ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ
ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
sithiphong:
อุทาหรณ์.. จ่ายหนี้แทนนับล้าน เหตุเซ็นค้ำประกันทุนการศึกษาให้อาจารย์ ม.ดัง
-http://education.kapook.com/view140280.html-
อุทาหรณ์ คิดให้ดีก่อนเซ็นค้ำประกันให้ใคร มิเช่นนั้นอาจเจอบทเรียนราคาแพง ชดใช้หนี้ทุนการศึกษานับล้าน อีกฝ่ายอ้างไม่มีเงิน ทั้งที่มีงานดี รายได้สูง ใช้ชีวิตหรูหรา
เชื่อว่าคนส่วนมากคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว สำหรับคำเตือนให้คิดตรองดูดี ๆ ก่อนจะเซ็นค้ำประกันให้ใคร เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าจะต้องเผชิญสิ่งใดในอนาคต จากการลงนามในสัญญาเพียงครั้งเดียวนั้น อย่างกรณีล่าสุด (26 มกราคม 2559) ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @nimdaex ก็ได้ขอเป็นส่วนหนึ่งในการแชร์ต่อเรื่องราวอุทาหรณ์จากการค้ำประกัน ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ทพ.เผด็จ หมอทอม ประสบมากับตัวหลังจากได้เซ็นค้ำสัญญาทุนการศึกษาให้อดีตอาจารย์ภาควิชาทันตกรรม คณะทันตแพทย์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดอีกฝ่ายกลับไม่ยอมชำระหนี้ อ้างว่าไม่มีเงินทั้งที่มีอาชีพการงานที่ดี อาศัยในอพาร์ทเม้นท์หรูในต่างประเทศ ทิ้งภาระทั้งหมดให้แก่ตัวเขาและบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมกันค้ำประกันให้ต้องเป็นผู้รับกรรมแทน
โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า ทพ.เผด็จ หมอทอม ได้ร่วมกับอาจารย์และเพื่อนร่วมงานคนอื่น เซ็นค้ำประกันให้กับอดีตอาจารย์รายหนึ่งซึ่งรับทุนศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ด้วยเห็นแก่คณะและหวังว่าอีกฝ่ายจะกลับมาทำประโยชน์แก่ส่วนรวม แต่สิ่งที่ได้รับคือฝ่ายนั้นบอกว่าไม่มีเงิน ทั้งที่ตัวเองทำงานเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อยู่อพาร์ทเม้นท์หรูหราในสหัฐฯ ปล่อยให้ตัวเขาที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูลูกอีก 4 คนต้องมาชดใช้กรรมแทน เป็นจำนวนเงินถึง 2.2 ล้านบาท
ดังนั้นเขาจึงอยากให้เรื่องดังกล่าวได้เตือนสติคนอื่น ๆ ที่กำลังจะค้ำประกันให้ใคร อยากให้รู้ว่าการศึกษาและชาติตระกูลไม่ได้ช่วยอะไร อยากให้คิดดี ๆ ก่อนจะทำธุรกรรมกับใครแม้จะปรารถนาดีต่ออีกฝ่ายก็ตาม
ทั้งนี้หลังจากที่เรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผย ก็ได้มีชาวเน็ตอีกหลายรายเข้ามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในทำนองเดียวกัน บอกเล่าถึงคนที่ผิดนัดชำระหนี้แล้วหนีหายไป ปล่อยให้เป็นภาระของคนค้ำประกันที่ต้องชำระเงินแทน ทำกันได้แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน ขณะที่อีกหลายคนยังวิจารณ์ว่าพฤติกรรมและจิตใจคนกลุ่มนี้ การศึกษานั้นไม่สามารถช่วยให้ดีขึ้นได้จริง ๆ
ภาพจาก ทวิตเตอร์ @nimdaex
sithiphong:
ต้องช่วยกันแชร์ คนที่ไม่รับผิดชอบ
คนที่ยอมค้ำประกันให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นในเรื่องกรณีไหนก็ตาม
1.ไม่ว่าจะเป็นในกรณีการค้ำประกันเงินกู้
ที่มีการค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันไม่ได้ใช้เงินกู้
2.ไม่ว่าจะเป็นการค้ำประกันอื่นๆ เช่น การค้ำประกันในเรื่องของการศึกษา เมื่อเรียนจบแล้ว ควรมาทำตามข้อตกลง(หรือตามสัญญาฯ) แต่หากไม่ต้องการทำตามข้อตกลง ก็ให้จ่ายเงินใช้หนีทุนการศึกษาเอง ไม่ใช่ให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชอบ
หรือพวกที่กู้ กยศ.ที่ทำงานแล้ว แต่ไม่ยอมมาใช้หนี้ กยศ. แต่มีเงินไปซื้อมือถือดีๆ มีเงินไปเที่ยว คนพวกนี้ก็ไม่รู้จักหน้าที่ ไม่มีความรับผิดชอบ
คนที่ให้ผู้ค้ำประกัน เป็นคนที่รับผิดชอบในภาระหนี้ที่ตนเองได้ก่อไว้ สังคมต้องไม่ให้ตนเหล่านี้ มีพื้นที่ยืนในสังคมได้ บางกรณี ครอบครัว , วงศ์ตระกูล , สถาบันการศึกษา ได้พยายามอบรมสั่งสอนอย่างดีและเต็มที่แล้ว แต่พฤติกรรมยังยอดแย่เหมือนเดิม ยอดแย่ตามความคิดและสันดานตัวเอง
----------------------------------------------------
อาจารย์สาวหนีทุนเจอขุดเบาะแสใหม่เพียบ บ้าน-ที่อยู่-เงินเดือน รวยอลัง
อาจารย์สาวหนีทุนเจอขุดเบาะแสใหม่เพียบ บ้าน-ที่อยู่-เงินเดือน รวยอลัง
-http://education.kapook.com/view140447.html-
อาจารย์สาวทันตแพทย์หนีทุนโดนจัดหนัก ชาวเน็ตขุดเบาะแสใหม่เพียบ ทั้งบ้านที่อยู่ เงินเดือน และกิจการครอบครัว เรียกได้ว่าไร้ที่ยืนในสังคมแน่นอน
จากกรณีดังในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์สาวหนีการใช้หนี้ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก จนทำให้ผู้ค้ำประกันต้องเสียเงินร่วม 10 ล้านบาทแทนเธอนั้น
ล่าสุด วันที่ 31 มกราคม 2559 สมาชิกเฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong ได้ออกมารวบรวมเบาะแสเพื่อแฉแหลก ทั้งเรื่องบ้านหลังใหม่ที่เพิ่งซื้อ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 45 ล้านบาท และข้อมูลทางการเงินอื่น ๆ ของอาจารย์สาวรายนี้
โดยมีการโพสต์ภาพบ้านจาก Google Maps และข้อความระบุว่า “จากภาพมุมสูงอีกมุมจาก google map บ้านเธอมูลค่า 45 ล้านบาท ที่พึ่งซื้อเมื่อปี 2014 ในบ้านมีรถไม่ทราบยี่ห้อจอดอยู่นอกโรงจอดรถ 1 คัน มี Sunroof นะครับ แต่ชาวเนตเดาว่า น่าจะยี่ห้อเดียวกับชื่อเธอ..... ลองหารุ่นมาเทียบดูครับ
ส่วนอีกโพสต์หนึ่ง เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนรายปีของตำแหน่ง Senior Lecturer ซึ่งเป็นตำแหน่งของอาจารย์หนีทุนรายนี้ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปรากฏว่ารายรับต่อปีอยู่ที่ 171,466 - 227,800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6-8.2 ล้านบาท)
และโพสต์ล่าสุด เป็นข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจคลินิกทำฟันของเธอ มีรายได้ประมาณปีละ 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36 ล้านบาท หากรวมเงินเดือนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในตำแหน่งอาจารย์ด้วยแล้ว จะมีรายได้รวมประมาณ 1.2 ล้านเหรียญต่อปี หรือราว 42 ล้านบาท (ยังไม่หักภาษี)
จากข้อมูลทั้งหมด สรุปได้ว่าอาจารย์หนีทุนรายดังกล่าวเป็นผู้มีฐานะคนหนึ่ง ที่มีรายรับต่อปีมากพอจะชดใช้เงินทุนการศึกษาคืนได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งนี้ หากมีเบาะแสใหม่ ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าว กระปุกดอทคอมจะรวบรวมมานำเสนอให้ท่านได้ทราบในลำดับต่อไป
ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong
-https://www.facebook.com/phutdhawong-
-----------------------------------------------------------
อ.มหิดล แจงดราม่าร้อน อ.สาว เบี้ยวใช้ทุน พร้อมเผยเหตุผลที่เลือกให้เรียนต่อ
-http://education.kapook.com/view140437.html-
อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล แจงปมร้อนอาจารย์เบี้ยวใช้ทุน 10 ล้าน บอกจำเป็นต้องตามผู้ค้ำมาใช้เงินรัฐ ชี้เกณฑ์คัดเลือกบุคคล บอกตอนนั้นดูแค่ปัจจุบันจะประเมินเป็น 10 ปีไม่ได้
เป็นเรื่องราวดราม่าที่สังคมโซเชียลแชร์กันกระหน่ำเลยทีเดียว กรณีที่อาจารย์สาวท่านหนึ่ง ของภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ขอทุนไปเรียนต่อยังมหาวิทยาลับฮาร์วาร์ด เมื่อปร 2536 โดยขณะนั้นมีผู้ค้ำประกัน 4 ราย แต่สุดท้ายอาจารย์หญิงคนดังกล่าวกลับไม่มาทำงานใช้ทุนที่เมืองไทย ทำให้ผู้ค้ำประกันต้องจ่ายเงินคืน 3 เท่า จากที่ได้รับ คือ 10 ล้าน หรือต้องใช้คืน 30 ล้านบาท จากผู้ให้ค้ำประกันทั้งหมด
อย่างไรก็ดี ล่าสุดวันที่ 30 มกราคม 2559 ทางด้านศาสตรจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) ก็ได้ออกมากล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุว่าที่ทางมหาวิทยาลัยเสนอชื่อดังกล่าวก็เพราะเห็นว่าเป็นเด็กเรียนเก่ง เรียนดี และมองว่าสามารถกลับมาทำประโยชน์ให้กับประเทศไทย ซึ่งตามเงื่อนไขแล้วการขอทุนเมื่อเรียนจบก็ต้องกลับมาทำงานใช้ทุน โดยทำงานให้กับหน่วยงานในสังกัด นั่นก็คือมหาวิทยาลัยมหิดล เพราะในตอนนั้นที่ขอไปเป็นทุนของรัฐบาล และอาจารย์คนดังกล่าวเพิ่งเรียนจบและทำงานได้เพียง 1 ปี จึงต้องมีผู้รับประกัน 4 ราย โดยอาจารย์คนดังกล่าวได้ขอทุนทั้งปริญญาโทและเอก งบประมาณในการศึกษาจำนวน 10 ปี 10 ล้านบาท
ศ. นพ.บรรจง กล่าวต่อว่า ประมาณปี 2547 อาจารย์หญิงคนดังกล่าวได้แจ้งมายังมหาวิทยาลับว่า ขอยกเลิกที่จะกลับมาทำงานใช้ทุนคืน ซึ่งตามเงื่อนไขการขอทุนรัฐบาลยังไงก็ต้องชดใช้เงินคืนทำให้กระทรวงการคลังประสานมายังมหาวิทยาลัยให้เร่งติดตามอาจารย์ดังกล่าวเพื่อให้ใช้เงินคืนเพราะเป็นเงินของประเทศ แต่เมื่อติดต่อไมไ่ด้ ก็ต้องดำเนินการตามกระบวนกฎหมาย ด้วยการประสานและติดตามไปยังผู้ค้ำประกันทั้ง 4 ราย ให้ชดใช้แทน และตลอดเวลาที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในการให้ความช่วยเหลือ เจรจาต่อศาลเพื่อขอลดหย่อนเงินที่จะใช้คืนกับรัฐ ให้เหลือจำนวนเท่าเงินทุน 10 ล้านบาท
สำหรับประเด็นที่อาจารย์สาวไปมีครอบครัวที่นั่นแล้วปฏิเสธที่จะกลับมาทำงานและใช้ทุนคืน ทางกระทรวงก็ต้องประสานมายังมหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยก็ต้องติดตามจากผู้ค้ำประกัน เพราะเงินดังกล่าวต้องคืนให้รัฐบาล และเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ใช่เหตุการณ์แรก จริง ๆ แล้วมีบุคคลที่ขอทุนไปเรียนต่างประเทศแล้วเบี้ยวไม่ชดใช้มีอยู่ประปราย แต่ที่ผ่านมาสังคมไม่ได้มีสื่อโซเชียลมากขนาดนี้ จึงทำให้เรื่องดังกล่าวกระจายไปอย่างรวดเร็ว
ท้ายนี้ ศ. นพ.บรรจง กล่าวต่อว่า ในการคัดเลือกคนที่จะเสนอให้ขอทุนรัฐบาล จริง ๆ แล้วก็ได้ตรวจสอบอย่างเข้มข้น ดูภูมิหลัง ดูประวัติและพฤติกรรมบุคคลนั้น ๆ แต่เป็นการดูแต่ช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งไม่สามารถมีทางตอบได้เลยว่า อีก 10 ต่อมา บุคคลนั้นจะเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่อย่างไร
เกาะติดข่าว หมอฟันหนีทุน ทั้งหมดคลิกเลย
ภาพจาก ทวิตเตอร์ @nimdaex เฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong
-https://www.facebook.com/phutdhawong-
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
-http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/684957-
------------------------------------------------------------------------------
กลุ่มคนไทยในอเมริกาลุกฮือ ต่อต้านหมอฟันหนีทุน ตั้งเป้าลงขันจ้างทนายลงดาบ
-http://education.kapook.com/view140462.html-
กลุ่มคนไทยในสหรัฐอเมริกาทราบข่าว "หมอฟันหนีทุน" จากกระแสโซเชียล เริ่มลุกฮือต่อต้าน อาจมีการลงขันจ้างทนายให้จัดการ
จากกรณี “ทันตแพทย์หนีทุน” ที่กำลังเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วสังคมออนไลน์ หลังจากเฟซบุ๊กชื่อ เผด็จ พูลวิทยกิจ ได้โพสต์ระบายความในใจหลังถูกทันตแพทย์สาวรายหนึ่งซึ่งเคยขอให้เซ็นค้ำประกันเงินทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่ภายหลังกลับถูกเบี้ยว ไม่ยอมเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อชดใช้ทุน ทำให้ผู้ค้ำประกันต้องร่วมกันใช้เงินค่าปรับกว่า 8 ล้านบาท ตามที่เป็นข่าวไปนั้น (อ่านข่าว : ทันตแพทย์หนีทุน ทั้งหมด คลิก)
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเฟซบุ๊กของทันตแพทย์เผด็จ พูลวิทยกิจ ได้มีกลุ่มประชาชนที่อ้างว่าอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความให้กำลังใจและเล่าว่าทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว พร้อมกันนี้ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ต้นสังกัดของทันตแพทย์หนีทุนรายดังกล่าวจะไม่สนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ในกลุ่มบุคคลผู้ร่วมงานซึ่งสังกัดองค์กรเดียวกันนั้นไม่เห็นดีเห็นงามด้วย
โดยข้อความระบุเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ คนไทยในอเมริกาหลายฝ่ายกำลังพยายามหาทางเคลื่อนไหวกดดันหน่วยงานต้นสังกัด และทันตแพทย์คนดังกล่าวแล้ว ซึ่งหากมีความคืบหน้า จะนำมาแจ้งให้ทราบเป็นลำดับต่อไป
พร้อมกันนี้ ยังมีผู้มอบข้อความให้กำลังใจทันตแพทย์เผด็จด้วยว่า “ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าจะมีคนไทยจำนวนมากช่วยกันลงขันบริจาคจ้างทนายไปสู้คดีที่อเมริกา คุณหมออย่าดูแคลนน้ำใจคนไทยในประเทศนี้เกินไป เรื่องราวตอนนี้มันเกินกว่าแค่จะชดใช้เงินคืนและขอโทษครูตนเองที่ตัวเองอกตัญญูไปแล้ว มันเป็นเรื่องของคุณธรรมและความถูกต้องเป็นธรรมล้วน ๆ”
ด้านชาวเน็ตที่ติดตามเรื่องราวดังกล่าวมาตลอด ก็ได้คอมเมนท์ให้กำลังใจทันตแพทย์เผด็จอย่างล้นหลาม พร้อมบอกว่าถ้ามีการว่าจ้างทนายจริง พวกตนก็พร้อมจะช่วยลงขันอีกแรง แต่ด้านนายแพทย์เผด็จกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีความคิดที่จะฟ้องใครทั้งสิ้น
เกาะติดข่าว หมอฟันหนีทุน ทั้งหมดคลิกเลย
-http://news.kapook.com/topics/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-
ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก เผด็จ พูลวิทยกิจ
-https://www.facebook.com/padetunity-
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ -http://dailynews.co.th/regional/376638-
sithiphong:
อุทาหรณ์! โอนที่ให้แฟนลูกกู้ใช้หนี้ สุดท้ายโดนหลอก 7 ชีวิตไร้ที่อยู่ (ชมคลิป)
โดย MGR Online
27 กุมภาพันธ์ 2559 09:38 น. (แก้ไขล่าสุด 27 กุมภาพันธ์ 2559 14:07 น.)
-http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000020934-
https://www.youtube.com/watch?v=sTFEEFLF_SA
-https://www.youtube.com/watch?v=sTFEEFLF_SA-
อุทาหรณ์!โอนที่ให้แฟนลูกกู้ใช้หนี้/สุดท้ายโดนหลอก 7 ชีวิตไร้ที่อยู่
ลำปาง - ครอบครัวหญิงชาวลำปาง วัย 67 ปี รวม 7 ชีวิต โดนฟ้องไล่พ้นบ้านที่สร้างมากับมือ อยู่มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก หลังโอนสิทธิให้ “อดีตว่าที่ลูกเขย” นำไปค้ำกู้เงินใช้หนี้ สุดท้ายโดนฟ้องไล่ให้ออกภายใน 3 มีนาฯ นี้ แถมโดนจับเข้าคุก ผญบ. และจนท.ต้องลงขันช่วยประกัน บอกลงทุนก้มกราบเท้าหนุ่มแสบกลางศาลแล้วยังไม่ยอม
วันนี้ (27 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดคดีความที่สะเทือนใจผู้คนในสังคมเมืองลำปาง และน่าจะเป็นอุทาหรณ์ให้แก่คนทั่วไปขึ้นอีกครั้ง เมื่อแม่ชาวลำปางโอนกรรมสิทธิ์บ้าน และที่ดินให้แก่แฟนหนุ่มของลูกสาวที่คบหาอยู่นำไปเป็นหลักทรัพย์กู้เงินมาใช้หนี้ สุดท้ายโดนหลอกถูกฟ้อง จนทำให้ 7 ชีวิตในครอบครัวต้องไร้ที่อยู่ในต้นเดือนหน้านี้
ล่าสุด นายสมภพ สุวรรณปัญญา เจ้าหน้าที่ชุด ททท. (ทำทันที) ของจังหวัดลำปาง พร้อมด้วยนายวัชระ ปาโกวงศ์ กำนันตำบลบ่อแฮ้ว นางเพียรใจ บุญเพ็ง ผู้ใหญ่บ้าน ม.15 ต.บ่อแฮ้ว อ.เมือง จ.ลำปาง ได้เข้าตรวจสอบที่บ้านเลขที่ 554 ม.15 ต.บ่อแฮ้ว หลังได้รับการร้องเรียน และขอความช่วยเหลือจาก นางจุลี รุจิฉาย อายุ 67 ปี เนื่องจากถูกศาลมีคำสั่งขับไล่ออกจากบ้านของตนเอง
จากการเข้าตรวจสอบพบว่า บ้านหลังดังกล่าวเป็นของ นางจุลี รุจิฉาย โดยมีสมาชิกในบ้านรวม 7 คน กำลังพากันวิตกกังวล และเป็นทุกข์อย่างมาก เนื่องจากจะต้องออกจากบ้านหลังนี้ภายในวันที่ 3 มีนาคม 59 ที่จะถึงนี้
สอบถาม น.ส.สุจิตรา รุจิฉาย อายุ 43 ปี บุตรสาว กล่าวว่า เมื่อปี 2549 ตนเองได้ไปทำงานที่จังหวัดนครสวรรค์ และได้รู้จักคบหากันกับนาย ภ.(ขอปิดชื่อ-นามสกุล) ประมาณ 4-5 ปี ระหว่างนั้นได้ช่วย นาย ภ. ปล่อยเงินกู้ และขายหวย แต่มีลูกค้าเบี้ยวเงินจนสูญเงินไปร่วม 3 แสนบาท
หลังจากนั้น นาย ภ.ได้บอกแก่ตนเองว่า ต้องหาเงินมาใช้คืนคนที่ปล่อยเงินกู้ โดยอ้างว่า เป็นเสธ.ทหาร หากไม่มีจ่ายจะถูกฆ่า ตนจึงพานาย ภ. มาบ้านที่จังหวัดลำปาง โดยได้บอกกับแม่คือ นางจุลี ว่า “หากไม่มีเงินคืนเขาจะมาฆ่าลูก ขอให้แม่โอนที่ดินซึ่งเป็นบ้านหลังที่อยู่กันนี้ให้เขาเพื่อนำไปกู้เงินจากธนาคารมาใช้คืน โดยขอกู้เงิน 500,000 บาท แล้วนำไปจ่ายหนี้ 3 แสนบาท เหลือ 2 แสนจะนำมาคืนแม่”
แต่พอกู้เงินได้วันถัดมานาย ภ. ก็หายไป ไม่ได้นำเงินมาให้แม่แต่อย่างใด ซึ่งตอนนั้นตนก็ยังเชื่อใจแฟนหนุ่ม จึงได้ช่วยส่งเงินกู้ต่อทางธนาคารเดือนละ 4 พันกว่าบาท ซึ่งบางเดือนก็ส่งช้า เนื่องจากขณะนั้นตนเองทำงานได้เงินเพียงวันละ 174 บาท นาย ภ.ก็จะโทร.มาต่อว่า ระหว่างนั้นก็ได้ติดต่อให้มาทำสัญญาว่า หากตนส่งเงินครบให้โอนที่ดินคืนให้ แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด
น.ส.สุจิตรา กล่าวอีกว่า หลังจาก 1 ปีผ่านไปก็รู้ว่าคงโดนหลอกแล้วตนจึงหยุดส่งเงิน จนกระทั่งมีหมายศาลฟ้องขับไล่มาที่บ้าน แม่เปิดดูก็ตกใจ แต่ไม่รู้ไปปรึกษาใคร ทนายก็ไม่มี ไปศาลก็มีคนบอกว่า ไม่ต้องนำทนายไปเพราะแค่ไปตกลงกันเท่านั้น แต่เมื่อไปถึงกลับพบเขาเตรียมทนายมา และเขียนเนื้อหามาหมดแล้วพร้อมกับขู่ว่า หากเล่าเรื่องทั้งหมดจะไล่ออกจากบ้านทันที ตนเองจึงยอมเซ็นชื่อกับแม่ในสัญญาประนีประนอม
“หลังการเซ็นสัญญาทำให้เราที่เป็นเจ้าของบ้านกลายเป็นคนเช่า และค้างค่าเช่าเขาเกือบ 3 แสนบาท และหากต้องการซื้อบ้านคืนเขาเรียก 1.3 ล้านบาท ซึ่งตนเองและครอบครัวไม่มีปัญญาซื้อ”
น.ส.สุจิตรา ระบุด้วยว่า 2 วันก่อนมีตำรวจมาจับตัวทุกคนที่บ้านไปที่สถานีตำรวจ และให้ไปลงบันทึกการจับกุม จากนั้นนำตัวไปศาลทนายก็ไม่มี เมื่อไปถึงที่ห้องรับส่งหนังสือก็มีคนมาบอกว่า ทำไมไม่ออกจากพื้นที่ เขาให้ออกทำไมไม่ออก แม่บอกว่าออกแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่าไม่มีที่อยู่ก็จะหาที่อยู่ให้คือ ไปอยู่ในคุกสัก 6 เดือน เมื่อแม่ได้ยินแบบนั้นถึงกับร้องไห้ และนั่งลงไปกราบเท้านาย ภ. แต่นาย ภ.ได้เดินหนีออกจากศาลไปทันที
หลังจากนั้น เราพ่อแม่ลูกถูกคุมขัง ได้แจ้งขอความช่วยเหลือไปยังผู้ใหญ่บ้าน ต่อมา ผู้ใหญ่บ้านได้เดินทางไปพร้อมเจ้าหน้าที่ ททท. (ทำทันที) และได้เฉลี่ยเงินกันคนละ 5 พันบาทเพื่อขอประกันตัว รวม 4 คนได้ 2 หมื่น จึงได้ออกมาที่บ้าน
“จากนี้ก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะบ้านนี้ก็เป็นบ้านดั้งเดิมที่ครอบครัวมีอยู่แค่ที่เดียว เมื่อศาลสั่งให้ออกภายในวันที่ 3 มีนาคมนี้ ตนเองก็คงต้องออก และคงไปขออาศัยกับคนที่รู้จักก่อนเพราะหมดแล้วทุกอย่าง”
นางจุลี กล่าวด้วยน้ำตาว่า ที่ดินผืนนี้ซื้อมาเมื่อ 50-60 ปีก่อนด้วยเงิน 5 ร้อยบาท พื้นที่ 1 ไร่ 66 ตร.ว.ขณะนั้นเป็นป่า ตนต้องมาแผ้วถางหญ้าออก และมาปลูกบ้านช่วยกันทำมา แต่ด้วยความรักลูกกลัวเขาจะมาทำร้ายจึงยอมเซ็นเอกสารให้เขาไป และเชื่อใจชายคนนั้นว่า คงจะทำตมที่พูด แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ทำตามที่พูด
“สุดปัญญาแล้ว หากเขาอยากได้ก็ให้เขาเอาไป แม่ตายก็เอาไปไม่ได้ เขาตายก็เอาไปไม่ได้เหมือนกัน เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วก็ต้องยอมทำใจแม่ไปกราบตีนมันๆ ยังไม่ยอม”
sithiphong:
ให้ระมัดระวังกัน เรื่องของเงินๆทองๆ
ไม่มีเรื่องไหนที่ลงทุนน้อย ความเสี่ยงน้อย จะได้ผลตอบแทนสูง
ถ้ามีในลักษณะนี้ ให้รู้ไว้เลยว่า โดนหลอกแล้ว
สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะทำงานอาชีพไหน ต้องเรียนรู้เรื่องของเงินๆทองๆไว้
จะได้เป็นภูมิคุ้มกันตัวเอง ไม่ให้ถูกหลอกได้ ครับ
-------------------------------------------
ปปง. อายัด 300 ล้าน แก๊งโกงหวยสหกรณ์ออมทรัพย์ครู
-http://hilight.kapook.com/view/133974-
ปปง. อายัดทรัพย์แก๊งโกงสลากกินแบ่งครู กว่า 300 ล้านบาท พร้อมอายัดทรัพย์เครือข่ายวิสาหกิจชุมชนหลอกออมเงิน 1 พัน กู้ได้ 1 ล้าน
วันที่ 11 มีนาคม 2559 ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เวลา 10.00 น. พันตำรวจเอก สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. แถลงผลการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 4 โดยมีมติให้ยึดอายัดทรัพย์สินหลายรายการของ นายศรีสุข รุ่งวิสัย กับพวก ซึ่งเป็นของบริษัท เทวาสิทธิ พิฆเนศ จำกัด ไว้ชั่วคราว กว่า 100 รายการ ได้แก่ ที่ดินที่จังหวัดนครสวรรค์ สมุทรปราการ อาคารชุดย่านรัชดา มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท
ทั้งนี้ เนื่องจากนายศรีสุข กับพวกได้ร่วมกันหลอกทำสัญญาซื้อขายสลากกินแบ่งรัฐบาลกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู กรมสามัญศึกษาจังหวัดเลย เป็นจำนวน 3 สัญญา 25,000 เล่ม ในราคาถูก แต่กลับนำเงินไปหมุนเวียนในระบบที่ไม่ตรงตามสัญญา และทางสหกรณ์กลับไม่ได้สลากจริง จึงเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน
ส่วนอีกคดีคืออายัดทรัพย์ของวิสาหกิจชุมชนส่งเสริมเกษตรกรไทยกับพวกไว้ชั่วคราว จำนวน 146 รายการ รวมมูลค่าประมาณ 6 แสนบาท หลังมีการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนเข้ามาเป็นสมาชิกพร้อมกับมีการตั้งเครือข่ายประจำจังหวัดเพื่อหาเครือข่ายเพิ่มเติม โดยเสนอแผนงานและผลประโยชน์สูง เช่น การออมเงิน 1 พันบาท สามารถกู้เงินได้ 1 ล้านบาท โดยไม่เสียดอกเบี้ย แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าทางเครือข่ายสามารถดำเนินการได้จริงตามที่เชิญชวน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ด้านนายสันติ เจริญสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ได้กล่าวขอบคุณพร้อมบอกว่า ขบวนการดังกล่าวได้มีการแอบอ้างใช้รูปของผู้บริหารระดับสูงเพื่อหลอกให้ประชาชนหลงเชื่อ และยังได้ฝากเตือนประชาชนว่าอย่าหลงเชื่อถึงผลกำไรที่เกินจริง
sithiphong:
ธปท. แนะวิธีตรวจสอบแบงก์ 1,000 ปลอม หลังพบระบาด-เหมือนจริงมาก
-http://money.kapook.com/view144086.html-
ธปท. แนะวิธีตรวจสอบธนบัตร จริงหรือปลอม เพียงแค่สัมผัส-ส่องดู-ตะแคงข้าง หลังพบแบงก์ 1,000 ปลอม ระบาด-เหมือนจริงมาก
วันที่ 16 มีนาคม 2559 เพจ เที่ยงวันทันเหตุการณ์ รายงานว่า นายวรพร ตั้งสง่าศักดิ์ศรี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดเผยถึงกระแสข่าว พบธนบัตรปลอมชนิด 1,000 บาท ที่มีความเหมือนจริงทุกประการ เว้นเพียงมีภาพครุฑไม่สมบูรณ์ โดยชี้แจงว่า ในการตรวจสอบธนบัตรว่าเป็นของจริงหรือปลอมนั้นจะต้องตรวจสอบลักษณะต่อต้านการปลอมแปลงหลายจุดประกอบกัน ซึ่งหากพบว่าทุกจุดมีความถูกต้อง ธนบัตรดังกล่าวก็เป็นธนบัตรจริง แต่อาจเป็นธนบัตรชำรุด ซึ่งประชาชนสามารถนำไปแลกเปลี่ยนได้ที่ธนาคารออมสินหรือธนาคารพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถทำการตรวจสอบธนบัตรได้ด้วยตนเองง่าย ๆ 3 วิธี ดังนี้
1. การสัมผัส : เนื้อกระดาษธนบัตร เป็นกระดาษชนิดพิเศษ มีความเหนียว แกร่ง ทนต่อการพับดึง และให้ความรู้สึกแตกต่างจากกระดาษทั่วไป และเมื่อสัมผัสตัวเลขแจ้งราคา กับคำว่ารัฐบาลไทย จะรู้สึกสะดุดกับหมึกพิมพ์
2. การยกส่อง : เมื่อยกธนบัตรส่องกับแสงสว่าง จะเห็นลายน้ำพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ในเนื้อกระดาษอย่างชัดเจนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงรูปลายไทยขนาดเล็กที่มีความโปร่งแสงเป็นพิเศษ และแถบสีโลหะฝังอยู่ในเนื้อกระดาษ บนแถบมีตัวเลขและตัวอักษรแจ้งชนิดราคา
3. การพลิกเอียง : บริเวณมุมของธนบัตร พิมพ์ด้วยหมึกพิมพ์ชนิดพิเศษ เมื่อพลิกธนบัตรไปมาสีของตัวเลขจะเปลี่ยนสลับจากสีหนึ่งเป็นอีกสีหนึ่งได้
สามารถอ่านวิธีสังเกตธนบัตรเพิ่มเติมได้ที่ bot.or.th
ทั้งนี้หากผู้ใดมีข้อสงสัยเพิ่มเติม โปรดติดต่อมาที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน โทรศัพท์ 1213 หรือ แผนกวิเทศสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ สายออกบัตรธนาคาร โทรศัพท์ 0-2356 8687-90
ภาพและข้อมูลจาก เพจ เที่ยงวันทันเหตุการณ์, bot.or.th
-https://www.bot.or.th/Thai/Pages/default.aspx-
-https://www.bot.or.th/Thai/Banknotes/Pages/default.aspx-
-https://www.facebook.com/MiddayNewsTV3/posts/906012226179075-
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version