ผู้เขียน หัวข้อ: ดื่มน้ำเมามีโทษ  (อ่าน 1329 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ sithiphong

  • ทีมงานก้านแก้วเกล็ดใบทอง
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7544
  • พลังกัลยาณมิตร 2681
  • พระวังหน้าที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก
    • ดูรายละเอียด
ดื่มน้ำเมามีโทษ
« เมื่อ: มิถุนายน 02, 2012, 10:20:39 am »
ดื่มน้ำเมามีโทษ
-http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOREF5TURZMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHdOaTB3TWc9PQ==-

ธรรมะวันหยุด
พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชรวรวิหาร watdevaraj@hotmail.com โทร. 0-2281-2430


การดื่มน้ำเมา จัดเข้าในศีลข้อที่ 5 และจัดเป็นอบายมุข คือทางแห่งความเสื่อม ความฉิบหาย เสียทรัพย์สินเงินทอง



เป็นเหตุเสื่อมทรัพย์ ชื่อว่าทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์ที่มีชีวิตซึ่งได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ เป็นต้น หรือเป็นทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณ คือ แก้ว แหวน เงิน ทอง ทรัพย์สินสิ่งของ อื่นๆ เช่น รถ ล้อ เกวียน อาคารสถานที่ บ้านเรือน เป็นต้น ทรัพย์เหล่านี้เมื่อไม่มีก็ต้องหา เพราะต้องกินต้องใช้



การที่จะทำให้มีทรัพย์ ไม่ใช่จะทำได้ง่าย ต้องลำบากกายทุกข์ใจกว่าจะได้มา เมื่อได้มาแล้วก็ภูมิใจว่ามีทรัพย์ เมื่อได้ใช้จ่ายทรัพย์เลี้ยงตน คนในครอบครัว ญาติมิตรหรือประกอบกุศลกิจอื่นๆ ก็เป็นสุขใจ



ทรัพย์เหล่านี้มีทางที่จะเสื่อมสลายหายสูญไปด้วยเหตุหลายประการ โดยเฉพาะในที่นี้ เสื่อมไปเพราะปัจจัยคือการดื่มน้ำเมา ซึ่งได้แก่ เหล้า สุรา ยาบ้า และเมรัย



เมื่อดื่มหรือเสพสิ่งเหล่านี้ จะมีโทษ 6 สถานคือ



1. เสียทรัพย์



2. ก่อทะเลาะวิวาท



3. เกิดโรค



4. ต้องติเตียน



5. ไม่รู้จักอาย



6. ทอนกำลังปัญญา



โทษของการดื่มสุราไม่ใช่มีเท่านี้ เมื่อดื่มจนเมาได้ที่แล้วยังก่อกรรมทำเข็ญอื่นๆ ได้ เช่น ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติประเวณีและพูดเท็จก็ได้ ทั้งยังให้ประสบภัยหลายอย่างต่างกันไป ดังพุทธภาษิตที่ว่า บุคคลผู้ดื่มน้ำเมา คือสุราและเมรัยเป็นปกติ คือเป็นประจำ ทำอยู่เป็นนิตย์ ย่อมประสบกับภัยและเวรที่เห็นได้ในปัจจุบัน ในอนาคต และย่อมเสวยทุกข์โทมนัสทางใจ



ภัยเวรปัจจุบันพอจะเห็นกันได้แต่ละปี แต่ละเดือน หรือแต่ละวัน มีผู้ประสบภัยกันแล้วเท่าไหร่ เสียชีวิตและทรัพย์สินไปแล้วแค่ไหน สิ่งเหล่านี้จะเกิดมีได้ เพราะเหตุปัจจัยคือการดื่มน้ำเมา ส่วนภัยเวรในอนาคตซึ่งยังไม่มีมาปรากฏนั้น ก็ต้องมีโดยการประเมินเหตุปัจจุบันซึ่งสัมพันธ์กับผลอนาคต เมื่อได้ประสบภัยเช่นนี้ก็มีแต่ความทุกข์ระทมขมขื่นใจ



นอกจากนี้ การดื่มน้ำเมา และเมรัย ยังเป็นปัจจัยให้เกิดความประมาท ความประมาทก็คือ ความขาดสติ คนไม่มีสติกำกับ ก็เหมือนรถที่ติดเครื่องแล้วปล่อยให้แล่นไปตามถนน ซึ่งไม่มีคนขับ หรือคอยกำกับดูแลรถนั้น ต้องก่อเหตุเภทภัยให้เกิดขึ้นแน่ๆ ฉันใด ความประมาทและคนประมาทก็ฉันนั้น ย่อมก่อภัยให้โทษแก่ตนและคนอื่นนานาประการ ซึ่งนอกจากนี้ ความประมาทยังปิดโอกาสการเกิดขึ้นแห่งกุศลความดีด้วย ความประมาทเป็นต้นตอบ่อเกิดหรือเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความชั่วร้ายทั้งหลาย ทั้งเป็นตัวทำลายกุศลความดีทั้งหลายทั้งปวง ส่วนความไม่ประมาทคือ ไม่ขาดสติ เป็นบ่อเกิดแห่งกุศลความดีเช่นเดียวกัน

.

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOREF5TURZMU5RPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1pMHdOaTB3TWc9PQ==

.
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)