อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > ท่านพุทธทาสภิกขุ

แก่นพุทธศาสน์ เรื่องความว่าง :พุทธทาส ภิกขุ

(1/4) > >>

ฐิตา:




แก่นพุทธศาสน์ เรื่อง ความว่าง
พระราชชัยกวี (ภิกขุ พุทธทาส อินทปัญโญ)
ธรรมกถาในโอกาสพิเศษ ณ ชุมนุมศึกษาพุทธธรรม (ศิริราช)
ในอุปการะของคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล
มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์, ๗ มกราคม ๒๕๐๕
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย
      การบรรยายในวันนี้จะได้ว่าด้วยเรื่อง "ความว่าง" ทั้งนี้เป็นความต้องการของท่านผู้อำนวยการ การอบรม
เนื่องจากการบรรยายครั้งที่แล้วมา ได้กล่าวถึงความว่าง ในฐานะที่เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง แต่โอกาสไม่อำนวยให้กล่าวถึงเรื่องนั้นแต่เรื่องเดียวโดยเฉพาะ เพื่อความเข้าใจที่ทั่วถึง เพราะฉะนั้น เรื่องความว่างจึงยังมีความคลุมเครืออยู่บางประการ จึงได้มีการบรรยายเฉพาะเรื่องความว่างอย่างเดียวในวันนี้
     ท่านทั้งหลายควรจะทราบว่าเรื่อง ความว่าง นั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจยากที่สุด ในบรรดาเรื่องของพุทธศาสนา ทั้งนี้ เพราะว่าเป็นเรื่องหัวใจอย่างยิ่งของพุทธศาสนา นั่นเอง
     สิ่งที่เรียกกันว่าหัวใจ ก็พอจะมองเห็นหรือเข้าใจกันได้ทุกคนว่า หมายถึง สิ่งที่ลึก ที่ละเอียด สุขุม ประณีต ไม่เป็นวิสัยแห่งการเดา หรือความตรึกไปตามความเคยชิน หรือตามกิริยาอาการของคนธรรมดา แต่จะเข้าใจได้ก็ด้วยการตั้งอกตั้งใจศึกษา

คำว่า "ศึกษา" นี้ มีความหมายอย่างยิ่งอยู่ตรงการสังเกตสนใจ
สังเกตพิจารณาอยู่เสมอ ทุกคราวที่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับใจ
ที่เป็นความทุกข์หรือเป็นความสุขก็ตาม
ผู้ที่มีความคุ้นเคยกับการสังเกตในเรื่องทางจิตใจเท่านั้นที่จะเข้าใจธรรมะได้ดี
ผู้ที่เพียงแต่อ่านๆ ไม่สามารถจะเข้าใจธรรมะได้ บางทียิ่งไปกว่านั้นก็คือจะเฝือ
แต่ถ้าเป็นผู้ที่พยายามสังเกตเรื่องเกี่ยวกับจิตใจของตัวเอง
โดยเอาเรื่องจริงในใจของตัวเองเป็นเกณฑ์อยู่เสมอแล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะฟั่นเฝือ
จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า " ความทุกข์และความดับทุกข์ " ได้ดี
และในที่สุดก็จะเข้าใจธรรมะ คือจะไม่อ่านหนังสือก็จะรู้เรื่องดี
ลักษณะอย่างนี้เราเรียกว่า มี spiritual experience มาก
     คนเราตั้งแต่เกิดมาจนกว่าจะตาย ย่อมเต็มไปด้วยสิ่งๆ นี้ คือ การที่ใจของเราได้สัมผัสกันเข้ากับสิ่งแวดล้อมแล้วเกิดผลเป็นอะไรขึ้นมา คราวไหนเป็นอย่างไร และคราวไหนเป็นอย่างไร เพราะว่าเรื่องที่เป็นไปเองนั้น ย่อมมีได้ทั้งฝ่ายที่เป็นทุกข์ และทั้งฝ่ายที่ไม่เป็นทุกข์ คือทำให้ฉลาดขึ้น และมีจิตใจเป็นปกติเข้มแข็งขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าเราคอยสังเกตว่า ความคิดเดินไปในรูปใดมันก่อให้เกิด " ความว่างจากความทุกข์ "; อย่างนี้แล้วจะมีความรู้ดีที่สุด และมีความเคยชินในการที่จะรู้สึกหรือเข้าใจ หรือเข้าถึงความว่างจากความทุกข์นั้นได้มากขึ้น เพราะฉะนั้น จะต้องทำในใจไว้อย่างนี้ จึงจะเข้าใจเรื่องที่เรียกว่า ลึก หรือประณีต ละเอียดสุขุมเช่นเรื่องความว่างนี้ได้

     ท่านทั้งหลายควรจะระลึกถึงข้อที่ได้กล่าวในการบรรยายครั้งก่อนว่า พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายเรียกพระพุทธเจ้าว่า เป็นแพทย์ในทางวิญญาณ และแบ่งโรคของคนเราออกเป็นโรคทางฝ่ายร่างกายจิตใจ และโรคทางฝ่ายวิญญาณ โรคที่เราจะต้องไปโรงพยาบาลตามธรรมดาหรือไปโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาที่ปากคลองสาน เหล่านี้เรียกว่า โรคทางกายทั้งนั้น ส่วนโรคทางวิญญาณนั้น หมายถึง โรคที่ต้องแก้กันด้วยธรรมะ; เพราะฉะนั้นจึงมีโรคทางจิต หรือทางวิญญาณอีกประเภทหนึ่งต่างหากจากโรคทางกาย ข้อความในอรรถกถาเรียกโรคอย่างนี้ว่าโรคทางจิต

     แต่ว่าในภาษาไทยเราเอาคำว่า "โรค" นี้มาใช้กับโรคทางกาย เช่น โรคที่จะต้องไปโรงพยาบาลที่ปากคลองสานนั้น เราเรียกกันว่า โรคจิต แต่โรคอย่างนี้ในภาษาบาลีในทางธรรมะ ยังเรียกว่าเป็นโรคทางกายอยู่นั่นเอง การแบ่งโรคเป็นโรคกายกับโรคจิตจึงมีต่างกันกับที่เราแบ่งกันในภาษาไทยเรา

      เพราะฉะนั้น อาตมาจึงได้ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าท่านทั้งหลายจะเข้าใจโรค ก็ควรจะแยกเป็นโรคทางกายแท้ๆ คือ ทาง physical และโรคทางกายที่ลึกเข้าไป คือ ทาง Mental ทั้งสองอย่างนี้เอาไว้ทางฝ่ายร่างกาย
     ส่วนอีกฝ่ายหนึงนั้น ก็คือ ฝ่าย spiritual คือ โรคที่เกิดจากสติปัญญา ไม่ใช่ที่เกิดแก่ระบบประสาท หรือมันสมอง แต่เกิดแก่ระบบของสติปัญญา ที่จะรู้จะเข้าใจชีวิตหรือโลกตามที่เป็นจริง เพราะฉะนั้น ท่านจึงหมายถึง ความหลง หรืออวิชชา หรือความเข้าใจผิดที่เนื่องมาจากอวิชชานั้น จะมีการกระทำที่ผิดๆ จนต้องเป็นทุกข์ ทั้งนี้เราไม่เป็นโรคทาง physical หรือทาง Mental นี้เป็นความหมายข้อแรกที่ต้องกำหนดไว้เป็นพื้นฐาน

     ที่ว่าเมื่อเรามีโรคทาง Spiritual แล้วเราจะแก้กันด้วยอะไร? ถ้ากล่าวทางธรรมะ ต้องแก้ด้วยสิ่งที่เรียกว่า "ความว่าง" นั่นเอง และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือว่า สิ่งที่เรียกว่า ความว่าง หรือสุญญตา ในภาษาบาลีนั้น มันเป็นทั้ง ยาแก้โรค และเป็นทั้งความหายจากโรค เพราะว่าเราไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
     ยาที่จะแก้โรค ก็คือ ความรู้ หรือการปฏิบัติ จนทำให้เกิดความว่าง ทีนี้ ถ้าความว่างเกิดขึ้นมาแล้ว ก็จะเป็นยาแก้โรค และเมื่อหายจากโรคก็ไม่มีอะไร นอกจากความว่างจากความทุกข์ หรือจากกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์

     เพราะฉะนั้น คำว่า "ความว่าง" จึงหมายถึง ทั้งยาแก้โรคและความหายจากโรค ความว่างที่มีขอบเขตกว้างมีความหมายกว้างนั้น หมายถึง ความว่างอยู่ในตัวมันเอง คือ ถ้าว่าเป็นความว่างแล้วต้องเป็นตัวเอง คือตัวมันเอง ไม่มีอะไรมาแตะต้อง ปรุงแต่งแก้ไข หรือทำอะไรกับมันได้ จึงถือว่าเป็นสภาพที่เป็นนิรันดร คือไม่ต้องเกิดในทีแรก แล้วดับไปในที่สุด มันจึงมี "ความมีความเป็น" อยู่อีกชนิดหนึ่ง ไม่เหมือนกับความมีของสิ่งอื่นๆ ซึ่งมีการเกิดขึ้นแล้วดับไป แต่เราก็ไม่มีคำอื่นใช้ เราจึงเรียกว่าความมี มีสภาพที่เรียกว่า ความว่างนี้อยู่เป็นนิรันดร
     ถ้าใครเข้าถึง หมายความว่า ถ้าจิตใจของผู้ใดเข้าถึงสิ่งๆ นี้มันก็จะเป็นยาแก้โรค และเป็นความหายจากโรคขึ้นมาทันทีเป็นสภาพที่ว่างนิรันดร คือไม่มีโรคนั่นเอง
     ท่านทั้งหลายลองพยายามคอยจับความหมายของคำว่า"ความว่าง" หรือที่เรียกเป็นบาลีว่า "สุญญตา" นี้ให้ดี ๆ ซึ่งอาตมาจะได้กล่าวเป็นลำดับไป


ฐิตา:



   (2) 

 สิ่งเเรกที่สุดขอให้นึกว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงยืนยันว่าบรรดาคำที่เป็นตถาคตภาษิต คือคำที่พระตถาคตกล่าวแล้วละก็ ต้องหมายถึงเรื่องความว่าง จะโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตาม ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอื่นเลย นอกนั้นที่ไม่ใช่เรื่องความว่างนั้น เป็นคำกล่าวของคนอื่น ไม่ใช่ของพระตถาคต คือจะเป็นคำกล่าวของสาวกชั้นหลัง ซึ่งนิยมความเยิ่นเย้อพูดมากเรื่องไป เป็นเรื่องที่ตั้งใจจะแสดงความเฉลียวฉลาดหรือความไพเราะ; ส่วนคำที่เป็นตถาคตภาษิตนั้น จะสั้นๆ ลุ่นๆ ระบุตรงไปยังเรื่องของความว่าง ว่างจากความทุกข์และว่างจากกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์เป็นส่วนสำคัญ
     แต่ถ้าจะกล่าว ยังกล่าวได้อีกมากมายว่า เป็นความว่างจากตัวตน ว่างจากความมีอะไรเป็นตัวตน หรือเป็นของของตนเพราะว่าความว่างนี้ มันมีความหมายมากมายมหาศาล จะกล่าวอย่างไรก็ได้ มันมีลักษณะว่างก็จริง แต่ว่ามีอะไรๆ ที่แสดงให้เห็นอยู่ที่นั่นมากมากเหลือจะพรรณนาได้
     ดังนั้นเราจะมุ่งหมายวินิจฉัยกันแต่เฉพาะ ความว่างจากความทุกข์ และ ว่างจากกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ความว่างจากความรู้สึกว่า มีตัวเรา หรือมีของเราเท่านั้น คำว่า ความว่างในลักษณะที่จะเป็นการปฏิบัตินี้ หมายถึงความว่างอย่างนี้

     ถ้าเราจะถามกันขึ้นว่า มีหลักพระพุทธภาษิตเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร? ที่จะเป็นหลักกันจริง ๆ เราก็จะพบว่า โดยทั่ว ๆไป พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารู้จักมองดูโลกโดยความเป็นของว่าง คือบาลีว่า "สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสสุ โมฆะราช สทา สโต"เป็นต้นนั้น คือมีใจความว่า "เธอจงมองดูโลกโดยความเป็นของว่าง มีสติอยู่อย่างนี้ทุกเมื่อและเมื่อเธอมองเห็นโลกอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ความตายก็จะค้นหาตัวเธอไม่พบ" นี้อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งมีใจความว่า "ถ้าใครเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่แล้วผู้นั้นจะอยู่เหนืออำนาจของความทุกข์ ซึ่งมีความตายเป็นประธาน"หรือเรียกกันในนามของความตาย
     นี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า การที่ทรงกำชับให้ดูโลกเห็นโลกโดยความเป็นของว่างนั้น เป็นสิ่งสูงสุดอยู่แล้ว ถ้าผู้ใดอยากจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความทุกข์ หรือความตายนี้ก็ให้ดูโลกคือสิ่งทั้งปวง ให้ถูกต้องตามที่มันเป็นจริง คือว่างจากความมีตัวเราหรือของเรา
     ทีนี้พระพุทธภาษิตที่ถัดไป ก็คือแสดงอานิสงส์ว่า "นิพฺพานํปรมํ สุญฺญํ" "นิพพานํ ปรมํ สุขํ" ซึ่งแปลตามตัวพยัญชนะว่าที่ว่างอย่างยิ่งนั่นแหละคือนิพพาน และ นิพพานคือเครื่องนำมาซึ่งความสุขอย่างยิ่ง นี้ท่านต้องเข้าใจให้ชัดลงไปว่าสิ่งที่เรียกว่า"นิพพาน" ที่แปลว่า ดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้น มีความหมายว่า เป็นความว่างอย่างยิ่ง คือเล็งถึงสิ่งซึ่งเป็นความว่างอย่างยิ่ง

     เพราะฉะนั้น เราจะต้องเข้าใจว่า ว่างที่ไม่ใช่อย่างยิ่งนั้นก็มีอยู่เหมือนกัน หมายความว่า รู้เรื่องความว่าง เข้าถึงความว่างที่ยังไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้องเต็มที่อย่างนี้ยังไม่เป็น ความว่างอย่างยิ่ง เราจะต้องเข้าถึงด้วยสติปัญญาอย่างยิ่งเต็มที่จนไม่มีความรู้สึกว่าตัวตนหรือของตนโดยประการทั้งปวงจริงๆ จึงจะเรียกว่า ปรม สุญฺญํ คือความว่าง หรือของว่างอย่างยิ่ง
     ส่วนที่ว่า ความว่างอย่างยิ่งเป็นนิพพานหรือเป็นอันเดียวกับนิพพาน นั้น หมายความว่า ถ้ามันว่าง มันก็คือ ดับหมดของสิ่งที่ลุกโพลงๆ อยู่ หรือของสิ่งที่ไหลเวียนเปลี่ยนแปลงเป็นกระแสเป็นสาย เป็นวงกลมเป็นต้นอยู่ จึงจะเรียกว่าดับอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ว่างอย่างยิ่ง กับ ดับอย่างยิ่ง มันจึงเป็นของอันเดียวกัน

     ที่ว่า นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง คือถ้าว่างอย่างยิ่งแล้วก็เป็น นิพพาน และเป็นสุขออย่างยิ่งนั้น ข้อนี้เป็นคำพูดอย่างสมมติ ที่เรียกว่าพูดโดยโวหารสมมติ พูดโดยภาษาชาวบ้านทำนองเป็นการโฆษณาชวนเชื่อให้สนใจ เพราะว่า คนทั่วไปนี้ หลงในความสุขไม่ต้องการสิ่งอื่นเลย จึงต้องบอกว่าเป็นสุข และเป็นสุขอย่างยิ่งด้วย แต่ถ้าว่าโดยที่แท้แล้ว มันยิ่งกว่าสุข มันเหนือไปจากสุข เพราะว่าเป็นความว่าง ไม่ควรที่จะกล่าวว่า สุข หรือทุกข์เลย เพราะอยู่เหนือความสุขและความทุกข์ ที่คนธรรมดาเขารู้จักกันอยู่.
     ความว่างย่อมอยู่เหนือคำว่า "ความสุข" และ "ความทุกข์" แต่ถ้าพูดอย่างนี้คนก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นจึงพูดว่าเป็นความสุขอย่างยิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นคำพูดอย่างสมมติตามภาษาชาวบ้าน ไม่พูดว่า ว่างอย่างยิ่ง แต่พูดว่า สุขอย่างยิ่ง ขึ้นมาอีกโวหารหนึ่ง อีกคำหนึ่ง หรืออีกความหมายหนึ่ง

     เมื่อเป็นดังนี้ จะต้องถือเอาความหมายนี้ให้ถูกตรงคือว่าถ้าพูดกันถึงความสุขจริงๆ กันแล้ว มันต้องไม่ใช่ความสุขอย่างที่พวกคนทั่วไปเขามองเห็น หรือมุ่งหมาย แต่ต้องเป็นความสุขอีกแบบหนึ่ง มีความหมายอีกแบบหนึ่ง คือ ว่างจากสิ่งที่ปรุงแต่งไหลเวียนเปลี่ยนแปลง อะไรต่างๆ ทั้งหมดทั้งสิ้น นั่นแหละจึงจะเรียกว่าน่าดูจริงๆ น่าชื่นใจหรือน่าปรารถนาจริงๆ เพราะว่าถ้ามันยังไหลเวียนเปลี่ยนแปลง คือ โยกเยกโคลงเคลงอยู่เสมอมันจะเป็นความสุขได้อย่างไร
     เพราะฉะนั้นความสุขทางเนื้อหนัง ทางรูป เสียง กลิ่น รสสัมผัส ธรรมารมณ์ทำนองนี้ มันจึงเป็นมายา และไม่กล่าวว่าเป็นความสุขอย่างยิ่ง ถ้าจะกล่าวก็เป็นความสุขตามความหมายของคนธรรมดาสามัญทั่วไป ไม่ใช่สุขอย่างยิ่งที่เป็นนิพพาน หรือความว่าง
     เพราะฉะนั้น การที่ได้ยินคำว่า นิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง นั้น อย่าเพ่อตะครุบเอาว่ามันตรงกับที่เรามุ่งหมายแล้วก็เลยฝันถึงนิพพาน โดยไม่เข้าใจความหมายว่าเป็น ความว่างอย่างยิ่งดังนี้เป็นต้น



-http://www.sookjai.com/index.php?topic=3292.0
มีต่อค่ะ

ฐิตา:


               (3)
ทีนี้ พระพุทธภาษิตที่แสดงถึงหลักปฏิบัติเกี่ยวกับความว่างนั้น คือ พระพุทธภาษิตที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา อาตมากำลังเอ่ยถึงคำว่า"หัวใจของพุทธศาสนา" ฉะนั้นขอให้สนใจสักหน่อย นั่นคือพระพุทธภาษิตที่ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันใครๆ ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวเรา หรือเป็นของของเรา ถ้าเป็นบาลีก็ว่า"สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย" แปลว่า"ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" สั้น ๆ เท่านี้ ตามตัวหนังสือมีเพียงเท่านี้ แต่ถ้าขยายความในภาษาไทยไปอีกหน่อยก็ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงอันใคร ๆ ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเราหรือของเรา นี่ฟังดูให้ดีอาจจะเข้าใจได้ในตัวประโยคนั้นเองว่าอันใคร ๆ (คือไม่ยกเว้นใคร) ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น คือทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าเป็นตัวเรา หรือว่าเป็นของของเรา เป็นตัวเรา คือยึดมั่นว่า อัตตาเป็นความรู้สึกที่ว่า อหังการ : เป็นของเราก็คือ เป็นอัตตนียาแปลว่าเนื่องด้วยตัวเรา เป็นความรู้สึกที่เรียกว่า มมังการ

     เพราะฉะนั้น อย่าได้มีอหังการ หรือมมังการในสิ่งใดๆ หมด นับตั้งแต่ฝุ่นที่ไม่มีราคาอะไรเลยสักเม็ดหนึ่งขึ้นมาจนถึงวัตถุที่มีค่า เช่น เพชร นิล จินดา กระทั่งกามารมณ์ กระทั่งสิ่งที่สูงไปกว่านั้น คือ ธรรมะ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มรรค ผล นิพพานอะไรก็ตาม ไม่ควรจะถูกยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราหรือเป็นของเรา นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา
     เรื่องนี้ก็ได้กล่าวไว้ละเอียดแล้วในการบรรยายในที่บางแห่งหาอ่านดูได้ มันยืดยาวเหมือนกัน ว่าอะไรคือหัวใจของพระพุทธศาสนา ด้วยการพิสูจน์กันอย่างไร ในที่นี้จะชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงยืนยันด้วยพระองค์เองว่า นี่แหละคือบทสรุปของคำสอนทั้งหมดทั้งสิ้นของตถาคต

     ถ้าได้ยินคำนี้ คือคำว่า "สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย"นี้แล้ว ก็เป็นอันว่า ได้ยินได้ฟังทั้งหมด ถ้าได้ปฏิบัติข้อนี้ก็เป็นอันว่าได้ปฏิบัติทั้งหมด ถ้าได้ผลมาจากข้อนี้ก็คือได้ผลทั้งหมด เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวว่ามันจะมากเกินไปจนเราเข้าใจไม่ได้ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบว่า สิ่งที่ตรัสรู้นั้นเท่ากับใบไม้ทั้งป่าทั้งดง แต่สิ่งที่นำมาสอนให้พวกเธอปฏิบัตินั้นกำมือเดียว ก็หมายถึง หลักที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน หรือของตน นั่นเอง

     ที่ว่าถ้าได้ยินสิ่งนี้เป็นได้ยินทั้งหมดนั้น ก็เพราะว่า ทุกเรื่องมันสรุปรวมอยู่ที่นี่ เพราะว่าเรื่องทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ไม่มีเรื่องอื่นนอกจากความทุกข์กับเรื่องความดับทุกข์ ทีนี้ความยึดมั่นถือมั่นนี้ เป็นตัวเหตุให้เกิดทุกข์ ในขณะที่ยึดมั่นถือมั่นอยู่นั่นแหละเป็นความทุกข์ แล้วในขณะที่ไม่ยึดมั่นถือมั่น คือว่างจากความยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้น ในขณะนั้นไม่มีทุกข์ การปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นให้เด็ดขาดลงไปเป็นว่างตลอตกาล ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นกลับมาอีกเท่านี้ก็พอแล้ว ไม่มีเรื่องอะไรอีกแล้ว

     ที่ว่าปฏิบัติในข้อนี้ เป็นการปฏิบัติทั้งหมดนั้น หมายความว่า ท่านลองคิดดูว่ามันมีอะไรที่เหลืออยู่ ที่ยังไม่ได้ปฏิบัติเพราะในขณะใดที่บุคคลคนหนึ่ง จะเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ค. อะไรก็ตาม มีจิตใจปราศจากความยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้น ในขณะนั้นเขามีอะไรบ้าง ขอให้ลองคิดดู เราไล่ขึ้นไปตั้งแต่สรณาคมน์ แล้วก็ทานแล้วก็ศีล แล้วก็สมาธิ แล้วก็ปัญญา มรรค ผล นิพพานเป็นลำดับ ในขณะนั้นเขาเป็นคนเข้าถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือว่า เขามีหัวใจว่างจากกิเลสและความทุกข์เป็นอันเดียวกับหัวใจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

เพราะฉะนั้นในขณะนั้นเขาได้เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยที่ไม่ต้องตะโกนว่า พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นต้นเลย การร้องว่า พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นต้นนั้น มันเป็นพิธี เป็นแบบพิธีที่เริ่มต้นด้วยของข้างนอก ยังไม่ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่จิตใจ และถ้าในขณะใด คนใดก็ตาม มีจิตใจว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเรา ว่าของเรา แม้ในขณะหนึ่งครู่หนึ่งก็ตามอย่างที่ท่านทั้งหลายกำลังนั่งอยู่ที่นี่บัดนี้ ถ้าผู้ใดมีจิตใจว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ ว่าเรา-ว่าของเราแล้ว แปลว่าจิตใจกำลังว่าง เข้าถึงความว่างมีความสะอาด สว่าง สงบอยู่ เป็นอันเดียวกันกับหัวใจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้นชั่วขณะเวลาที่จิตว่างอย่างนี้ ถือว่าเป็นผู้มี สรณาคมน์ คือถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

     ทีนี้เลื่อนขื้นมาถึง การให้ทาน การบริจาค การให้ทานการบริจาคนี้ก็หมายความว่าให้ออกไป ให้หมดความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู หรือของกู ส่วนการทำบุญที่คิดว่าจะได้ผลตอบแทนกลับมาหลายเท่า เช่น ทำบุญหน่อยหนึ่งก็ขอให้ได้วิมานหลังหนึ่ง อย่างนี้มันเป็นการค้ากำไรเกินควร ไม่ใช่การให้ทาน การให้ทานต้องเป็นการบริจาค สลัดสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น ว่าเรา-ว่าของเรานั่นแหละออกไป เพราะฉะนั้น ในขณะที่ผู้ใดมีจิตว่างจากความรู้สึกว่าตัวเรา-ว่าของเรา ในขณะนั้นเรียกว่าบุคคลนั้นได้บริจาคทานถึงที่สุด เพราะว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่มีแล้วจะเอาอะไรมาเหลืออยู่ ส่วนของเราก็พลอยหมดไปตามความที่ไม่มีตัวเรา เพราะเมื่อหมดความรู้สึกว่ามีตัวเราสิ่งที่เป็นของเราก็สลายตัวลงไปเอง เพราะฉะนั้น ในขณะใดผู้ใดมีจิตใจว่างจากตัวตน ผู้นั้นได้ชื่อว่าได้บำเพ็ญทานอย่างยิ่ง แม้แต่ตัวเราก็บริจาคไปจนหมดสิ้น และพ่วงความรู้สึกว่าของเราเข้าไปด้วยจนหมดสิ้น ดังนั้นในขณะที่มีจิตว่างอันแท้จริงนั้น จึงได้ชื่อว่ามีการบำเพ็ญทานถึงที่สุด

ฐิตา:


    (4)
ทีนี้เลื่อนขึ้นมาถึง เรื่อง ศีล คนที่มีจิตว่างไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวตน-ของตนนั้น เรียกว่า เป็นคนที่มีศีลที่แท้จริง และเต็มเปี่ยมถึงที่สุดด้วย ศีลนอกนั้นเป็นศีลล้มลุกคลุกคลาน คือศีลที่ตั้งเจตนาว่าเราจะเว้นอย่างนั้น เราจะเว้นอย่างนี้ แล้วก็เว้นไม่ได้ ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่นั่นเอง เพราะว่าไม่รู้จักปล่อยวางตัวตนเสียก่อนไม่รู้จักปล่อยวางของของตนเสียก่อน คือไม่มีความว่างจากตัวตนเสียก่อน ศีลก็มีขึ้นไม่ได้ แม้จะมีก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่เป็นอริยกันตศีล คือไม่เป็นศีลชนิดเป็นที่พอใจของพระอริยะเจ้าได้ เป็นโลกียศีล ที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่เรื่อย ไม่เป็นโลกุตตรศีลขึ้นมาได้ ถ้าเมื่อใดมีจิตว่างแม้ชั่วขณะหนึ่งวันหนึ่ง หรือคืนหนึ่งก็ตาม มันก็มีศีลที่แท้จริงตลอดเวลาเหล่านั้น

     ทีนี้ถ้าพูดถึง สมาธิ จิตว่างนั้น เป็นสมาธิอย่างยิ่ง เป็นจิตที่ตั้งมั่นอย่างยิ่ง สมาธิที่พยายามปลุกปล้ำล้ม ๆ ลุก ๆ มันก็ยังไม่ใช่สมาธิ และยิ่งสมาธิที่มีความมุ่งหมายเป็นอย่างอื่น นอกไปจากเพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่นในเบญจขันธ์แล้ว ล้วนแต่เป็นมิจฉาสมาธิทั้งนั้น ท่านต้องทราบไว้ว่า มันมีทั้ง มิจฉาสมาธิ และสัมมาสมาธิ เพราะฉะนั้นคำว่า "สมาธิ" ในที่นี้ เราหมายถึง สัมมาสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิอย่างอื่นก็เป็นมิจฉาสมาธิไปหมด จิตที่ว่างจากความยึดมันถือมั่นว่าเราว่าของเราเท่านั้น ที่จะมั่นคงเป็นสมาธิได้อย่างแท้จริงและสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีจิตว่างจึงเป็นผู้ที่มีสมาธิอย่างถูกต้อง

     ทีนี้มาถึง ปัญญา เลื่อนขึ้นมาถึงปัญญา ยิ่งบ่งชัดว่า รู้ความว่าง หรือเข้าถึงความว่าง หรือเป็นตัวความว่างนั้นเองก็ตาม นั้นเป็นตัวปัญญาอย่างยิ่ง เพราะว่า ขณะที่มีจิตว่างนั้น เป็นความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง ขณะที่เป็นความโง่อย่างยิ่งก็คือ ขณะที่โมหะหรืออวิชชาเข้ามาครอบงำอยู่แล้ว ทำให้ยึดมั่นถือมั่นนั่นนี่ ว่าเป็นตัวตน หรือของตน ลองคิดดูก็จะเห็นได้ง่าย ๆ ชัดแจ้งด้วยตนเองว่า พอสิ่งเหล่านี้ออกไปแล้ว มันจะโง่ได้อย่างไร เพราะว่าความโง่มันเพิ่งเข้ามาต่อเมื่อมีอวิชชา ไปหลงยึดมั่นว่าเป็นตัวเราว่าของเรา ขณะใดที่จิตว่างจากความโง่อย่างนี้ก็เข้าถึงความว่างจากตัวเราว่างจากของเรา มันก็ต้องเป็นความรู้หรือเป็นปัญญาเต็มที่ เพราะฉะนั้นผู้ที่ฉลาดเขาจึงพูดว่า ความว่างกับปัญญาหรือสติปัญญานี้เป็นสิ่งเดียวกัน ไม่ใช่เป็นของสองสิ่งที่เหมือนกันแต่ว่าเป็นสิ่ง ๆเดียวกันเลย ข้อนี้ย่อมหมายความว่า ปัญญาที่แท้จริงหรือถึงที่สุดของปัญญานั้น ก็คือความว่างนั่นเอง คือว่างจากโมหะที่หลงยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง หมายความว่าพอเอาโมหะอันนี้ออกไปเสีย จิตก็ถึงสภาพเดิมของจิตที่เป็นจิตเดิมแท้ คือปัญญา หรือสติปัญญา

     แต่คำว่า "จิต" อย่างที่กล่าวในที่นี้ มีความหมายเฉพาะในเรื่องที่กล่าวมานี้เท่านั้น คนอื่นอาจให้ความหมายแก่คำว่าจิตเป็นอย่างอื่น ซึ่งไม่ได้เป็นจิตที่เป็นอันเดียวกันกับปัญญาอย่างนี้ก็ได้ ฉะนั้นท่านทั้งหลายอย่าได้เอาไปปนกันที่พูดว่าจิต ๘๙ ดวงจิต ๑๒๑ ดวงนั้นไม่ใช่เรื่องนี้คนละเรื่องกัน สิ่งที่เราเรียกว่า จิตเดิมแท้ ที่เป็นอันเดียวตัวเดียวกันกับปัญญานั้น เราหมายถึงจิตที่ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน

     ที่จริงสภาพอันนี้ก็ไม่ควรจะเรียกว่าจิตเลย ควรจะเรียกว่า ความว่าง แต่โดยเหตุที่มันเป็นสิ่งที่รู้อะไรได้ เราจึงเรียกว่า จิตหรือกลับมาเรียกว่าจิตอีกทีหนึ่ง นี้มันแล้วแต่พวกไหนจะนิยมอย่างไร แต่ถ้าจะพูดไปตามที่เป็นจริงหรือตามธรรมชาติจริง ๆ ก็พอจะพูดได้ว่า ธรรมชาติเดิมแท้ของจิตก็คือสติปัญญา คือจิตว่างจากความยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้น ในความว่างนั้นเองจึงเป็นปัญญาโดยสมบูรณ์ ถ้าเลื่อนขึ้นไปถึงมรรค-ผล-นิพพาน มรรคผลนิพพานนั่นแหละคือความว่างในระดับหนึ่ง ๆ สูงขึ้นไปตามลำดับ จนถึงนิพพานที่เรียกว่า "ปรมสุญญตา" หรือ"ปรมํ สญฺญ" คือว่างอย่างยิ่ง

     นี่ท่านจะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่สรณาคมน์ขึ้นไป แล้วถึงทาน แล้วถึงศีล ถึงสมาธิ ถึงปัญญา ไม่มีอะไรนอกไปจากความว่าง ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวตน และมรรคผล นิพพานก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ แต่เป็นขั้นเด็ดขาด ขั้นที่ถึงที่สุด
     เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ได้ฟังข้อนี้คือได้ฟังทั้งหมด ได้ปฏิบัติข้อนี้คือได้ปฏิบัติทั้งหมด และได้รับผลจากข้อนี้คือการได้รับผลทั้งหมด โดยประโยคเพียงประโยคเดียวว่า "สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย -สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันใคร ๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเรา-ว่าของเรา" จงพยายามเก็บใจความขึ้นมาด้วยตัวเองให้ได้ว่าความหมายของคำว่า "ความว่าง" นั้นเป็นอย่างไร

     ทีนี้เรามาลองนึกถึงสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงนี้ไม่มีอะไรอื่นนอกจากสิ่งที่เราเรียกว่า "ธรรม" ในภาษาบาลีคือคำว่า ธมฺม ในภาษาสันสกฤตเขียน ธฺรม ในภาษาไทยเรียกว่า ธรรมเฉย ๆ สามเสียงนี้มันจะออกเสียงต่างกันอย่างไร มันก็หมายถึงธรรมะซึ่งแปลว่า "สิ่ง" เท่านั้นแหละ "สพฺเพ ธมฺมา ก็แปลว่าสิ่งทั้งปวง"

ฐิตา:


        (5)
ท่านต้องทำในใจให้แจ่มแจ้ง เล็งถึงสิ่งทั้งปวงกันก่อนว่า ถ้าเราพูดเป็นไทย ๆ ว่า "สิ่งทั้งปวง" แล้วมันหมายถึงอะไรบ้างมัน ก็ต้องหมายถึงสิ่งทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไรหมดจะเป็นเรื่องโลก หรือเรื่องธรรมะก็คือสิ่งทั้งปวง จะเป็นฝ่ายวัตถุ หรือฝ่ายจิตใจก็คือสิ่งทั้งปวง หรือถ้าจะมีอะไรมากไปกว่านั้นอีก คือมากไปกว่าวัตถุหรือจิตใจ คือมีสิ่งที่สามขึ้นมาอีก ก็ยังคงเรียกว่าสิ่งทั้งปวง ซึ่งรวมความอยู่ในคำว่า "ธรรม" อยู่นั่นเอง

     เพราะฉะนั้น อาตมาจึงแนะให้ท่านทั้งหลายรู้จักสังเกตว่า
     - ตัวโลกคือสิ่งที่เป็นวัตถุ กล่าวคือ ทั่วโลกทั้งหมดในฝ่ายวัตถุธรรมนี้ประเภทหนึ่ง ก็คือ ธรรม
     - แล้วตัวจิตใจที่จะรู้จักโลกทั้งหมดทั้งสิ้น ก็คือ ธรรม
     - ถ้าใจกับโลกกระทบกัน การกระทบนั้นก็เป็น ธรรม
     - แล้วผลของการกระทบนั้นเกิดอะไรขึ้น เกิดเป็นความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ขึ้นมาก็ตาม หรือเกิดเป็นสติปัญญา รู้แจ่มแจ้งไปตามความเป็นจริงก็ตามมันก็เรียกว่า ธรรม ทั้งนั้น
     - จะถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว ก็เรียกว่า ธรรม ทั้งนั้น
     - ทีนี้สติปัญญาก่อให้เกิดความรู้ เป็นระบบต่าง ๆ ขึ้นมาอันนี้ ก็คือ ธรรม
     - ความรู้นั้นเป็นเหตุให้เกิดการปฏิบัติ เป็นศีล สมาธิปัญญา หรือปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา การปฏิบัตินั้นก็คือ ธรรม
     - ครั้นปฏิบัติสิ่งต่าง ๆ ลงไปแล้ว ผลย่อมจะเกิดขึ้น สรุปแล้วเรียกว่า มรรค ผล นิพพาน เหล่านี้เป็นผลที่เกิดขึ้น แม้ผลนี้ ก็คือ ธรรม

     เพราะฉะนั้น สรุปแล้วมันคือธรรมทั้งนั้น กินความมาตั้งแต่เปลือกแท้ ๆ กล่าวคือ โลกหรือวัตถุ แล้วกินความจนถึงจิตใจ ถึงการกระทบระหว่างใจกับโลก ถึงผลที่เกิดขึ้นจากการกระทบ เป็นความผิด ความถูก ความดี ความชั่ว กระทั่งเป็นวิชชาความรู้ชนิดที่ให้เกิดความรู้ทางธรรมะ การปฏิบัติธรรมะ และมรรค ผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม นี่ถ้าเห็นทั้งหมดนี้แต่ละอย่าง ๆชัดเจนแล้ว ก็เรียกว่าเห็นสิ่งทั้งปวง แล้วพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สิ่งทั้งปวงดังที่ว่ามาแหละ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นส่วนไหนเลยว่าเป็นตัวเราหรือว่าเป็นของเรา

     คือส่วนที่เป็นวัตถุหรือร่างกายนี้ก็ยึดถือไม่ได้ ส่วนที่เป็นจิตใจก็ยิ่งยึดถือไม่ได้ เพราะมันยิ่งเป็นมายายิ่งไปกว่าส่วนที่เป็นวัตถุเสียอีก เพราะฉะนั้นจึงมีคำตรัสว่า ถ้าจะยึดถือตัวตนกันแล้วน่าจะยึดถือที่ตัววัตถุดีกว่า เพราะมันยังเปลี่ยนแปลงช้ากว่า ไม่เป็นมายาหลอกลวงเหมือนจิตใจอย่างที่เราเรียกกันว่า นามธรรม
     จิตใจในที่นี้ไม่ได้หมายถึง "จิต" อันเป็นตัวเดียวกันกับความว่างอย่างที่กล่าวเมื่อตะกี้ แต่หมายถึง จิตที่เป็นความรู้สึกทางจิต (mentality) ต่าง ๆ อันเป็นจิตที่คนธรรมดารู้จัก
     ทีนี้การกระทบระหว่างโลกกับจิตใจ มีผลเป็นความรู้สึกต่าง ๆ เป็นความรัก ความเกลียด ความโกรธ เหล่านี้ก็คือ ธรรม ซึ่งก็ยิ่งยึดถือไม่ได้ เพราะมันเป็นมายาที่เกิดจากมายาที่เป็นไปฝ่ายกิเลส แล้วยิ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งในการที่จะไปยึดถือเข้า

     ทีนี้แม้ว่าเป็นฝ่ายสติปัญญา ก็ยังสอนไม่ให้ยึดถือว่าเรา-ว่าของเรา เพราะว่ามันเพียงสักว่าธรรมชาติ ถ้าไปยึดถือเข้าจะเกิดความหลงผิดขึ้นมาใหม่ จะมีตัวเรา และมีของเรา คือมีเราผู้มีสติปัญญา และมีสติปัญญาของเรา เป็นความยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา ก็เป็นความหนักเนื่องด้วยความยึดถือนั้นจนเกิดความรวนเรไปตามความเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านั้น แล้วก็เป็นทุกข์
     ทีนี้ก็มาถึงความรู้ ก็ให้ถือว่าเป็นสักแต่ว่าความรู้ อย่าได้ไปหลงยึดมั่นถือมั่น จะเกิดอาการของสีลัพพตปรามาสต่าง ๆ ขึ้นมา แล้วก็จะต้องเป็นทุกข์ โดยไม่รู้สึกตัวเพราะเหตุนั้น

     การปฏิบัติธรรมะนั้นก็เหมือนกัน มันเป็นสักว่าการปฎิบัติเป็นความจริงของธรรมชาติ ทำลงไปอย่างไรผลย่อมเกิดขึ้นอย่างนั้น โดยสมส่วนกันเสมอ จะไปเอามาเป็นเรา เป็นของเราไม่ได้ เพราะถ้าเกิดไปยึดมั่นถือมั่นก็จะหลงผิดขึ้นมาอีก เป็นการสร้างตัวตนที่ลม ๆ แล้ง ๆ ขึ้นมาอีก แล้วมันก็ต้องเป็นทุกข์เหมือนกับที่ไปยึดในเรื่องกามารมณ์หรือยึดในเรื่องผิด ๆ อย่างอื่นก็เหมือนกัน.
     พอมาถึงมรรค ผล นิพพาน นั่นก็คือ ธรรม หรือธรรมชาติที่เป็นอย่างนั้นเอง หรือ แม้ที่สุดตัวความว่างเองก็สักแต่ว่าธรรมชาติ พระนิพพานเอง ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกันกับความว่าง ก็เป็นสักแต่ว่าธรรมชาติ ถ้าไปยึดถือเข้าก็เป็นผิดนิพพาน หรือผิดความว่างผิดตัวนิพพาน เพราะว่านิพพาน หรือว่าความว่างจริงไม่ใช่วิสัยที่จะถูกยึดมั่น-ถือมั่นว่าตัวหรือว่าของตัวได้เลย

     เพราะฉะนั้นเป็นอันกล่าวได้ว่า ถ้าผู้ใดยึดมั่นลงไปที่นิพพานหรือความว่าง ย่อมจะผิดตัวความว่าง หรือผิดตัวนิพพานทันที
     นี่คือการบอกให้ทราบว่า ทุกอย่างไม่มีอะไรเลยนอกจากธรรม ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากธรรม

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version