๑๑.ตัณหาสูตร พุทธพจน์ และ พระสูตรพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒
[๓๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตัณหา ๓ และมานะ ๓ ควรละ
ตัณหา ๓ เป็นไฉน คือ
กามตัณหา ๑ ภวตัณหา ๑ วิภวตัณหา ๑ ตัณหา ๓ นี้
ควรละมานะ ๓ เป็นไฉน คือ
ความถือตัวว่าเสมอเขา ๑ ความถือตัวว่าเลวกว่าเขา ๑
ความถือตัวว่าดีกว่าเขา ๑ มานะ ๓ นี้
ควรละดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ตัณหา ๓ และมานะ ๓ นี้ย่อมเป็นธรรมชาติ อันภิกษุละได้แล้ว
เมื่อนั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ได้ตัดตัณหา ขาดแล้ว
คลายสังโยชน์ได้แล้วได้กระทำที่สุดทุกข์เพราะ
ละมานะได้โดยชอบ ฯ
จบสูตรที่ ๑๑ตัณหาสูตรที่ ๓
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕
ว่าด้วยโลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร
[๑๘๒] เทวดาทูลถามว่า
โลกอันอะไรหนอ ย่อมนำไป อันอะไรหนอ ย่อมเสือกไสไป
โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคืออะไร ฯ
[๑๘๓] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
โลกอันตัณหาย่อมนำไป อันตัณหาย่อมเสือกไสไป
โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอันหนึ่งคือตัณหา
จบสูตรที่ ๓๘. ตัณหาสูตรพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖
ว่าด้วย เที่ยงหรือไม่เที่ยง [๖๑๔] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกร ราหุล เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปตัณหา ... สัททตัณหา ... คันธตัณหา ... รสตัณหา ... โผฏฐัพพตัณหา ... ธัมมตัณหา เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
ท่านพระราหุลกราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ... ฯ
[๖๑๕] ดูกรราหุล อริยสาวกผู้ได้สดับ เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในรูปตัณหา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัททตัณหา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในคันธตัณหา
ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรสตัณหา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในโผฏฐัพพตัณหา ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในธัมมตัณหา เมื่อเบื่อหน่าย
ย่อมคลายกำหนัด ฯลฯ ฯ
จบสูตรที่ ๘๘. ตัณหาสูตรพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗
ว่าด้วยสัทธานุสารีและธัมมานุสารีบุคคล [๔๗๖] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปตัณหาไม่เที่ยง มีอันแปรปรวนเป็น อย่างอื่นเป็นธรรมดา
สัททตัณหา ฯลฯ คันธตัณหา ฯลฯ รสตัณหา ฯลฯ โผฏธัพพตัณหา ฯลฯ ธรรมตัณหาไม่เที่ยง
มีอันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นเป็นธรรมดา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดเชื่อมั่นไม่หวั่นไหว ซึ่งธรรมเหล่านี้อย่างนี้ เรากล่าวผู้นี้ว่า สัทธานุสารี ฯลฯ เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ เป็นเบื้องหน้า. จบ สูตรที่ ๘.๘. ตัณหาสูตรพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗
ว่าด้วยความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปแห่งทุกข์ [๔๙๓] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด ความปรากฏแห่งรูปตัณหา ฯลฯ
แห่งสัททตัณหา ฯลฯ แห่งคันธตัณหา ฯลฯ แห่งรสตัณหา ฯลฯ แห่งโผฏฐัพพตัณหา ฯลฯ
แห่งธรรมตัณหา นี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นความตั้งอยู่ แห่งโรค เป็น
ความปรากฏแห่งชราและมรณะ.
[๔๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับโดยไม่เหลือ ความสงบระงับ ความสูญแห่ง รูปตัณหา ฯลฯ
แห่งสัททตัณหา ฯลฯ แห่งคันธตัณหา ฯลฯ แห่งรสตัณหา ฯลฯ แห่ง โผฏฐัพพตัณหา ฯลฯ
แห่งธรรมตัณหา
นี้เป็นความดับโดยไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นความสงบ ระงับแห่งโรค เป็นความดับสูญแห่งชราและมรณะ.
จบ สูตรที่ ๘.