ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
sithiphong:
คาดมัดประกัน-กองภาษี หักลดหย่อนวงเงินเดียว
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138534-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
13 พฤศจิกายน 2555 14:44 น.
บิ๊ก บลจ.มั่นใจคลังไม่เลิกลดหย่อนภาษีกองทุนรวม แต่อาจปรับเกณฑ์จับมัดกอง LTF-RMF และประกันชีวิตลดหย่อนภาษีวงเงินเดียวกัน 7 แสนบาทแทน ยอมรับเจาะตลาดยากกว่าธุรกิจประกัน แต่เชื่อคนที่เคยลงทุนแล้วจะเข้าใจความสำคัญแน่นอน พร้อมเล็งส่งเสริมเต็มที่ หวังปี 59 คนไทยเข้าใจการลงทุนระยะยาวมากขึ้น
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า จากการที่กระทรวงการคลังจะทบทวนสิทธิการลดหย่อนภาษีกองทุน LTF-RMF นั้น ทางกระทรวงการคลังจะมีการต่ออายุไปอย่างแน่นอน เพราะกองทุน LTF และ RMF เป็นการส่งเสริมการออม หากยกเลิกจะส่งผลต่อเม็ดเงินที่จะไปลงทุนในตลาดหุ้นอย่างแน่นอน แต่มองว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องมาตรการการลดหย่อนภาษีในรายการต่างๆ เช่น ประกัน หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพื่อกระตุ้นระบบการออมเงินของคนให้มากขึ้น
โดยรูปแบบที่พูดถึงกันแต่ยังไม่ได้สรุป คืออาจจะให้มีการรวมกลุ่มการลงทุนที่ลดหย่อนภาษีให้เพดานลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 700,000 บาท ซึ่งให้สัดส่วนเพดานการลดหย่อนภาษีของแต่ละธุรกิจไปตามความความสามารถในการกระตุ้นการออมกับประชาชน
อย่างไรก็ตาม มองว่าแต่ละธุรกิจยังมีความแตกต่างกัน เช่น เรื่องค่าฟี หรือการหาลูกค้า แต่เชื่อว่ากองทุนรวมยังมีความสำคัญต่อการออมของคนในประเทศ รวมไปถึงเม็ดเงินในการลงทุนในตลาดหุ้นและการระดมทุน ซึ่งทาง บลจ.ทำงานกันอย่างเต็มที่ในเรื่องการกระตุ้นให้คนออมเงินและการลงทุนเพื่อใช้ในยามเกษียณอายุ
นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง กล่าวว่า ข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อการผลักดันกองทุน LTF และ RMF นั้น ส่วนตัวแล้วมองว่าอุตสาหกรรมควรนำไปพิจารณาว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้ามองลึกลงไปธุรกิจประกันมีบุคลากรจำนวนมาก และมีสินค้าประกันเป็นหลัก การเจาะตลาดจึงทำได้ง่ายกว่า
นอกจานี้ โครงสร้างเอื้อให้จ่ายผลตอบแทนผู้ขายโดยขึ้นกับจำนวนที่ขายได้ ต่างจากผู้ขายในส่วนของธนาคารซึ่งมีสินค้าขายจำนวนมากมายหลายด้าน การเจาะตลาดผ่านธนาคารโดยให้เน้นกองทุนจึงอาจจะยากกว่าบ้าง
ส่วนกองทุน RMF เป็นกองทุนที่รัฐให้เกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องลงทุนทุกปีเพื่ออนาคตในยามเกษียณของผู้ลงทุน การให้ลดหย่อนภาษีได้ก็เพราะแนวคิดที่ว่าหากคนจำนวนหนึ่งสามารถออมเพื่อตนเองจนมีเพียงพอในยามเกษียณก็จะช่วยลดภาระของรัฐในการต้องใช้งบประมาณจำนวนหนึ่งมาดูแลเขาถึงให้ลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งตรงนี้มองว่าไม่ควรเอามาปนกันกับเรื่อง LTF เพราะมันเกิดมาด้วยวัตถุประสงค์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
“สุดท้ายคือ เรื่องที่ธุรกิจประกันมาเบียดเรื่องภาษีของกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไปได้โดยให้คิดเป็นเม็ดเงินลดหย่อนภาษีรวมได้นั้น มองว่าเป็นวิจารณญาณของสรรพากรและคลังจึงไม่มีความเห็นใด แต่ไม่ได้มองว่าเป็นผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกองทุนแต่ประการใด เพราะหากเราเจาะตลาดไม่ได้ดีเท่าประกันชีวิตประชาชนก็ยังได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีผ่านการทำประกันชีวิต ส่วนคนที่ลงทุนในกองทุนแล้วเชื่อว่าน้อยรายจะไม่ลงทุนต่อ”
นางวรวรรณกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม บลจ.ยังมีเวลาอีก 4 ปีกว่าจะถึงปี 2559 อย่าไปมองว่ามันจะเป็น LTF Cliff เหมือนเป็น Fiscal Cliff และควรเน้นการทำให้ผู้ลงทุนเข้าใจประโยชน์ของการลงทุนยาวๆ ในหุ้น ไม่ควรเน้นการไปขอให้รัฐช่วยเรื่องภาษีแต่เพียงอย่างเดียว เพราะหากไม่มีภาษีช่วยแล้วผู้ลงทุนจะไม่ลงทุนในกองทุนหุ้นอีกต่อไป มันก็แปลว่าการที่รัฐเอาภาษีมาช่วยนั้นเป็นการเสียเปล่า
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ที่ผ่านมากองทุน LTF-RMF ได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษี ต้องยอมรับว่าได้สร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้สร้างเสถียรภาพที่ดีให้ตลาดหุ้นไทยด้วย โดยก่อนหน้านี้หลาย บลจ.เข้าใจว่านโยบายสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะหมดอายุในปี 2559 ซึ่งหากกระทรวงการคลังอนุมัติโครงการต่อก็เป็นเรื่องที่ดี แต่หากไม่ได้รับการอนุมัติก็อาจจะส่งผลกระทบทำให้เม็ดเงินลงทุนใหม่จากนักลงทุนใหม่ๆ เข้ามาลงทุนน้อยลง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่ที่เข้าใจการลงทุนและนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุน LTF-RMF นั้นได้เห็นประโยชน์จากการลงทุนระยะยาว ซึ่งกองทุนรวมหุ้นระยะยาวส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนที่ดี ส่งผลให้กองทุน LTF และกองทุนหุ้นอื่นๆ ได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันกองทุน LTF มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับกองทุนหุ้น
“เรามองว่าน่าเสียดายมากถ้าหากโครงการสิทธิทางภาษีของกองทุน LTF-RMF ไม่ได้รับการต่ออายุ อาจจะส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนใหม่ๆ เข้ามาลงทุนน้อยลง จริงๆ แล้วเม็ดเงินจากกองทุนนั้นสร้างความเสถียรภาพที่ดีให้ตลาดหุ้นไทยด้วย”
http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138534
.
sithiphong:
.
เคล็ดลับการเลือกลงทุนในกองทุนประเภทกองทุน LTF/RMF
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 พฤศจิกายน 2555 06:59 น.
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000139730-
Design your life by Mutual Fund
ชาคริต พืชพันธ์
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)
ปัจจุบันกองทุนรวมที่เป็นทางเลือกในการลงทุนมีหลากหลายประเภทด้วยกัน โดยมีความแตกต่างทั้งในเรื่อง นโยบายการลงทุน ผลตอบแทน และระดับความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนเพื่อประหยัดภาษี และเป็นการออมระยะยาวแล้ว กองทุนประเภท RMF/LTF เป็นทางเลือกที่ควรให้ความสนใจ แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงเคล็ดลับในการลงทุน ท่านผู้อ่านควรทำความรู้จักกับกองทุน RMF และ LTF กันก่อน
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) เป็นกองทุนที่มีจุดประสงค์ที่ต้องการสนับสนุนการออมเพื่อใช้ในวัยเกษียณ โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจ กองทุนนี้เปิดโอกาสให้ทั้งผู้มีรายได้ประจำ หรือผู้มีสวัสดิการอยู่แล้วแต่ต้องการสะสมเงินออมเพิ่มเติม รวมทั้งผู้ที่ไม่มีสวัสดิการ เช่น ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระได้มีโอกาสสะสมเงินเพื่อวัยเกษียณ ทั้งนี้ เงินลงทุนในส่วนนี้จะต้องไม่เกิน 15 % ของเงินได้ในแต่ละปีหรือไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการแล้ว
สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund : LTF) เป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ที่เน้นการลงทุนในตราสารทุนเป็นหลัก มีวัตถุประสงค์ที่ต้องการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจเช่นเดียวกับ RMF แต่มีเงื่อนไขให้ผู้ถือหน่วย ต้องลงทุนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 ปี ปฏิทิน ซึ่งเงินลงทุนใน LTF ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่ลงทุนจริงแต่ไม่เกิน 15 % ของเงินได้ในแต่ละปีและต้องไม่เกิน 500,000 บาท
เคล็ดลับในการลงทุนใน LTF/RMF
1)ศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน
นักลงทุนควรศึกษาผลตอบแทนย้อนหลังอย่างน้อย 3 ปี เพื่อสะท้อนความสามารถของผู้จัดการกองทุน โดยสามารถศึกษาข้อมูลจากบริษัทที่บริหารจัดการกองทุน รวมทั้งจากบริษัทที่มีการรวบรวมข้อมูล เช่น บริษัท Morningstar (Morningstar Thailand: Fund Prices and Performance ) นอกจากศึกษาในด้านผลตอบแทนแล้ว นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงและการจัดเรตติ้งของกองทุนนั้นจากบริษัทจัดอันดับ เช่น Morningstar Risk Morning Star Rating เพื่อใช้เป็นข้อมูลก่อนการตัดสินใจการลงทุน
2)ช่วงเวลาในการตัดสินใจลงทุน
- นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบซื้อกองทุน LTF/RMF ช่วงเดือนธันวาคม สาเหตุน่าจะมาจาก ไม่มีเวลาในการพิจารณา หรือรอโปรแกรมส่งเสริมการขายช่วงใกล้ๆสิ้นปี ส่งผลให้หุ้นมักขึ้นในช่วงนั้น โดยหากคำนวนผลตอบแทน SET index ตั้งแต่ปี 2543 เฉพาะในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.40% และจำนวนปีที่ SET ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนนี้มีถึง 9 ใน 12 ปี เพราะฉะนั้นกลยุทธ์ที่ดีอย่างน้อยนักลงทุนควรซื้อก่อนเดือนธันวาคม
- ถ้าหากไม่มีเวลาติดตามมีวิธีที่จะลงทุนอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยม คือลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน หรือที่เรียกว่า Dollar cost averaging หรือ DCA ด้วยการวางแผนการซื้อ LTF/RMF ในวงเงินเท่าๆ กันอย่างสม่ำเสมอ เช่น ทุกๆ เดือนจนครบตามจำนวนเงินที่ต้องการซื้อในหนึ่งปี วิธีการเช่นนี้จะมีประโยชน์คือ นักลงทุนไม่ต้องสนใจสภาพตลาดหุ้นเป็นการลดความเสี่ยงในเรื่องของเวลาในการเข้าซื้อ
- ทางเลือกสำหรับท่านที่มีเวลาติดตามข่าวสาร คือลงทุนเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลง นักลงทุนต้องมีหลักเกณฑ์ว่าตลาดหุ้นปรับตัวลงเท่าไรถึงจะซื้อ และซื้อในสัดส่วนเท่าไร วิธีนี้ต้องมีวินัยอย่างมาก เพราะช่วงเวลาที่ตลาดปรับตัวลงแรงๆ นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ค่อยกล้าเข้าซื้อ แต่นักลงทุนควรระลึกไว้เสมอการลงทุนใน LTF/RMF เป็นการลงทุนระยะยาว
ข้อควรปฏิบัติและข้อควรระวังในการลงทุน
- ควรจะมีการกำหนดวัตถุประสงค์ของการลงทุน และเลือกกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเหมาะกับความเสี่ยงในการลงทุนที่ผู้ลงทุนรับได้ นอกจากนั้นควรศึกษาผลงานของบริษัท คุณภาพในการให้บริการ รวมทั้งการคิดค่าธรรมเนียมจัดการและค่าใช้จ่ายต่างๆให้ถี่ถ้วน
- ควรจะศึกษาเงื่อนไขการขายคืนหน่วยลงทุนอย่างรอบคอบ ในกรณีที่ลงทุนเพื่อประหยัดภาษี
- การลงทุนใน LTF มีกำหนดเรื่องการขายคืนหน่วยลงทุนได้ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง
- การลงทุนใน RMF สามารถระงับการลงทุนได้ปีเว้นปี (นับตามปีปฏิทิน) ยกเว้นปีที่ไม่มีเงินได้ โดยในปีที่ลงทุนจะต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 3% ของเงินได้ หรือ 5000 บาท แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า นอกจากนั้นจะต้องไม่ได้รับเงินปันผลระหว่างการลงทุน และไม่กู้ยืมจากกองทุนที่ได้ลงทุนไว้
- ควรจะมีการติดตามว่ากองทุนที่เลือกลงทุนนั้นมีการลงทุนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่
- การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงและผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นเครื่องยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
sithiphong:
มนุษย์หุ้น 2.0:จงอย่าดูถูกความสามารถตนเอง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤศจิกายน 2555 18:06 น.
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000141331-
คอลัมน์ มนุษย์หุ้น 2.0
โดยชัยภัทร เนื่องคำมา
cway-investment
เมื่อเช้าผมตอบ email จากน้องนักลงทุนมือใหม่คนหนึ่งที่กำลังยอมแพ้กับการลงทุนในตลาดหุ้นเพราะช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ตลาดมีความผันผวน จนทำให้ขาดทุน พอร์ตลงทุนติดลบอย่างหนัก ผมสะดุดกับคำพูดของน้องที่ว่า "ตัวเขาเองโง่และห่วยเกินไปที่จะประสบความสำเร็จ" ส่วนตัวผมไม่เคยเชื่อว่าความโง่และความห่วย จะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราหรือเป็นคำสาปที่มนุษย์คนใดคนหนึ่งต้องเผชิญ ตลอดไปชีวิต ผมคิดว่าตัวเราเลือกที่จะเป็น เลือกที่จะประสบความสำเร็จได้เสมอถ้าใจเราต้องการ แต่เมื่อเลือกแล้วก็ต้องพยายามลงมือทำให้เต็มที่สุดความสามารถ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ”วิธีคิด” ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการคิดที่ถูกต้อง เมื่อลองพิจารณาดูให้ดีจะพบว่าคนที่ล้มเหลว กับ คนที่ประสบความสำเร็จ จุดเริ่มต้นออกตัวก็เป็นจุดเดียวกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือการกระทำ เพื่อให้ไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนั้นๆต่างหาก คนที่ล้มเหลว พอเจออุปสรรค์ เจอปัญหาก็ท้อ ก็ถอดใจ ยอมรับความล้มเหลวและหาข้ออ้างต่างๆมาปลอบใจตัวเอง สุดท้ายก็เข้าโหมดโทษตัวเอง ว่าห่วย ว่าโง่ โชคไม่ดี
ในขณะที่ผู้ชนะหรือคนที่จะประสบความสำเร็จ เขาจะไม่มองว่าทำไม่ได้ ไม่โทษตัวเองว่าโง่ หรือไม่ดีพอ เมื่อเจออุปสรรค์เจอปัญหา เขาก็จะพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง จะแพ้สักกี่หน เขาก็สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาด และแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังในการต่อสู้ครั้งต่อไป หลายสิ่งที่เรามองเห็นและชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จ แท้จริงแล้วเบื้องหลังความสำเร็จที่สวยหรูนั้น มีคราบน้ำตา หยาดเหงื่อ ถ้อยคำที่ดูถูก จำนวนไม่น้อย กว่าผู้ที่พวกเขา จะมายืนถึงจุดนี้ ผมมีตัวอย่างคนดัง ผู้ไม่ยอมแพ้ กว่าที่ประสบความสำเร็จระดับโลก มาให้เราศึกษากัน เธอคนนั้นคือ เจ เค โรว์ลิ่ง นักเขียนหญิงผู้โด่งดัง เจ้าของนิยายขายดี Harry Potter
โจแอนน์ "โจ" โรว์ลิ่ง หรือ เจ เค โรว์ลิ่ง เธอเกิดในชนบทของอังกฤษ ครอบครัวนักอ่านพ่อเธอสะสมหนังสือ ทำให้เธอได้อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กและเริ่มแต่เรื่องสั้นเรื่องแรกตอน 5 ขวบ เธอจบ ปริญญาตรีทางด้านภาษาฝรั่งเศสและวรรณกรรมคลาสิกที่มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ และใช้ชีวิตทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ปกติในตำแหน่งเลขานุการ ในปี 1990 ขณะที่เธออยู่บนรถไฟระหว่างสถานีแมนเชสเตอร์ และคิงส์ครอสในลอนดอน เธอก็มีไอเดียเรื่องเด็กกำพร้า ผู้ค้นพบว่าตัวเองเป็นพ่อมด เธอเริ่มเขียนมาไปเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่จบ จากนั้น เจ.เค.ย้ายไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศโปรตุเกส ณ ที่นั้นเธอได้แต่งงานกับนักหนังสือพิมพ์ชาวโปรตุเกสและมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อเจสสิก้า ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกทางกันและเจ.เค.ก็ย้ายไปอยู่สกอตแลนด์พร้อมกับเจสสิก้า ลูกสาว
เธอตกงาน อยู่ด้วยเงินสงเคราะห์ของรัฐบาล เช็คสังคมสงเคราะห์มูลค่า 70 ปอนด์ต่ออาทิตย์ อาศัยอยู่ในแฟลตเล็กย่านคนจน ทำให้เธอต้องพาลูกมาเลี้ยงอยู่ที่ร้านกาแฟของน้องเขยทุกวัน แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้กับชีวิต เธอใช้เวลาว่างที่มีปรับปรุงเนื้อหางานเขียน ทำหนังสือ Harry Potter เล่มแรกของเธอจนเสร็จ ในปี ปี 1995 (5 ปีหลังจากเริ่มคิด) หนังสือเรื่อง Harry Potter ก็เสร็จในชื่อ Harry Potter and Philosopher’s stone โดยเธอเสนอหนังสือเล่มนี้ให้กับสำนักพิมพ์ในอังกฤษถึง 12 แห่งและถูกปฏิเสธจนหมด แต่เธอก็ไม่ท้อยังเดินหน้า หาโอกาสของเธอต่อไปจนสำนักพิมพ์แห่งที่ 13 ชื่อ Bloomsbury ก็รับต้นฉบับเธอไปตีพิมพ์ให้ เพราะลูกสาวของผู้บริหารอ่านหนังสือ Harry Potter ที่เธอแต่งและชอบ
คอลัมน์ มนุษย์หุ้น 2.0
โดยชัยภัทร เนื่องคำมา
cway-investment
เมื่อเช้าผมตอบ email จากน้องนักลงทุนมือใหม่คนหนึ่งที่กำลังยอมแพ้กับการลงทุนในตลาดหุ้นเพราะช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ตลาดมีความผันผวน จนทำให้ขาดทุน พอร์ตลงทุนติดลบอย่างหนัก ผมสะดุดกับคำพูดของน้องที่ว่า "ตัวเขาเองโง่และห่วยเกินไปที่จะประสบความสำเร็จ" ส่วนตัวผมไม่เคยเชื่อว่าความโง่และความห่วย จะเป็นสิ่งที่ติดตัวเราหรือเป็นคำสาปที่มนุษย์คนใดคนหนึ่งต้องเผชิญ ตลอดไปชีวิต ผมคิดว่าตัวเราเลือกที่จะเป็น เลือกที่จะประสบความสำเร็จได้เสมอถ้าใจเราต้องการ แต่เมื่อเลือกแล้วก็ต้องพยายามลงมือทำให้เต็มที่สุดความสามารถ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ”วิธีคิด” ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จต้องเริ่มจากการคิดที่ถูกต้อง เมื่อลองพิจารณาดูให้ดีจะพบว่าคนที่ล้มเหลว กับ คนที่ประสบความสำเร็จ จุดเริ่มต้นออกตัวก็เป็นจุดเดียวกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือการกระทำ เพื่อให้ไปให้ถึงจุดหมายปลายทางนั้นๆต่างหาก คนที่ล้มเหลว พอเจออุปสรรค์ เจอปัญหาก็ท้อ ก็ถอดใจ ยอมรับความล้มเหลวและหาข้ออ้างต่างๆมาปลอบใจตัวเอง สุดท้ายก็เข้าโหมดโทษตัวเอง ว่าห่วย ว่าโง่ โชคไม่ดี
ในขณะที่ผู้ชนะหรือคนที่จะประสบความสำเร็จ เขาจะไม่มองว่าทำไม่ได้ ไม่โทษตัวเองว่าโง่ หรือไม่ดีพอ เมื่อเจออุปสรรค์เจอปัญหา เขาก็จะพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ว่าจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง จะแพ้สักกี่หน เขาก็สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาด และแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังในการต่อสู้ครั้งต่อไป หลายสิ่งที่เรามองเห็นและชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จ แท้จริงแล้วเบื้องหลังความสำเร็จที่สวยหรูนั้น มีคราบน้ำตา หยาดเหงื่อ ถ้อยคำที่ดูถูก จำนวนไม่น้อย กว่าผู้ที่พวกเขา จะมายืนถึงจุดนี้ ผมมีตัวอย่างคนดัง ผู้ไม่ยอมแพ้ กว่าที่ประสบความสำเร็จระดับโลก มาให้เราศึกษากัน เธอคนนั้นคือ เจ เค โรว์ลิ่ง นักเขียนหญิงผู้โด่งดัง เจ้าของนิยายขายดี Harry Potter
โจแอนน์ "โจ" โรว์ลิ่ง หรือ เจ เค โรว์ลิ่ง เธอเกิดในชนบทของอังกฤษ ครอบครัวนักอ่านพ่อเธอสะสมหนังสือ ทำให้เธอได้อ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กและเริ่มแต่เรื่องสั้นเรื่องแรกตอน 5 ขวบ เธอจบ ปริญญาตรีทางด้านภาษาฝรั่งเศสและวรรณกรรมคลาสิกที่มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ และใช้ชีวิตทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ปกติในตำแหน่งเลขานุการ ในปี 1990 ขณะที่เธออยู่บนรถไฟระหว่างสถานีแมนเชสเตอร์ และคิงส์ครอสในลอนดอน เธอก็มีไอเดียเรื่องเด็กกำพร้า ผู้ค้นพบว่าตัวเองเป็นพ่อมด เธอเริ่มเขียนมาไปเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่จบ จากนั้น เจ.เค.ย้ายไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ประเทศโปรตุเกส ณ ที่นั้นเธอได้แต่งงานกับนักหนังสือพิมพ์ชาวโปรตุเกสและมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อเจสสิก้า ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกทางกันและเจ.เค.ก็ย้ายไปอยู่สกอตแลนด์พร้อมกับเจสสิก้า ลูกสาว
เธอตกงาน อยู่ด้วยเงินสงเคราะห์ของรัฐบาล เช็คสังคมสงเคราะห์มูลค่า 70 ปอนด์ต่ออาทิตย์ อาศัยอยู่ในแฟลตเล็กย่านคนจน ทำให้เธอต้องพาลูกมาเลี้ยงอยู่ที่ร้านกาแฟของน้องเขยทุกวัน แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้กับชีวิต เธอใช้เวลาว่างที่มีปรับปรุงเนื้อหางานเขียน ทำหนังสือ Harry Potter เล่มแรกของเธอจนเสร็จ ในปี ปี 1995 (5 ปีหลังจากเริ่มคิด) หนังสือเรื่อง Harry Potter ก็เสร็จในชื่อ Harry Potter and Philosopher’s stone โดยเธอเสนอหนังสือเล่มนี้ให้กับสำนักพิมพ์ในอังกฤษถึง 12 แห่งและถูกปฏิเสธจนหมด แต่เธอก็ไม่ท้อยังเดินหน้า หาโอกาสของเธอต่อไปจนสำนักพิมพ์แห่งที่ 13 ชื่อ Bloomsbury ก็รับต้นฉบับเธอไปตีพิมพ์ให้ เพราะลูกสาวของผู้บริหารอ่านหนังสือ Harry Potter ที่เธอแต่งและชอบ
Harry Potter and Philosopher’s stone เล่มแรกของเธอได้ตีพิมพ์ในปี 1997 แต่เหมือนว่าชีวิตเล่นตลก หนังสือเล่มแรกของเธอขายได้เพียง 1000 เล่มและ 500 เล่มถูกซื้อเพื่อเก็บเข้าห้องสมุดเยาวชนในอังกฤษ หนังสือเธอไม่ติดตลาดผู้อ่าน จนสำนักพิมพ์แนะนำให้เธอกลับไปทำงานประจำ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก ถ้าเธอยอมแพ้ ทุกอย่างก็คงจบลงมีตรงนั้น แต่ เจ เค โรว์ลิ่ง เธอเลือกที่จะมุ่งมั่นเดินทางต่อ โดยมองไปที่ตลาดอเมริกา เธอให้ตัวแทนของเธอ ส่งลิขสิทธิ์หนังสือเข้าประมูล เพื่อจัดตีพิมพ์ขายในสหรัฐอเมริกา โดยเธอตั้งค่าลิขสิทธิ์เล่มแรกที่ราคาต่ำ เพื่อให้ได้รับโอกาสนี้
และแล้ว Harry Potter and the Sorcerer’s stone ได้ออกวางจำหน่ายในอเมริกาปี 1998 และกลายเป็นหนังสือขายดี ฮิตติดตลาด จนกระแส Harry Potter โด่งดังไปทั่วอเมริกา และทั่วโลก ปัจจุบันเธอมีผลงานหนังสือ Harry Potter แล้วถึง 7 ภาคโดย Harry Potter and the Deathly Hollow ก็สามารถขายได้ในอเมริกาและอังกฤษรวมกัน 11 ล้านเล่มในวันแรกเพียงวันเดียวและหนังสือเธอยังถูกแปลไปเป็นภาษาต่างๆอีก 23 ภาษาเพื่ออกจำหน่ายทั่วโลก นอกจากนี้ Harry Potter ยังถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ในฮอล์ลิวู๊ด นำมาทำเป็นภาพยนต์ที่โด่งดังทั่วโลก
วันนี้ เจ เค โรว์ลิ่ง วัย 47 ปี จากหญิงม่ายยากจนตกงานเธอกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งของโลก เธอได้รับรางวัลและเครื่องราชต่างๆมากมาย มีทรัพย์สินมากถึง $1 billion เธอมีบ้านหลังใหญ่ในย่านเศรษฐีของอังกฤษ และแต่งงานมีครอบครัวใหม่ ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จและมีอิทธิพลติดหนึ่งในสิบของโลกในปัจจุบัน กว่าจะเดินทางมาถึงตรงนี้เธอผ่านอุปสรรค์มากมาย ถ้ายอมแพ้ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเดิน เธอก็คงจะเป็นได้แค่ผู้หญิงม่ายลูกหนึ่งตกงานธรรมดาคนหนึ่งในย่านคนจน เธอมีทุกวันนี้ได้เพราะความพยายาม การไม่ยอมแพ้ ต่ออุปสรรค์ที่เข้ามา
ชีวิตคนเราไม่มีคำว่าง่ายหรอกครับ ยิ่งถ้าต้นทุนชีวิตเราไม่สูง ไม่ได้เกิดมารวย หรือมีนามสกุลใหญ่โต เป็นเพียงคนเดินดินธรรมดา ถ้าอยากประสบความสำเร็จก็ต้องพยายาม ให้ถึงที่สุด ถ้าคิดว่าตัวเองไม่ฉลาด เรียนรู้ช้า ก็ยิ่งต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่นๆเป็นสองเท่า
การลงทุนในตลาดหุ้นก็เช่นกัน หลายคนเข้ามาด้วยความหวังที่อยากจะรวย แต่คนจำนวนไม่น้อยต้องกลับออกไปแบบมือเปล่าหรือติดลบ เพราะตลาดหุ้นนั้นเปรียบดั่งสนามรบ ไม่มีคำว่าง่าย ไม่มีคำว่าหมูและเป็นที่ที่หาเงินยากที่สุด การจะทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนให้ได้ในอัตราที่สูง จากตลาดหุ้นนั้น เราต้องจำเป็นต้องศึกษาองค์ความรู้ กลยุทธการลงทุนต่างๆอย่างหนัก
นอกจากนี้ยังต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ตัวเราได้รับ ใช้เวลาสั่งสมประสบการณ์ จนพัฒนากระบวนการลงทุนที่ถูกที่เหมาะสมกับตัวเอง สิ่งสำคัญคือ เมื่ออย่าคิดดูถูกตัวเราเอง อย่านำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ จิตใจที่ไม่ยอมแพ้และความพยายามอย่าสุดกำลังนั้นคือกุญแจสำคัญ ที่จะพาเราไปสู่เป้าหมายครับ
อ้างอิงแหล่งข้อมูล
-http://www.therichest.org/entertainment/j-k-rowling-net-worth/-
-http://www.biographyonline.net/writers/j_k_rowling.html-
-http://en.wikipedia.org/wiki/J._K._Rowling-
รูปประกอบจากอินเตอร์เน็ต
sithiphong:
ออมเร่งทรัพย์รับปีใหม่
-http://www.dailynews.co.th/article/55/171111-
วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม 2555 เวลา 00:00 น.
“ยังไม่รวย อยู่อย่างคนรวย ไม่มีวันรวย ยังไม่จน อยู่อย่างคนจน ไม่มีวันจน” นี่คืออมตะวาจาที่จริงเสียยิ่งกว่าจริง การสร้างความร่ำรวยให้กับตนเองนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะอยู่ที่ใจของเรา เข็มทิศลงทุนเสาร์นี้ ขอเสนอการออมแบบเร่งทรัพย์ รับปีใหม่ 3 แบบ...ง่ายที่จะจำ ทำก็ง่าย
1. ออมทุกทีที่มีเหรียญ อย่าดูถูกกระปุกออมสินว่าเป็นเรื่องของเด็ก เชื่อหรือไม่ว่าผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยรอดตายเพราะเงินในกระปุกออมสิน ขอแนะนำว่าปีใหม่นี้ตั้งใจหยอดเหรียญที่เหลือจากค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ลงในกระปุกออมสิน เหรียญสิบบาท เหรียญห้าบาท เหรียญสองบาท หรือหนึ่งบาท เพราะถ้าหยอดกระปุกได้วันละ 50 บาท เมื่อครบสิ้นปีก็มีเงินเกือบ 20,000 บาท แค่ 5 ปี ก็มีเงินแสน...ใครจะรู้
2. ออมก่อนใช้...โดยแนะนำให้ตัดใจ “ออมก่อนใช้ อย่าใช้ก่อนออม” เงินเดือนออกปุ๊บ ตัด 10% ของเงินเดือนมาเป็นเงินออมโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเงินเดือน 15,000 บาท ตัดใจออมก่อนใช้ 1,500 บาท เข้าบัญชีเงินฝากประจำ หรือถ้าเป็นสมาชิก กบข. ก็แนะนำให้ใช้บริการออมเพิ่มกับ กบข. ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินทั่วไป ครบสิ้นปีก็มีเงินเกือบ 20,000 บาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) ผ่านไป 5 ปี มีเงินเกือบแสนหากรวมกับเงินในกระปุกออมสินก็มีเงินเกือบสองแสนเข้าไปแล้ว
3. ออมอย่างคนมีแผน สำหรับบางคนที่มีเงินออมอยู่แล้ว ออมมาตั้งนานกว่าจะได้ขนาดนี้ ก็เลยไม่อยากจะไปเสี่ยงอะไร ฝากกินดอกเบี้ยน้อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ปลอดภัยกว่า ขอบอกว่า “คุณคิดผิด” เพราะ 10 ปีผ่านไปคุณอาจสบายใจที่เห็นเงินของคุณเท่าเดิม แต่ราคาสินค้าพุ่งพรวดแซงหน้าไปแล้ว ใครจะเชื่อว่า 10 ปีก่อน ก๋วยเตี๋ยวชามละ 20 บาทก็หรูแล้ว แต่วันนี้ก๋วยเตี๋ยวชามเดิมนั้นราคา 35 บาท ขอแนะนำสูตรลับในการสร้างเงินออมให้เพิ่มขึ้น 100% ด้วยเลข 72 ยกตัวอย่าง ต้องการให้เงินออม 1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านบาท ในเวลา 10 ปี ต้องทำอย่างไร ให้ใช้ เลข 72 ตั้ง หารด้วย 10 ปี ผลลัพธ์ที่ได้คือ 7.2 นั่นคือตัวเลขของผลตอบแทนจากการลงทุน 7.2% ที่คุณต้องทำให้ได้ 10 ปีติดต่อกัน และในทางกลับกัน หากต้องการให้เงินออมเพิ่มขึ้น 100% ด้วยการลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 7.2% ถามว่าต้องใช้เวลากี่ปี ให้ใช้ เลข 72 ตั้ง หารด้วยผลตอบแทน 7.2 ผลลัพธ์ที่ได้คือ 10 นั่นคือจำนวนปีที่เงินออมจะเพิ่มขึ้น 100%
สิ่งที่ต้องรู้แจ้งก่อนการลงทุน คือ ความเสี่ยงและผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนประเภทต่าง ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนจะลงทุนอย่างคนมีแผน มีดังนี้
1. พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปี ประมาณ 4.5–4.7%
ข้อดี ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนมั่นคง
ข้อควรระวัง สภาพคล่องต่ำ ผลตอบแทนระยะยาวอาจไม่ชนะอัตราเงินเฟ้อ
2. หุ้น ผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปี ประมาณ 15%
ข้อดี ผลตอบแทนระยะยาวสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ
ข้อควรระวัง ความผันผวนของราคาในระยะสั้น และในบางปีมีโอกาสขาดทุน
ออมอย่างคนมีแผนต้องขยันมากกว่าการออมทุกประเภท ต้องดูทิศทางลมของภาวะเศรษฐกิจ เช่น ถ้าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ควรออมเป็นเงินสดไว้ก่อน ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำให้เน้นลงทุนในพันธบัตร ช่วงภาวะเงินเฟ้อให้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นให้ลงทุนในหุ้นอย่างกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และถ้าเศรษฐกิจรุ่งก็ลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ เป็นต้น
เลือกออมแบบไหนก็ได้ หรือทั้ง 3 แบบ ที่เหมาะกับความคาดหวัง และการดำรงชีวิต อย่าลืมพกคาถา “ออมเร่งทรัพย์” ติดใจไว้ตลอดเวลา-ออมก่อนใช้ คิดก่อนจ่าย ไม่สร้างหนี้เพิ่ม รับรองว่าปีใหม่นี้ต้องเป็นปีดีแน่นอน.
---------------------------------------
มาย้ำครับ
“ยังไม่รวย อยู่อย่างคนรวย ไม่มีวันรวย
ยังไม่จน อยู่อย่างคนจน ไม่มีวันจน”
.
sithiphong:
ข้อคิดในการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9550000149151-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
10 ธันวาคม 2555 18:49 น.
คอลัมน์ Design
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ฟิลลิป จำกัด
www.phillipasset.co.th
โทร. 02-6353033
เป็นที่ทราบกันดีว่าการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF นั้น นอกจากจะเป็นการออมเงินเพื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายในอนาคตและในยามเกษียณแล้ว นักลงทุนยังสามารถนำเงินลงทุนในกองทุนดังกล่าวไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จึงถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและเหมาะสมต่อนักลงทุนเป็นอย่างยิ่ง แต่ท่านนักลงทุนควรที่จะตระหนักถึงข้อคิดในการลงทุนในกองทุนดังกล่าวเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเหมาะสมกับตัวนักลงทุน โดยสิ่งที่นักลงทุนควรจะต้องคำนึงก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนคือ
1. การลงทุนในกองทุน LTF จะเป็นการลงทุนที่สามารถไถ่ถอนได้โดยได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีภายในระยะเวลาแค่ 5 ปีปฏิทิน แต่ต้องอย่าลืมว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนในตราสารทุนเท่านั้น ดังนั้นนักลงทุนควรที่จะต้องรับทราบและยอมรับในความผันผวนของราคาของตราสารทุนนั้นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมูลค่าที่ลงทุน ในขณะที่การลงทุนในกองทุน RMF แม้ว่าจะเป็นการลงทุนในระยะที่ยาวกว่าการลงทุนในกองทุน LTF แต่จะเป็นการลงทุนที่นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในตราสารทุกประเภท ดังนั้นนักลงทุนสามารถที่จะกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่าการลงทุนในกองทุน LTF
2. การลงทุนในกองทุน RMF เป็นการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับการออมเผื่อสำรองไว้เป็นค่าใช้จ่ายยามเกษียณมากกว่าการลงทุนในกองทุน LTF เพราะนักลงทุนสามารถที่จะไถ่ถอนเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางภาษีสูงสุดก็ต่อเมื่อการลงทุนดังกล่าวจะต้องเป็นการลงทุนที่มีระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี และนักลงทุนจะต้องมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งดูโดยทั่วไปแล้วนักลงทุนจะคิดว่าเป็นการลงทุนที่นานเกินไป แต่ต้องอย่าลืมว่าการลงทุนดังกล่าวเป็นการลงทุนที่ไว้ใช้ในยามเกษียณจริงๆ ดังนั้นนักลงทุนควรที่จะเริ่มไถ่ถอนในยามเกษียณ ในระหว่างระยะเวลาก่อนที่นักลงทุนจะสามารถไถ่ถอนได้ ถ้านักลงทุนไม่สามารถที่จะลงทุนในกองทุน RMF ได้ นักลงทุนก็ยังสามารถที่จะเว้นการลงทุนได้เพียงแต่จะต้องเว้นได้ไม่เกิน 1 ปีปฏิทิน หรือนักลงทุนสามารถเลือกที่จะลงทุนในจำนวนที่น้อยที่สุดตามที่กฎหมายระบุไว้ จึงถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นพอสมควร ไม่ทำให้เกิดภาระที่มากเกินไปต่อนักลงทุน
3. ถ้านักลงทุนต้องการที่จะลงทุนในกองทุนทั้งสองประเภทในปีปฏิทินเดียวกัน นักลงทุนควรที่จะกระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม กล่าวคือ นักลงทุนควรที่จะลงทุนในกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนตราสารหนี้ และ/หรือกองทุนที่ลงทุนในทองคำ มากกว่าที่จะลงทุนในกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนตราสารทุนหรือกองทุนแบบผสม เพื่อเป็นการป้องกันการกระจุกตัวในการลงทุนในตราสารทุนที่มีสัดส่วนมากจนเกินไป เพราะต้องอย่าลืมว่าการลงทุนในกองทุน LTF นั้นเป็นการลงทุนในตราสารทุนเท่านั้น
4. นักลงทุนไม่ควรที่จะลงทุนในกองทุนทั้งสองประเภทแต่เฉพาะในช่วงปลายปีเท่านั้น ควรที่จะกระจายระยะเวลาในการลงทุน โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของแต่ละปีตราสารทุนจะมีการปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้นนักลงทุนอาจเสียโอกาสที่จะทำกำไรได้ นักลงทุนควรที่จะเลือกลงทุนในไตรมาสที่เห็นว่าตราสารทุนมีราคาที่เหมาะสม หรือเลือกลงทุนแบบเฉลี่ยต้นทุน กล่าวคือ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอเท่าๆ กันในทุกๆ เดือน
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version