากว่า มีการดำเนินการก่อนที่จะครบกำหนด 3 ปี แต่เราแจ้งการขอ Refinance ไปยังสถาบันการเงินอื่น เราจะไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน และต้องไปดำเนินการขอวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินอื่น ก่อนที่จะครบ 3 ปีด้วยเช่นกัน)
.
มาสรุปกันก็คือ หากเราสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้มากเท่าไหร่ ผลดีและผลเสียที่เราจะได้ก็คือ
.
1.ลดการชำระดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญากู้ฯได้มาก นี่ผมเพียงแค่คำนวณเรื่องของอัตราดอกเบี้ยในระยะเวลา 3 ปี เท่านั้นเอง หากเราสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ทุกๆ 3 ปี (สามารถดูได้จาก ตารางที่ 4) เราจะประหยัดเงินที่เราต้องจ่ายให้กับสถาบันการเงินได้มากขึ้น
.
2.ระยะเวลาในการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะลดลง จากเดิมต้องผ่อน 25 ปี (จากตัวอย่าง) เราสามารถผ่อนเหลือเพียง 21 ปี แต่ถ้าสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ทุก 3 ปี ระยะเวลาที่จะต้องผ่อนชำระ จะลดลงไปมากกว่านี้อีก
.
3.เราอาจจะเสียเวลาในการเตรียมเอกสารต่างๆ ที่จะต้องนำไปยื่นขอกู้กับสถาบันการเงินอื่นๆ
.
4.ในการขอสินเชื่อนั้น ทางสถาบันการเงินจะพิจารณาในความสามารถในการชำระหนี้คืน หากเรามีวินัยทางการเงินที่ดี มีการชำระหนี้ไม่ว่าจะเป็นหนี้ของสินเชื่อประเภทไหนๆก็ตาม ชำระหนี้ให้ตรงตามเวลาที่กำหนด , รายได้ของเรามีความชัดเจน , มีเอกสารที่เชื่อถือได้ประกอบในการขอสินเชื่อ ผลการพิจารณา น่าจะผ่านเกณฑ์การพิจารณาของสถาบันการเงิน ได้
.
5. *****ที่สำคัญเรื่องนี้เป็นเรื่องของท่านเอง ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง*****
.
6.สุดท้าย ผมแนะนำให้อ่านให้ละเอียด และแนะนำให้ท่านผู้อ่านไปศึกษาต่อกับท่านผู้รู้ หรือ ตามเว็บไซด์ที่เชื่อถือได้เพิ่มเติม ท่านผู้อ่านจะได้แนวคิดต่างๆ ที่มีผลต่อตัวท่านเอง และ เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวของท่านมาก หากท่านยังต้องใช้วงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน หากมีข้อสงสัย สอบถามได้ เรื่องใดที่ผมสามารถแนะนำให้ท่านได้ ผมยินดีครับ
.
#สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย
#การRefinanceสินเชื่อ
#การย้ายวงเงินสินเชื่อไปสถาบันการเงินอื่น
#อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
#การคิดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน
#ธนาคารพาณิชย์
#สินเชื่อRefinance
#สถาบันการเงิน
#อัตราดอกเบี้ย
#ประกันชีวิต
#ร้องเรียนผ่านคปภ.
#สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
#คปภ
sithiphong:
เรื่องที่ต้องรู้ สำหรับผู้ที่มีบัตรเครดิต
.
#บัตรเครดิต
#ธนาคาร
#ธนาคารแห่งประเทศไทย
#สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค #สคบ
#บัตรเครดิตถูกขโมย
#คำพิพากษาศาลฎีกา
.
---------------------
.
บัตรเครดิตถูกขโมย เจ้าของบัตรต้องรับผิดหรือไม่ (มีฎีกา)
.
บัตรเครดิตหายถูกขโมย แม้ถูกคนร้ายนำไปใช้ เจ้าของบัตร ไม่ต้องรับผิด เพราะ???
.
ปัญหาบัตรเครดิตถูกนำไปใช้เกิดขึ้นมากในบริบทของสังคม วิธีการแก้ปัญหาคือต้องรักษาและระวัง แต่ทางเลือกในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วต้องทำอย่างไร ทีมงานทนายกฤษดา ได้ค้นคว้าคำพิพากษาศาลฎีกาในเรื่องนี้มาให้พิจารณา
.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2552
.
ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในกรณีที่บัตรเครดิตสูญหาย ถูกลักขโมย หรือถูกใช้โดยบุคลอื่นโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ถือบัตร (จำเลย) ที่ได้แจ้งข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ศูนย์บัตรเครดิตของธนาคาร (โจทก์) ทราบแล้วโดยพลันเพื่อให้ระงับการใช้บัตรเครดิต ในภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นก่อนมีการแจ้งดังกล่าวในจำนวนเงินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตของผู้ถือบัตร ซึ่งถูกนำไปใช้โดยมิชอบ รวมถึงภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นหลังจากแจ้งให้ธนาคารทราบแล้วไม่เกิน 5 นาที
นอกจากจะขัดแย้งกับข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 6 วรรคสอง แล้ว ยังถือเป็นข้อสัญญาที่ทำให้จำเลยต้องรับภาระในหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตที่จำเลยไม่ได้ก่อขึ้นและไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย ทั้งโจทก์ยังมีทางแก้ไขความเสียหายของโจทก์ได้โดยหากโจทก์ตรวจสอบแล้วปรากฎว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลยผู้ถือบัตร โจทก์สามารถเรียกเงินที่ได้จ่ายไปคืนจากร้านค้าได้
ฉะนั้น เมื่อโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยว่าบัตรเครดิตได้สูญหายไปเพื่อขอให้โจทก์ระงับการใช้บัตรเครดิต โจทก์จะต้องรีบดำเนินการให้จำเลยโดยเร็ว ก็จะทราบได้ทันทีว่าลายมือชื่อผู้ใช้บัตรเครดิตในเซลสลิปไม่ตรงกับลายมือชื่อของจำเลย แสดงว่าร้านเจมาร์ทไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตรวจสอบลายมือชื่อในเซลสลิป ย่อมทำให้โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากร้านเจมาร์ทแทนการมาเรียกเก็บจากจำเลยได้ ซึ่งเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่โจทก์มิได้ทำเช่นนั้น โดยเห็นว่ามีข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 ที่ให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่แล้ว ถือเป็นการเอาเปรียบจำเลยเกินสมควรและเป็นการผลักภาระให้จำเลยต้องรับผิดเกินกว่าวิญญูชนทั่วไปจะคาดหมายได้ตามปกติ อันเข้าลักษณะข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ข้อตกลงการใช้บัตรวีซ่า ข้อ 8 จึงไม่มีผลใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์
.
มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
.
โทร 089-142-7773 ไลน์ไอดี Lawyers.in.th
.
https://www.lawyers.in.th/2014/12/02/credit-card-lost/?fbclid=IwAR1LMSe_7C4NH8TojsRCaBb2szCFfLlJiMyBx6MMmhv10DTCTLcJ0TmysCc
sithiphong:
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้า LTF ไม่ต่ออายุหลังสิ้นปีนี้?
.
ป็นประเด็นมาตั้งแต่ปีที่แล้วนะครับที่ออกข่าวแย้มๆ มาว่า สรรพากรจะไม่ต่อสิทธิลดหย่อนภาษีจากการซื้อกองทุนรวม LTF แล้วหลังปี 2562 (2019) หรือปีนี้
.
ถ้ารัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศต่อยังยืนยันเช่นเดิม ก็จะแปลว่า ปีนี้เป็นปีสุดท้ายที่เราจะใช้สิทธิซื้อ LTF เพื่อลดหย่อนนะครับ คราวนี้ มันมีหลายประเด็นที่เราในฐานะผู้เสียภาษีอาจสงสัยและเกิดตั้งคำถามขึ้นมา ผมลองรวบรวมคำถาม และตอบเป็นข้อๆ ให้หายสงสัยตามนี้ก็แล้วกัน
.
1.ถ้าไม่ต่ออายุ LTF เงินที่ครบเงื่อนไข ควรขายหรือย้ายกองออกไปไหม?
.
อันนี้แล้วแต่วัตถุประสงค์ของเงินลงทุนของเราเอง ผมเห็นหลายกรณี นักลงทุนที่ลงทุนใน LTF แล้วครบกำหนด เขาไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรต่อ และพึงพอใจกับผลการดำเนินงานของกองทุนในช่วงที่ผ่านมา ก็ถือต่อไป และให้ผู้จัดการกองทุนบริหารต่อ หากยังทำได้ดี เราก็ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่ม ดีกว่าไถ่ถอนออกมาแล้วเอาไปฝากประจำ หรือ ออมทรัพย์เอาผลตอบแทนต่ำติดดินครับ
.
แต่ถ้าจะโยกเงินออกมา สิ่งที่ต้องคิดคือ เรามีสินทรัพย์เป้าหมายที่จะลงทุนแล้วหรือยัง เปรียบเทียบแล้ว จะให้ผลตอบแทนคุ้มความเสี่ยงหรือเปล่า และอย่าลืมว่า การเข้าออกกองทุนมันมีค่าธรรมเนียม ซึ่งคุณคงต้องเอาส่วนนี้มาพิจารณาประกอบด้วย
.
2. เม็ดเงิน LTF ที่ถอนออกไป จะทำให้ตลาดหุ้นตกรึเปล่า?
.
หลายคนเชื่อว่า พอไม่ต่ออายุ LTF ก็แปลว่า เม็ดเงินในกองทุน LTF จะค่อยๆ ลดลง เพราะนักลงทุนทยอยไถ่ถอนออกไปเรื่อยๆ คำถามคือ มันจะถึงขั้นถอนกันจนตลาดหุ้นตกตามแรงขายไหม คำตอบคือ เม็ดเงินลงทุนใน LTF ทั้งหมด คิดเป็นเพียงแค่ประมาณ 4 % ของ Market Cap ของตลาดหุ้นไทย และเงื่อนไขการไถ่ถอน นักลงทุนไม่สามารถไถ่ถอนได้ทั้งหมดในปีเดียวอยู่แล้ว เพราะติดเงื่อนไขถือครองให้ครบ 7 ปีปฏิทิน
.
ซึ่งก็หมายความว่า เม็ดเงินลงทุนใน LTF จะค่อยๆ ถูกทยอยขายออกมาในอีก 6-7 ปีข้างหน้า (หากทุกคนเห็นตรงกันว่าต้องขายออก) แต่มุมมองส่วนตัวผมก็เชื่อว่า มีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่จะไม่ขายออกมา และถือเงินลงทุนก้อนนั้นต่อไป ทำให้เชื่อว่าไม่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยเลยครับ ตรงนี้ขอให้สบายใจได้ระดับหนึ่ง
.
3. กองทุนจะติดลบไหม ถ้าไม่มีเงินใหม่เข้ามาใน LTF?
.
โดยปกติแล้ว ทีมบริหารกองทุน หรือ ผู้จัดการกองทุน แต่ละบลจ. จะมีการกำหนดกลยุทธ์และการลงทุนตามแต่ละโมเดลซึ่งเป็นไปได้นโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน ซึ่ง LTF ของแต่ละบลจ. ส่วนใหญ่ เป็นหนึ่งในโมเดลการลงทุน ซึ่งมีกองทุนรวมปกติ ที่ไม่ใช่ LTF ที่ต้องบริหารจัดการต่ออยู่แล้ว ดังนั้น ในแง่การทำงานของผู้จัดการกองทุน จึงไม่ได้เกิดความยากมากขึ้น จากการที่ไม่มีเงินลงทุนเข้ามาใหม่ใน LTF
.
และจากการศึกษาของทีม Finnomena Analytics เราพบว่า ผลการดำเนินงานกองทุนรวมที่ไม่มี Flow ไหลเข้าออกจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนสูงกว่า กองทุนรวมที่มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าออกในระยะสั้น อย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งตีความได้ว่า กองทุนที่นักลงทุนทำการซื้อขายบ่อยๆ อาจทำให้ผู้จัดการกองทุนต้องคำนึงถึงการบริหารสภาพคล่อง จนมีผลต่อผลการดำเนินงานของกองทุนบ้าง ซึ่งถ้าเชื่อในประเด็นนี้ ก็แปลว่า การไม่มีเงินใหม่เข้าลงทุนใน LTF อาจเป็นการดีต่อผลการดำเนินงานกองทุนด้วย
.
จะยกเว้นก็แต่ว่า ถ้าขนาดของกองทุน LTF นั้นๆ ที่เราลงทุนอยู่ มีขนาดเล็กมากเกินไป ก็อาจส่งผลกระทบต่อแรงจูงใจในการบริหารพอร์ตของผู้จัดการกองทุนให้ลดลง นักลงทุนจึงควรคิดทั้งสองมุม และติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องด้วย
.
4. NAV จะลดลงเรื่อยๆ รึเปล่า?
.
นักลงทุนหลายคนเข้าใจผิดว่า เงินขายออกจากกองทุนเยอะๆ แล้วจะทำให้กองทุนมี NAV ที่ลดลง ยกตัวอย่างรูปด้านล่าง ซึ่งเป็นราคาต่อหน่วย และมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน TMBCOF ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 3 เม.ย. 2562)
.
ดูรูป 4
.
จะเห็นว่า NAV ของกองทุน TMBCOF วิ่งขึ้นมาตามตลาดหุ้นจีนที่รีบาวน์ต่อเนื่องในไตรมาส 1/2562 ที่ผ่านมา แต่จะเห็นว่า มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนไม่ได้วิ่งขึ้นตาม NAV สาเหตุเป็นเพราะ ระหว่างที่ขึ้นมา มีนักลงทุนขายทำกำไรออกจากกองทุนรวมออกไปด้วย ซึ่งนี่ก็คือ หลักฐานว่า ถึงจะมีแรงขายออกจากกองทุนที่เราถือ มันก็ไม่ได้เกี่ยวว่าจะทำให้ NAV กองทุนลดลง
.
(การดูกราฟมูลค่าทรัพย์สินสุทธินี้ นักลงทุนสามารถเข้าไปดูได้ผ่าน Mobile Application ของ FINNOMENA นะครับ)
.
NAV จะลดลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับราคาของสินทรัพย์ที่กองทุนไปลงทุนในเวลานั้นๆ มากกว่าว่าราคาสูงขึ้นหรือลดลงหรือเปล่านะครับ
.
5. กองทุนรวม LTF ที่มีอยู่ไว้แล้ว จะต้องถูกปิดลงไปด้วยหรือเปล่า?
.
กองทุนรวมนั้นๆ จะยังคงมีสถานะตามกฎหมายอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้สิทธิลดหย่อนแล้ว โดย บลจ. น่าจะเปลี่ยนนโยบายกองทุนให้เป็นกองทุนเปิดที่สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการเหมือนกองทุนรวมทั่วไป และนักลงทุนที่ใส่เงินใหม่เข้าไป ก็จะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปีอีกต่อไป
.
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็มีเงื่อนไขครับ เพราะถ้ากองทุนมีขนาดเล็กลงมาก จนบลจ.นั้นๆ เห็นว่า ค่าใช้จ่ายที่เก็บจากกองทุนอยู่ในระดับที่ไม่คุ้มทุน ทางบลจ. อาจมีการเสนอถือหน่วยเพื่อควบรวมกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเหมือนกัน ให้ได้ Economies of Scale หรืออาจเสนอผู้ลงทุนที่ครบเงื่อนไขระยะเวลาลงทุน ให้สับเปลี่ยนไปยังกองทุนที่มีนโยบายใกล้เคียงกัน และให้สิทธิลดค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนในช่วงเวลานั้นๆ ก็ได้ครับ
6. ถ้าไม่ต่ออายุมาตรการส่งเสริม LTF เราสามารถขายได้ทุกก้อนที่ซื้อมาก่อนเลยไหม?
.
ใจเย็นๆ นะครับ การไม่ต่ออายุ LTF คือ การไม่ให้สิทธิกับเงินก้อนใหม่ที่จะเข้ามาลงทุน ไม่ได้หมายความว่า เงินก้อนเก่าๆ ที่ลงทุนมาแล้วจะไม่ได้สิทธิด้วย ดังนั้น เงินลงทุนก้อนที่เราซื้อก่อนปี 2562 เรายังจำเป็นต้องถือให้ครบตามเงื่อนไขเดิม คือ 7 ปีปฏิทิน ไม่เปลี่นแปลงไปจากนี้แต่อย่างใดครับ
.
ซึ่งถ้าดูจากเงื่อนไขการขายคืนหน่วยลงทุนได้ ที่มีการปรับเปลี่ยนจาก 5 ปีปฏิทิน เป็น 7 ปีปฏิทินเมื่อปี 2559 ก็จะพบว่า ปี 2563 และปี 2564 กอง LTF จะไม่มีเงินถูกขายออกมา ทำให้ขนาดกองทุนจะไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และจะมีการขายอีกครั้งคือในปี 2565 ซึ่งมาจากยอดซื้อ LTF ในปี 2559 ที่ใช้เงื่อนไขใหม่ในการถือครองคือ 7 ปีปฏิทินนั่นเองครับ
.
7. ถ้าถือครบกำหนดขายคืนได้ แต่ตอนนั้น NAV ยังขาดทุน ควรทำอย่างไร?
.
ขึ้นอยู่กับมุมมองของนักลงทุนครับ เราคงต้องพิจารณาดูว่า ปัญหาขาดทุนที่เกิดขึ้น มาจากเงื่อนไขของตลาดหุ้นที่มันผันผวนเป็นขาลง หรือเกิดจากผลการดำเนินงานของกองทุนเองที่อาจจะไม่ดีเท่ากองทุนอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีการเปิดเผย Peer Performance เปรียบเทียบผลตอบแทนกองทุนกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มไว้ให้เราได้ตรวจสอบทุกเดือน รวมถึงศึกษานโยบาย วิธีการลงทุนของกองทุนว่าถูกจริตนิสัยกับเราหรือเปล่า ถึงตอนนั้นค่อยมาพิจารณาอีกทีครับว่า จะถือไปก่อน หรือว่าจะขายดี
.
ยกตัวอย่างการวิเคราะห์ความสามารถของกองทุน สามารถดูได้ใน Mobile Application ของ FINNOMENA ใน Function “Fund” และเลือกเมนูผลตอบแทน
.
ดูรูปที่ 7
.
กองทุนตัวอย่างคือ UOBLTF จะเห็นว่า มีการแสดงผลตอบแทนย้อนหลังขอกองทุน และค่า S.D. เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของกองทุนประเภทเดียวกัน ซึ่งหากผลตอบแทนสูงกว่าค่าเฉลี่ย ก็แปลได้ว่า เป็นกองทุนที่ดีระดับหนึ่ง ในขณะเดียว ถ้าค่า S.D. ต่ำกว่าเฉลี่ยกลุ่ม ก็แปลว่า กองทุนมีความผันผวนต่ำกว่ากองทุนอื่นๆ ซึ่งก็แปลว่า มีการบริหารความเสี่ยงดีเช่นกัน
.
และใน App FINNOMENA จะเห็นว่า มีการใส่ tag สีเขียว แบ่งเป็น 3 tag คือ ดีที่สุด, ดีมาก และ ดี ตรงนี้ จากกองทุนนั้นๆ ได้ tag ดีที่สุด จะแปลว่า เป็นกองทุนที่อยู่ในช่วงเปอร์เซ็นไทล์ที่ 1-5 ซึ่งแปลว่า ให้ค่าดีที่สุดเมื่อเทียบกับกองทุนประเภทเดียวกัน ขณะที่ tag ดีมาก แปลว่า เป็นกองทุนที่อยู่ในช่วงเปอร์เซ็นไทล์ที่ 5-25 และ tag ดี คือ อยู่ในช่วงเปอร์เซ็นไทล์ 25-50 ก็ถือว่าดีกว่ากองทุนประเภทเดียวกันกับกองทุนอื่นๆ อีกกว่าครึ่งที่มีขายอยู่ในตลาด ตรงนี้ ก็จะช่วยในการวิเคราะห์กองทุนได้เช่นเดียวกัน
.
สรุปจากทั้งหมดเลยก็คือ หาก LTF ไม่ต่ออายุจริงๆ ในแง่ของเงินลงทุนเก่า ไม่น่ามีผลกระทบอะไรกับนักลงทุนมาก และหากกระทบจริง เราก็เตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้าแล้วหลังจากอ่านบทความนี้ ส่วนทางสรรพากรจะมีการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่นๆ เพื่อชดเชยการหายไปของ LTF หรือไม่นั้น ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาทางเลือกต่างๆ ซึ่งหากได้เป็นรูปเป็นร่าง ก็จะมาแจ้งให้ทราบอีกทีครับ
.
https://www.finnomena.com/mr-messenger/what-happened-if-ltf/?fbclid=IwAR1IKU-1wXoc7lZUXZ3c6uXvhXJtGyob5ESLiugJ55yrNFPvVmZqNgbsSAE
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version