ริมระเบียงรับลมโชย > รับสายลมเย็นหน้าระเบียง
รวบรวมเรื่อง "เงิน" กับ "ทอง"
sithiphong:
รู้เขา-รู้เรา เล่นหุ้นร้อยครั้งชนะเจ็ดสิบครั้ง
Monday, 10 June 2013
-http://portal.settrade.com/blog/nivate/2013/06/10/1299-
เรื่องของการลงทุนนั้นหลายคนจะพูดว่ามันเหมือนกับการรบ ดังนั้น กลยุทธ์และปรัชญาของสงครามสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนหรือการเล่นหุ้นได้ และถ้าพูดถึงเรื่องนี้แล้วดูเหมือนว่ากฎแห่งการยุทธ์ที่โด่งดังที่ทุกคนคุ้นเคยที่สุดก็คือ “รู้เขา-รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ของซุนหวู่ ปราชญ์แห่งสงครามชาวจีน ในฐานะที่ศึกษาเรื่องของประวัติศาสตร์และกลยุทธ์ของสงครามมาบ้างบวกกับการที่อยู่ในตลาดหุ้นและการลงทุนมานาน ผมเองคิดว่ากฎแห่งสงครามข้อนี้ใช้ได้ แต่ถ้าจะพูดให้ตรงความเป็นจริงไม่พูดโอเวอร์เพื่อเน้นหลักการผมอยากจะปรับคำเป็นว่า “รู้เขา-รู้เรา เล่นหุ้นร้อยครั้ง ชนะเจ็ดสิบครั้ง” ในกรณีของการลงทุนหรือการเล่นหุ้นซึ่งไม่มีทางที่เราจะเล่นร้อยชนะร้อย ว่าที่จริงผมคิดว่าซุนหวู่เองก็ไม่ได้คิดว่ารบร้อยครั้งต้องชนะร้อยครั้ง โลกนี้มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามหรือหุ้น
คำว่า “รู้เขา” นั้น ในเรื่องของหุ้นผมคิดว่ามีอยู่สองเรื่องนั่นก็คือ เขาคนแรกก็คือ Mr. Market หรือ “นายตลาด” ตามคำพูดของ เบน เกรแฮม ซึ่งก็คือนักลงทุนโดยรวมในตลาดหุ้นหรือพูดง่าย ๆ ก็คือตลาดหุ้นนั่นเอง เราจะต้องรู้ว่าตลาดหุ้นนั้นมี “พฤติกรรม” หรือ “กลยุทธ์ในการเล่นหุ้น” อย่างไร ถ้าเราเชื่อ เบน เกรแฮม ตลาดหุ้นนั้นมักจะ “คุ้มดี คุ้มร้าย” อยู่เรื่อย ๆ เอาแน่อะไรไม่ได้ บางทีในช่วงที่ “อารมณ์ดี” เป็นพิเศษ พวกเขาก็แห่กันเข้ามาซื้อหุ้นให้ราคาหุ้นสูงลิ่วเกินกว่าพื้นฐานไปมาก แต่ในบางช่วงที่เกิดอาการ “หดหู่” อย่างหนัก พวกเขาก็เทขายหุ้นจนราคาต่ำกว่าพื้นฐานไปมาก หน้าที่ของเราก็คือ เราต้องรู้และฉกฉวยประโยชน์จากพฤติกรรมของพวกเขาแทนที่จะดีใจหรือตกใจและทำตาม
แต่ถ้าเราเชื่อนักวิชาการตลาดหุ้น พวกเขาก็จะบอกว่านักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นในตลาดนั้นต่างก็มีเหตุผล นั่นก็คือ เขาจะซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะกับพื้นฐานของมันเสมอเช่นเดียวกับคนที่ขายหุ้น แน่นอน ความเห็นหรือการวิเคราะห์ว่ามูลค่าพื้นฐานคือเท่าไรนั้นคนสองคนอาจจะมองไม่เหมือนกันและนั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงมีการซื้อและขายหุ้นเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม โดยเฉลี่ยแล้วความคิดของนักลงทุนเกี่ยวกับมูลค่าของหุ้นแต่ละตัวก็มักจะถูกต้องเช่นเดียวกับดัชนีตลาดหุ้นที่เป็นตัวแทนของหุ้นทั้งหมดที่จะสะท้อนพื้นฐานของตลาด ส่วนการที่บางครั้งราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากหรือตกต่ำลงมากนั้นเป็นเพราะว่าพื้นฐานของกิจการหรือภาวะทางการเงินเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงทำให้นักลงทุนซื้อหรือขายหุ้นมาก ไม่ใช่เรื่องที่นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นอารมณ์ดีหรืออารมณ์หดหู่แต่อย่างใด
การรู้จัก “นายตลาด” หรือ “รู้เขา” นั้น จะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนหรือเล่นหุ้นได้ดีขึ้นแน่นอน ประเด็นก็คือ ถ้าเราสรุปว่าภาวะตลาดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ อาจจะเนื่องจากเพราะคนในตลาดหุ้นเป็นคนที่มีอารมณ์ “แปรปรวน” ทำให้คาดเดายาก หรือคนในตลาดอาจจะมีเหตุผลเป็นนักลงทุนที่มีข้อมูลและความสามารถวิเคราะห์สูงแต่เนื่องจากภาวการณ์แวดล้อมเช่นเรื่องของเศรษฐกิจ การเงิน และตลาดการเงินระหว่างประเทศ มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วตลอดเวลา ดังนั้น การที่เราจะพยายามไปฉกฉวยประโยชน์จากภาวะตลาดจึงอาจจะไม่มีประโยชน์อะไร
“เขา” อีกคนหนึ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือ บริษัทจดทะเบียนหรือหุ้น นี่คือเขาที่เราจะต้องรู้ก่อนที่จะเข้าไปลงทุน สิ่งที่จะต้องรู้ก็คือ เขาหรือบริษัทเป็นอย่างไร? ทางหนึ่งที่จะใช้ในการเรียนรู้เขาก็คือ การกำหนดหรือบอกให้ได้ว่าบริษัทอยู่ในหุ้นกลุ่มไหนใน 6 กลุ่ม ตามแนวทางของ ปีเตอร์ ลินช์ นั่นคือ บริษัทเป็นกิจการที่โตช้า โตเร็ว วัฏจักร แข็งแกร่ง ฟื้นตัว หรือมีทรัพย์สินมาก ถ้าเรารู้ การลงทุนซื้อและขายหุ้นตัวนั้นก็ทำได้ง่าย เพราะพวกเขาก็จะมีพฤติกรรมของราคาหรือการให้ผลตอบแทนที่พอจะคาดการณ์ได้ แต่การวิเคราะห์ว่าหุ้นแต่ละตัวควรจะเป็นกิจการประเภทไหนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บ่อยครั้งเราก็เข้าใจผิดเนื่องจากเรายังศึกษาไม่ลึกพอ เช่น เราดูแต่ข้อมูลที่เป็นตัวเลขในระยะเวลาสั้นอาจจะเพียง 2-3 ปี แล้วก็สรุปโดยไม่ได้ดูปัจจัยทางคุณภาพซึ่งต้องใช้เหตุผลทางธุรกิจซึ่งประกอบไปด้วยการตลาด การผลิต การเงิน การแข่งขัน และอื่น ๆ อีกมาก หนทางที่จะเข้าใจหรือ “รู้เขา” ในแง่ของตัวบริษัทนั้น วิธีที่ดีก็คือ หลังจากศึกษาข้อมูลด้านคุณภาพอย่างดีแล้ว เราจะต้องศึกษาข้อมูลที่เป็นตัวเลขย้อนหลังให้ยาวที่สุดเพื่อที่จะยืนยันหรือพิสูจน์ว่าความคิดหรือการวิเคราะห์ทางด้านคุณภาพของเราถูกต้อง ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นกิจการโตเร็ว ข้อมูลยอดขายและกำไรควรที่จะมีแนวโน้มโตขึ้นทุกปีอย่างมั่นคงไม่มีปีไหนถดถอยเป็นต้น
การ “รู้เรา” นั้น หมายความว่าต้องรู้ว่าเราเป็นคนที่มีแนวทางการลงทุนหรือเล่นหุ้นอย่างไร วิธีการนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้องในแง่ของทฤษฎีและประวัติศาสตร์หรือไม่? นอกจากนั้น ในทุกครั้งที่ตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น เรารู้หรือไม่ว่าเรากำลังทำอะไรหรือทำอย่างไรอยู่? บางคนอาจจะคิดว่าการ “รู้เรา” นั้นไม่เห็นจะยาก เราก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าเราคิดหรือทำอะไรไม่ใช่หรือ? ผมเองคิดว่าไม่ใช่!
คนจำนวนมากรวมถึงคนที่เรียกตัวเองว่า VI คิดว่าเขาเป็น “นักลงทุน” ซึ่งเน้นลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานหรือผลประกอบการระยะยาวของบริษัท แต่สิ่งที่เขาทำมาตลอดนั้นก็คือการซื้อและขายหุ้นเปลี่ยนตัวอย่างรวดเร็วเป็นนิจสิน ในกรณีแบบนี้ เราก็ควรจะต้องรู้ตัวหรือ “รู้เรา” ว่า เราเป็น “นักเก็งกำไร” เพียงแต่เราอาศัยผลประกอบการที่อาจจะกำลังดีขึ้นมาเก็งกำไร
การ “รู้เรา” อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญก็คือ “อัตราความกล้าเสี่ยงของเรา” ว่าอยู่ในระดับไหน? นี่ก็เช่นเดียวกัน อย่าบอกหรือคิดว่าเราเป็นคน “อนุรักษ์นิยม” เป็นคนที่เน้นความปลอดภัยสูงไม่ชอบเสี่ยงถ้าพฤติกรรมตามปกติของเรานั้นมันขัดแย้งกัน ตัวอย่างเช่น เรามักจะลงทุนในหุ้นน้อยตัวมากหุ้นเพียง 2-3 ตัวมีสัดส่วนเป็น 70-80% ของพอร์ตขึ้นไปเกือบตลอดเวลา แถมใช้มาร์จินหรือกู้เงินมาซื้อหุ้นอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แบบนี้จะบอกว่าเราเน้นความปลอดภัยไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การที่จะสามารถวิเคราะห์ได้อย่างปราศจากความลำเอียงนั้นบางทีก็เป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน เหตุก็เพราะคนเรามักมีความเชื่อมั่นตนเองสูง ดังนั้น เรามักไม่ยอมรับว่าพอร์ตของเรามีความเสี่ยงสูง เรามักจะคิดว่า “เรารู้ดี” เรารู้ว่าที่เราทำอยู่นั้นสำหรับคนที่ไม่รู้จริงอาจจะเสี่ยง แต่สำหรับเราแล้วเรารู้ว่าหุ้นตัวนั้นดีมากมี Margin of Safety สูง และดังนั้นมันจึงไม่เสี่ยง
การ “รู้เรา” ประเด็นสุดท้ายก็คือ ในเรื่องสถานการณ์เฉพาะจุด นั่นก็คือ ในบางช่วงหรือบางสถานการณ์ที่ “ผิดปกติ” เราอาจจะทำอะไรบางอย่างที่ “ออกนอกกรอบ” พฤติกรรมหรือแนวความคิดที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สอดคล้องกับปรัชญาหรือแนวทางของตนเอง ตัวอย่างเช่น ในยามที่หุ้นตกหนักมากและเราดูว่าหุ้นถูกและมีความปลอดภัยสูง เราอาจจะใช้มาร์จินบางส่วนมาซื้อหุ้น หรือเราอาจจะมีหุ้นบางตัวมากเกินไปในพอร์ต กรณีแบบนี้เราต้องรู้ว่ามันอาจจะอันตราย และดังนั้นในไม่ช้าเมื่อมีโอกาสเราก็ควรจะต้องปรับพอร์ตให้กับมาสู่สถานะปกติ เป็นต้น
การ “รู้เรา” นั้น บ่อยครั้งเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าการ “รู้เขา” เนื่องจากการมีความ “ลำเอียง” ในเรื่องของการวิเคราะห์ตนเอง แต่ถ้าเราจะประสบความสำเร็จในระยะยาวแล้วละก็ ผมคิดว่าเราจะต้องมีสติและรู้ตัวตลอดเวลา เท็คนิคที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ ในการลงทุนนั้นเราจะต้อง “ถ่อมตัว” อย่างจริงใจ เตือนตัวเองว่า เราอาจจะแพ้ได้เสมอ อย่างที่จอร์จ โซรอส พูดว่า “I am not invincible”
sithiphong:
ประกันภัย...ความลับที่ประกันภัยไม่ยอมบอกคุณ แต่..คุณต้องรู้..
-http://auto.sanook.com/5575/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2...%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93-%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88..%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/-
บ่อยครั้งที่ผู้เอาประกันซื้อกรมธรรม์ประกันภัยด้วย ความเชื่อและเครดิต มากกว่าที่จะตั้งใจอ่านสัญญาในกรมธรรม์
บ่อยครั้งที่ผู้เอาประกันซื้อกรมธรรม์ประกันภัยด้วยความเชื่อและเครดิต มากกว่าที่จะตั้งใจอ่านสัญญาในกรมธรรม์ซึ่งเต็มไปด้วยภาษากฏหมายเข้าใจยาก ด้วยเหตุนี้ความรู้เกี่ยวกับประกันภัยรถยนต์ที่หลายคนยังไม่ทราบจึงยังคง เป็นปริศนาต่อไป การเข้าใจกรมธรรม์แบบง่ายๆ จึงน่าจะสามารถช่วยให้คุณรักษาสิทธิประโยชน์ของคุณไว้ได้อย่างเต็มที่
10 เรื่อง "ต้อง" รู้เกี่ยวกับประกันภัย
1. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์จะมีผลทันทีที่ผู้เอาประกันชำระเบี้ยประกันภัยให้ กับบริษัท (รวมไปถึงนายหน้าผู้เอาประกันด้วย) ดังนั้นแม้การซื้อผ่านนายหน้าถ้ามีใบเสร็จรับเงินที่ถูกต้องก็จะปฏิเสธความ รับผิดชอบมิได้
2. ในกรณีที่รถคุณเสียหายอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถซ่อมกลับคืนได้ บริษัทต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้เอาประกันเต็มทุนประกัน และรถคันนั้นจะตกเป็นทรัพย์สินของบริษัทประกันภัย
3. ค่าแอกเซ็ปต์ หรือค่าใช้จ่ายส่วนแรกนั้น ในกรณีไม่มีคู่กรณีจะจ่ายเพียง 1,000 บาท เท่านั้น แต่ถ้าคนอื่นขับไปทำให้เกิดความเสียหาย ต้องจ่าย 6,000 บาท
4. ค่าอะไหล่ที่เกิดจากการซ่อม ผู้เอาประกันสามารถเรียกร้องเป็นเงินตามราคาประเมินเพื่อนำไปจัดหาเองได้ ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าจะได้อะไหล่แท้หรือไม่
5. หากภายในรถของคุณมีการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับระบบก๊าซ NGV หรือ LPG เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องแจ้งให้บริษัททราบ เพราะหากเกิดเหตุและรถคันเอาประกันเป็นฝ่ายผิด ความคุ้มครองที่จะได้รับจากการประกันอาจไม่สมบูรณ์
6. หากคุณขับรถชนกับรถคู่กรณีที่ไม่มีประกันภัยและรถของท่านเป็น "ฝ่ายถูก" คุณควรตรวจสอบไปที่บริษัทประกันภัยว่าตามรายงานอุบัติเหตุนั้น รถของคุณเป็นฝ่ายถูกจริงเหรอ ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์
7. การดูแลขนย้ายรถที่เสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุเพื่อไปซ่อมที่อู่เป็นหน้าที่ ของบริษัท แม้ว่าจะต้องย้ายรถไปโรงพักหรือที่ใดก็ตามตั้งแต่หลังเกิดเหตุจนกระทั่งซ่อม เสร็จ บริษัทประกันภัยจะต้องรับภาระส่วนนี้ แต่ไม่เกินร้อยละยี่สิบของค่าซ่อม
8. ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน และคุณไม่แน่ใจว่าเป็นฝ่ายถูกหรือผิด คุณไม่จำเป็นต้องเซ็นรับผิดในใบเครม เพราะไม่ใช่กติกาหรือข้อกฏหมายแต่เป็นหน้าที่ที่บริษัทซึ่งคุณทำประกันจะไป ทำการตกลง
9. อย่าคิดหนีในกรณีที่ขับรถชนคน ให้ช่วยเหลือคนเจ็บให้เต็มที่ และถ่ายรูปหลักฐานที่เกิดเหตุไว้ต่อสู้คดี เพราะศาลจะพิจารณาจากความมีน้ำใจที่คุณช่วยเหลือผู้อื่น บางทีโทษทางอาญาอาจเหลือแค่การรอลงอาญา และตกลงค่าเสียหายกันตามสมควรแต่ถ้าคุณหนีจะติดคุกทันที
10. ประกันภัยจะไม่คุ้มครองความเสียหายในขณะที่รถของคุณถูกลากจูง หรือขับรถขณะที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดไม่น้อยกว่า 150mg% หรือขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ เว้นแต่ในกรณีที่ทำประกันประเภทระบุชื่อคนขับ และความเสียหายนั้นเกิดขึ้นในขณะที่คนระบุชื่อเป็นผู้ขับขี่
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"
sithiphong:
หยุดสแปม ! แล้วมาดูเทคนิคการทำตลาดผ่าน E-mail อย่างถูกวิธีดีกว่า
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 มิถุนายน 2556 08:22 น.
บทความโดย ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาด ดอท คอมจำกัด
-http://www.manager.co.th/iBizchannel/viewNews.aspx?NewsID=9560000066605-
ตอนนี้ผมเชื่อว่าทุกคนกำลังปวดหัวกับอีเมล์ต่างๆ ที่คุณไม่ต้องการมันเลย แต่มันมาโผล่ในกล่องเมล์คุณอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน เราเรียกอีเมล์เหล่านี้ว่า สแปม (Spam)
“สแปมเมล์” (Spam Mail) หมายถึง จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ส่ง (ซึ่งมักจะไม่ปรากฏชื่อและที่อยู่ของผู้ส่ง) ได้ส่งไปยังผู้รับอย่างต่อเนื่อง โดยส่งจำนวนครั้งละมากๆ และมิได้รับความยินยอมจากผู้รับ โดยการส่งสแปมเมล์นั้น อาจมีวัตถุประสงค์ในเชิงพาณิชย์หรือไม่ก็ได้
เมื่อก่อนสแปมเมล์ มักจะมาจากต่างประเทศ โดยมักจะเป็นเมล์ที่เกี่ยวกับการขายยาไวอากร้า กู้เงินสร้างบ้าน (Mortgage) สมัครเว็บโป๊ ฯลฯ ซึ่งการตรวจสอบและป้องกันก็สามารถทำได้ง่ายๆ คือ อันไหนภาษาอังกฤษก็ลบมันออกซะ (สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้ใช้ อีเมล์ภาษาอังกฤษ)
แต่เดี๋ยวนี้เมืองไทยเราก็เริ่มพัฒนาตามต่างประเทศแล้วครับ โดยคุณจะเห็นได้จากอีเมล์แปลกๆ ที่คุณไม่ต้องการ มันมาในรูปแบบภาษาไทยแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ลดน้ำหนัก, ทำงานที่บ้าน, งานสัมมนา อะไรต่างๆ มากมาย ที่เริ่มจะหลั่งไหลเข้ามาในกล่องอีเมล์ของคุณซะงั้น
หลายๆคนมักจะทึกทักเอาเองว่า การส่งอีเมล์ไปหาคนจำนวนมากๆแบบนี้ มันคือการตลาดออนไลน์แบบหนึ่งที่ทำผ่านอีเมล์ (E-Mail Marketing) แต่รู้ไหมครับว่า การทำสแปมเมล์กับการตลาดผ่านอีเมล์ มันมีความแตกต่างกันอยู่มากเลยทีเดียว
หลักการทำการตลาดผ่านอีเมล์ที่ถูกต้อง
1. ส่งเมล์ให้กับผู้ที่คุณรู้จักอยู่แล้ว หรือผู้รับแสดงความจำนงในการรับเมล์
ควรส่งเมล์ให้กับคนที่รู้จักเค้าอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการส่วนตัว หรือในทางธุรกิจ หรือส่งผ่านผู้ให้บริการส่งอีเมล์ โดยที่ผู้ให้บริการเหล่านั้น ได้รับสิทธิในการส่งข่าวสารจากสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งอีเมล์สแปมสวนใหญ่ จะไม่ได้รับสิทธิในการส่งจากผู้รับ
2. มีส่วน "ยกเลิก (Unsubscribe)" การรับอีเมล์
ภายในอีเมล์ที่ส่งจะต้องมีการยกเลิกรับอีเมล์ได้ และต้องทำการยกเลิก และไม่ทำการส่งอีเมล์กลับไปอีก และภายหลังจากแจ้งการยกเลิกรับอีเมล์ ควรจะมีอีเมล์ยืนยันการยกเลิกรับกลับไป เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้รับ แต่หลายๆ คนมักกลัวและไม่กล้ายกเลิก เพราะจะกลายเป็นการยืนยันว่าอีเมล์ที่ส่งมามีตัวตน และผู้รับจริงๆ
3. แจ้งผู้รับเมล์ว่าคุณคือใคร
ในอีเมล์ควรมีการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับผู้ส่ง ได้แก่ ชื่อเว็บไซต์หรือชื่อบริษัท, ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้, เบอร์โทรศัพท์ เพื่อยืนยันว่าคุณมีตัวตนจริง
4. ใช้เนื้อหาที่เป็นความจริง
เนื้อหาที่ใช้ภายในอีเมล์ควรเป็นความจริง ไม่กล่าวอ้างเกินความจริงมากเกินไป และไม่ควรใช้ FW: หรือ RE ในหัวข้อการส่ง เพราะจะทำให้ผู้รับเข้าใจผิดได้
5. เคารพสิทธิของผู้รับ
ไม่ควรคุกคามหรือก้าวก่ายสิทธิของผู้รับมากจนเกินไป และในที่เก็บอีเมล์จากผู้รับควรแจ้งเจตนา และเป้าหมายในการส่งข้อมูลหาผู้รับให้ชัดเจนว่าจะส่งเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องอะไรไปบ้าง
6. อย่าไปแอบเอา (ดูด) อีเมล์มากจากที่อื่น
ข้อนี้ชัดมาก คือ อย่าไปเอาอีเมล์มาจากที่อื่น โดยปราศจากการยินยอมจากเจ้าของอีเมล์ หลายๆคนชอบใช้โปรแกรมไปดูดอีเมล์มาจากเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งข้อนี้เองที่ ผู้ส่งสแปมเมล์หลายๆที่ใช้กัน
ลงโทษสแปมเมอร์
หากท่านที่ได้รับอีเมล์ที่ไม่ต้องการ ท่านสามารถหยุดและลงโทษพวกที่ส่งอีเมล์หาท่านได้หลายวิธี
แจ้งไปยังหน่วยงานที่รับแจ้งปัญหาเรื่องการสแปม เช่น www.spamcop.net ซึ่งที่นี้จะรวบรวมรายชื่อเว็บไซต์ที่ทำการสแปมจัดเก็บลงฐานข้อมูล และส่งต่อให้กับผู้ให้บริการอีเมล์ทั่วโลก เพื่อบล็อคหรือกันรายชื่อเว็บไซต์เหล่านั้น เข้ามาในอีเมล์ของผู้รับ (ส่งทีเดียวกันได้ทั่วโลก) หากท่านเจออีเมล์สแปมเยอะ ก็ช่วยกันเข้าไปแจ้งหน่อยครับ จะเป็นผลดีต่อส่วนรวมครับ
หากคุณใช้ Free Email เช่น hotmail.com หรือ Yahoo.com ส่วนใหญ่ผู้ให้บริการฟรีอีเมล์ จะมีบริการให้แจ้งว่า อีเมล์ที่เข้ามามีฉบับไหนเป็นสแปมบ้าง หากมีการแจ้งไปหลายๆคนต่อไปอีเมล์สแปมจากเว็บไซต์ต่างๆนั้น ก็จะไม่สามารถส่งเข้ามาที่ผู้ให้บริการฟรีอีเมล์นั้นได้อีก
โทรกลับไปหาเลย บางครั้งในอีเมล์ที่ส่งเข้ามาซ้ำซาก จะมีอีเมล์หรือเบอร์โทรอยู่ คุณก็สามารถโทรไปหาเค้าและแจ้งว่า ให้หยุดการกระทำดังกล่าวได้แล้ว และนำชื่อของคุณออกจากรายชื่อในการส่งอีเมล์ของเค้าด้วย (วิธีนี้ได้ผลดีมาก ผมใช้ประจำ)
แก้เผ็ดกลับ (วิชามาร) หากเค้ายังคงส่งมาอีกเรื่อย ๆ หาวิธีแก้เผ็ด คือ นำเบอร์โทรศัพท์ของเค้าไปโพสต์ในเว็บเกย์ ให้คนโทรเข้ามาหา เค้าจะได้สำนึกเสียบ้าง (แต่อย่าใช้วิธีนี้ไปในทางที่ผิดนะครับ)
จะเห็นได้ว่า การตลาดผ่านอีเมล์เป็นวิธีการตลาดที่มีประสิทธิภาพมาก แต่การที่คุณจะนำมาใช้หรือปฏิบัติ คุณควรจะเคารพกฎและกติกาของการทำการตลาดลักษณะนี้ด้วย เพราะมันอาจจะส่งภาพลบต่อสินค้าหรือบริการของคุณ
และตอนนี้ทางหน่วยงานรัฐบาล กำลังร่างกฎหมายเกี่ยวกับการสแปมเมล์ ซึ่งหากคุณเป็นสแปมเมล์ ก็จะถือว่าทำผิดกฎหมาย จะมีบทลงโทษที่รุนแรง ซึ่งตอนนี้หลายๆ ประเทศเค้ามีกฎหมายลักษณะนี้แล้ว หยุดส่งเหอะเชื่อผม.!
ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสาร SMEs PLUS ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2555
sithiphong:
หุ้น (กจ. 12/2543)
-http://www.sec.or.th/securities_issuance/Content_0000000148.jsp?categoryID=CAT0000066-
ขอบเขตการบังคับใช้ ของประกาศ กจ. 12/2543
ใช้บังคับกับ การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัทมหาชนจำกัด
แต่ไม่ใช้บังคับกับ การเสนอขายหุ้นในกรณีต่อไปนี้
1. การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Issue) ของบริษัทมหาชนจำกัด
ไม่ต้องยื่นคำขอ และ filing เพราะได้รับยกเว้นตามมาตรา 33 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
กรณีเป็น บริษัทจดทะเบียนต้องยื่นข้อสนเทศการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก่อนการเสนอขาย
2. การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัทจำกัด
บริษัทจำกัดเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ได้เฉพาะต่อผู้ถือหุ้นเดิมเท่านั้น เนื่องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ห้ามบริษัทจำกัดเสนอ
ขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป
3. การเสนอขายหุ้นโดยผู้ถือหุ้นเดิม
ไม่ต้องยื่นคำขอ แต่ต้อง ยื่น filing หากเป็นการเสนอขายแบบ PO
4. การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ หรือหุ้นที่ออกใหม่เพื่อรองรับหลักทรัพย์แปลงสภาพ แก่กรรมการหรือพนักงาน (กจ. 36/2544)
5. การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่พร้อมกับการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (กจ. 6/2543)
ประเภทการเสนอขาย
Initial Public Offering หรือ IPO หมายถึง การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนในครั้งแรก
ขั้นตอนการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน (IPO และ PO)
เกณฑ์อนุญาต IPO
การเสนอขายหุ้นแก่กรรมการและผู้บริหาร พร้อมการทำ IPO
การเสนอขายหุ้นแก่บุคคลอื่นในราคาต่ำกว่าราคา IPO และบริษัทนั้นจะทำ IPO เพื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์
การเปิดเผยข้อมูล (การยื่น filing)
การสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (book building)
หน้าที่ภายหลังการขาย
Public Offering หรือ PO หมายถึง การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนในครั้งต่อ ๆ ไป
ถ้าเป็นบริษัทจดทะเบียนใช้เกณฑ์อนุญาต PO
ถ้าเป็นบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ใช้เกณฑ์อนุญาต IPO
การเปิดเผยข้อมูล (การยื่น filing)
การสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (book building)
หน้าที่ภายหลังการขาย
Private Placement หรือ PP หมายถึงการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่แก่บุคคลในวงจำกัด
ได้รับอนุญาตเป็นการทั่วไป (ไม่ต้องยื่นคำขอ และ filing)
เงื่อนไขการอนุญาต PP
หน้าที่ภายหลังการขาย PP
PP ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด หมายถึง การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัทจดทะเบียนแบบ PP ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดเกิน 10%
เกณฑ์อนุญาตกรณีขายต่ำกว่าราคาตลาด
ขั้นตอนอื่นๆ เหมือน PP
Public Placement ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด หมายถึง การเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัทจดทะเบียนให้เฉพาะบุคคลที่กำหนด (placement) ซึ่งไม่ใช่แบบ PP และไม่เข้าข่ายข้อยกเว้น ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดเกิน 10%
เกณฑ์อนุญาต PO + เกณฑ์อนุญาตกรณีขายต่ำกว่าราคาตลาด
ขั้นตอนอื่นๆ เหมือน PO
สรุปการอนุญาตหุ้น
“สำนักงานยกเลิกประกาศ กจ. 12/2543 และได้ออกประกาศที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ ที่ ทจ. 28/2551ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นไป ทั้งนี้ สำนักงานอยู่ระหว่างการปรับปรุงสรุปหลักเกณฑ์ดังกล่าวตามประกาศ ทจ. 28/2551 และจะนำเสนอในหน้า website ต่อไป”
ฝ่ายส่งเสริมบรรษัทภิบาล
ภีระภาพ โทร. 0-2695-9999 ext. 6214
E-mail: peerapar@sec.or.th
ปรับปรุงล่าสุด 19 มี.ค. 2552
สอบทานล่าสุด 19 มี.ค. 2552
http://www.sec.or.th/securities_issuance/Content_0000000148.jsp?categoryID=CAT0000066
.
sithiphong:
book building
การสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (book building) และการกำหนดราคาเสนอขายเป็นช่วงราคา (ประกาศ นจ.1/2545)
-http://www.sec.or.th/securities_issuance/Content_0000000187.jsp?categoryID=CAT0000066-
ในการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO หรือหุ้นกู้ ซึ่งยังไม่เคยมีราคาตลาดมาก่อน บริษัทที่ออกหลักทรัพย์และผู้จัดจำหน่าย (underwriter)
จำเป็นต้องมีการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ ณ ระดับราคาต่าง ๆ เพื่อให้กำหนดราคาขายได้อย่างเหมาะสม
การสำรวจราคาดังกล่าว มักกระทำต่อผู้ลงทุนสถาบัน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงเพียงพอที่จะกำหนดทิศทางราคาของหลักทรัพย์
และมีความรู้ความเข้าใจที่จะวิเคราะห์ราคาหลักทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนของตนเอง มีอำนาจต่อรองให้ผู้เสนอขายหลักทรัพย์
ต้องเปิดเผยข้อมูลให้ถูกต้องเพียงพอสำหรับการตัดสินใจลงทุน
การสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ ต้องทำในลักษณะดังต่อไปนี้
ทำได้เฉพาะกับนักลงทุนสถาบัน 13 ประเภท แต่ไม่รวมถึงผู้ลงทุนที่ซื้อหลักทรัพย์ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
กำหนดเป็นช่วงราคา ให้ผู้ลงทุนระบุจำนวนหลักทรัพย์ที่ต้องการซื้อ ณ ระดับราคาต่าง ๆ
ระยะเวลาที่สำรวจความต้องการซื้อ ใกล้เคียงกับวันที่กำหนดราคาขาย
แจกร่างหนังสือชี้ชวน ให้แก่ผู้ลงทุนที่จะสำรวจความต้องการซื้อ ซึ่งร่างหนังสือชี้ชวนมีข้อมูลครบถ้วน ยกเว้นเรื่องราคาและการจำหน่าย
นอกจากนี้ ผู้เสนอขายที่ต้องการกำหนดราคาเสนอขายเป็นช่วงราคา โดยยังไม่ระบุราคาเสนอขายที่แน่นอนไว้ในแบบ filing ที่มีผลใช้บังคับแล้ว
สามารถกระทำได้ หากมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างชัดแจ้ง เพียงพอ สำหรับการชำระเงินเพื่อจองซื้อหลักทรัพย์ ผู้ลงทุนต้องชำระในราคาสูงสุดไปก่อน และหากราคาเสนอขายจริงต่ำกว่าราคาสูงสุด ผู้เสนอขายจะต้องคืนเงินส่วนเกินให้ผู้ลงทุน และในระหว่างนั้น จะต้องไม่นำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ก่อน
ฝ่ายส่งเสริมบรรษัทภิบาล
มะลิ โทร. 0-2695-6107
E-mail: corgov@sec.or.th
ปรับปรุงล่าสุด 4 ก.ย. 2550
สอบทานล่าสุด 4 ก.ย. 2550
http://www.sec.or.th/securities_issuance/Content_0000000187.jsp?categoryID=CAT0000066
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version