ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ
ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
sithiphong:
เตือนภัย เลขบัตรประชาชน รูปแบบใหม่
-http://money.sanook.com/184745/%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0
%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0
%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0
%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88/-
นอกจากเครดิตการ์ด กรมสรรพากร ตอนนี้มาถึงศาลแล้ว มีเรื่องอยากเตือนทุกท่านให้ระวังเอาไว้ ถึงการหลอกลวงรูปแบบใหม่
มีทนายความท่านหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากคนที่ไม่รู้จัก เป็นระบบเสียงอัตโนมัติ อ้างว่าโทรจากศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร และแจ้งว่ามีหมายส่งถึงท่าน แต่ไม่สามารถส่งหมายได้ ให้ติดต่อไปยังศาลอาญา มิฉะนั้นศาลจะออกหมายจับไป
กด 1 หากต้องการฟังซ้ำ
กด 9 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่
ด้วยความที่เป็นทนายความ ท่านจึงสงสัยและจับพิรุธได้ ดังนี้
1. เกิดมาไม่เคยกระทำความผิดใดๆ ตามกฏหมายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญา
2. เบอร์โทรศัพท์แปลกๆ เหมือนโทรมาจากต่างประเทศ
3. ในประเทศไทยไม่มีศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร
4. ศาลไม่มีบริการติดตามคู่ความหรือตรวจสอบข้อมูลทางโทรศัพท์ (ยกเว้นท่านจะโทรไปที่ศาลเพื่อขอข้อมูลเองหรือตรวจสอบจากเว็บไซด์)
ทนายความท่านนี้จึงตัดสินใจกด 9 เพราะอยากรู้ว่าเขามีลูกเล่นอย่างไร
สักพักก็จะมีเสียงผู้หญิงรับสาย (มีเสียผู้ชายดังเข้ามาเหมือนกำลังเจรจาเกี่ยวกับคดีความกับคนอื่นอยู่ ทำให้เหมือนจริงว่าโทรมาจากศาล) แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ศาล อาสาจะตรวจสอบข้อมูลให้ ขอทราบชื่อ-นามสกุล จึงแจ้งชื่อ-นามสกุลให้ทราบ จากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวก็จะขอหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ทนายความท่านนี้ไม่ให้ ผู้หญิงคนดังกล่าวก็บอกว่า การติดต่อราชการจะต้องใช้หมายเลขบัตรประชาชน ทนายความจึงบอกไปว่า การตรวจสอบข้อมูลของศาลนั้นไม่ต้องใช้เลขบัตรประชาชนก็ได้ ตรวจจากชื่อนาม-นามสกุลก็ได้แล้ว ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ยังยืนยันว่าต้องใช้เลขบัตรประชาชน ทนายความจึงแจ้งว่าจะไปติดต่อศาลเอง ขอทราบชื่อเจ้าหน้าที่ศาลที่จะต้องติดต่อ ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ตอบมาด้วยเสียงดุๆ ว่าให้ไปติดต่อได้ที่ศาลอาญารัชดา แล้วก็รีบวางสาย ไม่ยอมแจ้งชื่อให้ทราบ
ทนายความท่านได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวพบว่า
- ไม่ใช่หมายเลขของศาลอาญารัชดาฯ
- เป็นรหัสทางไกล 886 ซึ่งโทรมาจากไต้หวัน
ดังนั้นจึงขอเตือนทุกๆ ท่าน ได้โปรดระวังการหลอกลวงแบบใหม่นี้ไว้ด้วย เพราะหากท่านให้เลขบัตรประชาชน 13 หลักไป ไม่ทราบว่าเขาจะเอาไปทำอะไรบ้าง เลขบัตรประชาชนของท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ของท่านได้ เช่น ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลบัตรเครดิต ฯลฯ
นอกจากนี้ขอให้เตือนเพื่อนๆ ญาติสนิทมิตรสหายของท่านให้ทราบด้วย
(ข้อมูลนี้ได้รับมาจากผู้หวังดีที่แชร์มาให้ หากท่านเห็นว่าเป็นประโยชน์ให้แชร์ต่อๆกันไป)
ขอบคุณข้อมูลจากเพจ อี-คอมเมิร์ซ เวิร์คช็อป (e-Commerce Workshop)
sithiphong:
เป็นหนี้บัตรเครดิต ทําไงดี เรามีคำแนะนำมาฝาก
-http://money.kapook.com/view89516.html-
ลดหนี้…… บัตรเครดิต เทคนิคดีๆ ที่ควรรู้ (ธนาคารกสิกรไทย)
เป็นหนี้บัตรเครดิต ทําไงดี ไม่จ่ายบัตรเครดิต หนี้บัตรเครดิต ไม่จ่าย ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ควรทำอย่างไร วันนี้เรามีคำแนะนำมาฝาก
ปัญหาหนึ่งของคนมีหนี้บัตรเครดิตที่ยังไม่มีวินัยในการใช้จ่ายเงิน แถมใช้จ่ายเงินด้วยความฟุ่มเฟือยหรือใช้จ่ายเงินไม่เป็น อาจก่อให้เกิดปัญหาไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ได้ทันเวลาที่กำหนด ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมา ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้ ค่าปรับจากการผิดเงื่อนไขการชำระ ดอกเบี้ยที่คิดจากยอดค้างชำระ ทั้งนี้ ยังไม่รวมผลเสียจากความเครียดที่มีเพิ่มขึ้น และสุขภาพจิตที่เสียไปเมื่อขาดเงินชำระหนี้
เริ่มแรกเมื่อใช้บัตรเครดิตใหม่ ๆ ไม่มีใครคิดอยากเป็นหนี้ แต่พอเริ่มใช้สักระยะหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าตนเองมีกำลังซื้อจากเงินในอนาคตมากขึ้น จากเดิมที่เคยชำระแบบเต็มวงเงิน เริ่มเปลี่ยนเป็นการชำระเพียงบางส่วน ดังนั้น หากไม่มีวินัยในการใช้เงินที่ดีแล้ว จะเริ่มมีการค้างชำระหนี้บัตรเครดิตจาก 1 เดือน เป็น 2 เดือน 3 เดือน และในที่สุดก็ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งส่งผลต่อการขอกู้เงิน หรือการขอสินเชื่อในครั้งต่อ ๆ ไป เช่น ในอนาคตหากมีความประสงค์ต้องการซื้อบ้าน รถยนต์ จะทำให้สูญเสียโอกาสในการกู้เงิน เพราะการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินต่าง ๆ ในปัจจุบัน ใช้วิธีดูประวัติการผ่อนชำระผ่านทางระบบข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (Credit Bureau) กล่าวคือ หากเป็นผู้ที่มีประวัติการผ่อนชำระไม่ดี อาจไม่สามารถกู้เงินได้อีกในครั้งต่อไป ดังนั้น คุณผู้อ่านควรรู้จักวิธีบริหารจัดการหนี้ เผื่อไว้สำหรับเวลาที่เดือดร้อนเรื่องเงินจริง ๆ จะได้สามารถพึ่งพาเครดิตของตัวเองได้ ไม่ต้องไปขอหยิบขอยืมเงินใครมาใช้
สำหรับวิธีบริหารจัดการหนี้นั้น ขอเริ่มจากหนี้ที่ง่ายที่สุด คือ หนี้บัตรเครดิต การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีความง่ายและสะดวกสบาย แต่ หากขาดการวางแผนที่ดี อาจก่อให้เกิดเป็นหนี้สินได้ หนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้อันดับแรกที่ควรชำระ เนื่องจากดอกเบี้ยสูงและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะสถาบันการเงินผู้ออกบัตรเครดิตจะ เริ่มคิดดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่มีการจ่ายเงินแทนลูกค้าออกไป สำหรับเทคนิคการบริหารจัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างถูกวิธีนั้น มีดังต่อไปนี้
ไม่มีเงินจ่าย อย่าได้รูดบัตร ใช้จ่ายให้น้อยกว่า หรือเท่ากับเงินสดที่มีเท่านั้น
ชำระเต็มจำนวน... ตรงตามเวลา จะช่วยลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย รวมถึงค่าปรับต่าง ๆ ได้
ถือบัตรที่เหมาะกับ Lifestyle มีส่วนช่วยลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงได้ เช่น เติมน้ำมันผ่านบัตรเครดิตให้ส่วนลดสูงถึง 5% เติมเงินค่าเดินทางรถไฟฟ้าผ่านบัตรเครดิตมีส่วนลดพิเศษ เป็นต้น
อ่าน Statement อย่างละเอียด เพื่อทบทวนรายจ่ายในแต่ละเดือน
ใช้ Statement เป็นบันทึกการใช้จ่าย ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น
ใช้สิทธิประโยชน์จาก Point อย่างเหมาะสม ไม่เป็นเหยื่อโปรโมชั่น ของบัตรเครดิต
เป็นหนี้บัตรเครดิต ทําไงดี
สำหรับผู้ที่เริ่มมีหนี้บัตรเครดิต และต้องการหาทางออก มีเคล็ดลับดี ๆ ในการลดหนี้ ก่อนอื่นควรรู้จักกับหนี้ที่เหมาะสมของบัตรเครดิตก่อน คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่า มีหนี้บัตรเครดิตเท่าไร ถึงจะไม่เกินตัว สำหรับจำนวนหนี้ที่ต้องผ่อนชำระบัตรเครดิตนั้น ไม่ควรเกิน 10% ของรายได้สุทธิต่อเดือน หรือ ไม่ควรกู้เกิน 20% ของรายได้สุทธิตลอดทั้งปี เพราะจะส่งผลต่อการผ่อนชำระหนี้ได้ ทั้งนี้ เคล็ดลับในการลดหนี้บัตรเครดิต ขอแนะนำ เทคนิคดี ๆ ที่ควรรู้ มีดังต่อไปนี้
อันดับแรกต้องใจแข็ง ไม่ก่อหนี้เพิ่ม ซื้อเฉพาะสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น อาหาร ยารักษาโรค ค่าเดินทางมาทำงาน เสื้อผ้าตามความจำเป็น ฯลฯ มีข้อคิดดี ๆ สำหรับการประหยัดเงินเพื่อมาชำระหนี้เพิ่ม คือ “ถึงแม้ว่าจะถูกแค่ไหน ถ้าไม่ใช้ ก็ไม่ซื้อ”
อันดับต่อมา ควรชำระหนี้ที่คิดอัตราดอกเบี้ยสูง ๆ ก่อน หากมีเฉพาะบัตรเครดิต ควรเลือกปิดบัตรที่มียอดหนี้คงเหลือต่ำ ๆ ก่อน แล้วทยอยปิดบัตรที่มียอดคงเหลือน้อยใบต่อไป เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการลดหนี้ ทั้งนี้ ควรมีการบันทึกบัญชีรับ-จ่าย ควบคู่กันไปด้วย เพื่อดูความสามารถในการชำระหนี้เพิ่ม (จะได้หมดเร็ว ๆ) และหากต้องการมีวินัยในการใช้จ่ายเงิน แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ “บัตรเดบิต” แทน “บัตรเครดิต” เพื่อที่จะได้ใช้จ่ายตามเงินที่มีอยู่ในกระเป๋า ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะมีเงินมาชำระหนี้บัตรเครดิตหรือไม่ ซึ่งการใช้บัตรเดบิตก็เป็นการลดค่าใช้จ่ายที่ดีอีกทางเลือกหนึ่ง และพยายามหาทางเพิ่มรายได้ เพื่อนำมาชำระหนี้
อันดับสุดท้ายที่แนะนำ คือ การขายสินทรัพย์เพื่อนำมาชำระหนี้ พิจารณาสินทรัพย์ที่มีอยู่และไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หากนำมาชำระหนี้แล้วจะทำให้ลดดอกเบี้ยจ่ายและเงินต้น ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง
นอกจากนี้ การวางแผนการใช้จ่ายล่วงหน้าเป็นรายเดือน จัดแยกค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภค และใช้จ่ายให้อยู่ในงบประมาณที่กำหนด จะช่วยให้คุณมีเงินเหลือเก็บมาชำระหนี้มากขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
-http://k-expert.askkbank.com/Article/Pages/A4_015.aspx-
โดย คนอง ศรีพิบูลพานิชย์
ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล ธนาคารกสิกรไทย
sithiphong:
เงินทองต้องรู้ : 'กลโกง' เก่า..เล่าย้ำ
: โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล
-http://www.komchadluek.net/detail/20140530/185572.html-
วันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ตำรวจภูธรภาค 8 แถลงข่าวจับกุมแก๊งสกิมเมอร์ชาวฝรั่งเศส ขณะใช้บัตรเอทีเอ็มปลอมกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็ม ได้ของกลางเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 71 ใบ เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ
เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นแก๊งสกิมเมอร์ที่ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม กดเงินตามตู้เอทีเอ็มต่างๆ ตามแหล่งท่องเที่ยวของไทยและเอเชีย เนื่องจากระบบป้องกันข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ง่ายต่อการปลอมแปลง
ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ระหว่างนั่งคุยกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้บริหารรายนี้ก็บ่นให้ฟังว่า เพิ่งจะโทรศัพท์ยกเลิกบัตรเครดิต หลังจากได้รับแจ้งจากสถาบันการเงินเจ้าของบัตรว่า บัตรของเธอสุ่มเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล และอาจจะถูกนำไปใช้โดยอาชญากร ถามว่ามีอะไรบอกเหตุ เธอเล่าว่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยซื้อของออนไลน์ ไม่เคยให้ข้อมูลแก่แหล่งที่ไม่แน่ใจหรือพิจารณาแล้วว่า มีความเสี่ยง เรียกว่า การใช้งานทุกครั้งเป็นไปอย่างรอบคอบ แต่ก็ยังเข้าข่ายจะเกิดปัญหาจนได้
สุดท้ายต้องยกเลิกบัตรเก่า และรอสถาบันการเงินส่งบัตรใบใหม่มาให้
ถึงแม้ “เจ้าของบัตร” จะเข้มงวดแค่ไหน และสถาบันการเงินจะพยายามทั้งป้องกันและปราบปราม แต่ดูเหมือนกับอาชญากรจะมีวิธีการที่ซับซ้อนมากขึ้น การแชร์แล้วแชร์อีกเพื่อบอกกล่าวถึงวิธีป้องกัน รวมถึงวิธีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย ก็กลายเป็นอีกเรื่องที่ต้องบอกกล่าวซ้ำๆ ล่าสุดผู้ให้บริการบัตรอิเล็กทรอนิกส์อย่าง “มาสเตอร์การ์ด” ก็ออกมาให้คำแนะนำ (ซ้ำๆ) ถึง 7 ขั้นตอนง่ายๆ ในการป้องกันการโจรกรรมและปลอมแปลง
ถึงเป็นเรื่องซ้ำๆ เป็นเรื่องง่ายๆ แต่เชื่อเถอะว่า เป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม
คำแนะนำข้อแรก คือ เซ็นชื่อบนบัตรของคุณ โดยคุณควรจะต้องเซ็นลายมือชื่อบนบัตรใหม่ทันทีที่คุณได้รับมา ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเซ็นแทนในกรณีที่บัตรสูญหายหรือถูกขโมยแล้วอาจนำไปรูดซื้อสินค้า สอง - ให้ระวังผู้ไม่หวังดีมาหลอกล้วงข้อมูล อย่าตอบอีเมลหรือข้อความทางโทรศัพท์ที่น่าสงสัย โดยเฉพาะกรณีที่ขอให้คุณบอกข้อมูลส่วนตัว เพราะนั่นอาจเป็นแผนของแก๊งมิจฉาชีพที่จ้องจะขโมยข้อมูลของคุณ
สาม - หาข้อมูลก่อนเสมอ ก่อนที่จะซื้อสินค้าหรือบริการใดๆ ควรค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่เราไม่คุ้นเคย โดยการค้นหาจากอินเทอร์เน็ต สอบถามเพื่อนๆ หรือโทรสอบถามสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่หมายเลข 1166 ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราซื้อสินค้าหรือบริการกับบริษัทที่มีชื่อเสียงไว้ใจได้เท่านั้น
สี่ - ป้องกันข้อมูลของตัวเอง โดยเก็บรักษาข้อมูลบัตรในโทรศัพท์ด้วยวิธีที่ปลอดภัยรัดกุม ต้องแน่ใจว่าข้อมูลนั้นสามารถเข้าถึงได้โดยใช้รหัสผ่านหรือรหัสลับเท่านั้น วิธีนี้จะช่วยปกป้องข้อมูลในกรณีที่มือถือสูญหายหรือถูกขโมย
ห้า - ตรวจสอบซ้ำ หมั่นตรวจสอบบัตรเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีบัตรใบไหนหายไป หลายคนมักคิดว่าบัตรต่างๆ ยังคงอยู่ในที่ของมัน แต่เพื่อความแน่ใจ ก็ควรตรวจสอบเสมอว่า บัตรทุกใบอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย หก - ตรวจทานอย่างละเอียด ตรวจทานใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตอย่างละเอียดทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรายการที่น่าสงสัยพ่วงมาด้วย ตรวจสอบค่าใช้จ่ายทุกรายการที่ไม่คุ้นเคย โดยไล่เลียงดูในรายละเอียดของใบแจ้งหนี้ที่ได้รับ
สุดท้าย - ฉีกเอกสารก่อนทิ้ง ถ้าเราได้รับใบแจ้งยอดบัญชี หรือข้อมูลบัตรที่เป็นเอกสาร ควรฉีกเอกสารเหล่านั้นก่อนทิ้งลงถังขยะ ทั้งนี้ เพื่อรักษาข้อมูลสำคัญให้ปลอดภัย หลังจากที่เอกสารพวกนั้นหลุดจากมือไปแล้ว
มาสเตอร์การ์ดยังแนะนำเรื่องการช็อปปิ้งออนไลน์อย่างไรให้ปลอดภัย โดยอ้างถึงรายงานการศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของมาสเตอร์การ์ด โดยระบุว่า คนไทยเป็นหนึ่งในผู้ที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากที่สุด นอกจากมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดที่มาสเตอร์การ์ดนำมาใช้ในกระบวนการซื้อขายสินค้าออนไลน์แล้ว ลูกค้าสามารถป้องกันตัวเองได้ โดยข้อแรก - ต้องรู้จักร้านค้าที่จะซื้อสินค้าหรือบริการนั้นดีพอ ตรวจสอบชื่อเสียงเรียงนามของผู้ขาย โดยหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สอบถามจากเพื่อนๆ ตรวจสอบกับ สคบ. และดูว่ามีเว็บไซต์ที่ลูกค้ารายอื่นๆ แสดงความเห็นไว้หรือไม่ พึงระวังร้านค้าออนไลน์ที่เสนอราคาถูกเกินไป เพราะร้านพวกนี้มีแนวโน้มที่จะหลอกลวงลูกค้า
สอง - ตรวจสอบมาตรการรักษาความปลอดภัย ถ้าต้องให้หมายเลขบัตรเครดิตทางออนไลน์ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเชื่อมต่อของเรามีความปลอดภัย เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่จะแสดงไอคอนพิเศษ เช่น รูปกุญแจเพื่อแสดงว่าเว็บไซต์นั้นมีความปลอดภัย นอกจากนี้ บนเว็บไซต์ของร้านค้าจำนวนมาก ยังแจ้งให้ทราบกรณีมีข้อควรระวังด้านความปลอดภัย ดังนั้น ควรมองหา คำแนะนำนี้ ถ้าหาไม่พบ ก็ควรสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
สาม - ป้องกันอีเมลของตัวเอง อีเมลไม่ถือเป็นรูปแบบของการสื่อสารที่มีความปลอดภัย ดังนั้น เพื่อปกป้องหมายเลขบัญชีและหลีกเลี่ยงการโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิต ไม่ควรส่งหมายเลขบัญชีหรือข้อมูลทางการเงินอื่นๆ ทางอีเมล สุดท้าย - ป้องกัน PIN และหมายเลขบัญชีของตัวเอง อย่าไว้ใจพนักงานขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ ทางโทรศัพท์ หรือใครก็ตามที่ไม่รู้จัก ถ้าข้อเสนอฟังดูดีเกินจริง ควรสละสิทธิ์นั้น การให้หมายเลขบัตรสำหรับชำระเงินก็ต่อเมื่อตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นแล้ว หรือหากได้เริ่มต้นเจรจาต่อรอง ก็ไม่ควรเปิดเผยรหัส PIN หรือรหัสผ่านเข้าบัญชีใดๆ แก่ร้านค้าออนไลน์ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม และไม่ควรใช้หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือ PIN เป็นรหัสผ่าน
ส่วนถ้าหากสงสัยว่า โดนโจรกรรมหรือปลอมแปลง สิ่งที่ต้องทำ ก็คือ โทรหาธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ออกบัตรให้ทันที บัตรอาจถูกยกเลิกและผู้ออกบัตรจะออกบัตรใหม่ให้ แต่ควรตรวจสอบที่อยู่ให้ถูกต้องก่อนสิ้นสุดขั้นตอนนี้
อย่าไปบ่น อย่าไปท้อ โลกมันก็ซับซ้อนแบบนี้นั่นแหละ
----------------------------
(เงินทองต้องรู้ : 'กลโกง' เก่า..เล่าย้ำ : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล)
sithiphong:
รวบแก๊งเงินกู้โหดร้อยละ 60 ไม่จ่ายบุกบ้านยึดทรัพย์
-http://hilight.kapook.com/view/103239-
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้โพสต์โดย คุณเรื่องเล่าเช้านี้ บีอีซี-เทโร สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
ตำรวจ สภ.สัตหีบ ร่วมกับทหาร รวบตัวแก๊งเงินกู้นอกระบบ คิดดอกเบี้ยโหดร้อยละ 60 หากไม่จ่ายดอกเบี้ยเจอบุกบ้านยึดทรัพย์
วันนี้ (4 มิถุนายน 2557) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และทหารจากฐานทัพเรือสัตหีบ ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมแก๊งเงินกู้นอกระบบ โต๊ะเงินกู้ฮั้ว พัทยา ได้ทั้งหมด 7 คน คือ
นายเวชยัน หลักทอง อายุ 35 ปี
นายต่อศักดิ์ นิกรพล อายุ 26 ปี
นายทนงศักดิ์ ทิวะกะลิน อายุ 35 ปี
นายสุทัศน์ โอ้ระลึก อายุ 29 ปี
นายอรินันท์ นันชัยเครือ อายุ 30 ปี
นายวิชิต หลักทอง อายุ 31 ปี
นายสันติกุล บังกุล อายุ 34 ปี
พร้อมของกลางเป็นคีมตัดเหล็ก อาวุธปืน และกระสุนปืน จำนวน 15 นัด
โดยนางสาวบรรเจิด ทองก้อน อายุ 45 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนกู้เงินมาจำนวน 200,000 บาท และต้องส่งดอกเบี้ยวันละ 4,000 บาท ทุกวันเป็นประจำ แต่หากวันไหนไม่มีส่งก็จะถูกข่มขู่ และหากไม่ยอมจ่ายก็จะโดนกลุ่มผู้ต้องหาบุกเข้ามายึดทรัพย์สินในบ้าน เพื่อนำไปขายหาเงินมาขัดดอก แต่ตนไม่กล้าแจ้งความเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตราย
ในขณะที่นางปรียาพร หมดจด อายุ 42 ปี ผู้เสียหายอีกราย ให้การว่า ตนกู้เงินมาจำนวน 50,000 บาท และจะต้องจ่ายดอกวันละ 1,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 60 ต่อเดือน ซึ่งตนได้ส่งดอกไม่เคยขาดจนเมื่อวานไม่อยู่ จึงบอกกลุ่มผู้ต้องหาให้มารับเงินในอีกวัน แต่กลุ่มผู้ต้องหาไม่ยอม พร้อมทั้งนำคีมตัดเหล็กตัดกุญแจบ้านของตนและเข้ามายึดรถจักรยานเพื่อนำไปขายขัดดอก เมื่อเพื่อนบ้านเห็นจึงโทรศัพท์มาบอก ตนจึงตัดสินใจเข้าแจ้งตำรวจเพราะคิดว่ากลุ่มผู้ต้องหากระทำเกินกว่าเหตุ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เผยว่า ได้ทำการติดตามดูพฤติกรรมของกลุ่มผู้ต้องหามาโดยตลอด จนได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทหาร เข้าจับกุมกลุ่มคนร้ายมาดำเนินคดีดังกล่าว
เรื่องเล่าเช้านี้ รวบแก๊งเงินกู้รีดดอกโหด ร้อยละ 60 ไม่จ่ายบุกยึดทรัพย์ 4 มิถุนายน 2014
-http://www.youtube.com/watch?v=QbGAunkbbxk-
คลิป เรื่องเล่าเช้านี้ รวบแก๊งเงินกู้รีดดอกโหด ร้อยละ 60 ไม่จ่ายบุกยึดทรัพย์ 4 มิถุนายน 2014 เครดิตจากรายการเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์โดย คุณ เรื่องเล่าเช้านี้ บีอีซี-เทโร
sithiphong:
เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ
และยังคงเกิดขึ้นอีกต่อๆไป
ยังไม่มีวี่แววจะไม่เกิดขึ้นอีก
เพราะฉะนั้น จะทำอะไร จะทำอย่างไร ที่เกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ทั้งหลาย ต้องมีความระมัดระวังกัน
---------------------------------------------------------
น้องคว้าอีโต้ฟันพี่ดับคาที่ หลังขอแบ่งมรดกจากแม่
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก สปริงนิวส์
สลด น้องชายคว้ามีดอีโต้กระหน่ำฟันพี่ชายดับคาที่ เหตุทะเลาะขอแบ่งมรดกจากแม่
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 6 มิถุนายน 2557 พนักงานสอบสวน สภ.เมืองศรีสะเกษ ได้รับแจ้งเหตุฆาตกรรมภายในบ้าน 2 ชั้นที่ ต.ซำ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ หลังเจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบผู้เสียชีวิตคือ นายไพบูลย์ อาจวงศ์ อายุ 42 ปี สภาพศพถูกของมีคมฟันตามร่างกาย 4-5 แห่ง นอนจมกองเลือดเสียชีวิตคาที่ โดยมี นางทุมมา อาจวงศ์ อายุ 70 ปี มารดาของผู้ตาย นั่งร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ใกล้ศพ
จากการสอบสวนเบื้องต้น นางทุมมาให้การว่า ก่อนเกิดเหตุนายไพบูลย์พร้อมด้วย นายสัญญา อาจวงศ์ อายุ 30 ปี น้องชายของผู้ตาย ได้นั่งดูทีวีกันอยู่ และได้ดูข่าวมีคนนำเด็กไปทิ้ง จากนั้นนายสัญญาได้พูดขึ้นว่าจะไปขอเด็กมาเลี้ยง แต่ผู้ตายกลับบอกว่าไม่มีสมบัติจะแบ่งให้ นายสัญญาจึงไม่พอใจและขอแบ่งที่นาซึ่งมีอยู่ 9 ไร่จากตน แต่ตนไม่แบ่งให้เนื่องจากนายสัญญาได้ยืมเงินจากพี่สาวและยังไม่นอมคืน โดยยื่นเงื่อนไขว่าหากอยากได้ที่นาจะต้องคืนเงินพี่สาวก่อน นายสัญญาจึงไม่พอใจและปรี่เข้ามาทำร้ายตน
ด้านนายไพบูลย์ผู้ตายเห็นดังนั้นจึงเข้ามาขวาง ก่อนเกิดการชกต่อยขึ้น จากนั้นนายสัญญาได้วิ่งไปคว้ามีดอีโต้ที่วางอยู่บนแคร่ มากระหน่ำฟันเข้าร่างของผู้ตายไม่ยั้งมือ จนนายไพบูลย์เสียชีวิตคาที่
ต่อมา พ.ต.อ.วินัย เกตุพันธุ์ ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไปติดตามจับกุมนายสัญญา ผู้ต้องหารายนี้ได้โดยละม่อม ที่โรงพยาบาลศรีสะเกษ โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าลงมือกระทำผิดจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ พร้อมตั้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จากนั้นได้ควบคุมตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก-http://news.springnewstv.tv/49182
/%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94-%E0%B8
%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7
%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%89-
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version