ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ

ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว

<< < (21/38) > >>

sithiphong:
แบงก์พันปลอม ระบาด จ.อำนาจเจริญ แม่ค้าโดนหลอกอื้อ
-http://hilight.kapook.com/view/89989-







ผวา!แบงก์พันปลอมระบาดอำนาจเจริญ (ไอเอ็นเอ็น)
 
            แบงก์พันปลอมระบาดอำนาจเจริญ แม่ค้าโดนหลอกซื้อสินค้า วอนตำรวจเร่งสกัด ด้านตำรวจเผย แม่ค้าโดนหลอกแล้วหลายราย คาดเป็นพวกแขกขาว

            วันที่ 19 สิงหาคม 2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสว่าง ไชยนา อายุ 40 ปี แม่ค้าขายลูกชิ้น ในตลาดสดวิชิตสิน ต.บุ่ง อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ได้เข้าร้องสื่อมวลชน เพื่อให้แจ้งชาวบ้าน ระมัดระวังธนบัตรใบละ 1,000 บาทปลอม ซึ่งมีคนร้ายเข้ามาหลอกซื้อสินค้า โดยหวังเอาเงินทอนที่เป็นธนบัตรจริง ที่ถูกต้องตามกฎหมายจากแม่ค้าไปแทน

            โดย นางสว่าง เล่าว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาประมาณ 20.00 น. มีคนมาขอซื้อลูกชิ้น ในราคา 30 บาท โดยใช้ธนบัตรใบละ 1,000 บาท จ่ายซื้อของ จากการสังเกตคนร้ายเป็นผู้ชาย อายุ 23-25 ปี รูปร่างสูง ขาว จะทำทีมีถุงสัมภาระมาขอฝากแม่ค้า เพื่อให้คนเชื่อใจ จากนั้นจะใช้ธนบัตรปลอม ขอซื้อของจำนวนไม่มาก แต่จะเร่งให้รีบทอนเงิน และเมื่อได้เงินทอนแล้ว จะรีบเดินไปซื้อของอีกหลาย ๆ อย่าง แล้วก็หนีหายไปไม่กลับมาเอาของฝากที่วางไว้ก่อนเลย

            ด้าน พ.ต.อ.สถาพร เอมโอษฐ์ ผกก.สภ.เมืองอำนาจเจริญ ได้สั่งการให้ตำรวจชุดสืบสวนลงพื้นที่ ออกสกัดจับแล้ว โดยมีข้อมูลจากแม่ค้าในตลาดสดหลายรายที่โดนหลอก สูญเงินไปแล้วหลายราย สงสัยจะเป็นแขกขาว คนต่างชาติซึ่งลงพื้นที่ จ.อำนาจเจริญ ยโสธร และ อุบลราชธานี ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่ามักเข้าไปต้มตุ๋นหลอกลวงชาวบ้าน เอาสิ่งของไปจำนวนหนึ่ง ซึ่งตำรวจกำลังให้ผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความในวันนี้


ไอเอ็นเอ็น

sithiphong:
เตือนภัย! คอทอง... ระวังโดนล้วงตับยัดไส้ทองปลอม
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม 2556 เวลา 09:29 น.
-http://www.dailynews.co.th/article/440/229629-


ภัยสังคมยุคนี้มีมากมายจนตามแทบไม่ทัน แต่เพื่อป้องกันการโดนหลอกจึงจำเป็นที่ต้องติดตามเพื่อระวังภัย!

ล่าสุด ภัยสังคมอีกรูปแบบที่พัฒนาฝีมือให้แนบเนียมจนเซียนทองยังต้องอึ้ง!  คือ “ภัยทองคำยัดไส้” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่จ.นครราชสีมา

สืบเนื่องจากกรณี นายสุเทพ ณัฐกานต์กนก เจ้าของร้านทองกรุงเทพตราหัวใจคู่ และ น.ส.ภัทรียา รัตน์ศิริมณีเวทย์ ตัวแทนจากร้านทองไทเฮ้งล้ง ตราช้าง ตั้งอยู่ในตัวเมืองนคร ราชสีมา เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.นครราชสีมา ว่าถูกแก๊งต้มตุ๋นเข้ามาหลอกให้รับซื้อทองแท่งยัดไส้ น้ำหนักรวม 4 กิโลกรัม มูลค่ากว่า 5 ล้านบาท ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะติดตามจับกุม นางวรนุช กันโต อายุ 44 ปี ผู้ที่นำทองมาขาย และนางศิริพร จิตรติกรกุล ผู้ที่อ้างเป็นเจ้าของทองไว้ได้ โดยในเบื้องต้นทั้งคู่ยังให้การปฏิเสธ อ้างว่าได้ซื้อทองแท่งมาจากร้านทองแห่งหนึ่งใน จ.นครราชสีมา มาเก็บไว้ ก่อนมีปัญหาเงินขาดมือ จึงนำทองออกมาขาย ทำให้เพิ่งทราบว่าเป็นทองยัดไส้ ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

กระทั่งวานนี้ ( 29 ส.ค.) พ.ต.ท.มงคล แก้วโพธิ์ สว.สส.สภ.เมือง จ.นครราชสีมา ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนติดตามคดี เปิดเผยว่า ล่าสุดได้ส่งของกลางไปให้สมาคมผู้ค้าทองตรวจสอบอย่างละเอียดว่า วัตถุที่อยู่ภายในทองแท่งคืออะไร ได้มาจากไหน และถูกทำขึ้นมาได้อย่างไร แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ทองแท่งที่ถูกทำขึ้นมีความละเอียดมาก ทั้งเรื่องน้ำหนัก รูปพรรณ และสัญลักษณ์อื่น ๆ ทำได้อย่างแนบเนียน เชื่อว่าน่าจะทำเป็นขบวนการใหญ่ หรือเป็นฝีมือของช่างผู้เชี่ยวชาญ

นายชัยชนะ ประพฤทธิพงษ์ ประธานชมรมร้านค้าทองนครราชสีมา กล่าวว่า ภายหลังเกิดเหตุนายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ได้รับปากว่าจะช่วยดำเนินการตรวจสอบให้ โดยจะนำส่งของกลางไปตรวจสอบยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งตนยังได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่บริษัทที่นำเข้าทองแท่งจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตทองแท่งยักษ์ใหญ่ว่า จะส่งเจ้าหน้าที่เดินทางมาตรวจสอบเรื่องราวด้วยตนเอง เนื่องจากเหตุการณ์นี้อาจทำให้บริษัทผู้ผลิตได้รับผลกระทบในเรื่องชื่อเสียงด้วย

“แนวทางป้องกัน ทางชมรมร้านค้าทองนครราชสีมา ได้ส่งข้อความแจ้งเตือนไปยังสมาชิก ผ่านทางไลน์ เอสเอ็มเอส รวมทั้งเฟซบุ๊ก เพื่อให้ระมัดระวังแก๊งมิจฉาชีพนำทองยัดไส้มาขาย และช่วยกันดำเนินการตรวจสอบว่าพบทองยัดไส้ในพื้นที่ใดอีก แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่พบ อาจเป็นเพราะผู้ที่มีทองแท่งไว้ในครอบครองอาจไม่กล้าพิสูจน์” นายชัยชนะ กล่าว

นายชัยชนะ กล่าวว่า การพิสูจน์ ว่าเป็นทองจริงหรือทองยัดไส้ ทำได้วิธีการเดียว คือ การใช้ไฟเผา หรือนำไปหลอม เพราะเมื่อทองคำแท่งร้อนจนใกล้ถึงจุดหลอมละลาย ตัวที่ยัดไส้อยู่ข้างในจะหลอมละลายเร็วกว่าเนื้อทอง ซึ่งส่งผลให้ปริแตกและดันตัวออกมาด้านนอก แต่การเผาพิสูจน์หากพบเป็นทองจริงก็จะทำให้ทองเสียมูลค่าไปโดยเปล่าประโยชน์ และจะทำให้ราคาตกลงไปด้วย ตอนนี้จึงต้องรอให้ทางสมาคมร้านค้าทองคำ หาวิธีตรวจสอบทองที่จะไม่ทำให้เสียมูลค่า

ช่วงนี้สถานการณ์ราคาทองคำในประเทศก็กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ดังนั้นเพื่อไม่ให้การลงทุนกลายเป็นเรื่องสุญเปล่าต้องระวังให้ดี เพราะภัยนี้อาจทำให้เงินหมดกระเป๋าได้.

sithiphong:
ตร.ออกหมายจับแก๊งทวงหนี้โหดบุกทำร้ายแม่ค้าขนมหวาน
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม    31 สิงหาคม 2556 18:23 น.
-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000109347-


(แฟ้มภาพ) พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการป.ป.ส.เข้าเยี่ยมผู้เสียหาย


ตำรวจ สน.บางเขน ออกหมายจับแก๊งทวงหนี้เงินกู้นอกระบบสุดโหด ยกพวกบุกบ้านแม่ค้าขายขนม ทำลายข้าวของพร้อมทำร้ายร่างกายคนในบ้าน ขณะที่ “พงศพัศ” รุดเยี่ยมมอบเงินเยียวยา
       
       วันนี้ (31 ส.ค.) พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ ผกก.สน.บางเขน เปิดเผยความคืบหน้ากรณีแก๊งทวงหนี้เงินกู้นอกระบบจำนวน 15 คน พร้อมอาวุธครบมือ บุกเข้าทำลายข้าวของภายในบ้านเลขที่ 5/9 ม.4 ซอยเพิ่มสิน 20 แยก 13 ถนนเพิ่มสิน แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม. บ้านของนางปาริฉัตร เกิดสาย อายุ 50 ปี แม่ค้าขายขนมในตลาดเทพทิพย์ ย่านสายไหม และทำร้ายร่างกายคนในบ้านทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 รายว่า เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานขอออกหมายจับ นายชุติเทพ สุโพธิ์ หรือกรีน อายุ 18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40 ต.คลีกลิ้ง อ.ศิลาลาด จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นนายหน้ามาปล่อยเงินกู้ให้กับผู้เสียหาย และในคืนก่อเหตุก็ได้เป็นหัวหน้าทีมนำลูกน้องมาถล่มบ้านดังกล่าวด้วย โดยออกหมายจับ 4 ข้อหา คือ 1. บุกรุกในยามวิกาล 2. ทำให้เสียทรัพย์ 3. ทำร้ายร่างกาย และ 4. ทำผิด พ.ร.บ.เงินกู้ฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
       
       ต่อมา พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เลขาธิการ ป.ป.ส.พร้อมด้วย พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ ผกก.สน.บางเขน เดินทางไปที่บ้านเกิดเหตุเพื่อเยี่ยมผู้เสียหาย พร้อมมอบเงินช่วยเหลือจำนวน 30,000 บาท เพื่อช่วยค่าซ่อมแซมจักรยานยนต์ และของในบ้านที่ถูกทำลายเสียหาย และแบ่งไปชดใช้คืนเจ้าหนี้เงินกู้ที่ติดค้างอยู่อีก 7,000 บาท
       
       พล.ต.อ.พงศพัศกล่าวว่า วันนี้ได้มาเยี่ยมให้กำลังใจผู้เสียหาย เมื่อทราบเรื่องทาง ป.ป.ส.มีการตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของเยาวชนที่เคยติดยาเสพติดและเข้ารับการบำบัดกับทาง ป.ป.ส. ก็พบว่ามีชื่อตรงกันกับบุคคลที่ถูกออกหมายจับ จึงประสานข้อมูลมายัง สน.บางเขน และทราบว่าเด็กพวกนี้ส่วนใหญ่เมื่อพ้นโทษออกมาก็จะมารับจ้างปล่อยเงินกู้และทวงหนี้ เพื่อแลกกับเงิน และยาเสพติด และส่วนใหญ่พวกเงินกู้นอกระบบเหล่านี้จะเป็นคนต่างจังหวัดที่มีฐานะดี โดยได้มอบเงินให้ผู้เสียหายไปส่วนหนึ่ง และอยากฝากเตือนถึงประชาชนว่า หากเป็นไปได้ไม่ควรที่จะไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ เพราะจะเป็นอันตรายต่อชีวิต ยังดีที่เหตุการณ์นี้ไม่มีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
       
       อย่างไรก็ตาม ขอฝากเตือนไปยังขบวนการเงินกู้นอกระบบด้วยว่ารัฐบาลมีนโยบายปราบปรามอยู่แล้ว หากไม่หยุดก็จะดำเนินการเด็ดขาดไม่มีความปรานี



ตร.รวบแล้วแก๊งทวงหนี้โหด
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม    1 กันยายน 2556 15:39 น.
-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000109599-

ตำรวจรวบแล้วแก๊งทวงหนี้โหด รับถูกเบี้ยวจ่ายดอก โมโหจึงพาพวกบุกไปถล่มบ้านยับ ตรวจสอบพบอดีตเคยเป็นลูกสมุนแก๊งเงินกู้ ก่อนแยกตัวออกมาปล่อยเงินกู้เอง
       
       วันนี้ (1 ก.ย.) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.กฤษฎิ์ เปียแก้ว ผบก.น.2 พ.ต.อ.เจริญ ศรีศศลักษณ์ รอง ผบก.น.2 พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ ผกก.สน.บางเขน พ.ต.ท.สมศักดิ์ โปสัยะคุปต์ รอง ผกก.สส.สน.บางเขน พ.ต.ท.เสน่ห์ มณีฉาย สว.สส.สน.บางเขน พ.ต.ต.พงศ์สุรวัฒน์ วงษ์สารัมย์ สว.สส.สน.บางเขน และชุดสืบสวนร่วมแถลงข่าวจับ นายชุติเทพ สุโพธิ์ หรือกรีน อายุ 18 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา เลขที่ 1510/2556 ลงวันที่ 31 ส.ค. 2556, นายอนันต์ บุญหล้า หรือมิตร อายุ 21 ปี, นายปภพ กล่ำผ่องศรี หรือโกโก้ อายุ 21 ปี, นายธนพล มาทา หรือโก้ อายุ 21 ปี, นายมาโนชญ์ เจิมขุนทด หรือม้ง อายุ 20 ปี, นายศรันย์ สนใจ หรืออั้น อายุ 25 ปี, นายกว้าง (นามสมมติ) อายุ 18 ปี, นายสมปอง จันทร์มา หรืออาท อายุ 22 ปี, นายวีรยุทธ์ โพธิ์สังข์ หรือเฟก อายุ 25 ปี และนายสมยศ ชมหมี หรือมอส อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาแก๊งทวงหนี้โหด พร้อมของกลางรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีดำ ทะเบียน ผบ 1515 นครราชสีมา จักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นสปาร์ค ทะเบียน สพจ 636 กรุงเทพมหานคร ท่อนไม้และขวดโซดา
       
       พล.ต.ท.คำรณวิทย์กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อช่วงดึกวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ต้องหาที่นำโดยนายชุติเทพ หัวหน้าแก๊ง ได้ร่วมกันเข้าไปทำร้ายร่างกายและข้าวของอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายภายในบ้านของนางปารีฉัตร สายเกิด อายุ 50 ปี แม่ค้าขนมหวาน ซึ่งเป็นลูกหนี้เงินกู้นอกระบบของนายชุติเทพ ส่งผลให้นายฉัตรชัย คารีวงศ์ และนายสมชาย เกิดสาย ได้รับบาดเจ็บ ก่อนหลบหนีไป จนนางปารีฉัตร ผู้บริหารของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องออกมาให้การช่วยเหลือ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบหาเบาะแสจนทราบว่าเป็นฝีมือกลุ่มผู้ต้องหา จึงพยายามกดดันจนกลุ่มผู้ต้องหายอมออกมามอบตัวในที่สุด
       
       ด้านนายชุติเทพรับสารภาพว่าเป็นเจ้าของเงินทุนที่นำมาปล่อยกู้ เพราะเคยรับจ้างทวงหนี้เงินกู้นอกระบบมาแล้วตอนอยู่ที่ จ.ระยอง โดยพยายามจดจำวิธีการทำมาจากลูกพี่เก่า จากนั้นเมื่อเก็บเงินได้ประมาณ 80,000 บาท จึงแยกตัวมาปล่อยเงินกู้เอง คิดดอกเบี้ยร้อยละ 20 ซึ่งที่ผ่านมาเพิ่งปล่อยไปได้ประมาณ 4 เดือน แต่กลับถูกลูกหนี้เบี้ยวจ่ายดอกจึงเกิดความโมโห ก่อนเกิดเหตุตั้งวงกินเหล้ากับกลุ่มเพื่อน เมื่อเมาได้ที่จึงโทรศัพท์ไปทวงหนี้กับผู้เสียหาย เมื่อถูกปฏิเสธจึงพาพรรคพวกไปก่อเหตุดังกล่าว
       
       ขณะที่ พ.ต.อ.เจริญกล่าวว่า ตามแนวทางการสืบสวนในเชิงลึกของเจ้าหน้าที่ทราบว่าผู้ต้องหากลุ่มนี้ เคยเป็นอดีตลูกน้องของนายโรจน์ นายทุนแก๊งเงินกู้รายใหญ่ย่านเมืองนนทบุรี แต่ได้แยกตัวออกมาทำเอง ซึ่งขณะนี้ทราบว่ายังมีผู้ต้องหาหลบหนีอยู่อีกประมาณ 5 คน คงต้องมีการขยายผลออกหมายจับเพื่อจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือต่อไป
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าว นายสมชาย เกิดสาย ซึ่งถูกกลุ่มผู้ต้องหาทำร้ายที่แขนซ้าย ได้เกิดความโมโห และเดินเข้ามาชี้ตัวคนที่ทำร้ายตนเอง จากนั้นได้ใช้หลังมือขวาตบเข้าที่หลังศีรษะไป 1 ครั้ง จนเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำตัวออกไปจากการแถลงข่าวทันที
       
       ต่อมา พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. และเลขาธิการ ป.ป.ส. เดินทางมาร่วมแถลงข่าวพร้อมกับนำอุกรณ์การตรวจปัสสาวะเพื่อตรวจหาสารเสพติดในร่างกายของผู้ต้องหาด้วย จากนั้นได้มีการอบรมให้ความรู้แก่ผู้ต้องหา พร้อมแสดงความห่วงใย เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป็นเยาวชน
       
       เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหานายชุติเทพ ประกอบด้วย ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธในเวลากลางคืน, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ และให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยคิดอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ส่วนผู้ต้องหารายอื่นถูกแจ้งข้อหาร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธในเวลากลางคืน และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์และทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ คุมตัวทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป

sithiphong:
รวบแก๊งต่างชาติปลอมเอทีเอ็ม
วันศุกร์ที่ 20 กันยายน 2556 เวลา 16:46 น.
-http://www.dailynews.co.th/crime/234571-








สตม.รวบแก๊งต่างชาติเตรียมติดกล้องจิ๋วดูรหัสบัตรเอทีเอ็มคนไทย ก่อนนำไปใส่บัตรปลอมกดนอกประเทศ




           เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เขตสาทร พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ณัฐธร เพราะสุนทร รอง ผบช.สตม.  ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายโรบิน จอร์น ฟอล์คเนอร์ อายุ 25 ปี สัญชาติอังกฤษ นายเดวิด แอนเดย์เซ่น อีแวนส์ อายุ 26 ปี สัญชาติอังกฤษ นายฟาง เกิง เหนียน อายุ 27 ปี สัญชาติ ไต้หวัน พร้อมของกลางบัตรอิเล็กทรอนิกส์  332 ใบ  เงินสด  760,900 บาท เครื่องสกิมเมอร์  1 เครื่อง โดยจับกุมนายโรบิน และนายเดวิดได้ที่บริเวณซอยลาซาล 10  ก่อนขยายผลจับกุมนายฟาง ได้ที่บริเวณซอยลาซาล 28 
           พล.ต.ท.ภาณุ กล่าวว่า  ชุดสืบสวนได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่ธ.กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ว่ามีแก๊งชาวต่างชาติลักลอบปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์  ก่อนนำมาใช้ในพื้นที่จ.สมุทรปราการ รอยต่อ เขตบางนา จึงได้วางแผนเพื่อทำการจับกุม โดยจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าสังเกตตามจุดเสี่ยงต่างๆในซอยลาซาล และพื้นที่ข้างเคียง กระทั่งพบชายต่างชาติต้องสงสัย ทราบชื่อต่อมาคือนายโรบิน กับนายเดวิด สวมหมวกนิรภัย ขี่จยย. ยามาฮ่า นูโว มากดเงินที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทย บริเวณซอยลาซาล 10 เขตบางนา  จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น พบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมหลายใบภายในกระเป๋าคาดเอว  จึงจับกุมทั้งสอง พร้อมขยายผลจับกุมนายฟาง เพื่อนร่วมทีมได้อีก 1 คน ที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทย หน้าร้านซีพีเฟรชมาร์ท ซอยลาซาล 28 ขณะกำลังกดเงิน จึงทำการจับกุม จากนั้นขยายผลไปตรวจค้นภายในห้องพักย่านถนนสุขุมวิท 64 ซอยสิริวานิช พบเครื่องสกิมเมอร์ ติดกล้องขนาดเล็ก สำหรับติดไว้ที่หน้าตู้เอทีเอ็ม รวมมูลค่าความเสียหาย 3 ล้านบาท
            พล.ต.ท.ภาณุ กล่าวต่อไปอีกว่า พฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายรายนี้ จะนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่แฮ็กข้อมูลมาจากต่างประเทศแล้วนำข้อมูลใส่ในบัตร จากนั้นจะนำบัตรมากดในประเทศไทย สร้างความเสียหาย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เจ้าหน้าที่พบเครื่องสกิมเมอร์ติดกล้องขนาดเล็กเอาไว้   คาดว่าคนร้ายน่าจะวางแผนนำเครื่องดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทย โดยนำมาแฮ็กข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของคนไทย และติดกล้องเพื่อให้ดูรหัสบัตร จากนั้นก็จะนำข้อมูลที่แฮ็กได้ใส่บัตร นำไปกดในต่างประเทศ  แต่โชคดีที่คนร้ายรายนี้ยังไม่ได้ข้อมูลบัตรในระเทศไทยไป   อย่างไรก็ตาม ขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนว่า ต้องระมัดระวังการกดเอทีเอ็มแต่ละครั้ง แนะนำให้เอามือปิดบังไว้ไม่ให้บุคคลอื่น หรือกล้อง เห็นรหัสบัตร  เพราะรหัสถือเป็นสิ่งสำคัญ หากคนร้ายได้ทั้งข้อมูลและรหัสไป ก็จะง่ายในการนำไปกดเงิน นอกจากนี้ หากพบสิ่งผิดปกติที่ตู้เอทีเอ็ม ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือธนาคาร เพื่อทำการตรวจสอบทันที เพราะคนร้ายอาจนำอุปกรณ์มาติดไว้
            จากการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ให้การรับสารภาพว่า  เริ่มกระทำผิดมาตั้งแต่วันที่ 13 ก.ย. สำหรับเงินที่กดมาได้จะนำไปใช้จ่ายกันเอง บางส่วนก็จะแบ่งให้ญาติ  ทั้งนี้ จากการตรวจสอบประวัติทั้งสาม ไม่พบการทำความผิดก่อนหน้านี้ มีเพียงนายฟาง ที่อยู่ในประเทศไทยเกินวีซ่า  ส่วนรายละเอียดอื่นๆนั้น อยู่ระหว่างสอบสวนของเจ้าหน้าที่ เบื้องต้นแจ้งข้อหา ปลอมและใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม ควบคุมตัวส่งพงส.สน.บางนา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

sithiphong:

แกะรอยยักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
วันเสาร์ที่ 21 กันยายน 2556 เวลา 16:38 น.
-http://www.dailynews.co.th/crime/234759-



ดีเอสไอยันเดินหน้าแกะรอย ยักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ขณะที่ ปปง.เผยพบหลักฐานการโอนเงินออก 60 ล้าน ร่วมลงทุนทําสายการบินแต่เจ๊ง สหกรณ์ฯนัดสมาชิกประชุมสางปัญหาพรุ่งนี้




เมื่อวันที่ 21 ก.ย. นายกิตติก้อง คณาจันทร์ ผอ.ศูนย์ปราบปรามคดีฟอกเงินและยาเสพติด กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน คดีผู้บริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นและพวก ร่วมกันยักยอกทรัพย์กว่า 12,000 ล้านบาท เปิดเผยความคืบหน้าหลังที่ประชุมคณะกรรมการธุรกรรมของสำนักงานป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) มีมติให้อายัดทรัพย์ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร ประธานสหกรณ์ฯ เพิ่มเติมจํานวน 37 รายการ มูลค่ากว่า 227ล้านบาท และเห็นชอบให้ปปง.คุ้มครองสิทธิผู้เสียหายด้วยการนำทรัพย์สินที่อายัดออกไป ขายเพื่อนำเงินมาเสริมสภาพคล่องให้สหกรณ์ว่า ทรัพย์สินของนายศุภชัยที่ปปง.ดำเนินการส่วนใหญ่เป็นที่ดินซึ่งหลายรายการได้ มาตั้งแต่ปี 2540-2541 ซึ่งขณะนั้นนายศุภชัยยังไม่ได้เป็น ประธานสหกรณ์ฯ แต่ต้องมีการพิสูจน์ต่อไปว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการฉ้อโกงหรือไม่ ส่วนที่อายัดเพิ่มเติมพบเอกสารหลักฐานว่ามาจากการยักยอกในช่วงที่เข้ามาบริ หารงานสหกรณ์ช่วงปี 2550-2551

นายกิตติก้อง ยังกล่าวถึงกรณีการสอบปากคํา นายวัฒชานนท์ นวอิศรารักษ์ ประธานกลุ่มบริษัท รัฐประชา และ ประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนรัฐประชา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหาร บริษัทจํานวน 27 แห่งที่อ้างว่าถูกปลอมลายมือชื่อเพื่อกู้เงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนนั้น เบื้องต้นนายวัฒชานนท์ปฎิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องและถูกปลอมลายมือชื่อโดยนาย วัฒชานนท์ได้แจ้งความ และยื่นฟ้องนายศุภชัยไปแล้ว ประเด็นสําคัญที่ต้องสอบสวนต่อคือการที่นายวัฒชานนท์มีรายได้จากการได้รับ ค่าคอมมิชชั่นจากการหาสมาชิกนำเงินมาฝากกับสหกรณ์ฯโดยได้รับค่าตอบแทน 10% ของยอดเงินฝาก

แหล่งข่าวชุดพนักงานสอบสวนจาก ปปง.เปิดเผยว่า สําหรับทรัพย์สินที่ปปง. ทําการอายัดเพิ่มเติมส่วนใหญ่เป็นของนายศุภชัย และอดีตผู้ช่วยรมว.คลังซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารของสหกรณ์ ซึ่งขณะนี้ปปง. ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และพบเอกสารหลักฐานเป็นเช็คว่ามีการสั่งเช็คจํานวน 60 ล้านบาท และเงินจํานวนนี้มีการนําไปลงทุน ในสายการบิน u - airline ซึ่งเป็นหนึ่งในการลงทุนในเครือ u group , u bank , u life และ u inter ทั้งนี้ พบว่าสายการบิน u - airline เป็นสายการบินที่บินตรงจาก กรุงเทพฯไปดูไบ เกาหลีใต้ และอีกหลายประเทศ แต่ล่าสุด สายการบินดังกล่าวปิดกิจการไปแล้วและคาดว่าเงินที่ได้ยักยอกไปจะนําไปลงทุน ในกิจการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้(22ก.ย.) สหกรณ์ฯได้นัดประชุมสมาชิกที่โรงเรียนบ้านบางกะปิ เพื่อติดตามสถานการณ์และหาข้อตกลงร่วมกัน โดยจะมีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอไปร่วมชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินคดีและตั้งโต๊ะ รับเรื่องร้องเรียนด้วย..


http://www.dailynews.co.th/crime/234759

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version