ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
sithiphong:
ผมว่า ไม่ใช่แค่ธุรกิจร้านอาหารเท่านั้น
.
ธุรกิจอื่นๆ ก็จะประสบกับการดำเนินธุรกิจเช่นกัน
.
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจท่องเที่ยว , ธุรกิจโรงแรม ฯลฯ
.
หรือแม้กระทั่ง การดำรงชีวิตของตนเอง
.
ในความเห็นส่วนตัวผม กว่าธุรกิจ และ ระบบเศรษฐกิจ ในประเทศไทย กว่าจะฟื้นตัว กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ น่าจะใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี คือ จะเริ่มดีขึ้นในปี 2566
.
ประคองตัวเองกันไปให้ได้ ด้วย ความปราถนาดี
.
ลองไปอ่านกันดู ครับ จะได้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิต และ แนวทางในการดำเนินธุรกิจของตนเอง
.
.
.*****************************************
.
.
บทเรียนจาก “อู่ฮั่น” แม้เปิดเมืองแล้ว ก็ยังไม่เหมือนเดิม โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร
.
ByBoom @BillionMinset
.23 April 2020
.
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่นำมาซึ่งมาตรการปิดเมืองต่างๆ นั้น ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก
.
และถึงแม้ว่าจะกลับมาเปิดเมืองตามปกติ แต่ก็ใช่ว่าธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ จะกลับมาเป็นปกติโดยทันที
.
เราจะพาคุณไปเรียนรู้จากเมืองอู่ฮั่น เมืองแรกของโลกที่โดนสั่งปิดเพราะโรคระบาดครั้งนี้..
.
ในความเป็นปกติ ที่ไม่ปกติ
.
หลังจาก 2 เดือนกว่าๆ ของการล็อกดาวน์ ช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เมืองอู่ฮั่นก็ได้กลับมาเปิดอีกครั้ง
.
ในขณะที่โรงพยาบาลสนามที่สร้างมาพิเศษ ได้ทยอยปิดตัวลง
.
ผู้คนเริ่มเดินทางไปไหนมาไหน ออกมาจับจ่ายใช้สอย พนักงานกลับมาทำงาน โรงงานก็กลับมาเปิดอีกครั้ง
.
แต่เพราะโควิด-19 ได้คร่าชีวิตชาวอู่ฮั่นไปประมาณ 2,500 ราย
.
ผู้คนจึงยังคงใช้ชีวิตแบบ “รักษาระยะห่าง” เป็นเรื่องปกติ
.
การใส่หน้ากากอนามัยกลายเป็นเรื่องปกติ
การตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าร้านค้า หรือก่อนเข้าทำงานกลายมาเป็นเรื่องปกติ
.
และเมืองอู่ฮั่นก็ยังคงเหมือนกับหลายๆ เมืองทั่วโลก นั่นก็คือผู้คนใช้ชีวิตแบบระมัดระวัง เพราะกลัวว่าโรคระบาดอาจจะกลับมาระบาดหนักขึ้นอีกครั้ง
.
ร้านอาหาร ธุรกิจที่ยังคงได้รับผลกระทบ
.
หลายคนอาจจะคิดว่า เมื่อกลับมาเปิดเมือง ธุรกิจอาหารที่ประสบปัญหาด้านยอดขาย จะมีลูกค้ากลับมากินกันอย่างคับคั่ง
.
ร้านหมูกะทะ ร้านชาบู จะต้องเนืองแน่นไปด้วยผู้คนซึ่งรอคอยวันเปิดเมืองมาโดยตลอด.. แต่มันจะเป็นแบบนั้นจริงหรือ!?
.
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ตามไปสัมภาษณ์ชีวิตของเจ้าของร้านหม้อไฟรายหนึ่งในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีร้านเปิดกว่า 10 สาขา
.
เมื่อเกิดการปิดเมือง ร้านทั้งหมดของเขาได้รับผลกระทบทันที เขาต้องตัดสินใจปิด 7 สาขารอง และเปิดเพียง 3 สาขาใหญ่ เพื่อทำตลาดแบบเดลิเวอรี่
.
แม้จะมีบริการเดลิเวอรี่มาช่วยอำนวยความสะดวก แต่ก็ยังคงทำยอดขายได้ประมาณ 20% ของยอดขายในช่วงปกติเท่านั้น
.
จนกระทั่งเมืองอู่ฮั่นกลับมาเปิดอีกครั้ง ก็ใช่ว่าลูกค้าจะกลับมาในทันทีทันใด
.
ธุรกิจร้านอาหารยังคงได้รับผลกระทบ เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากก่อนโรคระบาด
.
จากเดิมที่ตอนพักเที่ยงจะไปแออัดกันในร้านอาหารแถวออฟฟิศ มาถึงตอนนี้พวกเขาทำกับข้าวมาทานเองมากขึ้น บ้างก็ใช้วิธีสั่งเดลิเวอรี่จากร้านอื่นที่ไกลกว่ามาทานได้
.
โดยเฉพาะกับธุรกิจร้านหม้อไฟ ชาบู ปิ้งย่าง ที่อาจจะต้องเสี่ยงกับการทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เสี่ยงกับการไปตักวัตถุดิบที่ปนเปื้อนร่วมกับคนอื่น
.
ก่อนหน้าการระบาด ลูกค้าในเมืองอู่ฮั่นที่จะมากินร้านหม้อไฟแห่งนี้ในช่วงเวลาอาหารเย็น ต้องรอคิวประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้มันกลับดูเงียบเหงาลงอย่างชัดเจน
.
ย้อนกลับมามองที่ประเทศไทย
.
ธุรกิจที่สร้างรายได้ให้ไทยอย่างเป็นกอบเป็นกำ นั่นก็คือ “การท่องเที่ยว” และ “การส่งออก”
.
แม้ในไทยโรคโควิด-19 จะไม่ระบาดรุนแรง แต่ก็ระบาดรุนแรงมากทั้งในจีน ยุโรป และสหรัฐอเมริกา จึงน่าจะส่งผลกระทบด้านการท่องเที่ยวไทยและการส่งออกของไทยอย่างมหาศาล
.
แม้ธนาคารโลกจะประเมินไว้ว่า ผลกระทบจากโควิดทำให้ปีนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทย อาจติดลบได้ถึง -5% แล้วมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในปีหน้า
.
แต่เราก็ไม่สามารถรู้ว่า ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในเร็ววัน ไทยเราจะฟื้นตัวในปีหน้าได้จริงหรือไม่!?
.
กลับมาที่เรื่องของการเปิดเมือง ยอดผู้ติดเชื้อของไทยที่อยู่ในเกณฑ์ควบคุมได้ดี หลังจากนี้เราอาจจะได้เห็นมาตรการที่ผ่อนคลายลง
.
และถึงแม้จะผ่อนคลายถึงขั้น “อนุญาตเปิดทุกอย่างได้” แต่โรคระบาดก็ยังคงไม่หายไป เช่นเดียวกับความกังวลของผู้คนในสังคม ก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน
.
โดยเฉพาะกับธุรกิจร้านอาหาร หรือสถานบันเทิง ที่จะต้องมีคนเข้าไปแออัดกันในสถานที่แห่งเดียว คงจะเป็นงานเหนื่อยของเจ้าของธุรกิจ ที่จะต้องหาวิธีในการสร้างความเชื่อมั่นกลับมาอีกครั้ง
.
คุณคิดว่า.. หลังจากกลับมาเปิดให้บริการตามปกติแล้ว ร้านอาหารเป็นอย่างไร!?
.
ร้านจะต้องลดจำนวนโต๊ะลง เพื่อเพิ่มที่ว่างภายในร้านให้มากยิ่งขึ้นรึเปล่า!?
.
ร้านที่ขายแบบกลับบ้าน อาจจะได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะที่ร้านแบบปิด จะได้รับความนิยมน้อยลงหรือไม่!?
.
หรือการเดลิเวอรี่ โดยไม่ต้องสนใจหน้าร้านเลย จะกลายมาเป็นอีกรูปแบบใหม่ของการเปิดร้านอาหารในอนาคตได้หรือไม่!?
.
คุณมีความคิดเห็นอย่างไร มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกันครับ…
.
ที่มา https://www.billionmindset.com/case-study-from-restaurant-in-wuhan/?fbclid=IwAR1yNIbXK8jjQYDmPMJrycUNKXNJNnIEamRZRCVCFDaD8tA5D0qcgBjy4Qo
.
sithiphong:
ผมอยากให้ทุกคน คิด #วางแผนทางการเงิน , #การทำงานของตนเอง และ #การดำรงชีวิตในทุกๆด้านให้ดีๆ
.
ที่สำคัญอีกเรื่องก็คือ ต้องศึกษาและเรียนรู้ให้เท่าทันกับการวิวัฒนาการทางการเงินของโลก
.
เช่น #บล็อกเชน (#blockchain) , #แอปพลิเคชัน ต่างๆ (#application) , #ระบบงานต่างๆของสถาบันการเงิน ที่จะไปเกี่ยวของกับ #การทำธุรกิจ ต่างๆ ไม่ว่าเป็น #ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือ ขนาดใหญ่ , #การค้าขาย หรือ #การใช้แรงงาน เป็นต้น
.
เพราะปัจจุบันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในการทำงานมากขึ้นไปอีก
.
#เรียนรู้ให้สิ่งเหล่านี้ที่ผมบอกไปข้างต้น #ให้มาทำงานให้ตัวเรา
และ #ให้เงินทำงานแทนตัวเรา
.
ด้วยความปรารถนาดี
.
.
.*************************************
.
.
โพสโดย นายปั้นเงิน
วันที่ 27 เมษายน 2563 เวลา 18:13 น. ·
วิกฤตโรคระบาด “COVID-19” น่าจะเป็นวิกฤตการเงินที่คนวัย 23-30 ปีหรือกลุ่ม First Jobber ได้รับผลกระทบกับตัวเองเป็นครั้งแรก
.
เพราะวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ที่ผ่านมา อย่างต้มยำกุ้ง ปี 1997 หรือ Subprime Crisis ปี 2008 อาจจะเป็นวิกฤตที่ First Jobber รู้จัก แต่ผลกระทบจากวิกฤตการเงินในยุคก่อนหน้าไม่ได้เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้โดยตรง
.
แม้ COVID-19 จะเป็นการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 100 ปี แต่สำหรับคนอายุ 25-30 ปีแล้ว โรคระบาดชนิดนี้ไม่ได้มีฤทธิ์ร้ายทำให้วัยหนุ่มสาวต้องเจ็บป่วยจนถึงขั้นวิกฤต
.
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ ความเสียหายที่รุนแรงในวงกว้าง COVID-19 เป็นพายุลูกใหญ่ที่เกิดขึ้นกับชีวิต แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน
.
แค่อยู่ร่วมกับวิกฤตและเอาตัวรอดให้ได้ในสภาวะนี้ ผมคิดว่าหลายคนก็พยายามสู้กันอย่างเต็มที่แล้ว...
.
ซึ่งผมคิดว่าหลังจากนี้ คนที่รอดมาได้ ก็คงจะใช้ชีวิตอย่างรอบคอบขึ้นกว่าเดิม
.
และหลายคนก็คงเริ่มคิดถึง แผนการรับมือ และ แผนการฉุกเฉิน กันบ้างแล้วล่ะ
.
…
.
ในสถานการณ์จริง ผมคิดว่า “แผนการรับมือ” จะถูกนำมาใช้กับเหตุการณ์หรือวิกฤตในอนาคตที่มันมีความเสี่ยงจะเกิดขึ้น และเราคาดการณ์มันไว้ล่วงหน้าแล้ว
.
ถ้าตอนปลายปี 2019 ผมบอกทุกคนว่า “โควิด-19” จะกลายมาเป็นโรคระบาดรุนแรงในเดือนมกรา 2020 แล้วสมมติว่าทุกคนเชื่อผม ทุกคนก็จะเตรียมแผนรับมือผลเสียหายล่วงหน้า ใครกังวลเรื่องไหนก็จะวางแผนรับมือในเรื่องนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์จะเกิดขึ้นรวดเร็วและรุนแรงเพียงนี้ แผนการรับมือด้านต่างๆในชีวิตก็เลยถูกสร้างขึ้นอย่างเร่งด่วน ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพในการรับมือสักเท่าไหร่
.
สังเกตได้จาก ประกันภัยโควิด-19 ที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครให้ความสำคัญกับการวางแผนประกันสุขภาพมากเท่าที่ควร พอมีความเสี่ยงเรื่องการเงินเข้ามา ก็เลยต้องรีบทำประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
.
ถ้าเป็นโรงพยาบาลในเซี่ยงไฮ้ค่ารักษาโรคนี้จะอยู่ประมาณ 25,000 หยวน บวกลบ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 115,000 บาท ยังไม่รวมค่าตรวจและค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ค่ารักษาในบางโรงพยาบาลอาจจะสูงกว่านี้ แล้วช่วงพักฟื้นตัวจะใช้เงินอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้
.
ประกันโควิดจึงรับมือความเสียหายได้บางส่วน แต่ไม่ใช่กับทั้งหมด...
.
…
.
ต่างจากแผนการฉุกเฉิน ที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อเหตุการณ์ที่มันมีความเสี่ยงจะเกิดขึ้น โดยไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนไหน ความเสียหายเป็นเท่าไหร่ โอกาสเกิดความเสี่ยงเป็นเท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถประเมินได้
.
รู้เพียงแต่ว่ามันมีความเสี่ยงที่น่ากลัวนั้นอยู่
.
ประกันสุขภาพ และ เงินสดสำรองในบัญชีออมทรัพย์ ก็เลยกลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญของ “แผนการฉุกเฉิน”
.
ในเวลาแบบนี้ ใครที่มีไว้อยู่แล้วก็โล่งใจได้เปราะหนึ่ง เราแทบไม่ต้องทำอะไรมากมายในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน เพราะมีการวางแผนรับมือกับเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้โดยใช้เครื่องมือเหล่านี้อยู่แล้ว
.
เพราะสภาพคล่อง คือ สิ่งจำเป็นสำหรับคนที่มีภาระค่าใช้จ่ายคงที่ทุกเดือน
.
“เงินสดสำรอง” ก็กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวขึ้นมาในเวลานี้ ทันทีที่มีประกาศ พรก.ฉุกเฉิน หลายบริษัทปลดพนักงานบางส่วน หยุดการจ้างงาน หรือปรับลดเงินเดือน
.
ถ้ารายได้น้อยลง หรือไม่มีรายได้เลย แต่ค่าใช้จ่ายรายเดือนยังคงวิ่งอยู่เหมือนเดิม ก็อาจจะลำบากเราต้องไปใช้เงินในส่วนอื่น เช่น เงินลงทุน หรือเงินกู้ยืม ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
.
เงินสดสำรองยามฉุกเฉินที่ควรตุนไว้ เท่ากับค่าใช้จ่าย 6-12 เดือนของเรา ก็เลยเป็นสิ่งที่ควรมีอยู่ในแผนการฉุกเฉิน เพราะในอนาคตยังมีสถานการณ์ที่เราคาดไม่ถึงรออยู่อีกมากมาย
.
ส่วนใครที่มีประกันสุขภาพอยู่แล้ว ก็แทบไม่ต้องทำอะไรเลย
.
เพราะเตรียมความพร้อมสำหรับเรื่องฉุกเฉินเหล่านี้ไว้อยู่แล้ว
.
...
.
แผนการฉุกเฉิน มีไว้เพื่อให้อุ่นใจ และคลายความกังวลได้บางส่วนเมื่อความเสียหายนั้นเกิดขึ้นจริง แล้วค่อยใช้เงินหรือเวลาในส่วนที่เหลือในการสร้างแผนการรับมือแบบเร่งด่วนขึ้นมา
.
บาดแผลจากวิกฤตการณ์อาจสร้างความปวดร้าวให้กับเราได้ในชั่วขณะหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าหนทางชีวิตของคนหนุ่มสาวอย่างเรายังปูทางได้อีกยาวไกล สิ่งล้ำค่าที่เราได้รับมาเมื่อพายุพัดผ่านไปมันคือ “บทเรียนและประสบการณ์” ที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต
.
ผู้ใหญ่มักจะสอนเราเสมอว่า “ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ” ผมไม่รู้ว่าฟ้าจะสวยงามแค่ไหนเมื่อฝนผ่านไป แต่จากบทเรียนที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า..
.
พายุที่เข้ามาไม่สามารถโหมกระหน่ำเราได้ตลอดกาล
.
This too shall pass...แล้วมันจะผ่านไป
.
ปั้นเงิน
.
#นายปั้นเงิน #aomMONEYGURU #ออมมันนี่ฝ่าวิกฤตโควิด19
.
ที่มา https://www.facebook.com/artisanmoney/?__tn__=kCH-R&eid=ARCPlsyZkeG4Io0gl-KRxfSQS5NRltoull-0QcQHfXLwjCKTqI-4nzxJgjeWm8cMWbvzzCxxv-PLn6DB&hc_ref=ARTFH_18pzrKD2FWCEm4TDsqMeMICHiPs4GmR5gjrHkDzpOA1IrJOQHQReP7h3s3ktc&fref=nf
.
sithiphong:
อยากให้ฟังกัน แล้วนำไปคิด
เมื่อคิดแล้วจะได้ความรู้
นำความรู้ไปปฎิบัติเพื่อตนเอง
.
.
.****************************
.
.
อ.วีระ แนะวิธีรวย..เงินงอก รู้เท่าทันการลงทุน (05ธ.ค.62) ฟังหูไว้หู | 9 MCOT HD
.
https://www.youtube.com/watch?v=yYY5oy9jYik
.
โพสโดย
9 MCOT Official
6 ธ.ค. 2562
.
ฟังหูไว้หู |05ธ.ค.62 OnAir
.
.
.-----------------------------
.
.
#รายได้
#การลงทุน
#เงินต่อเงิน
.
sithiphong:
รู้ยัง! เพิ่มคุ้มครองประกันรถใหม่ ตายรับขั้นต่ำ 1 ล้านต่อราย ดีเดย์ 1 เม.ย.นี้
.
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 - 14:19 น.
.
ประกันภัยรถยนต์ปรับเพิ่มความคุ้มครอง พ.ร.บ.กรณีเสียชีวิตบุคคลภายนอกจ่าย 500,000 บาท และภาคสมัครใจ จ่ายขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 บาท รวมจ่ายขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทต่อราย เริ่มดีเดย์ 1 เม.ย.2563
.
สมาคมประกันวินาศภัยไทย ร่วมกับ สำนักงาน คปภ. กำหนดหลักเกณฑ์การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยปรับเพิ่มความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือ ประกันภัย พ.ร.บ. จากเดิม 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท โดยไม่ขึ้นค่าเบี้ยประกันภัย และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ปรับความคุ้มครองขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 บาท ผู้ประสบภัยจากรถได้รับค่าสินไหมทดแทนทั้งสองกรมธรรม์รวมกัน ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทต่อราย เป็นการยกระดับมาตรฐานการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป
.
นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงาน คปภ. และสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ร่วมพิจารณาปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ทั้งการประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจ เพื่อยกระดับมาตรฐานในการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ชัดเจน ครบถ้วนและเป็นธรรม โดยมีสาระสำคัญ คือ การปรับเพิ่มจำนวนเงินความคุ้มครองประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ หรือ ประกันภัย พ.ร.บ. กรณีผู้ประสบภัยจากรถเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือสูญเสียอวัยวะถึงขนาดที่กำหนด จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท โดยไม่มีการปรับเพิ่มค่าเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด และปรับความคุ้มครองการประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ โดยกำหนดเกณฑ์ในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 500,000 บาท หากประชาชนที่เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุทางรถ จะได้รับความคุ้มครองทั้งจากประกันภัย พ.ร.บ. และประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ รวมกันขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาทต่อราย โดยมีผลคุ้มครองเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป
.
เปิดรายละเอียด-เงื่อนไข “แจกเงินฟรี” 2 พันบาท ต้านพิษโควิด-19
.
สำหรับการปรับเพิ่มความคุ้มครองกรมธรรม์การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) และการกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน การประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับประชาชนที่เสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรด้วยความรวดเร็ว และเป็นธรรม สอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ สามารถลดข้อโต้แย้งระหว่างบริษัทประกันภัยและผู้เสียหายลงได้ ซึ่งจากบทเรียนที่ผ่านมาในหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า การจ่ายค่าสินไหมทดแทนในปัจจุบันนั้นไม่เพียงพอต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งการปรับเพิ่มความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.) นี้ ได้เคยมีการปรับเพิ่มมาเป็นลำดับ โดยปรับเพิ่มจาก 200,000 บาท เป็น 300,000 บาท เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2559 และครั้งนี้ปรับเพิ่ม จาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท ซึ่งผลจากการเพิ่มความคุ้มครองโดยไม่เพิ่มค่าเบี้ยประกันภัยนี้ คาดว่าจะทำให้บริษัทประกันภัยต้องแบกรับภาระต้นทุนความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงินกว่า 2,700 ล้านบาท แต่การปรับเพิ่มความคุ้มครองในครั้งนี้ สมาคมฯ เชื่อว่าจะสามารถลดข้อโต้แย้งระหว่างบริษัทประกันภัยและผู้เสียหายลงได้ ที่สำคัญประชาชนได้รับประโยชน์และเกิดความเชื่อมั่นในการได้รับความคุ้มครองและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการประกันภัยได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมมากขึ้น
.
นายอานนท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ได้ทำการปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวแล้ว สมาคมฯ จะได้เร่งดำเนินการจัดประชุมชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจและอธิบายแนวทางในการปฏิบัติตามกรมธรรม์ที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขได้อย่างถูกต้อง และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน พร้อมทั้งแลกเปลี่ยน และระดมความคิดเห็นระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สำนักงาน คปภ. บริษัทประกันภัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกำหนดจัดการประชุมชี้แจงขึ้นทั้งหมดรวม 5 ครั้ง ระหว่างวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ถึง 16 มีนาคม 2563 รวม 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา ชลบุรี และขอนแก่น ตามลำดับ ซึ่งการจัดครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ณ ห้องบอลรูม โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา ได้รับเกียรติจาก ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานในพิธี
.
นอกจากนี้ สมาคมฯ จะได้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข่าวสารความรู้ ความเข้าใจไปยังประชาชนทุกภาคส่วนให้ได้รับทราบถึงสิทธิประโยชน์และความคุ้มครองที่ได้รับจากกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวอีกด้วย
.
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า การประชุมชี้แจงการปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับและภาคสมัครใจครั้งนี้จัดเป็นครั้งแรก และเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมีความสำคัญต่อประชาชน จากอุบัติเหตุของไทยติดอันดับโลก โดยประกันภัยในประเทศไทยมีพอร์ตประกันรถค่อนข้างเป็นพอร์ตใหญ่ เบี้ยประกันรถยนต์ทั้งระบบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายมีแต่จะเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่พี่น้องประชาชนอยากได้รับก็คือการเยียวยาเรื่องประกันภัย
.
ปัจจุบันสภาวะเศรษฐกิจไทย ทำให้เกิดการแข่งขันด้านประกันรถยนต์รุนแรง มีการแข่งขั้นด้านตลาดในการบริการด้านสินไหมทดแทน แต่รู้สึกดีใจที่มีนวัตกรรมเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่จำเป็นต้องทำคือ หนุนให้ประชาชนทำประกันภัยมากขึ้น ซึ่งต้องสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นและความสำคัญของการประกันภัย แม้ปัจจุบันยังเป็นสัดส่วนที่น้อย อย่างกรณีภาคบังคับควรจะต้องเป็น 100% หรืออย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 90%
.
“เราผนึกกำลังกับภาคอุตสากรรมประกันภัย ด้านกำกับและส่งเสริมเป็นพันธมิตรในหลายๆเรื่องโดยไม่กระทบกับความเป็นกลาง โดยมีความจำเป็นปรับปรุงประกันภัยรถยนต์ และคู่มือตีความเพื่อสะท้อนปัจจัยที่มีการเปลี่ยนแปลง และลดการฉ้อฉลประกันภัย ซึ่งเป็นฟันเฟืองที่สำคัญ ที่ทำให้ตัวกรมธรรม์ต้องมีความชัดเจนสะท้อนภาวะปัจจุบัน จึงได้ปรับปรุงพิกัดอัตราเบี้ยใหม่ จากการประชุมหารืออย่างเข้มข้นอาจจะมีความไม่เข้าใจกันบ้าง แต่สุดท้ายการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียก็จบลงได้อย่างลงตัว ซึ่งการดำเนินงานครั้งนี้ได้รับความเห็นชอบแล้วจากทุกฝ่าย” นายสุทธิพลกล่าว
.
เบื้องต้นได้ลงนามไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 21 ก.พ.63 โดยให้เวลาบริษัทประกันปรับปรุง และเป็นของขวัญประชาชน โดยคำสั่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.63
.
ขณะนี้คู่มือตีความกำลังจะเข้าตามมาในไม่ช้า ซึ่งเดินหน้าไปพอสมควร ภายในเดือนนี้น่าจะมีความคืบหหน้าและภายในช่วงสงกรานต์นี้จะแล้วเสร็จทั้งหมด รวมถึงการกำหนดเบี้ยรหัสรถยนต์ขับเคลื่อนไฟฟ้าด้วย
.
ที่มา https://www.prachachat.net/finance/news-423815
.
sithiphong:
.
7 เทคนิคใช้ 'บัตรเครดิต' ไม่ติดกับดัก 'หนี้บัตรเครดิต'
.
2 มกราคม 2564
.
โพสโดย กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
.
เปิด 7 วิธีใช้ "บัตรเครดิต" ให้ไม่ติดกับดักวังวน "หนี้" และ "ดอกเบี้ย" แถมยังทำให้คุณ "รวย" ขึ้น!
.
"บัตรเครดิต" จะเป็นเพื่อนรักหรือศัตรูตัวฉกาจ ขึ้นอยู่กับการใช้งานของเรา บางครั้งบัตรเครดิตทำหน้าที่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และมีสิทธิประโยชน์ แต่บางครั้งถ้าใช้ไม่เป็น ขาดความรู้ความเข้าใจจะติดกับดักที่หอมหวาน และอาจกลายเป็นผู้ที่มีหนี้สินที่ไม่ควรจะมีได้ง่ายๆ
.
"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ชวนไปดูวิธีใช้บัตรเครดิตที่ควรทำ 7 ข้อ ที่จะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ติดกับดักหนี้ และทำให้คุณสนุกกับการบริหารเงินในฐานะ "ลูกหนี้ชั้นดี"
.
.
1. ไม่จ่ายแค่ "ขั้นต่ำ" เด็ดขาด!
.
การใช้บัตรเครดิตแบบผิดๆ คือ การให้บัตรเครดิตเป็น "เจ้าหนี้เงินกู้" คือใช้รูดสินค้าจำนวนมากในคราวเดียว หรือรูดรวมภายในยอดบิลเดียวกัน ยอดหนี้จะกองเพนินเป็นกองใหญ่ แล้วมาทยอยจ่ายขั้นต่ำทีหลัง
.
เช่น ยอดเต็ม 20,000 บาท จ่ายขั้นต่ำที่ 10% ของยอดที่ใช้ คือ 2,000 บาท บัตรเครดิตจะคิดดอกเบี้ยขั้นต่ำ 18-20% ต่อปีทันที ซึ่งหากจ่ายขั้นต่ำไปจนเรื่อยๆ ทุกๆ เดือนดอกเบี้ยจะพอกพูนเป็นเงินต้นและคิดดอกเบี้ยทับอีกตลบจนกลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่ได้
.
สาเหตุที่ควรจ่ายบัตรเครดิตขั้นต่ำโดยเด็ดขาดคือ เพราะหลังจากที่มีการจ่ายขั้นต่ำ ผู้ให้บริการจะคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตแบบ 2 เด้ง ดังตัวอย่างต่อไปนี้
.
ดอกเบี้ยเด้งที่ 1 .วิธีการคิดดอกเบี้ยเด้งที่ 1 : ยอดที่ใช้จ่ายทั้งหมด x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันจากวันที่ทำรายการถึงวันที่สรุปยอดบัญชี / จำนวนวันใน 1 ปี
.
ดังนั้นดอกเบี้ยเด้งที่ 1 คือ 20,000 x 18% x 22 / 365 = 216.99 บาท
.
ดอกเบี้ยเด้งที่ 2
.
วิธีการคิดดอกเบี้ยเด้งที่ 2 : ยอดคงค้าง x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันจากวันที่ชำระคืนบางส่วน ถึงวันสรุปยอดบัญชีครั้งถัดไป / จำนวนวันใน 1 ปี
.
ดังนั้นดอกเบี้ยเด้งที่ 2 คือ 18,000 x 18% x 12 /365 = 168.66 บาท
.
เพราะฉะนั้น วันสรุปบัญชีรอบใหม่ จะต้องจ่าย 216.99 (ดอกเบี้ยเด้งที่ 1) + 168.66 (ดอกเบี้ยเด้งที่ 2) และ 18,000 (ยอดคงค้าง) รวมเป็น 18,385.65 บาท .
โดยจะถูกคิดดอกเบี้ยในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจ่ายครบทั้งต้นทั้งดอก ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ายังจ่ายยอดเก่าไม่หมดแล้วรูดยอดใหญ่เพิ่มขึ้นไปอีก หนี้บัตรเครดิตเหล่านี้จะกระชากคุณลงสู่วังวนหนี้ในทันที และแน่นอนว่าถ้าไม่สามารถชำระได้หมดตามระยะเวลา คุณจะถูกตราหน้าเป็นลูกหนี้ชั้นแย่ และส่งผลกระทบต่อการขอสินเชื่อที่จำเป็นในอนาคตได้
.
2. จำกัดวงเงิน ต่อรอบบิล
.
ปกติวงเงินในบัตรเครดิตมักจะอนุมัติประมาณ 1.5 ของเงินเดือนขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่าการมีบัตรเครดิต ทำให้เราเหมือนมีเงินสำรองก้อนหนึ่งอยู่ในมือ แต่ถ้ารูดเต็มวงเปรี๊ยะตั้งแต่รอบแรก โดยไม่มีเงินสำรองจ่าย แล้วรอเงินเดือนที่จำนวนพอๆ กับเงินที่ใช้ไปล่วงหน้าไปจ่ายบัตรเครดิต ชีวิตคุณจะเปลี่ยนเป็นคนทำงานเพื่อถวายตัวให้หนี้บัตรเครดิตไม่รู้จบ
.
ฉะนั้น ก่อนใช้บัตรเครดิตในแต่ละเดือนจึงควร "จำกัดวงเงินที่จะใช้แต่ละเดือนให้ชัดเจน" โดยประเมินตามกำลังการจ่ายของตัวเอง เช่น วงเงินทั้งหมด 30,000 บาท จำกัดการใช้ต่อเดือน 10,000 บาท เพื่อเป็นกรอบเตือนสติไม่ให้ใช้เงินเกินกำลังในการชำระคืนในแต่ละเดือน ซึ่งวิธีนี้จะช่วยป้องกันการรูดเพลินเกินห้ามใจ และกลายเป็นภาระหนักอึ้งที่ตามมา
.
3. รูดเท่าไร จ่ายเท่านั้น
.
“จ่ายเต็มจำนวนทุกครั้ง” เป็นวิถีของลูกหนี้ชั้นดี ที่ทำให้บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์ เพราะการชำระเต็มจำนวนตามเวลาที่กำหนด หรือจ่ายภายในระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย (แต่ละบัตรมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน) จะไม่ถูกคิดดอกเบี้ยใดๆ เลย ในทางตรงกันข้าม หากจ่ายแค่ยอดขั้นต่ำจะถูกคิดดอกเบี้ยแบบ 2 เด้งตามวิธีการคิดเบื้องต้นในข้อที่ 1 ด้วย
.
นอกจากการจ่ายเต็มวงเงินที่ใช้จะช่วยให้เป็นกันชนไม่ให้เราหลุดเข้าไปในกับดักของหนี้บัตรเครดิตที่ดอกเบี้ยโตเร็วมากๆ แล้ว ยังทำให้คุณกลายเป็นลูกหนี้ชั้นดีที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากการใช้บัตรเครดิตตามมาไม่หวาดไม่ไหวได้ในอนาคตอีกด้วย
.
4. ไม่มีเงินไม่รูด หรือเก็บเงินก่อนรูด
.
หลายคนเข้าใจว่า บัตรเครดิตทำหน้าที่เป็น "เงินอนาคต" ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วในอนาคตเราอาจจะไม่เงินก้อนนั้น และการรูดซื้อของไปล่วงหน้า เท่ากับเรากำลังมีเงินติดลบเสียด้วยซ้ำ
.
การเก็บเงินก่อนรูดเป็นการสร้างเงินสำรองขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่าเรามีกำลังที่จะชำระเงินคืนได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดควรมีเงินสดสำรอง 50% ของสินค้าที่จะซื้อผ่านบัตรเครดิต เพื่อเตรียมสะสมสำหรับจ่ายเต็มจำนวนในเดือนถัดไป
.
หรืออีกหนึ่งวิธีคือการ "ซ้อมเป็นหนี้" ก่อนผ่อนชำระจริง เช่น ต้องการซื้อสินค้าราคา 30,000 บาท โดยใช้สิทธิประโยชน์ผ่อน 0% เป็นเงิน 3,000 เป็นเวลา 10 เดือน จะต้องมีการหักเงินเข้าบัญชีเพื่อซ้อมผ่อน ก่อนจ่ายจริงอย่างน้อย 3-5 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินทางการเงินเกิดขึ้นระหว่างที่อยู่ในโปรแกรมผ่อนชำระ เราจะยังสามารถผ่อนชำระได้ตรงตามเวลา แบบปลอดดอกเบี้ยได้สบายๆ
.
แม้จะดูเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่เป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะเกินครึ่งของคนที่ติดกับดักหนี้บัตรเครดิต คือคนที่เชื่อมั่นในตัวเองว่าจะสามารถหาเงินมาจ่ายได้ในอนาคต ทั้งๆ ที่ไม่มีเงินในมือ และปราศจากการวางแผนในจุดนี้กันทั้งนั้น
.
5. จ่ายตรงตามเวลาทุกเดือน
.
จ่ายตรงตามเวลาทุกเดือน การจ่ายเงินคืนบัตรเครดิตตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดทันทีที่สรุปยอดบิล หรือจ่ายก่อนวันครบกำหนดชำระ นอกจากเราจะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยที่ไม่ควรเสียแล้ว การจ่ายเงินตามเวลาที่กำหนดยังช่วยรักษาสถานะลูกหนี้ชั้นดี ที่อาจส่งผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคตด้วย
.
6. ทำความเข้าใจ "ใบแจ้งหนี้"
.
เอกสารแจ้งหนี้ หรือใบแจ้งหนี้แบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม และไม่ยอมศึกษาอย่างละเอียด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วการตรวจสอบใบแจ้งหนี้อย่างละเอียดทั้งวันที่สรุปยอด วันครบกำหนดชำระ โดยเฉพาะช่วงที่มีการผ่อนจ่าย ที่อาจมีการคำนวณดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น หากไม่ตรวจสอบและทำความเข้าใจการคิดอัตราดอกเบี้ย หรือรอบการจ่ายในแต่ละเดือนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด จนนำไปสู่การวางแผนชำระหนี้ผิด อาจส่งผลกระทบด้านการเงินอื่นๆ ที่ตามมาได้
.
สำหรับผู้ให้บริการบัตรเครดิตในปัจจุบันสามารถตรวจสอบยอดเงินที่ใช้ ยอดเงินที่ชำระ ที่อัพเดทแบบเรียลไทม์ ผ่านแอพพลิเคชั่นของแต่ละธนาคาร ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบความเคลื่อนไหวของการใช้จ่ายของตัวเองได้อย่างละเอียด และสามารถระงับการใช้งานได้ทันท่วงทีเมื่อมีแจ้งเตือนการใช้บัตรที่ผิดปกติ
.
7. ใช้สิทธิพิเศษของบัตรให้เป็นประโยชน์
.
ข้อดีของการใช้เครดิตที่แตกต่างจากการใช้เงินสด คือ สิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ "เงินสดให้ไม่ได้" ซึ่งการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้จะตามมาอัตโนมัติ ถ้าใช้เราสามารถบริหารจัดการบัตรเครดิตได้ 6 ข้อด้านบน หรือรักษาสถานะลูกค้าชั้นดีมาอย่างต่อเนื่อง โดยบัตรเครดิตแต่ละธนาคาร หรือบัตรแต่ละประเภทย่อมให้สิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป
.
ฉะนั้นก่อนเลือกสมัครบัตรเครดิต ลองเลือกบัตรที่มีคุณสมบัติที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ตัวเองมากที่สุด เช่น สายช้อปปิ้ง เลือกบัตรที่ให้สิทธิประโยชน์ร่วมกับร้านรีเทล ศูนย์การค้า หรือร้านที่ใช้บริการเป็นประจำ เป็นต้น
.
สำหรับสิทธิพิเศษของบัตรมีหลายรูปแบบ ขอยก 3 ตัวอย่างที่มีให้ในบัตรเครดิตส่วนใหญ่ อย่าง การใช้แต้มบัตรเครดิต การผ่อน 0% และการรับเครดิตเงินคืน
.
ใช้แต้ม : ทุกครั้งที่มีการใช้และจ่ายคืนผ่านบริการผ่านบัตรเครดิตจะได้รับแต้มสะสมตามข้อกำหนดของแต่ละบัตร ซึ่งบรรดาแต้มเหล่านี้จะผุดขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อใช้จ่ายอย่างมีวินัย แต้มเหล่านี้สามารถสะสม เพื่อแลกรับของกำนัลรูปแบบต่างๆ ได้ ตั้งแต่ของเล็กๆ น้อยๆ อย่างชานมไข่มุก ไต่ขึ้นไปเป็นของใช้ เช่น กระเป๋า เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือแม้แต่ส่วนลดค่าบริการร้านอาหาร โรงแรมชั้นนำ ฯลฯ ซึ่งแต้มเหล่านี้คือกำไรที่สามารถลดต้นทุนการใช้เงินของเราในครั้งต่อๆ ไปได้
.
ผ่อน 0% : โปรโมชั่นยอดฮิตที่มีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่ต้องการซื้อสินค้าบางอย่างที่มีมูลค่าสูงได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในคราวเดียว สามารถทยอยจ่ายเป็นก้อนเล็กๆ โดยไม่มีเสียดอกเบี้ยใดๆ เลย
.
อย่างไรก็ตาม การผ่อน 0% มีข้อควรระวัง คือการเลือกการผ่อนเป็นระยะเวลานาน พร้อมกันหลายๆ สินค้า ซึ่งทำให้ต้องแบกภาระต่อไปเป็นเวลานาน และอาจมีเงินไม่เพียงพอต่อการผ่อนจ่าย ซึ่งเป็นกับดักให้หลายต่อหลายคนเดินทางไปสู่วังวนของการชำระหนี้ไม่ตรงเวลาเพราะชักหน้าไม่ถึงหลัง และโดนหนี้ล้มทับได้เช่นกัน
.
เครดิตเงินคืน : หรือที่เรียกกันติดปากว่า Cashback เป็นสิทธิประโยชน์ของผู้ใช้ได้เงินคืนเข้าสู่บัญชีบัตรเครดิตทุกครั้งที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เสมือนได้ส่วนลดในการใช้จ่ายแต่ละรอบ ทั้งนี้ เงื่อนไขของการให้เครดิตเงินคืนแต่ละครั้ง มักจะมีเงื่อนไขกำหนดอยู่ เพราะฉะนั้นอย่ารูดเพื่อหวังเงินคืนจนลืมมองดอกจันตัวเล็กๆ ที่ระบุเงื่อนไขอยู่ด้วย
.
ที่ผ่านมา เชื่อว่าหลายคนเผลอใช้บัตรเครดิตหละหลวมไปจาก 7 ข้อที่กล่าวถึงบ้าง บางข้ออาจไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมาก แต่หากเกิดขึ้นต่อเนื่อง หรือบ่อยครั้งขึ้น ผลของการใช้บัตรเครดิตแบบไม่ระมัดระวังเหล่านี้จะกลับมาเล่นงานในระยาวได้เช่นกัน
.
เพราะเจ้าหนี้ในอนาคตของคุณจะสามารถตรวจสอบพฤติกรรมการชำระหนี้ย้อนหลังที่ปรากฏในเครดิตบูโร หรือ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (National Credit Bureau) เป็นเวลา 36 เดือนหรือ 3 ปี ซึ่งหากประวัติการชำระหนี้ไม่น่ารักอย่างที่ควรจะเป็น ก็มีส่วนทำให้โอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อที่มีความจำเป็นหลุดลอย (ในระยะเวลาหนึ่ง) ได้เช่นกัน
.
ฉะนั้น ก่อนที่จะสมัครบัตรเครดิต หรือก่อนหยิบบัตรเครดิตมาใช้ทุกครั้ง อย่าลืมทบทวนถึงวิธีการใช้บัตรเครดิตทั้ง 7 ข้อนี้ เพื่อสุขภาพการเงินที่ดีของตัวเอง
.
.
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version