ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ
ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
sithiphong:
8 ข้อเตือนภัยก่อนใช้ INTERNET BANKING
-http://guru.sanook.com/pedia/topic/8_%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89_INTERNET_BANKING/-
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้คนเราต่างต้องใช้อินเตอร์เน็ตกันมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งการทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งต่างคิดค้นบริการทางอินเตอร์เน็ตหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้บริการลูกค้าผ่านทางเว็บไซต์ของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าหรือผู้ใช้บริการจะได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น สามารถทำธุรกรรมการเงินกับธนาคารได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ลดการสิ้นเปลืองพลังงาน แถมยังได้รับบริการที่รวดเร็วทันใจเพียงแค่คลิกเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม การใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อทำธุรกรรมการเงินต่างๆ เมื่อมีข้อดีมากมาย ก็มีข้อควรระวังในเรื่องของความปลอดภัย ที่แม้ว่าธนาคารจะมีระบบป้องกันความปลอดภัยให้กับลูกค้าเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีเหล่ามิจฉาชีพที่พยายามหาช่องโหว่ด้วยวิธีการต่างๆ ล่อล่วงเอา ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อนำไปใช้ในทางมิชอบ ซึ่งผู้ใช้บริการเองก็ต้องรู้เท่าทัน เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ
1. ผู้สมัครใช้บริการทางการเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ต ต้องเก็บรักษารหัสชื่อผู้ใช้บริการ (User ID) รหัสผ่าน (Password) และรหัสรักษาความปลอดภัย (Security Password) เป็นความลับ
2. หมั่นเปลี่ยนรหัส ผ่านอยู่เสมอ และไม่ควรใช้รหัสผ่านที่บุคคลอื่นคาดเดาได้ง่าย
3. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง เช่น รหัสชื่อผู้ใช้บริการ (User ID) รหัสผ่าน (Password) รหัสเอทีเอ็ม (ATM PIN) รหัสบัตรเครดิต หมายเลขบัญชี หมายเลขบัตร หรือข้อมูลส่วนบุคคลผ่านทางอีเมล์ใดๆ
4. อย่าตอบกลับอีเมล์ที่ส่งข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ มาให้ปรับปรุงข้อมูลหรือยืนยันความถูกต้อง
5. หลีกเลี่ยงการคลิกลิงก์ (link) ที่แนบมากับอีเมล์ที่ไม่ทราบชื่อผู้ ส่ง หรืออีเมล์ที่ขอข้อมูลส่วนบุคคล เพราะอาจมีโปรแกรมสอดแนม (Spyware) แนบมากับลิงค์เหล่านั้นเพื่อโจรกรรมข้อมูล
6. คลิก ออกจากระบบ (Log out) เมื่อเลิกใช้อีเมล์หรือทำรายการทางการเงินต่างๆ แต่ละครั้งเรียบร้อยแล้ว
7. ตรวจสอบความถูกต้องของรายการธุรกรรม และยอดเงินในบัญชีของตนเองอย่าง สม่ำเสมอ เพื่อป้องกันรายการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
8. หลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับผู้อื่น เช่น ในร้านอินเตอร์เน็ต เพราะอาจไม่มีระบบความปลอดภัยที่ดีพอ
ที่มาข้อมูลและภาพ xn--r3ckmn7exc7b.com
http://guru.sanook.com/pedia/topic/8_%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89_INTERNET_BANKING/
แก้วจ๋าหน้าร้อน:
:42: เคยเจอตู้กดเงินตอนดึกๆ ไฟไม่กระพริบเหมือนกันครับพี่หนุ่ม ผมก็งงๆ เลยไม่ได้เสียบบัตร
เสียวๆเหมือนกันครับ
ส่วนเรื่องแบงค์กาโม่นี่ เป็นตลกร้ายจริงๆนะครับ อ่านแล้วขำๆ แต่คนได้แบงค์กาโม่ไปคงขำไม่ออก
ช่วงนี้คนหากินกันแปลกๆผิดๆเยอะนะครับ
ขอบคุณครับพี่หนุ่ม
sithiphong:
เผยแฮกเกอร์ล้วงข้อมูลรหัสผ่านทั่วโลกไปแล้ว 2 ล้านบัญชี
-http://money.kapook.com/view77813.html-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
บริษัทรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตในสหรัฐฯ เผยผลการวิจัย พบแฮกเกอร์ทั่วโลกจารกรรมข้อมูลรหัสผ่าน เข้าสู่เว็บไซด์ต่าง ๆ จากผู้ใช้ทั่วโลก รวมแล้วราว 2 ล้านรหัส
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2556 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ทรัสต์เวฟ (Trustwave) บริษัทรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตในสหรัฐฯ เผยผลการวิจัย พบแฮกเกอร์ทั่วโลกได้เคยจารกรรมข้อมูลรหัสผ่านที่ผู้ใช้งานทั่วโลกใช้เพื่อเข้าสู่เว็บไซด์ต่าง ๆ อาทิ เฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์, ยาฮู, กูเกิล และฮอตเมล รวมทั้งอีเมลธนาคารออนไลน์และเว็บไซต์อื่น ๆ รวมแล้วราว 2 ล้านรหัส
โดยการจารกรรมข้อมูลส่วนใหญ่นั้น เกิดจากการที่แฮกเกอร์ได้ส่งมัลแวร์หรือไวรัสเข้าไปติดตั้งและแฝงตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ ซึ่งมัลแวร์หรือไวรัสนั้นจะทำหน้าที่ดักจับข้อมูลรหัสผ่านที่ผู้ใช้งานใช้ล็อกอินเข้าสู่เว็บไซต์ต่าง ๆ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ก่อนส่งชื่อผู้ใช้ และรหัสผ่านของผู้ใช้งานนั้นมายังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์
นอกจากนี้ จากผลการวิจัยการติดตามเซิร์ฟเวอร์ในประเทศเนเธอร์แลนด์ยังพบว่า มีข้อมูลส่วนตัวในบัญชีผู้ใช้บนเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ถูกบุกรุกโดยแฮกเกอร์มากถึง 93,000 เว็บไซต์ อาทิ เฟซบุ๊ก 318,000 บัญชี, จีเมล กูเกิล และยูทูบ รวม 70,000 บัญชี, ยาฮู 60,000 บัญชี และทวิตเตอร์อีก 22,000 บัญชี
ด้าน จอห์น มิลเลอร์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยความปลอดภัยของทรัสต์เวฟ เผยว่า แม้ว่าทางทีมวิจัยของบริษัทจะยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าบัญชีต่าง ๆ เหล่านี้ได้ถูกแฮกเกอร์ล็อกอินเข้ามา แต่ก็เป็นไปได้ที่จะเป็นฝีมือของแฮกเกอร์ ซึ่งในขณะนี้ทางทีมผู้วิจัยเองก็ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดว่าไวรัสตัวนี้ได้บุกรุกเข้าไปแฝงตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของผู้ใช้งานกี่เครื่องแล้วกันแน่ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะติดตามจำนวนคอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้อเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม จอห์น ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่มั่นใจว่าคอมพิวเตอร์ของพวกเขาติดเชื้อหรือไม่ว่า ผู้ใช้งานสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการอัพเดทซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสในเครื่องของพวกเขา รวมทั้งอัพเดทแพทช์ล่าสุดของอินเทอร์เน็ตเบราว์เซอร์, Adobe (ADBE) และ Java
sithiphong:
ต้องการยกเลิกบัตรเครดิตที่ไม่ใช้งาน ทำได้ทันทีหรือไม่
-http://money.kapook.com/view78098.html-
เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
สมัครบัตรเครดิตไว้ โดยไม่เคยใช้ แต่กลับถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในช่วงสิ้นปี กรณีนี้เจ้าของบัตรสามารถยกเลิกการใช้บริการได้ทันทีหรือไม่ วันนี้เรามีคำตอบมาฝากค่ะ
สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาน่าปวดหัว หลังจากเคยสมัครบัตรเครดิตไว้ โดยไม่เคยเปิดใช้งาน แต่ในช่วงสิ้นปีกลับถูกเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียม หนำซ้ำเมื่อจะขอยกการใช้บัตรเครดิตทันที ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากพนักงานอ้างว่า ต้องรอตัดรอบบิลใหม่ จนกลายเป็นการเพิ่มภาระทางการเงินโดยไม่รู้ตัว เพื่อคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ กระปุกดอทคอมซึ่งได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลจากเว็บไซต์ decha.com จึงนำข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกันค่ะ
คำถาม : สมัครบัตรเครดิตแต่ไม่เคยแจ้งเปิดใช้งาน พอถึงสิ้นปีกลับถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียม และเมื่อโทรไปคอลเซ็นเตอร์ ทางพนักงานบอกว่าจะยกเลิกค่าธรรมเนียมให้ แต่พอขอปิดบัตรเลย พนักงานกลับบอกว่าปิดไม่ได้ เนื่องจากบัตรได้ต่ออายุไปแล้ว คงต้องรอช่วงเดือนธันวาคม ของปีถัดไป กรณีนี้หากต้องการปิดบัตรทันที จะต้องทำอย่างไรบ้าง
คำตอบ : สำหรับกรณีดังกล่าว เจ้าของบัตรเครดิตควรทำหนังสือบอกเลิกสัญญาการใช้บริการบัตรเครดิต ด้วยการส่งไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับอย่างเป็นทางการไปถึงคู่สัญญา และหากผู้ให้บริการซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจยังเรียกเก็บค่าธรรมเนียมโดยมิชอบอีก ผู้ใช้บริการที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย อันเนื่องมาจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าว มีสิทธิที่จะยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ต่อสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ตามความมาตรา 20 (1) แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ได้ทันที
sithiphong:
อีกแล้ว!! เตือนภัย ลูกค้าธนาคาร แม้ไม่ได้เปิด e-Banking ก็โดนขโมยเงินได้!
ขอบคุณที่มา: -www.it24hrs.com-
-http://hitech.sanook.com/1388218/%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3-%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94-e-banking-%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B9%80/-
จากเหตุการณ์ เตือนภัย Internet Banking รูปแบบใหม่!! ปลอมเป็นคุณ ด้วยหลักฐานปลอม สวมรอยโอนเงินออก สูญหลายแสน! ที่ เคยนำเสนอมาแล้ว….มาคราวนี้ ได้รับข้อมูลใหม่ จากผู้เสียหายอีกท่าน ที่ใช้บริการบัญชีออมทรัพย์ธนาคารเดี่ยวกันกับเคสที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ คราวนี้ หนักกว่าเดิม! เพราะผู้เสียหายรายนี้ ไม่เคยมีบัญชี Internet Banking ด้วยซ้ำ! แต่โดนคนร้ายสวมรอยใช้เอกสารปลอม เปิดบัญชีใหม่แบงค์เดียวกัน แต่ต่างสาขา และคนร้ายก็ไปจัดการเปิดใช้ internet banking เอง ขโมยเงินเจ้าของบัญชีตัวจริงไป รวมกว่า 5 แสนบาท!!!
iT24Hrs เตือนภัย แม้ไม่มี e-banking ก็โดนขโมยโอนเงินได้ 20aug13
-http://www.youtube.com/watch?v=WCC74uxJTyo-
iT24Hrs เตือนภัย แม้ไม่มี e-banking ก็โดนขโมยโอนเงินได้ 20aug13
iT24Hrs เตือนภัย แม้ไม่มี e-banking ก็โดนขโมยโอนเงินได้ 20aug13
คุณเอ ไชยเดช ศิริวัฒนกุล ผู้เสียหายจากเหตุการณ์นี้ ได้ แจ้งความที่ สน.หาดใหญ่ เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม หลังพบว่าบัญชีของตัวเองเงินหายไปกว่า 560,000 บาท ซึ่งทางผู้เสียหายได้ไปตรวจสอบกับธนาคารแห่งดังกล่าวสาขาใน อ.หาดใหญ่ ซึ่งเป็นสาขาที่เจ้าของบัญชีตัวจริงเปิดไว้ ใน ชื่อบัญชี ธนัท ศิริวัฒนกุล (ซึ่งเป็นชื่อเก่าของเจ้าของบัญชี ก่อนที่เปลี่ยนชื่อเป็น คุณชยเดช [ เมื่อ 14 มิย. 53 ] และเปลี่ยนชื่อเป็นคุณ ไชยเดช [เมื่อ 17 มิย. 53])
พบ ว่ามีคนร้ายไปสวมรอยเปิดบัญชีใหม่และเปิดบริการธนาคารบนอินเตอร์เน็ต (internet bangking) เมื่อวันทื่ 30 เมษายน โดยเปิดที่ธนาคารเดียวกัน แต่คนร้ายไปเปิดที่สาขา กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร โดยหลักฐานการเปิดบัญชีนั้น คน ร้ายใช้เอกสารปลอมโดยยื่นบัตรข้าราชการ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ระดับ 7 อ.หาดใหญ่ ที่ระบุชื่อ นาย ชยเดช ศิริวัฒนกุล ให้กับเจ้าหน้าที่ธนาคาร ซึ่งความจริงแล้วเจ้าของบัญชีตัวจริง คุณชยเดช ศิริวัฒนกุล ไม่ได้รับราชการเลย และเปลี่ยนชื่อจาก ชยเดช เป็น ไชยเดช เมื่อ 17 มิย 53 จากที่ทีมงานสัมภาษณ์ผู้เสียหาย เค้าให้สัมภาษณ์ว่า คาดว่าคนร้ายทราบชื่อข้อมูลเราเป็น ชยเดช เลยทำบัตรราชการปลอมเป็นชื่อ ชยเดช ไว้ไปเปิดบัญชีธนาคาร
จากนั้นคนร้ายก็ขอเปิดใช้บริการ internet banking ด้วย! ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อคนร้ายเป็นคนเปิดใช้บริการ internet banking เอง… username และ password จึงเป็นสิ่งที่คนร้ายทราบแน่นอน เพราะเป็นคนเลือกเอง! ส่วนเบอร์มือถือสำหรับรับรหัส OTP (One time password) ที่ธนาคารจะส่งมาเข้ามือถือ ผ่านทาง SMS เพื่อให้รหัสอีกชั้นหนึ่งเวลามีการทำธุรกรรมการเงินผ่าน internet banking ก็ใช้เบอร์มือถือของคนร้าย (เพราะคนร้ายเป็นคนแจ้งเบอร์เอง)…
คราวนี้คนร้ายเข้า Login ผ่านทาง Internet Banking แล้วสั่งโอนเงินออกจากบัญชีไปได้อย่างสบายๆ เพราะได้ครบทั้ง username, password, OTP โดยขโมยเงินจากเจ้าของบัญชีตัวจริง ครั้งละ 100,000 บาท จำนวน 5 ครั้ง หลังจากนั้นคนร้ายก็สั่งโอนเงิน ขโมยอีกประมาณ 67,000 และยังสั่งโอนเงินทีละน้อยๆ โดยที่เจ้าของบัญชีตัวจริงไม่รู้ตัว จนกระทั่ง มารู้ตัวว่าโดนขโมย เมื่อวันที่ 16พฤษภาคม 2556 และไปแจ้งความ ที่ สน.หาดใหญ่ และตอนนี้อยู่ในระหว่างตามจับคนร้าย
จะเห็นได้ว่าคนร้ายได้พยายามใช้ช่องทางใหม่ที่ไม่ใช่การขโมยเงิน แบบเก่าๆแล้ว จะใช้วิธีสวมรอยเป็นคุณ ขโมยเงิน เป็นวิธีที่โจรเลือกใช้ที่ฮิตและแนบเนียนมากขึ้น …. ลูกค้าที่ใช้บริการธนาคารต้องหมั่นตรวจสอบบัญชี และระมัดระวังในเรื่องหลักฐานส่วนตัวต่างๆ เช่นบัตรประชาชน เป็นต้น และทางธนาคารเองต้องตรวจเฉพาะบัตรประชาชนตัวจริงเท่านั้น ไม่ใช่บัตรข้าราชการซึ่งสามารถปลอมแปลงได้ง่าย
“ในเมื่อกรณีแบบนี้ ก็จะเห็นได้ว่าลูกค้าไม่อาจจะป้องกันตนเองได้เลย แถมเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แม้ไม่มีบัญชี e-banking …. คุณคิดว่า ธนาคาร ควรปรับปรุงระบบไหม? ”
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version