ประชาสัมพันธ์ > การเตือนภัยสังคมและกลุ่มมิจฉาชีพต่างๆ

ระวังถูกหลอกและเรื่องเกี่ยวกับเงินๆ ทองๆ ของใกล้ตัว

<< < (18/38) > >>

sithiphong:
เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-

ถามผู้รู้...แต่เรื่องยาวหน่อยนะครับ

ผมชื่อวรเทพครับ...เนื่องจากผมได้ดำเนินการกู้สินเชื่อสำหรับซื้อบ้านของโครงการบ้านจามจุรี พาร์ค ตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 ที่ผ่านมา และตลอดระยะเวลาในการประสานงานกับทางธนาคารกรุงไทย ผมได้รับการติดต่อจากพนักงานชื่อ คุณตู่ ทางโทรศัพท์มาโดยตลอด และหลังจากสรุปการอนุมัติสินเชื่อแล้ว ทางคุณตู่ ได้เชิญให้ผมเข้าไปเซ็นสัญญา ที่ธนาคากรุงไทย สาขาสะพานกรุงธน ในวันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม 2556 ในช่วงบ่าย ซึ่งในวันเวลาดังกล่าว ผมได้เข้าไปตามเวลานัด แต่เนื่องจากเอกสารประกอบการอนุมัติสินเชื่อ ส่วนที่เป็นการทำประกันชีวิต ไม่ตรงตามที่ได้คุยกันแต่แรก แต่พนักงานท่านอื่น ไม่สามารถชี้แจงได้ เพราะคุณตู่ ไม่อยู่สาขา แต่ได้ไปออกงาน Money Expo ที่เมืองทองธานี ทั้งนี้พนักงานที่สาขาได้ต่อสายโทรศัพท์คุยกับคุณตู่ แต่คุณตู่ก็โอนสายให้กับพนักงานอีกคน ซึ่งเป็นคนอธิบายเรื่องกรมธรรม์ ซึ่งผมเห็นว่ายังอธิบายได้ไม่ชัดเจน ผมเลยไม่ได้ทำการเซ็นสัญญากู้สินเชื่อในวันและเวลาดังกล่าว ทางคุณตู่จึงได้นัดเข้าไปสาขาอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม 2556 เวลา 13.00 น.

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.55 น. ผมได้เดินทางไปยังธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน พร้อมกับลูกน้องที่ทำงาน (ต้องไปพร้อมกันเพราะนัดลูกค้าต่อตอนบ่าย 2) ได้พบกับคุณตู่ เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เป็นครั้งแรก และได้สอบถามเรื่องการกู้สินเชื่อซื้อบ้าน และถามอย่างตรงไปตรงมาว่า ในกรณีการกู้ของผม ผมจะไม่ทำประกันชีวิตได้หรือไม่ ระหว่างที่คุยกับคุณตู่นั้น ได้มีผู้หญิงคนหนึ่ง เดินเข้ามายืนอยู่ข้างเก้าอี้นั่งของคุณตู่ โดยได้แนะนำตัวว่า ชื่อภา เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับประกันชีวิต กรุงไทย-แอกซ่า เข้ามาอธิบายเรื่องการทำประกันชีวิต และรายละเอียดต่างๆ ซึ่งผมก็ยังยืนยันว่าผมจะไม่ทำ และสอบถามไปยังคุณตู่ว่า ผมจะไม่ทำประกันชีวิต จะกู้ได้หรือไม่ ถ้าไม่อนุมัติก็ให้ทางคุณตู่โทรไปบอกยังโครงการบ้านให้ด้วย

ระหว่างที่ผมคุยกับคุณตู่เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยนั้น คุณภา ก็ไม่ได้หยุดพูด พยายามพูดแทรก ยั่วยุตลอดเวลา ซึ่งผมได้พยายามบอกให้คุณภา หยุดพูด เพราะผมไม่อยากฟัง และได้เชิญไปยังโต๊ะอื่น , คุณภา เดินไปจริง ประมาณ 30 วินาที แล้วก็เดินกลับมาหาเรื่องใหม่ ด้วยคำพูดยั่วยุอีกอย่างเดิม เช่น
-    อ๋อ..ขอโทษนะคะ ดิฉันเป็นท็อปเซลล์
-    ไม่เป็นไร พี่ขอเคลียร์กับผู้จัดการเองเคสนี้ พี่มีอำนาจสามารถเซ็นท์ได้
-    ไม่คิดถึงคนข้างหลังอยู่เลยเวลาจากไปใช่ใหมคะ??
-    คงไม่คิดถึงคนข้างหลังอยู่แล้วละสิ ก็คงไม่คิดจะแต่งงาน มีลูก มีผัว อยู่แล้วละลิ?? (ผมเป็นผู้ชายครับ)
-    ถ้าคุณตาย คุณจะได้เงิน 2 ล้าน เพื่อจะไม่ต้องมีภาระให้ใครไง??

ที่สำคัญ มีบางช่วงที่คุณตู่ ต้องไปโทรศัพท์ โดยลุกออกไปจากโต๊ะ คุณภาได้เข้ามานั่งยังเก้าอี้คุณตู่ และบางทีใช้เม้าท์ คลิกหน้าจอ ผมไม่เห็นหรอกว่าหน้าจอขึ้นข้อมูลอะไรไว้บ้าง เนื่องจากจอคอมหันหลังให้ผม อีกทั้งโต๊ะของคุณตู่ เต็มไปด้วยเอกสารต่างๆ มากมาย

ตลอดระยะเวลาประมาณ 30 นาที คุณภา ไม่หยุดพูดยั่วยุเลย  ผมเลยบอกคุณภา ว่า “ผมเป็นเซลล์มา 12 ปี ปัจจุบันผมเป็นผู้จัดการฝ่ายขาย ผมไม่เคยเห็นประกันคนไหนมาขายประกันแล้วบอกผมว่า ถ้าผมตาย ผมจะได้เงิน 2 ล้าน”
ทางคุณภา ตอบว่า “ก็มันเป็นเรื่องจริง ใครๆ เขาก็พูดกันเป็นธรรมดา”
ผมเลยตอบไปว่า “งั้นผมยกตัวอย่าง ถ้ามีคนมาขายประกันให้คุณ มาขายให้แม่คุณ แล้วบอกว่า ถ้าแม่คุณตาย คุณจะได้เงิน 2 ล้าน คุณเอาไหม??”
คุณภา ยืนกดโทรศัพท์มือถือ แล้วโยนใส่ด้านหน้าที่ผมนั่ง กระเด็นผ่านโต๊ะ แล้วตกไปกับพื้น ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณภา ได้โยนโทรศัพท์มือถือ แบบนี้มาแล้วหลายครั้งต่อหน้าผม เพียงแต่ครั้งนี้มันกระเด็นเฉียดตัวผมไปหล่นกับพื้น

หลังจากนั้นคุณภา ได้โทรศัพท์ไปแจ้งความ โดยแจ้งต่อหน้าผมว่า “เป็นผู้ชาย ลักษณะเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด ทำการหมิ่นประมาท....” และก็เดินไปคุยด้านหลัง

ระหว่างนั้นผมได้ยินคุณภาแจ้งกับใครสักคนทางโทรศัพท์ ว่า “ผมก้าวร้าว” ตลอดเวลา
   
เวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที หลังจากที่คุณตู่ ได้ยืนยันแล้วว่าสินเชื่อไม่ผ่านหากไม่ทำประกันชีวิต จึงได้คืนเอกสารให้ผม ผมก็ได้ล่ำลา และลุกเดินจะออกจากสาขา ทางคุณภา มาเดินขวางแล้วแจ้งว่า ให้รอตำรวจก่อน เพราะได้ดำเนินการแจ้งความไว้แล้ว ผมก็รอจนตำรวจมา กลายเป็นว่า ผมถูกตำรวจควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากสาขา และให้เข้าไปคุยกันในห้องผู้จัดการสาขา

ในห้องผู้จัดการสาขา มีตำรวจ 2 นาย, คุณตู่, เจ้าหน้าที่สาขาผู้หญิงสูงวัย, คุณภา, ผม และลูกน้อง รวมทั้งหมด 7 คน ซึ่งระหว่างการสนทนาทั้งหมด ผมได้ทำการบันทึกเสียงไว้ในโทรศัพท์มือถือ ความยาวประมาณ 13 นาที

ได้รับการบอกกล่าวจากทางตำรวจว่า คุณภา แจ้งกับตำรวจว่า "มีการหมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย" ตำรวจเลยรีบมา และทางผมได้ชี้แจงกับตำรวจ เช่นเดียวกับเนื้อหาด้านบน และไม่ได้เกิดการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้นแต่อย่างใด

สุดท้ายตำรวจแจ้งให้ในห้องว่า กรณีนี้ไม่เข้าข่ายใดๆ ที่จะฟ้องร้องเรื่องหมิ่นประมาทได้ ซึ่งทางคุณภา และผมก็เข้าใจตรงกัน ก็ทำการขอโทษกันไป  ผมถึงได้ออกจากสาขา เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น อยู่ในคลิปเสียงที่ผมอัดไว้ เป็นการชื้แจงและรับทราบต่อหน้าตำรวจ

สิ่งที่ผมอยากทราบที่สุดเลยคือ

1.    คุณภา เจ้าหน้าที่กรุงไทย-แอกซ่า เป็นพนักงานธนาคารกรุงไทยสาขาสี่แยกสะพานกรุงธนหรือไม่? ทำไมถึงมีอำนาจมากมาย คุยกับผู้จัดการสาขาได้ว่าจะอนุมัติเคสใครให้ทำประกันก็ได้ ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่(คุณตู่) ทำไม่ได้ เพราะผมไม่เห็นว่าเขาจะแต่งกายชุดพนักงานของธนาคารเลย และเป็นคนเดียวในสาขาด้วย ผมถามเขา เขาตอบว่าเขาเป็นพนักงานเอ้าซอร์ท สามารถเดินไปที่ไหนก็ได้ในธนาคาร
2.    คุณภามีอำนาจมากมายขนาดที่สามารถนั่งโต๊ะคุณตู่ หรืออยู่หน้าคอมคุณตู่ ได้เลยหรือ ทั้งข้อมูลในคอมหรือเอกสารที่อยู่บนโต๊ะต่างๆ เท่าที่ผมทราบ ควรจะเป็นความลับของเจ้าหน้าที่แต่ละคนหรือไม่ ผมถามคุณภา ว่าเอกสารการกู้สินเชื่อของผมเป็นความลับไม่ใช่หรือ ทางคุณภายืนยันว่ามีสิทธิ์ดูได้เพราะเกี่ยวกับประกันที่เธอดูแล อยากทราบเหมือนกันว่า ที่อยู่หน้าคอมและเอกสารบนโต๊ะนั้น เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับประกันภัยทั้งหมดเลยหรือไม่
3.    สมควรหรือไม่ ที่ให้ตำรวจมาควบคุมตัวผมไม่ให้ออกจากสาขา แล้วแจ้งความว่า “หมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย” ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ผมไม่ได้ก้าวร้าว ไม่คำหยาบออกมาจากปากผมสักคำ และ ผมเชื่อว่ากล้องวงจรปิดที่สาขา สามารถบันทึกภาพไว้ได้ทั้งหมด  ระหว่างที่ผมนั่งคุยที่โต๊ะคุณตู่ ผมไม่ได้ลุกจากที่นั่งด้วยซ้ำ คุณภาต่างหาก ทั้งเดิน ทั้งนั่ง โยนใส่โทรศัพท์ใส่หน้าผม แล้วถ้าลองเปลี่ยนจากโทรศัพท์เป็นของมีคมละ? หรือถ้าโทรศัพท์มันระเบิดขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบผม เพราะโทรศัพท์ไอโฟน ก็เคยมีกรณีระเบิดมาแล้ว
4.    หากคุณภาเป็นพนักงานบริษัทกรุงไทยจริง อยากทราบว่า ธนาคารกรุงไทย ให้พนักงานทำกับลูกค้าของคุณแบบนี้หรือ?? ทั้งให้พนักงานมาทะเลาะกับลูกค้า, ให้พนักงานพูดจาเหยียดหยามเรื่องเพศ และให้ตำรวจมาควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากสาขา ต่อหน้าลูกน้องผม, ต่อหน้าพนักงานธนาคารและต่อหน้าลูกค้าธนาคาร ที่มาใช้บริการขณะนั้น มันถูกต้องแล้วหรือ??
5. การที่ใครสักคนจะเป็นเพศอื่นๆ ที่ไม่ใช่เพศชาย หรือเพศหญิง จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากพนักงานธนาคารกรุงไทยหรือ?? ยุคสมัยของการดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ สีผิว และเพศ มันน่าจะผ่านไปนานแล้ว
6.    เคยเกิดกรณีพนักงานโรงหนังแห่งหนึ่ง ตะคอกเถียงลูกค้าที่มาใช้บริการ สุดท้ายก็ต้องออกจากงานนั้นไป ถามว่าทางมาตรฐานและบรรทัดฐานของกรุงไทย จะจัดการเช่นไรกับกรณีนี้
7. ถ้ากู้ซื้อบ้าน และไม่ทำประกันได้หรือไม่ (อันนี้ไม่อยากได้คำตอบแล้ว)

ผมได้ทำการร้องเรียนผู้เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่ก็ไม่คาดหวังว่าจะได้รับคำตอบอะไร เต็มที่ก็คงจะทำการขอโทษ ซึ่งการขอโทษมันก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะนอกจากความรู้สีกที่เสียไปแล้ว ยังมีอื่นๆ ที่เสียตามมาอีก
- บ้านผมก็กู้ไม่ผ่าน
- ชื่อผมก็ต้องอยุ่ในบันทึกของตำรวจ
- ลูกน้อง การปกครองต่อไปจะเป็นอย่างไร
- เจ้าหน้าที่ธนาคารท่านอื่น ก็คงไม่อยากบริการลูกค้าเช่นผม
- ลูกค้าธนาคารช่วงเวลานั้น ตีหน้าผมไปแล้วว่า...
- ความกลัวที่จะเข้าไปใช้บริการกรุงไทย ผมไม่รู้ว่าหากพูดผิดหูเจ้าหน้าที่ธนาคารหรือไม่ จะถูกแจ้งความว่า "หมิ่นประมาท ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย" อีก
- ภาพในกล้องวงจรปิด "ผมถูกตำรวจควบคุมตัว ไม่ให้ออกจากธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน"

เลยมาแชร์ และถามผู้รู้ครับ

 สมาชิกหมายเลข 839416
14 พฤษภาคม เวลา 13:27 น.  [IP: 125.25.37.119]


เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-

ความคิดเห็นที่ 77
มาตอบและขอบคุณพันทิพ ครับ

ได้รับการติดต่อจากผู้จัดการสาขาแล้วครับ ได้รับการขอโทษจากผู้จัดการ ในนามของธนาคาร ผู้จัดการแจ้งว่า เพิ่งได้ทราบเรื่อง จากสำนักงานใหญ่ จากเรื่องราวที่ผมโพสในพันทิพ และผู้จัดการสาขาจะเข้ามาพบที่ออฟฟิสผม ในวันพุธที่ 15 พ.ค. บ่าย 2

เห็นแจ้งว่าขอเข้าพบเพื่อชี้แจง และจะดูให้ว่าพอจะช่วยเหลือเคสนี้อย่างไรบ้าง

ผมได้แจ้งวันเวลาเข้าพบอีกครั้ง และรบกวนให้ทางผู้จัดการนำไฟล์ของกล้องวงจรปิดมาให้ด้วยจะได้เข้าใจตรงกัน แต่ผู้จัดการแจ้งว่า กล้องวงจรปิดมีเฉพาะที่เค้าเตอร์กับประตูทางเข้า บริเวณที่คุณตู่นั่งไม่มี เฮ้อ...กลายเป็นสิ่งที่ผมพูด ไม่มีน้ำหนักขึ้นมาทันที มีแต่พยานบุคคลคือลูกน้องผม กับเจ้าหน้าที่ธนาคารอีก 2 คน ซึ่ง 2 คนหลังจะเป็นพยานให้หรือไม่

ผ่านพรุ่งนี้ไปได้ จะมาเล่าอีกทีนะครับ

ขอบคุณทุกความเห็นและพันทิพครับ


-------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 250
เจ้าของกระทู้นะครับ มาตอบแล้วแจ้งข่าวและความคืบหน้าครับ

15 พ.ค.56 เวลา 14.30 น.- เจ้าหน้าที่กรุงไทย(คุณตู่), คุณคมสัน จันทร์สืบสาย ผู้จัดการสาขา(คห.163), เจ้าหน้าที่กรุงไทย-แอกซ่า 4 ท่าน และลูกน้องผม(ผู้ร่วมเหตการณ์)

ทางเจ้าหน้าที่ทั้งจากกรุงไทย และกรุงไทยแอกซ่า ได้ทำการขอโทษอย่างเป็นทางการ พร้อมกระเช้าผลไม้จากกรุงไทยแอกซ่า ครับ

จากนั้นผมได้เริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตามเนื้อความที่ตั้งกระทู้ และทางคุณคมสัน ได้เล่าผลทางการสอบสวนเจ้าหน้าที่สาขาก่อนที่จะมา ซึ่งไปในทิศทางเดียวกันกับเหตุที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม, คำพูดยั่วยุ เสียดสี, การโยนโทรศัพท์, การเดินเข้า-ออกระหว่างสนทนา และสุดท้ายคือการแจ้งตำรวจมาควบคุมตัวที่สาขาต่อหน้าพนักงาน และลูกค้าท่านอื่น

กรุงไทย
- ได้ชื้แจงแล้วว่า คุณภา ไม่ใช้พนักงานของธนาคารกรุงไทย แต่เป็นพนักงานของกรุงไทย-แอกซ่า ที่ประจำสาขานี้ และขณะนี้ได้ระงับ ไม่ให้เข้าไปยังสาขาแล้ว
- กล้องวงจรปิด ทางธนาคารได้นำรูปถ่ายภายในสาขา บริเวณที่ผมนั่งทำธุรกรรมอยู่ และเห็นว่าไม่มีกล้องวงจรปิดจริงๆ
- ในส่วนของสินเชื่อซื้อบ้าน ไม่มีเงื่อนไขว่า จะต้องซื้อประกันชีวิตด้วย และชี้แจงว่า กรณีของผม สินเชื่อได้ทำการอนุมัติแล้ว โดยได้ประสานงานกับทางโครงการบ้านจามจุรี พาร์ค ให้ดำเนินตามขั้นตอนต่อ แต่ที่คุณภาทำ คือการยัดเยียดการทำประกันชีวิต ซึ่งทางธนาคารไม่ได้มีนโยบายว่า การไม่ทำประกันชีวิต จะไม่อนุมัติสินเชื่อ

กรุงไทย-แอกซ่า
- ชี้แจงเรื่องไม่มีนโยบายให้ตัวแทนประกัน พูดคำว่า "ตาย" แต่ให้เลี่ยงใช้คำอื่นที่ไกลตัว แต่สื่อความหมายให้เข้าใจ
- ชี้แจงส่วนของพนักงาน (คุณภา) ว่าทางบริษัท ได้ดำเนินการขั้นเด็ดขาดกับพนักงานคนดังกล่าว และไม่ได้เข้าข้างพนักงานแต่อย่างใด รวมถึงไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดต่อสิ่งที่คุณภาทำ
- ชี้แจงเรื่องกรมธรรม์, ขั้นตอนการอธิบาย รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่จะได้รับ(ที่ไม่ได้รับข้อมูลตั้งแต่แรกเริ่ม)

จากการได้พูดคุยกันในวันนี้ เนื้อความไม่ได้เยอะมากมาย แต่เป็นเรื่องการชี้แจงในหัวข้อต่างๆ ข้างต้น เพื่อสร้างความเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ผมคิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบุคคลเพียงคนเดียว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับองค์กร ทั้งจากธนาคารกรุงไทย และกรุงไทย-แอกซ่า และผมเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความแล้ว

สำหรับกรุงไทย-แอกซ่า ตามที่ได้คุยกัน ผมก็เห็นว่า คุณภา ได้ทำเรื่องแย่ๆ เพียงคนเดียว แต่ไม่ได้เกี่ยวกับองค์กร การขออภัยจากทางองค์กร ผมก็ถือว่าน่าจะเพียงพอแล้ว
สำหรับธนาคารกรุงไทย ขอขอบคุณที่แสดงการรับผิดชอบครั้งนี้อย่างจริงใจ

เรื่องระหว่างผม, ธนาคารกรุงไทย และ กรุงไทย-แอกซ่า ก็จบด้วยความเข้าใจอันดีครับ

ป.ล. ก่อนกลับ เราได้ทำการฟังคลิปเสียงที่ผมได้ทำการบันทึกไว้พร้อมกัน และทุกท่านที่ได้ฟังก็ดูสีหน้าตกใจกับเหตุเสียงที่ได้ยินในคลิป ทั้งคำพูดและน้ำเสียงที่ไม่เหมาะสม



ตอบกระทู้- สำหรับหลายท่านที่มีข้อสงสัย ขอตอบดังนี้ครับ
- ผมมาโพสเพื่ออะไร -
     - เพื่อมาแชร์เรื่องราวที่ผมเจอ และมีข้อสงสัยบางอย่างที่ต้องการคำตอบ
     - ผมว่าพนักงานบริการที่บริการเช่นนี้ ควรได้รับบทเรียน

- ทำไมตกลงทำประกันชีวิตแล้วเกิดเปลี่ยนใจ
     - ไม่ได้เปลี่ยนใจครับ เพียงแต่ว่า ตอนแรกแจ้งผมว่าเป็นประกันแบบเงินออม แต่พอมาเห็นกรมธรรม์จริง เป็นประกันแบบเงินออม ปีละ 20,000 บาท เป็นเวลา 26 ปี อันนี้ผมรับได้ แต่มีอีกส่วนที่รับไม่ได้คือ ต้องทำประกันเสริม จ่ายปีละ 10,000 บาท เป็นเวลา 15 ปี ซึ่งไม่เคยมีการแจ้งมาก่อน เลยรู้สึกว่าไม่อยากทำ

- คลิปเสียง ทำไมไม่เอามาลง
     - อัดจากในไอโฟนครับ พยายามจะเอาลงแล้ว แต่ทำไม่เป็น แต่หลังจากได้ทำการพูดคุยกันทุกฝ่าย ทางธนาคารกรุงไทย และกรุงไทย-แอกซ่า ก็ขอให้ผมส่งเป็นไฟล์เพื่อไปพิจารณา ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว (โพสไม่เป็นจริงๆ พยายามแนบไฟล์แล้ว มันเด้งกลับตลอดเลยครับ)

- ทำไมต้องอดทน ตอนที่ถูกยั่วยุ หรือโยนโทรศัพท์ใส่ ใจเย็นอยู่ได้อย่างไร
     - เพราะขณะนั้นผมก็ตกใจเหมือนกัน (กำลังอึ้ง) ทำอะไรไม่ถูก
     - ผมไม่ได้ใจเย็นนะครับ ก็มีเถียงไปตลอดเหมือนกัน การที่ผมจะลุกยืน ชี้หน้าด่า หรือทำร้ายร่างกายคุณภา ซึ่งเป็นผู้หญิงมันก็คงไม่ถูกต้อง ถ้าทำไป เรื่องนี้จะออกมาอีกแบบเลย มีบางคห. บอกว่า "มวยถูกคู่" อันนี้ยอมรับครับ
     - คนเข้าไปกู้เงินธนาคาร ปกติเราก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่แล้ว การจะตั้งหน้าเพื่อจะไปหาเรื่องคงไม่ใช่

- ทำไมต้องรอจนตำรวจมา
     - ไม่ได้รอจนตำรวจมาครับ แต่ว่าจะออกจากสาขาแล้ว คุณภาเข้ามาขวาง ไม่ให้ออกจากสาขา เพียงไม่ถึง 10 วินาที (10 วินาทีจริงๆ เพราะเร็วมาก) ตำรวจก็มาถึงสาขา

- ทำไมไม่แจ้งความกลับ
     - ขณะนั้นผมก็คิดไรไม่ออกครับ ยิ่งอยู่ใกล้ตำรวจด้วยแล้ว คิดอะไรไม่ออกเข้าไปใหญ่
     - ผมมีนัดลูกค้า ไว้ตอนบ่าย 2 เลยต้องรีบไป

เรื่องนี้ต้องให้เครดิตกับตำรวจด้วยครับ เพราะนอกจากจะมาระงับเหตุแล้ว ยังได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น

- ชื่อวรเทพ ครับ ไม่ได้เป็นคนเดียวกับ gsg99 ครับ

สุดท้ายนี้ ผมก็ขอบคุณทุกความคิดเห็น และเสนอแนะจากทุกๆ ท่านครับ ผมแค่อยากมาแชร์ประสบการณ์กับสิ่งที่ได้เจอครับ

sithiphong:
เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-

ความคิดเห็นที่ 163
ผม นายคมสัน จันทร์สืบสาย ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน ขอแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และต้องขอโทษแทนธนาคารกรุงไทย และบริษัทในเครือของธนาคาร  ที่เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้นในสาขาที่กระผมรับผิดชอบ  ซึ่งกระผมได้สอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น และได้โทรศัพท์นัดหมายกับคุณวรเทพ เพื่อจะได้ร่วมกันแก้ไขในเรื่องที่เกิดขึ้น   เรียบร้อยแล้ว
      กระผมขอยืนยันและให้ความเชื่อมั่นกับคุณวรเทพว่า  ถึงแม้จะไม่มีกล้องวงจรปิดในบริเวณนั้น ผมรับรองว่าเรื่องนี้จะได้รับการตรวจสอบอย่างโปร่งใส และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
                                              ขอขอบคุณสำหรับทุกความเห็น และต้องขอโทษในเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง


ความคิดเห็นที่ 21
สวัสดีค่ะคุณลูกค้า
ธนาคารกรุงไทยขออภัยในความไม่สะดวกในการให้บริการค่ะ _/\_  รบกวนขอชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ ทางหลังบ้านเพื่อประสานงานตรวจสอบไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนะคะ


เมื่อผมถูกตำรวจควบคุมตัวไม่ให้ออกจาก ธนาคารกรุงไทย สาขาสี่แยกสะพานกรุงธน
-http://pantip.com/topic/30484962-


ความคิดเห็นที่ 17
อ่า ตอบได้อย่างเดียวว่าคุณภาเป็นพนักงานกรุงไทย แอ็กซ่า ไม่ใช่พนักงานกรุงไทยครับ (แอ็กซ่าเป็นบริษัทที่เกิดจากกรุงไทยกับประกันแอ็กซ่าร่วมกันครับ)

งงมั๊ย ... เหมือนกับ KTC กับ KTB ครับ คนละบริษัทกัน แต่อยู่เครือเดียวกันประมาณนั้น

ส่วนเรื่องอื่นๆ อยากให้ฟ้องกลับฐานแจ้งความเท็จต่อจนท.ตำรวจ
และชี้แจงข้อมูล ข้อเท็จจริงไปที่บริษัทกรุงไทยแอ็กซ่า รวมถึงสำนักงานเขตที่ดูแลธ.กรุงไทย สาขานี้ครับครับ เพื่อไม่ให้เกิดเห็นการณ์แบบนี้อีก

ปล. เรื่องนี้ผมได้ฟังความข้างเดียว  รับทราบแค่ข้อมูลส่วนของ จขกท. ฉะนั้นจึงแนะนำตามที่เห็นในข้อความครับ หากข้อเท็จจริงผิดไปจากนี้ก็รอดูข้อมูลแล้วค่อยว่ากัน


ความคิดเห็นที่ 18
ของผมกู้กรุงไทยเหมือนกัน  แค่โทรไปคอลเซ็นเตอร์ บอกว่าไม่ได้ใบเสร็จมาหลายเดือนแล้ว

แค่เนี้ย  ผจก.สาขาที่เรากู้โดนตัดคะแนนเลยนะครับ  ทั้งๆที่ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรแบบนั้นเลย แค่อยากได้ใบเสร็จไว้ป้องกันตัวเฉยๆ

ถ้ารู้ชื่อจริง นามสกุลจริง  ลองโทรไปคอลเซ็นเตอร์ดูครับ


ความคิดเห็นที่ 19
เขามาอ่านรู้สึกว่าอ่านแล้วรู้สึกโมโหแทนคะ ( ถ้าเป็นตามคุณเล่ามานะคะ ) ลองยื่นเรื่องกับแบงค์อื่นดูคะ จริงๆเรื่องประกันทางแบงค์ไม่สิทธิบังคับเราทำนะ มีในกฎหมายห้ามไว้ด้วยคะ จะมีแต่ประกันประเภทที่ว่าเมื่อเรากู้ผ่านแล้วจะทำก้อคือประมาณว่าถ้าเราเป็นอะไรไปคนข้างหลังไม่ต้องรับภาระหนี้สิ้นที่เราเป็นอยู่ แต่การกระทำของพนักงานที่แสดงออกกับคุณ น่ากลัวที่สุด


ความคิดเห็นที่ 37
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือ "จิตใจ" ของผู้อื่น ผู้นั้นกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ผู็ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวา่งโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ(ข้อแนะนำโปรดหลอกถามให้ได้ว่าทำอย่างงี้เป็นประจำ)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 390 ผู้ใดกระทำการโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือโดยการโฆษณา ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ(ข้อนี้ก็เช่นกัน ทำให้เค้าหลุดปากพูดว่าเค้าทำเป็นประจำ เจ้าหน้าจะได้นำไปประกอบการพิจารณาลงโทษขั้นสูงสุด)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 379

อันนี้ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวไหม

ประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 159 การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ(คือถ้าบอกล้างก็จะเป็นโมฆะถ้าให้การรับรองก็สมบูรณ์) แต่การถูกกลฉ้อฉลต้องถึงขนาดซึ่งถ้าไม่มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้ทำขึ้น



ความคิดเห็นที่ 41
อ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบ ในส่วนคำถามที่คุณอยากทราบ คงต้องให้ทางกรุงไทยมาชี้แจงแล้วล่ะ

แต่ในส่วนที่คุณเสียความรู้สึกนั้น คงต้องเสียความรู้สึกอยู่แล้ว แต่ส่วนอื่นๆ ผมไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน

- ถ้าคุณกู้บ้านไม่ผ่าน คุณก็ไปติดต่อแบงค์อื่นก็ได้ ใช่ว่าจะมีแต่กรุงไทยที่คุณจะขอกู้ได้ เราไม่จำเป็นต้องง้อแบงค์สักหน่อย
- ชื่อคุณไม่น่าจะอยู่ในบันทึกของตำรวจ เพราะคุณไม่ได้ถูกเชิญไปที่โรงพัก อีกทั้งยังมีหลักฐานว่าคุณไม่ได้หมิ่นประมาท (จากเทปที่อัดเสียง) ไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ตำรวจคงไม่ได้ลงบันทึกประจำวันไว้หรอกครับ
- จะปกครองลูกน้องยังไง ก็ปกครองเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย ถ้าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายผิด ลูกน้องคุณคงเข้าใจ
- เจ้าหน้าที่คนอื่นจะบริการคุณหรือไม่ ทำไมต้องแคร์ แบงค์นี้ไม่บริการก็ไปใช้บริการที่อื่น หรือสาขาอื่น ผมคิดว่าคนที่ต้องอาย คือพนักงานแบงค์ที่คุณมีปัญหาด้วยมากกว่า ที่แสดงกิริยามารยาทที่ไม่ดีต่อลูกค้า ไม่ใช่ตัวคุณ
- ลูกค้าธนาคารคนอื่น ควรจะเห็นใจคุณมากกว่าที่จะประนามคุณ ถ้าคุณไม่ได้ทำนิสัย หรือมารยาทที่ไม่ดี แถมลูกค้าท่านอื่นสมควรที่จะไม่พอใจการบริการของแบงค์ซะด้วยซ้ำนะครับ
- ทำไมคุณต้องกลัวคนอื่นด้วยล่ะ ในเมื่อคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่พอใจบริการของที่นี่ ก็ไปใช้บริการแบงค์อื่น หรือถ้าคุณคิดจะใช้บริการของที่นี่อยู่ ก็ไปใช้สาขาอื่น มีเจ้าหน้าที่คนอื่นยังยินดีต้อนรับ ใช้ว่าพนักงานแบงค์ทุกคน ทุกสาขาเขาจะบริการไม่ดีซะทุกคนสักหน่อย
- ภาพในกล้องวงจรปิดมันมีทุกที่ คุณเดินเข้า 7-11 มันก็มีกล้องวงจรปิด ถ้าไม่ได้ทำผิดสักอย่าง แล้วจะกลัวอะไร

ผมว่าคุณจะวิตกจริตเกินไปนะสำหรับหลายๆ เรื่อง ถ้าเป็นผมๆ ไม่แคร์หรอก ไม่ได้ทำอะไรผิดสักอย่าง จะกลัวตำรวจ กลัวพนักงานคนอื่น จะอายใครทำไม คนที่อายคือคนที่ทำผิดมากกว่า

สำหรับความต้องการของคุณที่อยากจะให้ทางแบงค์ดำเนินการกับพนักงานที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม คงต้องให้ทางแบงค์จัดการเอง

แต่สำหรับในเรื่องการทำประกัน ผมเห็นว่าเดี๋ยวนี้หลายๆ แบงค์มีนโยบายเหมือนกันนะ ถ้าเขาจะไม่อนุมัติให้คุณกู้ หากคุณไม่ทำประกัน คุณก็ควรจะทำใจ เพราะเดี๋ยวนี้แบงค์นอกจากปล่อยกู้แล้ว ยังต้องทำรายการอื่นๆ อีก

ปัจจุบันเข้าแบงค์ฝาก-ถอนเงินธรรมดา พนักงานก็ยัดเยียดอยู่นั่นแหละ ทำประกันชีวิตไหมพี่ มีบัตรเครดิตหรือยัง สนใจซื้อกองทุนหรือเปล่า บลาๆๆๆ มากมายสารพัดสินค้า ที่จะพยายามยัดเยียดคุณ

ผมคิดว่าทุกแบงค์มีนโยบายคล้ายกันหมดแหละครับ เขาคิดว่าคนที่ไปขอกู้เดือดร้อน อยากได้เงิน เขาก็เลยได้โอกาสยัดเยียดสินค้าพ่วงมาให้ด้วยมากกว่าครับ



ความคิดเห็นที่ 154
เจ้าของกระทู้ทนให้เค้าพูดจาอย่างนี้อยู่่ได้ไง เป็นคนอื่นคงฟาดเปรี้ยงเข้าให้แล้ว
แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเราไปขอกู้เงินเค้า ก็ต้องทนฟัง ยอมๆไปหน่อย แต่เยอะขนาดนี้น่าจะจัดหนักหน่อย
แจ้งความกลับเลยครับ ร้องไปธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย
แจ้งไปทาง คปภ. ให้ตรวจผลสอบใบอนุญาตตัวแทนประกันชีวิตว่ามีใหม ที่ขายๆกันอยู่เนี่ยะ ถ้ามีให้ถอนใบอนุญาต
และถ้าเค้าผิดจริงให้ทางธนาคารทำเป็นหนังสือมาครับ เซ้นด้วย ไม่ใช่มาขอโทษด้วยวาจาแล้วจบไป



ความคิดเห็นที่ 155
สงสัยว่า เรื่องทำประกันต้องตกลงกันก่อนแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอครับ แล้วไม่ตรงตามเงื่อนไขคืออะไร ในเมื่อประกันบ้านมันมีแบบเดียว คือคุ้มครองจากการเสียชีวิตและชำระเบี้ยครั้งเดียว ถ้าลูกค้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาหนี้ก็เสียเป็นภาระกับธนาคาร ซึ่งธนาคารทุกที่เค้าก็ให้ทำหมด อาจจะยกเว้นแค่ออมสิน ถ้าเช่นนั้นรบกวนเจ้าของกระทู้บอกด้วยที่ว่าไม่ตรงตามที่คุยคืออะไร ผมไม่ได้เข้าข้างธนาคารและก็เห็นด้วยที่ว่าพนักงานที่ชื่อภาผิด แต่ผมแค่สงสัยประเด็นที่ จขกท กล่าวตอนแรกว่าตกลงทำไปแล้ว แล้วทำไมถึงเกิดเปลี่ยนใจ ทั้งที่ธนาคารอนุมัติแล้ว


http://pantip.com/topic/30484962

.

sithiphong:
ซื้อขายประกันภัยทางโทรศัพท์...กฎเกณฑ์ที่ผู้ซื้อควรรู้
-http://www.oknation.net/blog/print.php?id=534537-

ได้อ่าน ภัยใกล้ตัว..! สมัครบัตรเครดิต แถมหลอกขายประกันชีวิต เป็นหนี้ไม่รู้ตัว ยิ่งกว่าโดนกระชากกระเป๋า ของบล็อกเกอร์ สิปาง
เลยคิดว่าน่าจะนำเรื่องนี้มาลงให้เราได้รู้สิทธิของเราในฐานะผู้ซื้อ...เพื่อประโยชน์ของเราเอง ค่ะ
*****

ซื้อขายประกันภัยทางโทรศัพท์
กฎเกณฑ์ที่ผู้ซื้อควรรู้

ค้นหาใน บมจ. ไทยเศรษฐกิจประกันภัย http://www.tsi.co.th/tips.asp?tid=193

ทุกวันนี้การเสนอขายสินค้าผ่านโทรศัพท์ หรือเทเลมาร์เก็ตติ้ง ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญในการทำตลาดสินค้าหลากหลายประเภท โดยเฉพาะประกันภัยที่ใช้ช่องทางนี้ค่อนข้างมาก แม้ด้านหนึ่งการขายผ่านช่องทางนี้จะทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มรำคาญ และรู้สึก "ไม่ชอบ" จนมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่อีกด้านหนึ่งก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกซื้อผ่านเทเลมาร์เก็ตติ้ง เพราะ "ชอบ" ที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบายได้เช่นกัน เห็นได้จากยอดขายกรมธรรม์ผ่านเทเลมาร์เก็ตติ้งในไตรมาสแรกปีนี้มีมูลค่ากว่า 2.3 พันล้านบาท ซึ่งประเมินภาพรวมทั้งปีอาจสร้างเบี้ยสูงถึง 1 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการบริหารความ "ชอบ" และ "ไม่ชอบ" ของคนสองกลุ่มนี้ก็คือ การมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อควบคุมการขายผ่านเทเลมาร์เก็ตติ้ง และไม่เป็นการรบกวนผู้บริโภคจนก่อให้เกิดความรำคาญ ซึ่งธุรกิจประกันภัยถือเป็นธุรกิจแรกที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์การขายทั้งในเชิงของการเป็นมาตรฐานจริยธรรมทางวิชาชีพ และการเป็นกฎหมาย



หลักปฏิบัติที่สำคัญของการขายประกันภัยผ่านทางโทรศัพท์นั้น

    ประการแรก ตัวแทนหรือนายหน้าที่จะโทรศัพท์ไปเสนอขายแบบประกันนั้นจะต้องสอบใบอนุญาตการเป็นตัวแทน
    ทั้งยังต้องขึ้นทะเบียนการเป็นผู้เสนอขายแบบประกันผ่านทางโทรศัพท์กับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ด้วย
    ขณะเดียวกันบริษัทก็ต้องวิเคราะห์ฐาน ลูกค้าเพื่อมาออกแบบกรมธรรม์ให้เหมาะสม
    รวมถึงแบบประกันที่จะเสนอขายต้องได้รับอนุมัติจาก คปภ.ก่อนเช่นกัน

การเสนอขาย

ในการโทรศัพท์ไปเสนอขายแบบประกันจะต้องอยู่ในช่วงวันจันทร์-เสาร์ ระหว่างเวลา 08.30-19.00 น. โดยขั้นตอนการเสนอขาย ตัวแทนต้องแจ้งชื่อ-สกุล, เลขที่ใบอนุญาต และชื่อบริษัทประกัน ซึ่งต้องชี้แจงว่าจะเป็นการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัย

หากผู้บริโภคไม่สนใจและปฏิเสธที่จะสนทนาต่อตัวแทนก็ต้องยุติการเสนอขายทันที พร้อมกับบันทึกชื่อลูกค้ารายดังกล่าวไว้ในอีกบัญชีหนึ่งและต้องไม่ติดต่อไปเสนอขายกรมธรรม์แก่ลูกค้ารายนั้นอีกไม่น้อยกว่า 6 เดือน

ในกรณีที่ลูกค้าสนใจและอนุญาตให้เสนอขายกรมธรรม์ได้ ตัวแทนต้องขออนุญาตบันทึกเสียงการสนทนาก่อนจะเสนอขายและอธิบายรายละเอียดของแบบประกันทั้งความคุ้มครอง, ผลประโยชน์, ข้อยกเว้น, เบี้ยประกัน, ระยะเวลาเอาประกัน ไปจนถึงช่องทางการชำระเบี้ย

หลังการซื้อขาย

หลังจากตกลงซื้อกรมธรรม์ภายใน 7 วันหลังจากส่งกรมธรรม์ไปให้ผู้เอาประกันแล้ว บริษัทจะต้องโทรศัพท์ไปขอคำยืนยันจากผู้เอาประกันอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้เอาประกันยังมีระยะเวลาในการขอยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย (free look period) ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์จากบริษัท ในกรณีนี้ผู้เอาประกันจะได้รับเบี้ยคืนเต็มจำนวนโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้บริโภคต้องการทราบว่าผู้เสนอขายได้ข้อมูลของตนเองมาได้อย่างไร ตัวแทนก็ต้องแจ้งถึงแหล่งที่มาของข้อมูลของผู้บริโภคด้วย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ ผู้บริโภคแต่ละรายอาจถูกโทรศัพท์ไปเสนอขายกรมธรรม์หลายครั้งจากหลายบริษัท เนื่องจากแต่ละบริษัทก็จะมีฐานข้อมูลของตนเองและไม่ได้เชื่อมโยงเข้าเป็นเครือข่ายเดียวกัน ลูกค้ารายหนึ่งอาจปฏิเสธไปแล้วแต่กลับมีบริษัทอื่น โทร.เข้ามาเสนอขายอีกก็เป็นได้ ซึ่งเป็นโจทย์ที่สมาคมประกันชีวิตไทย และภาคธุรกิจ รวมถึง คปภ.จะช่วยกันหาทางแก้ไขในอนาคตเพื่อรักษาสิทธิส่วนบุคคลของผู้บริโภค ทั้งยังต้องไม่ขัดกฎหมายเกี่ยวกับการรักษาความลับลูกค้าของสถาบันการเงินอีกด้วย ในอนาคตอันใกล้น่าจะได้เห็นระบบนี้อย่างแน่นอน

ที่มา นสพ บ้านเมือง

เคยโพสต์ไว้ที่นี่ -http://dhanita-rpk.spaces.live.com/Blog/cns!926D7AD01F9C551F!1103.entry-



--------------------------------------------------------------------------------

พนักงานของบริษัทนายหน้าประกันภัยต้องมีใบอนุญาตหรือไม่? ฉบับที่ 156
-http://www.sumret.com/content.php?id=919&group_id=26-


สวัสดีครับ .พบกับการก้าวไปอย่างมั่นคง ก้าวไปอย่างปลอดภัย กับ....ก้าวทันประกันภัยและ เพื่อไม่ให้ต้องเสียเวลาเรามาก้าวทันกันต่อเลยครับ
                คำถาม  : จากคุณ  สมชาย กรุงเทพฯ “ ได้รับคำเชิญชวนจากเพื่อนให้เปิดบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัย มีคำถามอยากทราบว่า ลูกจ้างของบริษัทที่จะทำหน้าที่ในการดำเนินการเพื่อรับประกันภัยนั้นต้องมีใบอนุญาตเป็นนายหน้าด้วยหรือไม่อย่างไร?”

                อ.ประสิทธิ์ : ก่อนอื่นต้องขออนุญาตนำข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาอธิบายความกันก่อนนะครับว่า บุคคลที่ถือว่าเป็นคนกลางในธุรกิจประกันภัยในอันจะดำเนินการจัดทำประกันภัยก็คือ ตัวแทน  และ นายหน้า   ซึ่งตาม ปพพ.มาตรา 845 นั้นหมายถึง  “บุคคลหรือ นิติบุคคลที่ได้รับใบอนุญาต ให้ประกอบธุรกิจบริการแก่สาธารณะ เพื่อชี้ช่องหรือจัดการให้ทำสัญญาประกันภัย ให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้าแต่ละราย”  หรือพูดภาษาง่ายๆก็คือบุคคล หรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่บริษัทประกันภัย ที่ทำหน้าที่ในการขายประกันภัยและรับเบี้ยประกันภัย แทน บริษัทประกันภัยนั่นเองดังนั้นความเป็นตัวแทนหรือความเป็นนายหน้าในความหมายจึงคล้ายกันจะมี ความแตกต่างระหว่างการเป็นตัวแทน กับ การเป็นนายหน้าประกันภัยนั้น ก็มีเพียงเล็กน้อย คือ ตัวแทนหมายถึงคนที่ได้รับใบอนุญาตให้เป็นตัวแทนของบริษัทหนึ่งบริษัทใด โดยบุคคลนั้นจะทำหน้าที่ในการขายให้กับบริษัทนั้นๆเป็นการเฉพาะ ในขณะที่ บุคคลที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าประกันภัยนั้น สามารถเสนอขายและดำเนินการเพื่อรับประกันภัยแทนบริษัทประกันภัยได้หลายบริษัท โดยเฉพาะการเป็นนายหน้าประกันภัย นั้นจะมีอยู่ สองแบบคือ   1. การเป็นนายหน้า แบบบุคคล ซึ่งหมายถึงบุคคลทั่วไปที่มีใบอนุญาตเป็นหน้าหน้าประกันภัย และ 2. .การเป็นนายหน้าแบบนิติบุคคล  หมายถึง การประกอบธุรกิจเป็นบริษัทนายหน้าประกันภัย  ซึ่งจะเหมือนกันทั้งการประกันชีวิต และ การประกันวินาศภัย

             ทีนี้เรามาเข้าคำถามของคุณ สมชายครับที่ถามว่าการดำเนินการประกอบธุรกิจเป็นบริษัท นายหน้าประกันภัยนั้นจะมีข้อบังคับอย่างไรบ้าง..โดยผมอธิบายเป็นสามขั้นตอนดังนี้ครับ

             ขั้นตอนที่หนึ่ง : การขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดนั้นก็เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ว่าด้วยบริษัท
                          จำกัดทั่วไป
            ขั้นตอนที่สอง : การยื่นขอรับใบอนุญาตเป็นนายหน้าที่นิติบุคคลกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและ
                          ส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ( แบบ นว.5 ) โดยต้องมีรายละเอียดอันเป็นสาระ
                          สำคัญดังนี้

             1.    บริษัทนั้นต้องมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการนายหน้าประกันวินาศภัย

             2.    ต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า สองล้านบาทโดยการชำระค่าหุ้นเต็มมูลค่า

             3.    กรรมการ 3  ในสี่ ต้องมีสัญชาติไทย และต้องมีใบอนุญาตนายหน้าประกันวินาศภัยไม่น้อยกว่า 5 คน

             4.    เอกสารประกอบการขอยื่นต้องยื่นขอรับใบอนุญาตเป็นนายหน้าที่นิติบุคคลนั้นต้องครบสมบูรณ์ตามประกาศนายทะเบียน เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนใขในการออกใบอนุญาตให้นิติบุคคลเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย

ขั้นตอนที่สาม : ต้องเปิดดำเนินการธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยภายใน 2 เดือนหลังได้รับใบอนุญาตโดย
              การดำเนินการนั้นต้องปฏิบัตตามกฎหมายและข้อบังคับตลอดจนกฎระเบียบของ คปภ. ดังนี้
               1.    ต้องดำรงกองทุนไม่น้อยกว่า หนึ่งล้านบาทตลอดเวลาที่ได้รับใบอนุญาต
               2.    ต้องจัดทำสมุดทะเบียน และสมุดบัญชี และเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจ
               3.    ต้องยื่นรายงานผลประกอบการธุรกิจต่อนายทะเบียนตามที่กำหนด
               4.    ต้องมีนายหน้าปฏิบัติงานประจำในสำนักงานนิติบุคคลนั้นไม่นอยกว่า 1 คนเพื่อให้บริการประชาชน
               5.    ต้องมีหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทประกันภัยให้เป็นผู้สามารถดำเนินการเพื่อรับประกันภัยและรับค่าเบี้ยประกันภัยได้

               ดังนั้นจากคำถามของคุณสมชาย ที่ถามว่าพนักงานลูกจ้างของบริษัทนายหน้าประกันวินาศภัยจะต้องมีใบอนุญาตเป็นนายหน้าหรือไม่นั้น.. คำตอบจึงไม่จำเป็นครับเพราะว่าบริษัทนายหน้านั้นเป็นนิติบุคคลแล้ว การดำเนินการใดๆก็จะเป็นไปตามข้อบังคับของบริษัทจำกัดทั่วไปคือลูกจ้างที่ทำการในทางที่จ้างตามที่นายจ้างมอบหมายให้กระทำการก็มีผลผูกพันกับนิติบุคคลนั้นแล้ว เพียงแต่สิ่งที่บริษัทนายหน้าจะต้องดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนของการเสนอขายและรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยนั้นต้องให้ทางบริษัททำหนังสือมอบอำนาจให้กับพนักงานที่มีหน้าที่ในกการรับเงินค่าเบี้ยประกันภัยตาม พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย มาตรา 66:    วรรคสองกำหนดว่า นายหน้าประกันวินาศภัยหรือพนักงานของบริษัทซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงิน อาจรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัทได้เมื่อได้รับหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทประกันภัยนั้น    ( หากฝ่าฝืนมีโทษ จำคุกไม่เกิน 2 ปี  ปรับไม่เกิน  200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ )และ มาตรา 66/2:    ที่กำหนดไว้ว่า นายหน้าประกันวินาศภัย หรือ พนักงานของบริษัทต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจจากบริษัททุกครั้งที่มีการรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัท นายหน้าประกันวินาศภัย หรือพนักงาน ของบริษัทภัยต้องออกเอกสารแสดงการรับเงินของบริษัททุกครั้งที่มีการรับเบี้ยประกันภัยในนามของบริษัท (ปรับไม่เกิน 30,000 บาท) และหากการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทหรือผู้เอาประกันภัย   ( โทษ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ) และนอกจากนี้แล้วคุณสมชายในฐานะเจ้าของกิจการเองก็ต้องกำหนดแนวทางปฏิบัติในการนำเสนอขายประกันภัยของพนักงานของท่านด้วยอีกทางหนึ่งเนื่องจากได้มีการกำหนดไว้ในกฎหมายว่าตัวแทนหรือนายหน้าประกันวินาศภัยต้องแสดงใบอนุญาตการเป็นตัวแทนหรือนายหน้าทุกครั้งที่มีการสเสนอขายประกันให้กับลูกค้าประชาชน คุณสมชายในฐานะเจ้าของกิจการก็ต้องแจ้งให้พนักงานต้องแจ้งและแสดงใบอนุญาตการเป็นนายหน้านิติบุคคลให้กับลูกค้าหรือประชาชนทุกครั้งเช่นกันไม่ว่าจะเป็นการเสนอขายในช่องทางหนึ่งช่องทางใดก็ตาม

             ดูเหมือนว่ารายละเอียดและเงื่อนไขจะมากทำให้เกิดความยุ่งยากหรือไม่... ก็ต้องขอเรียนกับคุณสมชาย และท่านผู้อ่านด้วยนะครับว่า อาชีพการเป็นตัวแทน หรือ นายหน้านั้น จำเป็นต้องเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถืออย่างยิ่งที่ผ่านมานั้นค่อนข้างมีปัญหา การที่กฎหมายมีการกำหนดไว้ให้เป็นเช่นนี้นั้นก็เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานทางวิชาชีพตัวแทน หรือ นายหน้าให้มีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วยังมีการกำหนดอีกครับว่าตัวแทนหรือนายหน้าประกันภัยจะต้องเข้ารับการอบรมทุกครั้งก่อนมีการต่ออายุใบอนุญาตเพื่อปลุกจิตสำนึกการให้บริการ อันเป็นการส่งเสริมจรรยาบรรณในอาชีพเพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มครองและการบริการที่ดีจากธุรกิจประกันภัย หากมองในภาพรวมแล้วประชาชนทั่วไปย่อมได้ประโยชน์อย่างแน่นอน ...ครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงเรื่องจรรยาบรรณของตัวแทน และ นายหน้าประกันวินาศภัยกันครับ...แล้วพบกัน..สวัสดีครับ.  ประสิทธิ์  คำเกิด                 


อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 7 ฉบับที่ 156 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 36-31 พฤษภาคม 2552

sithiphong:
วิธีการใช้บัตรเครดิตอย่างปลอดภัย เทคนิคง่าย ๆ ที่ควรรู้
-http://hilight.kapook.com/view/86389-




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          ในยุคปัจจุบันที่เน้นความสะดวกสบายในการจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการ การใช้บัตรเครดิตถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมาก และยังเป็นการแบ่งเบาภาระสำหรับผู้ที่ไม่มีเงินก้อน แต่ต้องการซื้อสินค้าราคาค่อนข้างสูง รวมทั้งสามารถใช้บัตรเครดิตถอนเงินสดจากตู้ ATM ได้อีกด้วย แน่นอนว่า การที่สามารถใช้บัตรรูดซื้อสินค้าหรือบริการ รวมทั้งกดเงินสดได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินที่มีอยู่ในบัญชี แม้จะเป็นข้อดีสำหรับผู้ใช้บัตร แต่ถือเป็นข้อเสียที่ให้เสี่ยงต่อการตกเป็นเป้าหมายของอาชญากรได้เช่นกัน

          ทั้งนี้ เพื่อให้เราสามารถใช้บัตรเครดิตได้อย่างสบายใจหายห่วง วันนี้เราจึงนำวิธีการใช้บัตรเครดิตอย่างปลอดภัยมาฝาก ด้วยวิธีง่าย ๆ ดังนี้

          1. ลงลายมือชื่อเจ้าของบัตรทันทีที่ได้รับบัตรใหม่

          2. เก็บรักษาบัตรไว้ในที่ปลอดภัย

          3. ไม่ควรเขียนหรือเก็บรหัสไว้รวมกับบัตร

          4. หากเป็นไปได้ ควรให้บัตรอยู่ในสายตาตลอดเวลาในขณะที่ร้านค้ากำลังดำเนินการขออนุมัติวงเงิน

          5. ต้องตรวจสอบหมายเลขบัตร ชื่อผู้ถือบัตร และยอดเงินในเซลส์สลิปว่าถูกต้องหรือไม่ก่อนลงลายมือชื่อ

          6. ตรวจดูให้แน่ใจว่าได้รับบัตรคืนหลังการใช้ทุกครั้ง และบัตรที่ร้านค้าคืนมาต้องไม่สลับกับบัตรของผู้อื่น

          7. พึงระวังว่าร้านค้ารูดบัตรเพียงครั้งเดียวต่อการทำรายการซื้อขายหนึ่งครั้ง หากมีการรูดบัตรเกินควรสอบถามและขอทำลายใบเสร็จ ที่บันทึกข้อมูลผิดหรือรายการที่ยกเลิกแล้ว

          8. ตรวจสอบใบเรียกเก็บเงินประจำเดือนกับใบเสร็จที่มี หากมีรายการเรียกเก็บเงินใดที่ไม่ถูกต้องให้แจ้งผู้ออกบัตรทันที

          9. หากไม่ได้รับใบเรียกเก็บเงินประจำเดือนตรงตามเวลา ให้สอบถามไปยังผู้ออกบัตรถึงสาเหตุที่ล่าช้า

          10. ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด อย่าเซ็นชื่อลงในใบบันทึกรายการที่ยังมิได้เขียนจำนวนเงิน

          11. อย่าแจ้งรหัสส่วนตัวที่ใช้บัตรเครดิตเบิกถอนเงินจากเครื่อง ATM ให้คนอื่นทราบอย่างเด็ดขาด

          12. ไม่ควรเปิดเผยข้อมูล ส่วนตัวใด ๆ ของท่านกับใครขณะใช้บัตรเครดิต และแสดงบัตรประชาชนหรือเอกสารอื่น ๆ เมื่อท่านเห็นสมควรว่าจำเป็นเท่านั้น

          13. ในการตั้งรหัสบัตรเพื่อกดเงินสด พยายามเลือกรหัสที่ท่านสามารถจำได้ง่าย แต่ไม่ควรใช้ตัวเลขที่ผู้อื่นอาจเดาได้ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ วันเกิด ทะเบียนรถ เป็นต้น

          14. หากรู้สึกว่าพนักงานขายทางโทรศัพท์คะยั้นคะยอขอหมายเลขบัตรเครดิตของท่าน ให้สงสัยไว้ก่อนและปฏิเสธไป

          15. อย่าวางบัตรไว้ใกล้แหล่งที่เป็นแม่เหล็ก เพราะแถบแม่เหล็กด้านหลังบัตรจะได้รับความเสียหาย ทำให้เครื่องไม่สามารถอ่านข้อมูลจากบัตรได้

          16. หากบัตรของท่านติดอยู่ในเครื่อง ATM ควรระวังผู้ที่แสดงความหวังดีเข้ามาช่วยเหลือ เพราะผู้ที่มาช่วยอาจแฝงด้วยเจตนาที่ไม่ดีและอาจใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อล่วงรู้รหัสบัตรของท่าน แล้วอาจนำบัตรของท่านที่ค้างอยู่ในตู้ ATM มากดถอนเงินในภายหลัง

          17. จดจำหมายเลขบัตรและหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ออกบัตร เพื่อติดต่อสถาบันผู้ออกบัตรได้ทันทีในกรณีบัตรสูญหาย ถูกขโมย หรือสอบถามข้อสงสัย ตลอดจนเมื่อมีปัญหาจากการใช้บัตร

          สำหรับใครที่ใช้บัตรเครดิตค่อนข้างบ่อย คงต้องหัดทำตัวเป็นคนช่างสังเกตมากขึ้น เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่า เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งการปฏิบัติตามวิธีในข้างต้นนี้ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่บัตรเครดิตของเราจะถูกลักลอบนำไปใช้หรือโดนปลอมแปลงได้


หมายเหตุ : แก้ไขข้อมูลล่าสุดเมื่อเวลา 14.10 น. วันที่ 27 พฤษภาคม 2556


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
bfiia.org, bot.or.th

sithiphong:
ไฮโซแจ้งจับสองผัวเมียตุ๋นเงินแชร์ลูกโซ๋สูญ 100 ล้าน
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม    10 มิถุนายน 2556 17:12 น.
-http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9560000069867-



กลุ่มผู้เสียหายนับสิบรายพร้อมทนายความแจ้งความกองปราบฯ ถูกสองสามีภรรยานักธุรกิจอสังหาฯ หลอกเงินไปลงทุนทำแชร์ลูกโซ๋รวมลงทุนทำธุรกิจ มูลค่ากว่า 100 ล้าน ก่อนเชิดเงินหนีตามระเบียบ
       
       วันนี้ (10 มิ.ย.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.30 น. นางณัฎฐ์รดา อมรสินสถิตย์ อายุ 35 ปี ที่ปรึกษาด้านการเงิน บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง และกลุ่มผู้เสียหายซึ่งเป็นบรรดานักธุรกิจ รวม 14 ราย พร้อมด้วยทนายความ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อนายวชิระ พูลเพิ่ม อายุ 34 ปี นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ และนางพิมลพรรณ พูลเพิ่ม อายุ 32 ปี เจ้าของธุรกิจร้านหนังสือ สองสามีภรรยา หลังจากถูกทั้งสอง หลอกลวงให้นำเงินไปร่วมลงทุนทำธุรกิจหลายประเภท เช่น ร้านจำหน่ายแผ่นซีดี ธุรกิจคาร์แคร์ รวมทั้งธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 75 ล้านบาท
       
       นางณัฎฐ์รดากล่าวว่า รู้จักกับนางพิมลพรรณมาเป็นเวลากว่า 10 ปี เนื่องจากเคยเรียนมาด้วยกัน กระทั่งเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานางพิมลพรรณได้ชักชวนให้ร่วมลงทุนทำธุรกิจร้านจำหน่ายแผ่นซีดี โดยวางโครงการต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งด้านการบริหารงาน ซึ่งตนเพียงแต่นำเงินมาลงทุนด้วยเท่านั้นก็จะได้รับผลตอบแทน 10% จากเงินที่นำมาลงทุน โดยครั้งแรกเมื่อปี 2554 ตนได้นำเงินจำนวนหนึ่งมาลงทุนก็ได้รับเงินปันผลตอบแทนจริง จึงติดต่อกับลูกค้าบริษัทที่ตนทำงานอยู่ให้ร่วมนำเงินมาลงทุนธุรกิจดังกล่าว รวมเป็นเงิน 48 ล้านบาท ซึ่งระยะแรกก็ยังได้รับเงินตอบแทนเป็นรายเดือน แต่หลังจากนั้นก็เริ่มไม่ได้รับเงิน
       
       นางณัฏฐ์รดากล่าวต่อว่า เมื่อเริ่มผิดสังเกตว่าไม่มีการจ่ายเงินปันผลตอบแทนมาให้ ตนจึงพยายามติดต่อกับนางพิมลพรรณ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้โทรศัพท์ไปก็จะรับสายตลอด รวมทั้งติดต่อผ่านทางแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนด้วย นอกจากนี้ ตนมาทราบภายหลังว่า นางพิมลพรรณกับสามียังหลอกลวงผู้เสียหายอีกหลายรายให้ร่วมลงทุนในธุรกิจคาร์แคร์ ซึ่งอ้างว่ามีโครงการที่ได้จัดซื้อที่ดินไว้แล้ว หรือจะเป็นโครงการเปิดร้านหนังสือ ร้านอาหาร ฯลฯ ซึ่งบางรายนางพิมลพรรณ เคยพาไปดูธุรกิจที่เปิดในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านลาดพร้าว ทำให้ผู้เสียหายยิ่งหลงเชื่อว่าไม่น่าจะถูกหลอกลวง
       
       “หลังจากตรวจสอบข้อมูลต่างๆ ก็พบว่านางพิมลพรรณกับสามีจะหลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปยังบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสุขุมวิท 6 และมีการโอนเงินที่อ้างว่าเป็นปันผลผ่านบัญชีธนาคารของผู้เสียหายแต่ละราย โดยพบว่าน่าจะมีผู้เสียหายอีกหลายสิบรายที่ยังไม่ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดี รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท” นางณัฏฐ์รดากล่าว
       
       ด้าน พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นมีลักษณะคล้ายกับแชร์ลูกโซ่ ซึ่งมีการหลอกลวงให้ผู้เสียหายนำเงินมาร่วมลงทุนทำธุรกิจ และมีการบอกต่อๆ กัน มีการนำเงินจากผู้เสียหายรายหนึ่งไปจ่ายให้กับอีกราย สลับกันไปมา จนที่สุดอาจประสบปัญหาหมุนเงินไม่ทันจึงติดค้างการจ่ายเงินคืนให้ผู้เสียหาย เบื้องต้นได้มอบหมายให้ พ.ต.ท.ณัฐปกรณ์ ปัญญาดี พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป.สอบปากคำผู้เสียหายและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ก่อนจะพิจารณาออกหมายเรียกบุคคลทั้งสองเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนต่อไป
       
       ผบก.ป.กล่าวต่อว่า การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ส่วนกรณีการตรวจสอบบัญชีธนาคารและเส้นทางการเงินก็จะประสานธนาคารเจ้าของบัญชีในการตรวจสอบ และหากมีการยักย้ายเงิน หรือการกระทำที่เข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงินก็จะส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการต่อไป


นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version