ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ
ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว
sithiphong:
ชมรมปฏิรูปสิทธิลูกหนี้ /อ้วน อารีวรรณ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 ตุลาคม 2553 10:45 น.
jatung_32@yahoo.com
ในปัจจุบันนี้ มีข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย เพิ่มสูงขึ้นจำนวนมาก อันมีสาเหตุหลักจากการเป็นลูกหนี้และเป็นผู้ค้ำประกันนั้นเอง
ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในช่วงปี 2548 - มิ.ย.2553 ศาลล้มละลายได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดสูงถึง 57,838 คดี และที่เป็นบุคคลธรรมดาถูกฟ้องจนศาลล้มละลายได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็มีจำนวนสูงมากถึง 117,085 ราย ซึ่งต่อมาศาลล้มละลายมีคำพิพากษาให้บุคคลเหล่านั้นเป็นบุคคลล้มละลายถึง 39,356 ราย และนับวันจะมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้นในแต่ละปี
และกล่าวได้ว่าปี 2554 ที่จะถึงนี้ จะเป็นปีมหกรรมคนล้มละลายแห่งชาติก็ว่าได้ อันเป็นผลมาจากสาเหตุเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจฟองสบู่แตกเมื่อช่วงปี 2540 ทำให้มีบุคคลจำนวนใหญ่ถูกฟ้องศาลเพื่อขอให้บังคับชำระหนี้ในช่วงปี 2543-2544 ซึ่งจะครบกำหนดการบังคับชำระหนี้ภายใน 10 ปี หรือก็คือในปีหน้านี้เอง
โดยเฉพาะข้า ราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่มักเป็นผู้ค้ำประกันที่ดีมาก เนื่องจากตนเองจะเป็นทั้งผู้กู้และเป็นผู้ค้ำประกันให้กับเพื่อนร่วมงานที่ ต้องการจะกู้เช่นเดียวกับตนเอง จึงมีลักษณะเป็นสามเส้า คือ หากตนเองจะกู้เงิน ก็ต้องหาเพื่อนร่วมงานอีกสองคนมาช่วยกันค้ำประกัน และเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนก็ต้องการกู้และหาคนช่วยค้ำประกันให้ตนเองเช่น เดียวกัน ส่งผลให้เป็นทั้งลูกหนี้พร้อมกับเป็นผู้ค้ำประกันให้เพื่อนร่วมงานอีกสองคน ไปโดยปริยาย
ปัญหาคือ เมื่อผู้กู้คนใดคนหนึ่งเจอปัญหาวิกฤตทางการเงินก็ย่อมมีโอกาสส่งผลกระทบต่อ ผู้ค้ำประกันคนอื่นได้เช่นกัน อีกทั้งโดยส่วนใหญ่มักจะกู้เงินในจำนวนที่ค่อนข้างสูง เมื่อทรัพย์สินที่ใช้เป็นประกันถูกขายทอดตลาดแล้วแต่ไม่พอชำระหนี้ เจ้าหนี้ก็ย่อมมาจัดการทวงถามกับผู้ค้ำประกันอีกต่อหนึ่ง ส่งผลให้มีการยึดหลักทรัพย์เช่นบ้านที่ผู้ค้ำประกันฯ กำลังผ่อนส่งอยู่ขายทอดตลาด และหากมียอดหนี้สินขาดอีกหนึ่งล้านบาท ก็จะถูกฟ้องล้มละลายได้ทันที เพื่อตัดหนี้สูญของธนาคารผู้เป็นเจ้าหนี้
กลุ่ม ลูกหนี้เหล่านี้ ไม่อาจเจรจาประนอมหนี้กับเจ้าหนี้ได้ ส่งผลให้ลูกหนี้บางรายเกิดความเครียดอย่างรุนแรงถึงขั้นฆ่าตัวตายหรือชิงลา ออกจากงาน หรือหากรอให้ศาลมีคำพิพากษาให้ตกเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตนเองก็จะขาดคุณสมบัติการเป็นข้าราชการหรือเจ้าพนักงานรัฐวิสาหกิจไปโดยปริยาย
เพราะการถูกฟ้องล้ม ละลายนั้น จะส่งผลต่อข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจอย่างมาก เพราะเมื่อใดที่ศาลมีคำพิพากษาว่าตนเองได้เป็นบุคคลล้มละลาย ย่อมส่งผลให้ต้องขาดจากคุณสมบัติการประกอบอาชีพ ส่งผลให้ตกงานในขณะนี้ที่มีอายุอยู่ในระหว่าง 45-60 ปี จากผู้มีความเชี่ยวชาญหรือชำนาญการในงานที่ทำอยู่ ก็ต้องกลายเป็นคนสมองกลวงเพราะไม่รู้ว่าจะทำอาชีพอะไรต่อไป เนื่องจากทำงานอยู่ในราชการมาตลอดเวลาหลายสิบปี
เนื่องจากหลักเกณฑ์ ในการฟ้องคดีล้มละลายของเจ้าหนี้ แบ่งตามลักษณะของเจ้าหนี้ ผู้เป็นโจทก์ออกเป็นการฟ้องคดีล้มละลายของเจ้าหนี้แบบไม่มีประกันตามมาตรา 9 ที่เจ้าหนี้จะฟ้อง ลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ ก็ต่อเมื่อ
1. ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
2. ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นหนี้ เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท และ
3. หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตาม
และการฟ้องคดีล้มละลายของเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา10 ซึ่งสามารถฟ้องคดีได้
เมื่อเจ้าหนี้มีประกันไม่ ได้เป็นผู้ต้องห้ามมิให้บังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เกินกว่า ตัวทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน และเจ้าหนี้นั้นยอมสละหลักประกันอันเป็นประโยชน์แก่ตน หรือ เมื่อตีราคาหลักประกันมาในฟ้องแล้ว เมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้วเงินยังขาดอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หรือเงินยังขาดอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท สำหรับลูกหนี้ที่เป็นนิติบุคคล
สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คือได้มีการรวมตัวก่อตั้ง “ชมรมปฏิรูปสิทธิลูกหนี้” โดยบรรดาลูกหนี้ที่เป็นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจเพื่อผลักดันให้ รัฐบาลแก้ไขปัญหาหนี้สินของข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจตลอดจนเรียกร้อง ให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อไม่ให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจต้องพ้นสภาพ จากการเป็นข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากถูกฟ้องเป็นบุคคลล้มละลาย
โดยชมรมปฏิรูปสิทธิลูกหนี้ ต้องการให้รัฐบาลติดตามแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนที่สุด มีการตั้งศูนย์ “แก้ไขปัญหาหนี้สินแบบเบ็ดเสร็จ" แบบ “ONE STOP SERVICE” เพื่อให้ความรู้หรือคำปรึกษาแก่ลูกหนี้ ในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหนี้ ตั้งแต่หากมีการผิดนัดชำระหนี้ต้องทำอย่างไร หากต้องการประนอมหนี้ทำอย่างไร ตลอดจนการถูกฟ้องคดีล้มละลายแล้วต้องทำอย่างไร หรือมีวิธีการเยียวยาช่วยเหลือคนเดือดร้อนอย่างไร ทำอย่างไรไม่ให้คนเสพติดหนี้เพิ่มขึ้น เป็นต้น
และเมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการประชุมทางวิชาการด้านกฎหมายล้มละลาย เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกหนี้ที่ถูกฟ้องล้มละลายและฟื้นฟูกิจการ และได้เกิดข้อเสนอที่น่าสนใจอย่างหนึ่งสำหรับลูกหนี้ทั้งหลายที่เป็นข้า ราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ดังนี้ว่า
ควรมีการพิจารณาปรับ ปรุงหลักเกณฑ์การเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามมาตรา 90/3 ที่กำหนดไว้เดิมว่าเมื่อลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้เจ้าหนี้คน เดียวหรือหลายคนรวมกันเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาทนั้น หากยื่นคำร้องต่อศาลให้มีการฟื้นฟูกิจการ ก็สามารถกระทำได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอให้ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
แต่กรณีที่ ลูกหนี้ขาดสภาพคล่องทางการเงิน หรือความสามารถในการชำระหนี้ แม้จะยังไม่ถึงขั้นว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ก็สามารถที่จะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการได้ เพราะการเข้าสู่ กระบวนการฟื้นฟูกิจการก่อนที่จะมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้น มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าที่จะรอให้ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ก่อน
และอีกกรณี หนึ่งที่น่าสนใจ คือการนำทรัพย์สินของลูกหนี้ขายทอดตลาด โดยกรมบังคับคดีจะทำอย่างไรให้การขายทอดตลาดนี้ ลูกหนี้มีโอกาสขายทรัพย์สินในราคาที่เหมาะสมกับราคาท้องตลาดปัจจุบัน แม้ ว่าจะเป็นการขายทอดตลาดในครั้งที่สองหรือครั้งที่สามก็ตาม ก็ควรจะได้ราคาที่ไม่แตกต่างจากราคาขายทอดครั้งแรกมากจนเกินไป เพื่อให้มีเงินจากการขายทอดตลาดมากพอที่จะชำระหนี้ได้
เนื่องจาก ระเบียบปฏิบัติของกรมบังคับคดีในการขายทอดตลาดทรัพย์ประกัน ครั้งที่1 จะอยู่ที่ 80% ของราคาทรัพย์สินเดิม และในการขายทอดตลาดครั้งที่2 จะอยู่ที่ 50% ของราคาทรัพย์สินเดิมเท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย มีเพียงผู้ซื้อทรัพย์เท่านั้นที่จะได้ประโยชน์ และเงินที่ได้มาจากการขายทอดตลาดก็จะถูกนำไปชำระในส่วนดอกเบี้ยก่อน ส่วนที่เหลือจึงจะนำมาชำระในยอดเงินกู้นั้นเอง
http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9530000150587
sithiphong:
เตือนมีแก๊งตำรวจปลอม หลอกให้เหยื่อโอนเงิน
ผบ.คดีพิเศษเผยมีแก๊งตร.ปลอมหลอกโอนเงิน (ไอเอ็นเอ็น)
ผบ.คดี พิเศษ ดีเอสไอ เผย รับแจ้งข้อมูลจากตำรวจสังกัดดีเอสไอ ปลอมโทรหลอกให้โอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มให้ มีเหยื่อหลงเชื่อหลายรายแล้ว แจ้งเตือนอย่าหลงเชื่อ
พ.อ.ปิยะ วัฒก์ กิ่งเกตุ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางดีเอสไอ ได้รับแจ้งข้อมูลจากประชาชนที่ได้รับความเสียหาย จากการถูกแก๊งมิจฉาชีพ แอบอ้างว่า มียศเป็น ร้อยตำรวจเอก ของดีเอสไอ ได้รับคำสั่งจากตน ให้โทรไปหลอกลวงผู้เสียหายว่า บัญชีธนาคารของผู้เสียหาย มีการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมาย จึงได้มอบหมายให้ ร้อยตำรวจเอกคนดังกล่าว โทรศัพท์มาติดต่อกับผู้เสียหาย เพื่อขออายัดเงินในบัญชีของผู้เสียหาย และขอให้ระงับการทำธุรกรรมใด ๆ จากนั้นได้สั่งให้ผู้เสียหาย ไปที่ตู้เอทีเอ็ม เพื่อทำธุรกรรมโอนเงินผ่านทางตู้เอทีเอ็ม บางรายจะถูกสั่งให้เปลี่ยนรหัสผ่าน สำหรับบัตรเครดิตใบนั้นก่อน แล้วจึงให้โอนเงินไปที่บัญชีของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ตามเลขที่บัญชีที่แจ้งจากทางโทรศัพท์ ปรากฏว่า มีผู้เสียหายหลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อหลายรายและสูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ดีเอสไอ จึงขอแจ้งเตือนว่า อย่างหลงเชื่อแก๊งมิจฉาชีพกลุ่มนี้ เป็นเด็ดขาด เพราะการที่จะยึดหรืออายัดเงินในบัญชีของบุคคลใดก็ตาม ทางดีเอสไอจะต้องมีหนังสือแจ้งไปยังธนาคาร โดยอ้างอำนาจตามกฎหมาย เพื่อขอให้ธนาคารดำเนินการยึดอายัด และจะไม่โทรศัพท์ติดต่อไปยังพี่น้องประชาชน โดยตรงเป็นอันขาด ฉะนั้นหากมีการกล่าวอ้างว่า เป็นเจ้าพนักงานของดีเอสไอ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เพื่อให้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ที่มา ไอ.เอ็น.เอ็น.
http://hilight.kapook.com/view/54204
.
sithiphong:
เตือนผู้เสียภาษี ตรวจสอบสิทธิลดหย่อนภาษีใหม่
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
หลังเปิดช่องทางพิเศษให้ยื่นภาษีทางอินเทอร์เน็ต ล่าสุดกรมสรรพากรเพิ่มมาตรการลดหย่อนภาษีใหม่ หวังช่วยลดภาระผู้เสียภาษี
นาง จิตรมณี สุวรรณพูล รองอธิบดีกรมสรรพากรในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า ในการยื่นแบบฯ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ของปี 2553 นั้น อยากให้ผู้เสียภาษีตรวจสอบรายละเอียดให้ถี่ถ้วนก่อน ว่าได้กรอกรายการต่าง ๆ ตรงตามสิทธิและเงื่อนไขที่ตนควรได้รับหรือไม่ เพราะทางกรมสรรพากรได้ออกมาตรการลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม บางข้อหากกรอกรายละเอียดไม่ครบ นอกจากทำให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างล่าช้าแล้ว ผู้เสียภาษีอาจเสียผลประโยชน์ตามสิทธิที่มีอีกด้วย
สำหรับในปีภาษี 2553 มีมาตรการภาษีใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการลดหย่อน ซึ่งมีผลต่อการคำนวณภาษี ดังนี้
1. ผู้เสียภาษี สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 8 มิถุนายน 2553 – วันที่ 31 ธันวาคม 2553 มาหักค่า ลดหย่อนได้ตามที่ได้จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยค่าใช้จ่ายที่สามารถนำมาลดหย่อน เช่น เงินที่จ่ายเป็นค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว หรือค่าใช้จ่ายเป็นค่าที่พักโรงแรมในประเทศ
2. ในกรณีที่ผู้เสียภาษีต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิต สามารถนำมาลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม ได้ดังนี้
2.1 กรณีที่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิต สำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบบำนาญ ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีตามที่จ่ายจริงจำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้พึงประเมินแต่ไม่เกิน 2 แสนบาท
2.2 กรณีมีการจ่ายสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินได้จ่ายค่าซื้อหน่วยลงทุน กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เงินได้ที่ได้รับยกเว้น เมื่อรวมเงินได้จากเบี้ยประกันภัย แบบบำนาญ หลังจากใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินจากเบี้ยประกันชีวิตอื่นแล้วต้องไม่เกิน 5 แสนบาท
3. มาตรการภาษีให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ระหว่างวันที่ 1 กันยายน ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 มีดังนี้
3.1 สำหรับบุคคลธรรมดาที่มีการบริจาค เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยบริจาคผ่านตัวแทนรับบริจาคที่เป็นบริษัทหรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น เช่น สถาบันการเงิน บริษัทมหาชน จำกัด สถานีโทรทัศน์ พรรคการเมือง องค์การของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ผู้บริจาคสามารถนำจำนวนเงินที่บริจาคมาหักเป็นค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงิน ได้บุคคลธรรมดาได้ เมื่อรวมกับการบริจาคอื่นต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้สุทธิ
3.2 สำหรับกรณีที่ผู้ประสบภัยเป็นบุคคลธรรมดา ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ 3 ส่วนคือ
- ตามเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (5) ถึง (8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ได้ลงทะเบียนไว้กับศูนย์หรือหน่วยงานให้ความช่วยเหลือของทางราชการ เป็นจำนวนเท่าจำนวนความเสียหาย
- เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาค หรือชดเชย ที่มีมูลค่าไม่เกินความเสียหาย
- เงินชดเชยที่ได้รับจากภาครัฐ
4. สำหรับคนพิการ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ต้องมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ในปีภาษีที่ได้รับเงินได้ฯ ได้รับยกเว้นเงินได้ 19,000 บาท ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป
สำหรับมาตรการภาษีใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการลดหย่อนนั้น หากผู้เสียภาษีท่านใดมีข้อสงสัยสามารถโทรมาที่
ศูนย์ Call Center หมายเลข 1161
ในวันจันทร์ - วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.30 - 18.00 น.
หรือจะเข้ามาตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Redirect ในหัวข้อ "ความรู้เรื่องภาษี"
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก มติชนออนไลน์ และ กรมสรรพากร
กรรมสรรพากร
.
http://hilight.kapook.com/view/55866
.
http://www.rd.go.th/publish/43505.0.html
.
http://www.matichon.co.th/news_detai...atid=&subcatid
.
sithiphong:
ลูกหนี้หนาว! แบงก์หนุนกรมบังคับคดีอายัดบัญชีเงินเดือน
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล
ลูกหนี้หนาว! กรมบังคับคดีปรับระบบโครงสร้างยึดทรัพย์ขายทอดตลาดใหม่ จับมือธนาคารอายัดบัญชีเงินเดือนลูกหนี้แทนระบบเดิม เพื่อความรวดเร็ว
นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวว่า ทางกรม บังคับคดีจะปรับโครงสร้างการขายทอดตลาดทรัพย์สินใหม่ เพื่อเร่งระบายทรัพย์สินที่มีอยู่กว่า 2 แสนล้านบาทให้เร็วขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของคดีแพ่ง กรมบังคับคดีจะเปลี่ยนมาใช้วิธีการอายัดเงินเดือน หรือบัญชีธนาคารของลูกหนี้ ซึ่งสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายใน 3 เดือน และมีต้นทุนต่ำกว่าวิธีการเดิมที่ใช้การยึดทรัพย์สินลูกหนี้ไปขายทอดตลาด ซึ่งจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี และเสียค่าใช้จ่ายดำเนินการมากกว่า โดยสามารถดำเนินการได้ทันที เพราะมีกฎหมายรองรับอำนาจในการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีอยู่แล้ว
อธิบดีกรมบังคับคดี กล่าวต่อว่า สำหรับ การอายัดเงินในบัญชีของลูกหนี้นั้น ไม่ได้ถูกอายัดทั้งหมด แต่จะมีการกันเงินอีกส่วนหนึ่งไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายของลูกหนี้ โดยต่อไปนี้จะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้ เจ้าหนี้ และสถาบันการเงิน ทราบถึงข้อปฏิบัตินี้ โดยเฉพาะสถาบันการเงินที่ต้องเปิดเผยบัญชีของลูกหนี้ ไม่สามารถอ้างต่อไปได้อีกว่าเป็นความลับของลูกค้า หากครั้งนี้ สถาบันการเงินใดไม่สามารถให้อายัดบัญชีได้ ก็ต้องให้เหตุผลต่อศาล
ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังตัวแทนธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 2 แห่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ ล้วนเห็นด้วยกับกรมบังคับคดี โดยระบุว่า หากสามารถแก้ไขกระบวนการทางกฎหมายให้การบังคับชำระหนี้เร็วขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อระบบการเงินโดยรวม และเป็นผลดีต่อธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ อีกทั้งยังทำให้ลูกหนี้ในระบบมีระเบียบวินัยทางการเงินมากขึ้นด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก มติชนออนไลน์ และ ประชาชาติธุรกิจ
http://hilight.kapook.com/view/56818
.
sithiphong:
สมาร์ทโฟนจะมาแรงแทนบัตรเครดิต
อีวอลลิทหรือกระเป๋าตังค์อีเลคทรอนิคส์ ซึ่งกูเกิ้ลมีแผนจะเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเป็นบัตรเครดิต เพียงแค่คุณมีโทรศัพท์ก็ทำธุรกรรมได้ โดยไม่ต้องพกทุกอย่างในกระเป๋าตังค์อีกต่อไป ลูกค้าเสียเวลาเพื่อหาบัตรที่ถูกต้องในการชำระราคาสินค้า เพียงแค่คุณรูดบัตรผ่านมือถือคุณ
เว็บยักษ์ใหญ่ได้ร่วมมือกับซิตี้กรุ๊ปและมาสเตอร์การ์ดในการพัฒนาระบบ จ่ายเงินผ่านมือถือโดยเฉพาะมือถือระบบแอนดรอย พวกเขาได้ปรึกษากับเวริโฟนผู้ให้บริการระบบชำระเงินผ่านสื่ออิเลคทรอนิคส์
ดุ๊ก เบอร์เกอรอน ผู้บริหารบริษัทเวริโฟน กล่าวว่า โทรศัพท์นั้นฉลาดกว่าบัตรเครดิต มันเปิดประสบการณ์ที่หลากหลาย ณ จุดขายที่ผู้ค้าปลีกต้องการจริง
โทรศัพท์นั้นจะเก็บลักษณะนิสัยและแนวโน้มการซื้อของผู้ใช้ได้ ทำให้ผู้ค้าปลีกและธุรกิจสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการโฆษณาและลดราค้าได้ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในขั้นแรกผู้ใช้ต้องเปิดใช้งานโปรแกรมการชำระเงินมือถือที่พัฒนาให้ตรงกับรุ่นมือถือที่ใช้ซึ่งต้องเป็นระบบแอนดรอย
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามันเป็นวิธีที่ปลอดภัยกว่าการบัตรเครดิตแบบแถบแม่ เหล็ก ผู้คนมักจะเข้าใจว่าอาจมีการขโมยข้อมูลในอากาศได้ แต่อันที่จริงแล้วเทคโนโลยีนี้มีความซับซ้อนมากกว่าเทคโนโลยีของแถบแม่เหล็ก ที่ใช้ในบัตรเครดิต ทำให้ยากต่อการขโมยข้อมูลการจับจ่ายของผู้ใช้ นิค ฮอลแลน นักวิเคราะห์การทำธุรกรรมบนมือถือของบริษัทแยงกี้กรุ๊ปกล่าว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1301479184&grpid=&catid=09&subcatid=0904
.
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version