ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ

ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว

<< < (15/38) > >>

magicmo:
 :17: :17:  สุดยอดเลยครับ

sithiphong:
ไม่จำเป็น … อย่ากู้

ไม่จำเป็น … อย่ากู้ :
คอลัมน์วันอาทิตย์คิดเรื่องเงิน :
โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล k_wuttikul@hotmail.com
-http://www.komchadluek.net/detail/20121007/141665/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E2%80%A6%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89.html#.UHDmoFHiHx8-


                เพิ่งวางสายจากพนักงานแบงก์ที่โทรศัพท์เข้ามาแจ้ง "สิทธิประโยชน์" ว่า แบงก์อนุมัติสินเชื่อส่วนบุคคลให้เรียบร้อยแล้ว ขอให้ดำเนินการนำเอกสารสำเนาบัตรประชาชนไปแสดงที่แบงก์ ก็สามารถได้รับสินเชื่อไปใช้ได้ตามอัธยาศัยอย่าง "ทันที"

   กว่าจะพูดกันรู้เรื่องว่า อนุมัติ ได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคย ขอ ก็ทำเอาเหนื่อยเหมือนกัน

                 ไม่นับรวมเอกสารสินเชื่อบุคคลที่กรอกข้อมูลมาเรียบร้อย รอแค่ "ลายเซ็น" ที่ส่งกลับไป และเอสเอ็มเอสแจ้งให้ไปก่อหนี้และสร้างหนี้เพิ่มที่ขยันส่งมาเป็นระยะๆทุกอย่างกลายเป็นระบบตอบรับอัตโนมัติ ที่เรายื่นขออัตโนมัติโดยไม่รู้ตัว เหลือแค่มีสติอย่าเผลอตอบรับอัตโนมัติไปกับระบบด้วยก็พอ เพราะถ้าเผลอเมื่อไหร่ ก็เท่ากับเป็นหนี้โดยไม่รู้ตัวเมื่อนั้น

                  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแบบนี้หรือเปล่า ทำให้ตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนก่อตัวสูงขึ้นจนแบงก์ชาติแสดงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพราะจากการรวบรวมข้อมูลล่าสุดของแบงก์ชาติ พบว่า สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ของภาคครัวเรือนเริ่มสูงขึ้น โดยอยู่ที่ระดับ 40-50% ของรายได้รวม จากระดับปกติซึ่งอยู่ที่ 30%

                  "เกริก วณิกกุล" รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่า สัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้ ยังไม่นับรวมหนี้นอกระบบที่ยังไม่รู้ว่ามีสัดส่วนเท่าใด

                  ผู้บริหารแบงก์ชาติบอกด้วยว่า แม้จะเข้าใจว่า ประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้เงิน และจำเป็นต้องก่อหนี้ แต่แบงก์ชาติเองก็มีเหตุผลที่ไม่ต้องการให้อัตราการก่อหนี้อยู่ในระดับที่สูงเกินไป เพราะนอกจากจะกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ยังมีเรื่องของการถูกขูดรีดหรือถูกเอารัดเอาเปรียบมากเกินไปอีกด้วย

                 "ถ้าหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเยอะ หรือกู้กันได้โดยไม่มีข้อจำกัด หนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่า เป็นความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาคด้วย ดังนั้น แบงก์ชาติก็มีหน้าที่เข้าไปดูแล แต่ต้องดูแลทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งก็ต้องไม่กระทบกับประชาชนที่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน และอีกด้านหนึ่ง ก็ต้องดูแลไม่ให้ประชาชนกลุ่มนี้ถูกเอารัดเอาเปรียบมากเกินไป"

                   อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารแบงก์ชาติ ยืนยันว่า การดูแลของแบงก์ชาตินั้น จะพยายามไม่ให้สัดส่วนหนี้ต่อรายได้เพิ่มสูงขึ้นไปมากกว่านี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะต้องลดลง แม้ว่า เรื่องนี้ทางสหรัฐอเมริกาเคยมีการศึกษาว่า สัดส่วนที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 28% ก็ตาม

                  "เรามีเครื่องมือที่ช่วยดูแลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมเรื่องบัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคล เพียงแต่คงมีการพิจารณาเพิ่มเติมว่า เกณฑ์ส่วนไหนที่ยังไม่เหมาะสม ก็คงปรับปรุงเพิ่มเติม … แต่หัวใจสำคัญมันอยู่ตรงที่เวลาคุณกู้เงิน อย่างน้อยก็ควรผ่อนให้ได้ 10% ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น การกู้ในส่วนนี้ก็ควรผ่อนให้จบภายใน 1 เดือน"

                    จะว่าไปแล้ว ก็น่าเห็นใจ "คนเป็นหนี้" เพราะอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่า ปัจจัยเร้ามันเยอะ ไม่ว่าจะเป็นแบงก์โทรมาอนุมัติให้เป็นหนี้ทั้งที่ไม่ได้ขอ หรือสารพัดแคมเปญที่ส่งมาที่บ้าน ทั้งดอกเบี้ย 0% นาน 15 เดือนและอีกนานับแคมเปญที่ล่อใจให้เข้าไปติดกับดักหนี้ ดังนั้น ถ้ายังไม่แน่ใจว่า เราควรจะเป็นหนี้ดีหรือไม่ หรือเราพร้อมหรือยังที่จะเป็นหนี้ เว็บไซต์ของสถาบันพัฒนาความรู้ตลาดทุน (TSI) ให้คำแนะนำว่า ลอง "เช็ก" ตัวเองก่อนก่อหนี้ดูตามหัวข้อเหล่านี้ก่อนตัดสินใจ

                      ข้อแรก เรากำลังเป็นหนี้เพราะความจำเป็น (Need) หรือความต้องการ (Want)

                      ข้อสอง เราจะมีเงินเพียงพอผ่อนชำระหนี้ไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่

                      ข้อสาม ยอดเงินผ่อนหนี้จะมีผลกระทบต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเราหรือไม่ ข้อสี่ ดอกเบี้ยต่องวดและดอกเบี้ยทั้งหมดที่ต้องจ่ายคุ้มค่ากับการเป็นหนี้หรือไม่

                       ข้อห้า ถ้าไม่เป็นหนี้วันนี้ เดือนหน้าเราจะเดือดร้อนหรือไม่

                       ข้อหก มีทางเลือกที่ดีกว่านี้จากเจ้าหนี้รายอื่นหรือหนี้ประเภทอื่นหรือไม่

                       และข้อเจ็ด มีทางเลือกอื่นๆ นอกจากการเป็นหนี้ใช่หรือไม่

                       ตอบคำถามทั้ง 7 ข้อ แล้วพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็คงจะพอได้คำตอบว่า เรากำลังก่อหนี้โดยไม่จำเป็นใช่หรือไม่

                       ที่สำคัญต้องมีสติและพึงระลึกอยู่เสมอว่า โทรศัพท์จากพนักงานแบงก์ที่โทรมาเสนอสินเชื่อหรือแม้แต่เอกสารที่แบงก์หรือสถาบันการเงินที่ไม่ใช่แบงก์ส่งมานั้น ไม่ใช่เสนอเงินสดพร้อมใช้ให้ฟรีๆ แต่ทุกอย่างมาพร้อมกับดอกเบี้ย และเป็นดอกเบี้ยที่อัตราของสินเชื่อบุคคลที่จะสูงกว่าดอกเบี้ยปกติ ยิ่งเมื่อตกลงใจเป็นหนี้แล้ว เกิดมีปัญหาผ่อนชำระล่าช้าหรือผ่อนชำระไม่ได้ อัตราเร่งของดอกเบี้ยก็จะเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว

                       ท่องไว้ให้ขึ้นใจว่า "ถ้าไม่จำเป็น ก็อย่ากู้" เพราะที่น่าตกใจก็คือ มีคนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่มีความจำเป็นต้องเป็นหนี้ แต่รู้สึกว่า การมีเงินก้อนในบัญชีสามารถเพิ่มอำนาจให้ตัวเองได้ ไม่ว่าจะเผื่อฉุกเฉิน หรือว่าเผื่อไว้ตอบสนองความต้องการของตัวเอง

                       "เงินก้อนในบัญชี" ที่มาจากเงินกู้ มาพร้อมกับดอกเบี้ยที่เราต้องจ่าย ขณะที่ "เงินก้อนในบัญชี" ที่มาจากเงินออม จะมาพร้อมกับดอกเบี้ยที่เราได้รับ เงินกู้จะลดทอนจำนวนเงินก้อนนั้น เพราะส่วนหนึ่งถูกดึงออกไปเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ ส่วนเงินออมจะเพิ่มจำนวนเงิน จากดอกเบี้ยเงินฝาก

                       ถ้าอยากเพิ่มอำนาจให้ตัวเองด้วยการมี "เงินก้อน" ก็ควรเลือกวิธีเก็บออม ไม่ใช่ใช้ทางลัดด้วยการกู้มาเก็บไว้ เพราะผลลัพธ์มันคนละเรื่องกัน

                      ปัญหาคือ ทำยังไงก็เริ่มต้น "ออม" ไม่ได้เสียที ก็ต้องย้อนกลับไปที่เดิมคือ ต้องทำให้รายรับมากกว่ารายจ่าย และวิธีที่ดีที่สุด ก็คือ การบันทึกรายรับรายจ่าย ขออนุญาตยกข้อแนะนำเรื่อง  "5 เหตุผลที่ควรบันทึกรายรับรายจ่าย" มาปิดท้าย

                        เหตุผลข้อที่ 1.ถ้าคุณต้องการเป็นเศรษฐี เพราะ "เงิน" เป็นปัจจัยสำคัญในการเป็นเศรษฐี การบันทึกรายรับรายจ่ายก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณจัดการกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ได้อย่างจริงจัง

                        2.ถ้าคุณต้องการรู้จักตัวเองมากขึ้น การ "บันทึกรายรับรายจ่าย" คือแหล่งข้อมูลที่ดีที่จะบอกเล่าถึงกิจกรรมที่คุณทำ พฤติกรรมที่คุณเป็น และการเปลี่ยนแหลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งคุณอาจจะอึ้งเมื่อได้รู้นิสัยของคุณเอง

                        3. ถ้าคุณต้องการตัวช่วยในการสร้างนิสัยทางการเงินที่ดี การ "บันทึกรายรับรายจ่าย" เป็นเครื่องมือง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมายในชีวิตได้ชัดเจนขึ้น และช่วยสร้างวินัยทางการเงินที่ดีให้คุณ

                        4. ถ้าคุณไม่รู้วิธีจัดการเงิน การ "บันทึกรายรับรายจ่าย" จะช่วยให้คุณเห็นภาพชัดเจนเกี่ยวกับการใช้จ่าย และความสามารถในการหาเงิน ซึ่งจะช่วยให้คุณจัดการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

                        และ 5. ถ้าคุณต้องการมีความสุขทุกวัน เพราะ "กิจกรรมต่างๆ" ในชีวิตเราล้วนเกี่ยวข้องกับเงินแทบทั้งนั้น "บันทึกรายรับรายจ่าย" จะช่วยให้คุณรู้ที่มาและที่ไปของเงิน จากกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน ซึ่งคุณสามารถจัดการกับเงินๆ ทองๆ ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความสุขจากอิสรภาพทางการเงินก็จะเกิดขึ้น

                        ไม่มีอะไรยากเย็น เพราะถ้าคนอื่นทำได้ เราก็ทำได้ !


http://www.komchadluek.net/detail/20121007/141665/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E2%80%A6%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89.html#.UHDmoFHiHx8

.

sithiphong:
หากจะทำประกันชีวิต ต้องศึกษาข้อมูลทุกๆด้านให้ละเอียด ก่อนทำประกันชีวิตครับ

ต้องศึกษาทุกๆบริษัท  ต้องศึกษาเงื่อนไขต่างๆให้ดี

ให้เก็บเอกสารที่ตัวแทนนำมาอธิบายให้ท่านฟัง  โดยให้ตัวแทนเซ็นชื่อรับรอง(และให้ลงชื่อและนามสกุลด้วย)

ที่สำคัญ  ต้องสังเกตุคำอธิบายว่า  "อยู่ในเงื่อนไขของบริษัท" หรือทำนองนี้  นั่นจะเป็นสิ่งที่บริษัทประกันจะใช้แง่ของเงื่อนไขในกรมธรรม์หรือเงื่อนไขของบริษัท  มาปฎิเสธการจ่ายเงินค่าสินไหมได้



.

sithiphong:
ทฤษฎีกบต้ม (The Boiled Frog Theory)
-http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123057-
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    
8 ตุลาคม 2555 08:18 น.

คอลัมน์ มนุษย์หุ้น 2.0
       โดยชัยภัทร เนื่องคำมา
       www.cway-investment.com
       
       เคยได้ยินคำกล่าวของนักลงทุนรุ่นแรกที่ว่า "ถ้าจะเอาตัวรอดจากตลาดหุ้นได้นั้น จำเป็นต้องใช้สัญชาติญาณ" เพราะสัญชาติญาณ เป็นตัวที่บอกเราว่าเมื่อไหร่ไม่น่าวางใจ เมื่อไหร่ที่อันตรายหรือ เมื่อไหร่ที่โอกาสดี แต่ทว่าสัญชาติญาณนั้นไม่ได้เกิดจากการเสียเงินไปอบรม หรือสามารถซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วก็จะมี แต่สัญชาติญาณเกิดจากการการสั่งสมชั่วโมงบิน หรือสะสมประสบการณ์ในตลาดหุ้น การเรียนรู้แบบลองผิดลองถูกตรงด้วยตนเอง
       
       การจะวัดว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง นั้นไม่ได้ดูที่การพูด ดูที่การนำเสนอตัวเอง ของคนนั้น จริงๆแล้วต้องดูที่ประสบการณ์ ชั่วโมงบิน ซึ่งความรู้และประสบการณ์มันจะตกผลึก ออกมาเป็นวิธีคิดและทัศนคติ มันจะฉายแสงความโดดเด่นหรือความสามารถของตัวตนออกมา เป็นไปไม่ได้เลยที่คนเพิ่งหัดเล่นหุ้นได้ 1 ปีจะเก่งกว่าคนที่เล่นหุ้นทุกวัน 10 ปี ต่อให้ไอคิว 180 จะเป็น อัจริยะ จบดร. จบเมืองนอกหรืออะไรก็ตาม การเอาตัวรอดของมือใหม่ที่เพิ่งเขามาในสนามนี้ยังไงก็ยังไม่ครบถ้วนถึงขนาด ที่สำคัญยังถูกหลอก ถูกชักจูงด้วยกลวิธี 108 ต่างๆนานาในตลาดหุ้น
       
       ทฤษฏีหนึ่งที่ทำให้แมงเม่า โดยเฉพาะมือใหม่ขาดทุนมากๆนั้นคือ ทฤษฏีกบต้ม รูปแบบการทำให้ดูเหมือนจะช่วยเหลือ แต่เอาเปรียบ ดูเหมือนกำไร แต่จริงขาดทุน ดูเหมือนจะชนะแต่จริงๆแพ้ โดยใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงให้ถึงจุดนั้นๆช้าๆ ดังเช่นการต้มกบ มีนักวิทยาศาสตร์ทดลอง นำกบใส่ในหม้อน้ำร้อนเดือดๆ ปรากฏว่า กบตัวนั้นไม่เป็นอะไรเพราะเมื่อมันรู้สึกร้อน มันก็กระโดดออกจากหม้อ ต่างจากอีกตัวหนึ่งที่ถูกนำไปใส่ในหม้อน้ำเย็น จากนั้นๆค่อยๆเร่งไฟให้แรงเรื่อยๆช้าๆ กบชินกับอุณหภูมิน้ำก็ตายใจ จนเมื่อน้ำเริ่มเดือด ปรากฏว่ากบตัวนั้น สุกตายคาหมอ เพราะไม่สามารถหนีได้ทัน
       
       ทฤษฏีนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องในตลาดหุ้น ตั้งแต่การดู ดัชนีตลาด จนถึงการดูหุ้นรายตัว ทุกอย่างมันจะค่อยๆเปลี่ยนแปลง เรื่อยๆจนถึงสถานะหนึ่งการเปลี่ยนแปลงจะรุนแรงและชัดเจนจนยากที่จะเอาตัวรอด แต่ถ้าเราเป็นคนสังเกต ช่างสังเกต มันย่อมมีโอกาสที่จะมองเห็น สิ่งที่ต้องระวังคือ "จิตใจ" เพราะพื้นฐานของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นล้วนมีความโลภและอยากได้กำไรเป็นพื้นฐาน สัญญาณเตือนการขาดทุน หรือสัญญาณในแง่ร้าย ที่ไม่ชัดเจน มักจะถูกปฏิเสธจากจิตใจของเรา ด้วยการสร้างเหตุผลดีๆ ข่าวบวกๆเข้ามา ต่อต้าน จนสุดท้ายก็จบลงที่หายนะ
       
       ตัวอย่างนี้มีให้ชัด เช่นคุณนวย ซื้อหุ้น MDZZZ ตามสัญญาณซื้อเทคนิค ทะยอยขายไปครึ่งหนึ่งเมื่อกำไร แต่แล้วก็มีข่าวเชียร์ พื้นฐานดี งบไตรมาส4แจ่ม ราคาวิ่งแรงสองวัน 15% คุณนวยตัดสินใจเข้าอีกรอบจัดเต็มอีกไม้ ปรากฏว่าราคาเริ่มนิ่ง สลับบวก สามวันต่อมาราคาเริ่มไหลลงช้าๆสลับเด้ง จนคุณนวยขาดทุน สัญญาณขายทางเทคนิค เริ่มมา ด้วยความคิดที่ว่า ราคาเป้าหมายยังสูง พื้นฐานไม่เปลี่ยน เดี่ยวก็เด้ง สุดท้ายคุณนวยติดดอย ขาดทุนไป 30% เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย เป็นรูปแบบที่พบกันจนเคยชินทั้งหุ้นเล็ก หุ้นกลาง หุ้นใหญ่ไปจนถึงหุ้น IPO
       
       ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะต้องเจอ คนที่เข้าใจและปรับตัวได้ เรียนจากความผิดพลาด ยึดมั่นในระบบ ไม่เอาอารมณ์มาใช้ในการซื้อขาย คุณก็จะอยู่รอด ส่วนคนที่ยังไม่ตระหนัก ไม่ยอมแก้ไขก็จะขาดทุน แพ้และตายจากไป การอยู่ในตลาดหุ้นก็เหมือนอยู่ในสนามรบ เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา หูตาต้องไว สมองต้องคิด อย่าประมาท อย่าตื่นตระหนก ที่สำคัญอย่าคิดแต่จะเอากำไร ควรรักษาตัวให้อยู่รอดยืนนาน จะดีที่สุดครับ

http://www.manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123057
.

sithiphong:
.
รู้เท่าทัน กลโกงเงิน
-http://www.bot.or.th/Thai/FinancialLiteracy/money_trick/Pages/moneytrick.aspx-



การหลอกลวงผ่านทางโทรศัพท์
มิจฉาชีพจะใช้โทรศัพท์ หรือบริการเสียงผ่านอินเตอร์เน็ต (Voice over international protocol หรือ VolP) แอบอ้างเป็น
เจ้า หน้าที่สถาบันการเงิน หรือเจ้าพนักงานในหน่วยงานของรัฐ ฯลฯ เพื่อหลอกลวงเราให้เกิดความตกใจและกลัว แล้วจึงเสนอความช่วยเหลือโดยให้เราไปทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็ม ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของกลุ่มมิจฉาชีพ เมื่อเราโอนเงินเสร็จ พวกเขาก็จะถอนเงินออกจากบัญชีนั้นทันที วิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากในกลุ่มมิจฉาชีพจากต่างประเทศ
มิจฉาชีพทำให้เราตกใจ และกลัวได้อย่างไร
> อ้างว่า บัญชีของเราถูกนำไปใช้กับขบวนการค้ายาเสพติด และจะถูกอายัดโดยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
(ปปง.) จึงขอให้เราไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็มเพื่อยืนยันตัวตนและปลดรายการอายัด หรืออาจให้เราโอนเงินไปยังหน่วยงานของรัฐ
อาทิ ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ให้โอนเงินไปยังบุคคลที่มีการอ้างถึงว่าเป็นผู้มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่น่าเชื่อถือ เช่น
นายตำรวจ เจ้าหน้าที่ธนาคาร เป็นต้น

> อ้างว่า โทรมาจากศูนย์กลางการอายัดบัตร หรือฝ่ายตรวจสอบจากแบงก์ชาติ โดยบอกเราว่าบัตรเครดิตหรือบัญชีของเรา
ถูกอายัด และขอให้เรายืนยันเลขที่บัญชี เลขที่บัตรเครดิตและรหัสเพื่อปลดอายัดบัตร หรือบัญชีของเรา

> อ้างว่า ข้อมูลของเราได้สูญหายไปกับน้ำท่วม จึงขอให้เราแจ้งรายละเอียดบัญชี ข้อมูลส่วนตัว แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้
เบิกถอนเงิน

> แจ้ง หรือ ข่มขู่เราว่า เรามีหนี้บัตรเครดิต ค่าโทรศัพท์ หรือบริการอื่นๆ ที่ต้องชำระทันที ไม่เช่นนั้น จะถูก
ดำเนินการตามกฎหมาย

> หลอกเอาผลตอบแทนสูงมาล่อ โดยการชักชวนเราไปลงทุนหรือเก็งกำไรในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงในการลงทุน เราจึงอาจถูกหลอกได้
ป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงทางโทรศัพท์กันเถอะ
> หากมีคนโทรศัพท์มาแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานของรัฐ หรือสถาบันการเงิน ให้สงสัยไว้ก่อนว่าเป็นผู้ไม่หวังดี
เพราะสถาบันการเงิน และหน่วยงานของรัฐ ไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนตัวและไม่มีนโยบายแจ้งให้ลูกค้าหรือประชาชน
โอนเงินผ่านทางโทรศัพท์ให้กับสถาบันการเงิน หรือหน่วยงานของรัฐ

>เมื่อได้รับโทรศัพท์จากคนไม่รู้จัก หรือไม่คุ้นเคย ไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัว อย่าตกใจและหลงเชื่อไปทำรายการที่เครื่องเอทีเอ็ม

> อย่าโทรกลับเบอร์ที่ได้รับการแจ้ง แต่ควรเช็คเบอร์หน่วยงานที่ถูกอ้างถึงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ของหน่วยงานนั้น
หรือ ติดต่อ 1133 เพื่อสอบถามเบอร์โทรของหน่วยงานที่ถูกอ้างถึง

> อย่าหวังผลกำไรจากการลงทุน หรือเก็งกำไรในธุรกิจใด ๆ ที่สูงเกินจริง เพราะอาจตกเป็นเหยื่อของธุรกิจค้าเงินเถื่อนได้
แก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงทางโทรศัพท์มีวิธีเลือกเหยื่ออย่างไร
> ใช้วิธีสุ่มโทรศัพท์เข้าเบอร์มือถือที่ขึ้นต้นด้วย 08....09.....โดยวิธีการโทร.สุ่มตัวอย่างไปเรื่อยๆ เช่น 0818200000,
0818200001...เนื่องจากเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้งานมานาน และไม่ใช่หมายเลขที่ใช้งานชั่วคราว

> มักจะหลอกลวงว่าได้มีการอายัดบัญชีเงินฝากหรือบัตรเครดิตของเหยื่อ ที่มีอยู่กับธนาคารขนาดใหญ่ เช่น ธนาคารกรุงเทพ
ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกร ฯลฯ เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ใช้บริการกับธนาคารขนาดใหญ่

...หากไม่แน่ใจ ควรติดต่อหรือโทรศัพท์สอบถามไปยังสถาบันการเงินหรือหน่วยงานที่ถูกแอบอ้างจะดีกว่า...
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมิได้นิ่งนอนใจ มีการปราบปรามแก๊งมิจฉาชีพอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้จับกุมผู้ร่วมขบวนการมิจฉาชีพแก๊ง call center เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา


.


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version