ผู้เขียน หัวข้อ: คัมภีร์เตรียมตัวตาย สำหรับคนเป็น และ สุดยอดวิชา ร่างสีรุ้ง ( Rainbow body )  (อ่าน 5236 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
 
คัมภีร์ตรียมตัวตาย สำหรับคนเป็น ( ๑ )
 
 
ศาสนาพุทธแบบธิเบตมีความพิเศษจากพุทธศาสนาในนิกายอื่นอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องเทพเจ้า พระธรรมบาล พระโพธิสัตต์ที่มีทั้งปาง สันติและปางดุ ภาพพระบฏที่มีสีสัน ฯลฯ แต่ในบทความนี้จะขอเจาะจงพูดเรื่องเดียว คือ เรื่องความสนใจในเรื่องการเตรียมตัวตาย
 
 
ชาวธิเบตให้ความสำคัญกับการเตรียมตัวตายอย่างยิ่งจนถึงกับมีพระคัมภีร์สอนเรื่องนี้โดยเฉพาะ คัมภีร์ที่ชาวธิเบตออกเสียงว่า บาร์โดเทอเดรอ นั้น ครั้งแรกมาแปลเป็นไทยว่า คัมภีร์มรณศาสตร์ พอเห็นชื่อแล้วก็เลยพาลไม่อยากจับ นึกว่าไม่ใช่สำหรับเรา ก็เรายัง ไม่ตายนี่นา หากไปอ่านหนังสือประเภทนี้ จะเป็นการแช่งตัวเองให้ตายเร็วเสียกระมัง
 
พระอาจารย์เคนโป โซนัม ท็อปกยัล ริมโปเช ได้รับเชิญมามูลนิธิพันดาราให้มาสอนเรื่องบาร์โดโดยเฉพาะในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา
 
ท่านอาจารย์สอนเป็นภาษาธิเบตโดยมี ดร. กฤษฎาวรรณ หงษ์ลดารมภ์ แปลเป็นไทย และภิกษุณีธัมมนันทาแปลกลับเป็นภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ฟังที่เป็นต่างชาติอีกทีหนึ่ง
 
พระอาจารย์เริ่มโดยการกล่าวนมัสการบรรดาครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิประสาทความรู้ให้เห็นความงามของการอ่อนน้อมถ่อมตนในสายธิเบต อย่างเป็นรูปธรรม จากนั้นท่านเตรียมจิตของเราผู้เข้ารับฟังให้เป็นจิตที่พร้อมที่จะรับคำสอน โดยอธิบายว่า จิตของเรา อาจจะแบ่งกว้าง ๆ ได้ใน ๓ ลักษณะ กล่าวคือ เป็นจิตอกุศล มีความโกรธ มีความอิจฉา เป็นต้น จิตที่เป็นกุศลก็จะเปี่ยมอยู่ด้วยความรัก ความเมตตา พร้อม ที่จะมีความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น มีศรัทธาเชื่อมั่นในมรรควิถีแห่งธรรม เป็นต้น และอีกแบบหนึ่งคือเป็น จิตอุเบกขา วางเฉย ไม่ยึดติดเกาะเกี่ยว เรื่องใด ๆ
 
 
*ภาพ พระอาจารย์เค็นโป โซนัม ท็อปกยัล ริมโปเช
 
พระอาจารย์ให้เราได้พิจารณาตรวจสอบจิตใจของเราว่า ขณะนั้นจิตของเราจัดอยู่ในประเภทใด หากเป็นประเภทแรก คือเป็นอกุศล ก็ขอให้เราสลัดความอิจฉา ไม่พอใจต่าง ๆ ออกจากจิตเสีย ถ้าเรามีจิตที่เป็นกุศลอยู่แล้ว ก็เพียรเพิ่มพูนในกุศลนั้นให้มากขึ้น โดยให้ เราน้อมใจระลึกถึงสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยากที่มีอยู่จำนวนมหาศาล สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนต้องการที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ ปรารถนาที่จะมีความสุข และปรารถนาซึ่งความหลุดพ้นเช่นเดียวกันกับเราทั้งสิ้น
ขอให้เราตั้งมั่นในโพธิจิต มุ่งหวังความหลุดพ้น เพื่อว่าจะได้ช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ยังตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้น การฟังธรรมของเราจึงเป็น การฟังธรรมเพื่อที่จะได้ช่วยสรรพสัตว์
 
สำหรับผู้ที่มีจิตโพธิสัตต์นั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไร หากทำด้วยจิตที่คิดปรารถนาให้สัตว์อื่นได้หลุดพ้นเช่นนี้ เรียกว่า เราทำด้วยโพธิจิต
 
แต่ถ้าเราทำโดยปราศจากโพธิจิต เราก็ยังได้บุญกุศลอยู่ แต่จะไม่เป็นการบ่มเพาะพุทธพีชะเพื่อการหลุดพ้นของตัวเราเองและของ สรรพสัตว์
 
พระอาจาย์ชี้ว่า มหายานนั้นเป็นหนทางที่เน้นที่เหตุ ในขณะที่วัชรยานเน้นที่ผล คำสอนมหายานจึงเน้นที่สุญญตา ในขณะที่วัชรยานเน้นที่ตถาคตครรภ์ หรือพุทธภาวะในตน และชี้หนทางเพื่อเข้าสู่ความหลุดพ้นในที่สุด
 
ท่านเปรียบเทียบจิตพุทธะ ว่าเปรียบเสมือนพระอาทิตย์ ในความเป็นจริงพระอาทิตย์มีอยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้งเราก็เห็น บางครั้งก็ไม่เห็น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะดวงอาทิตย์ถูกบดบังด้วยเมฆหมอก เมื่อผ่านพ้นเมฆหมอก ดวงอาทิตย์ก็ส่องสว่างดังเดิม
 
เมฆหมอกที่บดบังความประภัสสรของจิตของเราก็คือ มลทินอันมาจากความโลภ ความโกรธ และความหลงนั่นเอง
 
จิตพุทธะนี้ มีในสัตว์ทั้งหกภพภูมิ เมื่อกล่าวเช่นนี้ ก็คือการยอมรับว่า สัตว์ทุกประเภทมีจิตเหมือนกันหมด และมีศักยภาพในการเข้าถึงซึ่ง ความหลุดพ้นทัดเทียมกัน นี้คือความงดงามของคำสอนวัชรยาน สัตว์ที่มีปัญญาและมีจิตใจที่ไม่แบ่งแยกล้วนสามารถเข้าถึงความหลุดพ้น ได้ทั้งสิ้นไม่จำกัดเพศหรืออายุ
 
พระอาจารย์กล่าวว่า หนทางการปฏิบัติมี ๙ ยาน ยานบางจำพวกก็ค่อย ๆ ปฏิบัติไป ใช้เวลาหลายกัปหลายกัลป์ มหายานเร็วขึ้น แต่ก็ยัง เกิดอีกหลายชาติ แต่ในคำสอนของซ็อกเช็น ( ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในสายวัชรยาน ) สามารถที่จะลัดตัดตรงและหลุดพ้นได้ในชาตินี้
 
และคัมภีร์ที่สอนเรื่องนี้โดยตรงก็คือ คัมภีร์บาร์โดเทอเดรอ ซึ่งควรจะแปลว่าคัมภีร์แห่งการหลุดพ้นจากบาร์โด
 
พอมีศัพท์ที่ไม่คุ้นทั้งหูและตามากเข้า ท่านผู้อ่านอย่างเพิ่งตกใจ ถ้าเข้าใจคำว่าบาร์โด เพียงคำเดียวก็น่าจะพอสำหรับในขั้นแรก คำว่า บาร์โด นั้น หนังสือภาษาไทยแปลว่าอันตรภพ ผู้เขียนคิดว่าอาจจะเป็นศัพท์ที่ชวนหลงง่าย ๆ เราจะใช้ศัพท์เดิมว่า บาร์โดไปก่อน
 
โดยทั่ว ๆ ไปคำว่า บาร์โด ( พระอาจารย์ท่านออกเสียงว่า พาร์โด ) แปลว่า ช่องว่างระหว่างสองสิ่ง
 
แต่คำว่า บาร์โดที่ใช้ในพระคัมภีร์นี้ ไม่ได้ใช้ในความหมายทั่ว ๆ ไป แต่หมายถึงช่วงเวลาในชีวิต ( และหลังชีวิต ) จะพูดถึง บาร์โด ๔ ขั้นตอน แล้วท่านผู้ท่านจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น และจะเห็นด้วยว่าทำไมผู้เขียนไม่แปลบาร์โดว่า อันตรภพ
 
บาร์โดช่วงที่ ๑ ช่วงที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ จนถึงใกล้ตาย ( ถ้าแปลว่า จะใช้กับช่วงนี้ไม่ได้ทันที )
บาร์โดช่วงที่ ๒ ช่วงนี้เป็นช่วงไกล้ตาย จนกระทั่งหมดลมหายใจ
บาร์โดช่วงที่ ๓ เรียกว่า บาร์โดธรรมดา เป็นช่วงที่ตายแล้ว จนกว่าจะได้ไปเกิดใหม่
บาร์โดช่วงที่ ๔ เรียกว่า ภวบาร์โด คือช่วงที่กำลังจะไปเกิดตามภพภูมิที่ได้ทำกรรมมา

 
จุดสำคัญก็คือ เมื่อผู้ตายอยู่ในบาร์โดช่วงที่ ๒ และ ๓ นั้นเองที่จะปรับวิกฤตให้เป็นโอกาสโดยเข้าสู่โอกาสแห่งการหลุดพ้นได้โดยฉับพลัน
 
จุดสำคัญยิ่งของการเข้าใจและปฏิบัติตามคัมภีร์บาร์โดคือ การเข้าใจและฉกฉวยโอกาสขณะที่อยู่ในบาร์โดช่วงที่ ๒ และ ๓ นี้เอง
 
สำหรับประเพณีในทิเบตนั้น เมื่อมีคนใกล้ตาย ญาติโยมก็จะนิมนต์ พระลามะที่มีการปฏิบัติจิตชั้นสูงมาสวดคัมภีร์บาร์โดเทอเดรอให้ผู้ที่ กำลังจะตายฟังเป็นการนำทาง หากแม้ไม่มีพระ หรือหาพระไม่ได้ แม้ฆราวาสก็ได้ ขอให้เป็นผู้อ่านคัมภีร์ออก ให้อ่านพระคัมภีร์ให้ผู้ที่ใกล้ตายได้ยิน ก็จะเป็นการน้อมจิตไปตามหนทางที่ถูกต้อง
 
เมื่อความตายเกิดขึ้น ก็คือการที่จิตแยกออกจากกาย ผู้ที่ไม่มีการปฏิบัติมาก่อนจะมีความทุกข์และความกลัวเป็นอย่างยิ่ง พระคัมภีร์จะ บอกหนทาง และจะบรรยายให้ได้รู้ว่าวันที่ ๑ วันที่ ๒ .... จะเกิดอะไรขึ้น จะได้พบเห็นกับอะไรบ้าง และจะต้องทำอย่างไร เท่ากับ ถือคู่มือในการเดินทางไปด้วย
 
เมื่อสิ้นลมหายใจ ร่างกายจะเป็นอย่างไร เมื่อธาตุทั้ง ๔ ค่อย ๆ คืนสู่มหาภูตธาตุ ร่างกายจะเริ่มเปลี่ยนแปลง หูไม่ได้ยินเสียง ตาเริ่มพร่ามัว ปากแห้ง ธาตุต่าง ๆ จะค่อยหมดไป
 
ในขณะนั้น ธาตุสีขาว ( ฉบับแปลไทยใช้เรียกว่า หยด ) หยด ของพ่อจากกระหม่อมจงลงมาที่หัวใจ ในขณะที่ธาตุสีแดงของแม่ที่สะดือ จะขึ้นมารวมตัวกันที่หัวใจ ตอนนี้จะเปลี่ยนสภาวะ เรียกว่า ความตาย ธาตุสีขาว และแดง ผู้เขียนเข้าใจว่าหมายถึงพลังงานชายและหญิง ที่เป็นบ่อเกิดหรือฐานพลังในตัวมนุษย์
 
ในตอนใกล้ตายนั้น ผู้ไกล้ตายจะไม่สามารถทรงกายได้ แต่ขบวนการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในนั้น จะมองไม่เห็นจากภายนอก
 
เมื่อธาตุสีแดงของแม่ที่ขึ้นมาจากสะดือ ผู้ป่วยก็จะเห็นทุกอย่างเป็นสีแดง ขณะที่ธาตุสีขาวของพ่อลงมาจากกระหม่อม ก็จะเห็น ทุกอย่างเป็นสีขาว
 
เมื่อธาตุทั้งสองรวมตัวกันที่หัวใจแล้ว จะเกิดสีทึม ๆ จากนั้นจะเป็นแสงสว่างใส ตรงนี้เองที่เป็นสภาวะจิตที่จะเข้าสู่จิตตรัสรู้ ที่ปราศจากการแยกแยะ เป็นจิตบริสุทธิ์ เป็นจิตดั้งเดิม
เสี้ยววินาทีนี้คือโอกาสที่จะพลิกผันตรงเข้าสู่การรู้แจ้งได้
 
ในธิเบต มีตัวอย่างของผู้ที่ปฏิบัติจิตมาอย่างดี เมื่อรู้ว่าจะตายก็จะบำเพ็ญสมาธิเข้าเงียบ ๕ วันบ้าง ๗ วันบ้าง
 
ถ้ามีความเข้าใจธรรมะอย่างดี เมื่อเข้าสู่ช่วงที่ได้เห็นแสงสว่างใสแล้วก็จะเข้าสู่การหลุดพ้น แต่ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ใช้โอกาสนั้นให้เป็นประโยชน์ ก็จะเคลื่อนเข้าสู่ช่วงบาร์โดที่ ๓ คือบาร์โดปกติ และเข้าสู่ภวบาร์โด เพื่อการไปเกิดภพใหม่ เริ่มวัฏฏะสงสารใหม
 
ผู้เขียนอยากอธิบายตรงนี้ให้สมบูรณ์ตามที่ได้รับถ่ายทอดมาจาก พระอาจารย์เค็็นโป โซนัม ท็อปกยัล ริมโปเช คงต้องขอต่ออีกตอนหนึ่ง จะพูดถึงเมื่อพลิกผันใช้โอกาสสำเร็จแล้ว ศพของผู้ตายจะกลายเป็นร่างสีรุ้ง ประหยัดเงินในการฝัง และไม่ต้องไปสร้างมลภาวะในอากาศ โดยการเผา ไม่ต้องให้ดอมเด ( สัปเหร่อ ) แล่เนื้อให้แร้งกินอีกด้วย
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด


คัมภีร์เตรียมตัวตาย สำหรับคนเป็น ( ๒ )
 
 
ท่านผู้อ่านตอนนี้ ขอให้ย้อนกลับไปอ่านตอนที่แล้วที่ได้เล่าถึงเมื่อผู้ตายเข้าสู่บาร์โดช่วงที่สอง ได้เห็นแสงสว่างใสแล้ว พลิกโอกาสนั้น ในการเข้าสู่การตรัสรู้ได้ในชาตินี้ โดยเป็นอิสระจากการเวียนว่ายตายเกิด

ในบาร์โดช่วงที่ ๓ ที่เรียกว่าบาร์โดปกติ ผู้ตายจะเห็นนิมิตต่าง ๆ จะได้เห็นธยานิพุทธะ คือพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ได้แก่พระวัชรสัตว์ ตรงกลาง ห้อมล้อมด้วยพระไวโรจนพุทธะ พระอมิตตาภพุทธะ พระอักโษภยพุทธะ พระอโฆสิทธิพุทธะ อีกทั้งยังมีเทพบริวาร ๑oo องค์ ที่เป็นทั้งเทพปางสันติและปางดุ

สำหรับผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติมาเลย ก็จะงุนงง และเห็นภาพเทพปางดุทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยความไม่คุ้นเคยจะเกิดความกลัว ทนทุกขเวทนา เป็นอย่างยิ่ง

ช่วงนี้เองการอ่านคัมภีร์ซึ่งให้รายละเอียดและความหมายของสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบเห็น จะทำให้ผู้ตายคลายความกลัวลงได้การอ่านคัมภีร์ให้ ผู้ตายฟังจึงเป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง

นิมิตทั้งหลายที่เห็นนั้น แท้จริงแล้ว เป็นปรากฏการณ์ภาพสะท้อนที่เกิดจากตัวเราเอง พระอาจารย์บางท่านจะสอนว่า มันเป็นเช่นนั้นเองแหละ แต่เนื่องจากเราไม่เคยเรียนรู้ไม่เคยปฏิบัติมาเป็นพื้นฐานของจิต จึงเกิดความเกรงกลัว เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง

สำหรับประเพณีการกำจัดศพของธิเบตนั้น นิยมเก็บศพไว้ ๓ วัน ในช่วงเวลาดังกล่าว เชื่อว่าจะเป็นช่วงที่ธาตุสีขาวและธาตุสีแดงมารวม ตัวกันที่หัวใจ หลังจากนั้นจึงจะฝังหรือเผา

ส่วนนิมิตที่เห็นเป็นพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์นั้น แท้ที่จริงขณะนี้ ขณะที่เรามีชีวิตอยู่นี้ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ก็มีอยู่ตลอดเวลาใน ธาตุทั้ง ๕ ( เพิ่มอากาศธาตุ ) ที่มีอยู่ในร่างกายของเราอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะความไม่รู้นั้นเอง ที่สร้างความกลัวมหาศาล

แม้เทพต่าง ๆ ๑oo องค์ เราก็รู้จักผ่านอารมณ์ต่าง ๆ ความรัก ความโกรธ ความกลัวในชีวิตที่เราได้รู้จัก ได้เคยสัมผัสมาแล้ว เทพต่าง ๆ นั้น อาจถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์หรือเป็นบุคลาธิษฐานของอารมณ์ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยโลภ โกรธ หลงนั่นเอง

ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่สามารถพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ก็จะผ่านเข้าสู่บาร์โดช่วงที่ ๔ ที่เรียกว่า ภวบาร์โด กลับไปเวียนว่ายตายเกิด ติดกับอยู่ในสังสารวัฏต่อไป

สำหรับในบาร์โดช่วงที่ ๔ นั้น ลักษณะจะคล้ายร่างทิพย์ที่เราพบตัวเราเองเวลาที่เราฝัน แต่มีลักษณะพิเศษตรงที่มีร่างกายสมบูรณ์ กล่าวคือ ถ้าตอนที่มีชีวิตอยู่เป็นคนตาบอด ช่วงนี้จะตาดี เป็นต้น สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างรวดเร็วตามใจกำหนด เดินผ่าน กำแพง ทะลุน้ำได้เป็นต้น แต่ความคิดความปรารถนาจะถูกขับเคลื่อนด้วยแรงกรรมที่ได้สั่งสมมาแต่อดีต

บางคนยังไม่รู้ตัวเองว่าตายแล้ว ก็กลับไปหาครอบครัว พบว่าลูกเมียร่ำไห้อยู่กับศพตน และไม่สามารถจะติดต่อพูดคุยกับลูกเมียได้ แม้ว่าตัวเองรู้สึกว่าตัวเองก็อยู่กับเขาเหล่านั้น ตรงนี้เองที่ผู้ตายได้ตระหนักรู้ว่าตนได้ตายเสียแล้ว ก็จะมีความทุกข์โศกอยู่มาก

ในบาร์โดช่วงที่ ๔ ที่เรียกว่า ภวบาร์โด นี้ รูปร่างเริ่มเป็นไปตามภพที่จะต้องไปเกิดใหม่
เป็นช่วงที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ทางครอบครัวจะต้องทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ คิดถึง แลอธิษฐานให้เขาสู่สุคติภพ จะช่วย การเดินทางของผู้ตายได้มาก

ในทางตรงกันข้าม หากญาติพี่น้อง ทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องการแบ่งทรัพย์สมบัติ ผู้ตายก็รู้เห็น บางครั้งก็จะเกิดลุแก่โทสะ เช่นนี้ จิตจะตกลงสู่อบายทันที

เรื่องราวเช่นนี้ ทิเบตมีหลักฐานยืนยันจากผู้ที่ตายแล้ว ๗ วันที่ฟื้นขึ้นมาได้อีก เรียกว่า เตโล พวกนี้มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และบางครั้ง เป็นลามะที่มีประสบการณ์เหล่านี้นี่เองที่มีความคล้ายคลึงกับการผ่านช่วงต่าง ๆ ของบาร์โด และกลับมาเล่าให้ฟัง ใช้เป็นหลักฐาน ในการประมวลความรู้เกี่ยวกับช่วงต่าง ๆ ของบาร์โด

ในบาร์โดช่วงที่ ๔ นี้ ถ้าผู้ตายได้สั่งสมกุศลไว้มากทั้งในชาตินั้น ๆ และในอดีตชาติที่ผ่านมา เมื่อต้องผ่านบาร์โด ก็จะมีความกลัว น้อยกว่าคนอื่น เพราะมีความเข้าใจเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ตรงกันข้าม ถ้าในชีวิตนั้นทำบาปไว้มาก ก็จะมีความทุกข์มาก บางคนพอรู้ว่าตาย ก็เพียรพยายามไปตามศพของตนเอง บางทีก็ฝังไปแล้ว บางทีก็เผาไปแล้ว เข้าร่างไม่ได้ ก็ยังยึดมั่นถือมั่นเพียรไปหาศพที่ยังไม่ได้กำจัด เป็นทุกขเวทนาอย่างยิ่ง

รูปที่อยู่ในบาร์โดนี้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่าเป็นร่างทิพย์ ไม่มีเงา เมื่อผู้ตายได้ประสบกับข้อมูลเช่นนี้ ก็เป็นเครื่องบ่งบอกว่าตัวเอง ตายไปแล้ว ถ้าเป็นคนที่ยึดมั่นในพระไตรรัตน์ ก็จะรอดพ้นจากความกลัว ไปเกิดในสวรรค์ ไปจุติในพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้า หรือแม้ไปสู่สุคติ ไปสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น

ถามว่าผู้ตายจะต้องอยู่ในบาร์โดช่วงนี้นานเท่าใด สูงสุดเชื่อว่า ๗ สัปดาห์ หรือ ๔๙ วัน แต่ถ้าทำบุญมาดีก็อาจผ่านไปได้ภายใน ๑ - ๒ อาทิตย์

ในช่วงนี้ ชาวธิเบตให้ความสำคัญมาก ญาติควรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เช่นการถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ ถวายตะเกียงน้ำมัน ถวายดวงประทีป สวดมนต์ บำเพ็ญสมาธิ และที่สำคัญจัดหาพระลามะหรือผู้รู้หนังสือมาอ่าน คัมภีร์บาร์โดนำทางให้วิญญาณของผู้ตาย ถ้ามีฐานะควรทำบุญให้ครบ ๔๙ วัน แต่ถ้ามีปัญหาทางเศรษกิจก็ควรทำอย่างน้อย ๓ อาทิตย์ ประกอบพิธีกล่าวนามเทพเจ้าทั้ง ๑oo องค์ ถวายความเคารพแก่ท่านด้วย

ทีนี้จะมาพูดถึงอานิสงส์ของพระคัมภีร์ ผู้ตายหากได้ทำบุญไว้มากและคุ้นเคยกับพระคัมภีร์มาก่อนแล้ว ถ้าสามารถหลุดพ้นได้ ก็จะทำได้ใน ช่วงระหว่างบาร์โดช่วงที่ ๒ เข้าสู่บาร์โดช่วงที่ ๓ มุ่งเข้าสู่ความหลุดพ้นทันทีแม้กระนั้นหากยังไม่หลุดพ้น ก็จะเข้าสู่ พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าที่ผู้ตายมีความผูกพันธ์สูงสุด จะได้อาศัยบารมีของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เข้าสู่ความหลุดพ้นในอนาคต อันใกล้ ถ้าพลาดจากพุทธเกษตร ก็จะไปจุติบนสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ถ้ากลับมาเกิดก็จะได้อุปสมบทเป็น ภิกษุ ภิกษุณี

ในพระคัมภีร์อธิบายไว้โดยละเอียดว่าใครจะไปเกิดเป็นอะไร อย่างไร โดยการขับเคลื่อนของกรรมที่ตนได้สั่งสมมานั่นเอง

การที่จะรู้จักใช้โอกาสอันประเสริฐเพื่อพลิกผันให้เข้าสู่ความหลุดพ้นนั้น มีการสอนในรายละเอียดในนิกายซ็อกเช็นที่เรียกว่า อติโยคะ ถือเป็นสุดยอดของการปฏิบัติในวัชรยาน

การที่จะเข้าถึงในความลึกซึ้งของคำสอนนี้ จะต้องผ่านพิธีมนตราภิเษก จะต้องมีอาจารย์มอบหมายชี้แนะหนทางให้ ที่จะทำให้เรา ได้เข้าถึงตถาคตครรภ์ หรือจิตบริสุทธิ์ การเข้าถึงเทพต่าง ๆ โดยสามารถใช้เป็นกุศโลบายในการเข้าใจจิตเดิมแท้ได

การที่จะรับมนตราภิเษกจะต้องมีการอุทิศตน มีความผูกพันในการปฏิบัติ สามารถกำหนดความคิด คำพูด การกระทำ ให้สอดคล้อง กันได้

ในการปฏิบัติของซ็อกเช็นนั้น ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส ภิกษุ ภิกษุณี สามารถปฏิบัติได้เท่าเทียมกัน
แม้จะไม่สามารถบรรลุในบาร์โดช่วงที่ ๒ และที่ ๓ ได้ การปฏิบัติตามวิธีการของซ็อกเช็นก็เป็นประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์และ สำคัญให้เราเข้าใจในโอกาสแห่งการบรรลุธรรมอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด

พระอาจารย์เปรียบให้ฟังว่า เหมือนลูกที่พลัดหลงกับแม่ไป ต่างคนไปต่างทิศต่างเมือง แต่เมื่อมาพบกันย่อมจำกันได้ ลูกสามารถ คืนสู่อ้อมกอดของแม่ได้

ฉันใดก็ฉันนั้น การปฏิบัติซ็อกเช็น จะทำให้ผู้ปฏิบัติได้ลิ้มรสลักษณะจิตดั้งเดิม หรือจิตพุทธะ
ซ็อกเช็นจึงเป็นการปฏิบัติที่ช่วยให้เราลัดตัดตรงเข้าสู่การหลุดพ้นได้ในชาตินี้

ตามความเชื่อของธิเบตนั้น ผู้ที่ได้บรรลุในลักษณะนี้มีกายสีรุ้ง

การส่งวิญญาณที่ชาวธิเบตเรียกว่า โพวา นั้น มีสองแบบ แบบแรก เป็นการส่งวิญญาณของตนเอง เป็นการปฏิบัติขั้นสูงสุด ชาวธิเบต เชื่อว่า คุรุปัทมสัมภวะ พระอาจารย์องค์แรกที่นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ในทิเบต มรณภาพในลักษณะนี้ ร่างกายของท่านคืนสู่อากาศธาตุ ไม่มีอะไรเหลือให้เห็นอีก

อีกแบบหนึ่งคือ การปฏิบัติตามแบบซ็อกเช็น เมื่อผู้ปฏิบัติบรรลุแล้ว ร่างกายซึ่งเป็นธาตุทั้ง ๕ ก็หายไป บางครั้งจะทิ้งเล็บ และผมไว้เป็น อนุสรณ์ให้ลูกศิษย์ เรียกว่าคืนสู่จักรวาล ผู้ที่ตายในลักษณะนี้ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการตรัสรู้

เรียกว่า ไดร่างสีรุ้ง ( Rainbow body ) ตอนหน้าจะถ่ายทอดให้ฟังถึงตัวอย่างของผู้ที่ได้ร่างสีรุ้ง
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ มดเอ๊กซ

  • ทีมงานพัฒนาข้อมูล
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7167
  • พลังกัลยาณมิตร 1518
    • ดูรายละเอียด

 
*ภาพ ผู้บรรลุธรรมขั้นมหาอติ ร่างสีรุ้ง
 
 
คัมภีร์เตรียมตัวตาย สำหรับคนเป็น ( ๓ )
 
 
ขอท่านผู้อ่านทบทวนฉบับก่อนหน้านี้ ทั้งสองเล่ม ผู้เขียนนำเสนอความรู้ที่ได้รับจากพระอาจารย์เค็นโป โซนัม ท็อปกยัล ริมโปเช พระลามะชาวธิเบตที่ได้กรุณามาสอนเรื่องคัมภีร์บาร์โดที่ชาวไทยหลายคนสนใจ แต่ทำความเข้าใจได้ยากเป็นเวลาหลายทศวรรษ
 
ตอนนี้ จะเล่าถึงผู้ที่ได้บรรลุไปแล้ว และได้ร่างสีรุ้ง กล่าวคือแม้ศพก็คืนสู่อากาศธาตุ
 
พระอาจารย์ทบทวนประวัติศาสตร์ของทิเบตโดยจับความตั้งแต่เมื่อ พระเจ้าตริสองเดซัน กษัตริย์ของธิเบต ทรงมีความสนพระทัยใน พระพุทธศาสนาและได้นิมนต์พระอาจารย์ศานติรักษิตมาประดิษฐานพระพุทธศาสนาในทิเบต แต่ประสบอุปสรรคอย่างยิ่งจนในท้าย ที่สุดต้องอัญเชิญพระอาจารย์คุรุปัทมสัมภวะมา จึงประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้สำเร็จ ลูกศิษย์ของท่านบรรลุและได้ร่างสีรุ้งถึง ๒๕ คน ท่านริมโปเชยืนยันว่านี่ไม่ได้พูดเล่นเป็นนิยายหนา เป็นเรื่องที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชัดเจน
 
ต่อมา ได้เล่าถึงผู้ปฏิบัติและเป็นนักแปลงานในพระพุทธศาสนาอีกรูปหนึ่งเป็นพระภิกษุ ชื่อ ไวโรจนะ ได้เดินทางไปอินเดีย และสอน ซ็อกเช็นที่นั่น ปรากฏว่า พระเจ้าแผ่นดินของอินเดียทรงสุบินนิมิตว่าพระจันทร์พระอาทิตย์หายไป เกิดแผ่นดินไหวต่าง ๆ นานา เมื่อทรง ปรึกษาโหรหลวง โหรหลวงก็ทูลว่เป็นเพราะพระอาจารย์ชาวธิเบตผู้นี้เข้ามาสอนพระพุทธศาสนาผิด ๆ พระเจ้าแผ่นดินทรงเชื่อ มีประกาศ ให้ปิดพรมแดนและให้ตามจับพระไวโรจนะ พระไวโรจนะก็ใช้อิทธิฤทธิ์หนีกลับธิเบตอย่างปลอดภัย
 
พระเจ้าแผ่นดินของอินเดียมีพระราชสาส์นไปทูลพระเจ้าแผ่นดินของทิเบต ทางฝ่ายทิเบต พระเจ้าแผ่นดินทรงศรัทธาพระไวโรจนะ แม้ฝ่ายมุขอำมาตย์ทูลให้จัดการกับท่านก็ตาม จึงส่งท่านไปอยู่ที่จารง ซึ่งเป็นดินแดนห่างไกลในแคว้นคัมทางตะวันออกของทิเบต ที่นั่นพระไวโรจนะก็สั่งสอนลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก
 
ต่อมาพระอาจารย์วิมลมิตรมาจากอินเดีย ได้ทูลถามพระเจ้าแผ่นดินของทิเบตถึงพระไวโรจนะอย่างยกย่อง บรรดาอำมาตย์จึงได้รับรู้ ความสามารถของพระไวโรจนะ
 
เมื่อพระไวโรจนะอยู่ที่จารงหลายปี ก็มีดำริที่จะกลับมาที่วัดสัมเยซึ่งอยู่ทางตอนกลางของทิเบต เมื่อเดินทางมาถึงต้าหวู ได้พักที่บ้าน ชายชราท่านหนึ่งที่มีอายุถึง ๘๕ ปี ชายชราถามท่านว่าจะเดินทางไปที่ใด ท่านก็บอกว่ามาจากจารงและจะเดินทางไปสัมเย ชายชราบ่นว่า " ท่านนี่โง่จริง ๆ ที่จริงนั้น มีอาจารย์ที่มีความสามารถอยู่แล้ว คือท่านไวโรจนะ ทำไมไม่ศึกษากับท่าน " พระภิกษุจึงแสดงตนว่าตนนั้น คือ ไวโรจนะ ชายชรายินดีมาก เข้าสวมกอดด้วยความปีติและขอให้ท่านไวโรจนะสอนวิชาความรู้ให้ เนื่องจากชายชราเป็นคนไม่มีความรู้ พระไวโรจนะจึงสอนวิธีซ็อกเช็น ซึ่งเป็นวิธีที่ลัดตรงและง่ายที่สุด ชายชราปฏิบัติธรรมอยู่จนอายุ ๑๑๒ ปี เมื่อท่านทิ้งร่างนั้น ท่านได้ร่างสีรุ้ง
 
ผู้ที่ได้บรรลุธรรมและได้ร่างสีรุ้งนี้ ไม่เคยขาดหาย จะมีเรื่องราวปรากฏไม่ขาด ผู้ปฏิบัติก็ไม่มีทางทราบว่าผู้ใดจะได้ร่างสีรุ้ง เท่าที่ปรากฏ มีทั้งนักบวชและฆราวาส มีทั้งหญิงและชาย มีทั้งโยคีที่อยู่ตามป่าตามเขา
 
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ มีชายคนหนึ่งในเมืองเดเก มีอาชีพแกะสลักมนตร์คาถาบนก้อนหินก็ได้ร่างสีรุ้ง
พ.ศ. ๒๔๙๙ ที่เมืองชุมโบ ก็มีผู้ปฏิบัติจนได้ร่างสีรุ้ง
พ.ศ. ๒๕๒o ที่เมืองกงโจ ในแคว้นคัมมีหญิงที่ปฏิบัติจนได้ร่างสีรุ้ง
พ.ศ. ๒๕๒๕ ในแคว้นคัม เมืองตรายับ มีสามเณรีที่ได้ร่างสีรุ้ง
ใกล้เข้ามาใน พ.ศ. ๒๕๔o นี้เอง ก็มีข่าวพระลามะที่ปฏิบัติจนได้ร่างสีรุ้ง

 
ผู้ที่ได้ร่างสีรุ้ง ก็ไม่ต้องผ่านช่วงบาร์โด เช่นเดียวกับผู้ที่ทำบาปหนักก็ไม่ต้องผ่านบาร์โดเหมือนกัน แต่ตกลงไปในนรกเลยทีเดียว
 
ผู้ที่ปฏิบัติซ็อกเช็นสามารถส่งวิญญาณทั้งของตนเองและของผู้ที่กำลังอยู่ในบาร์โดให้หลุดพ้นได้ หรืออย่างน้อยก็ได้เข้าสู่พุทธเกษตร หรือไปสู่สุคติภพ
 
การทำโพวา หรือส่งวิญญาณนั้น ท่านริมโปเชอธิบายว่า เหมือนกับการส่งน้ำไปตามท่อ การทำพิธีโพวา คือการต่อท่อน้ำไหลต่อไป เข้าสู่พุทธเกษตร ในกรณีที่ยังไม่บรรลุก็มีหนทางอีกสายหนึ่งมาเป็นทางเลือก
 
ท่านริมโปเชอธิบายเสริมว่า เมื่อยังอยู่ในบาร์โดช่วงที่หนึ่ง คือช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ชีวิตที่ดีที่สุดคือการบวชและการปฏิบัติตามซ็อกเช็น มีความตั้งมั่นที่จะหลุดพ้น การหลุดพ้นก็จะเป็นจริงได้ในชาตินี้ และแม้ว่าตายไป ก็ยังมีโอกาสสุดท้ายคือช่วงบาร์โดที่สอง ก็จะได้เข้าใจ และใช้โอกาสในบาร์โดช่วงที่สองนั้นเองที่จะเข้าสู่ความหลุดพ้นได้
 
ชาวทิเบตนิยมเก็บคัมภีร์บาร์โดเทอเดรอไว้กับตัว โดยเฉพาะเวลาใกล้ตายให้คัมภีร์อยู่ที่ตรงตำแหน่งของหัวใจ จะเป็นการเตือนสติ ช่วยให้ผู้ตายได้รู้ทางไป แต่ริมโปเชก็เปรียบเทียบว่า เหมือนกับห่วงสองห่วงที่คล้องกันอยู่ ห่วงหนึ่งนั้นพระกรุณาของพระพุทธเจ้า ที่ทรงมีให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่แล้ว อีกห่วงนั้น คือความศรัทธาในคำสอนและการปฏิบัติของเราเอง หากเราไม่เอาห่วงแห่งศรัทธา ของเราไปร้อยสานไว้ก็จะไม่ได้รับพระกรุณาจากพระพุทธเจ้า หัวใจหลักจึงอยู่ที่ความเชื่อและการปฏิบัติของเราเองมากกว่าที่จะมี พระคัมภีร์แนบอก
 
สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนปรารถนาที่จะพ้นทุกข์ และปรารถนาความสุข ต่างก็ทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อความสุข แต่ทำไมจึงพบว่ากลับทุกข์หนัก ขึ้นก็มี เราจึงต้องพิจารณาทำความเข้าใจในเหตุแห่งทุกข์และเหตุแห่งสุขอย่างแท้จริง พระพุทธเจ้าทรงมีเมตตาชี้ทางให้เราดับทุกข์ โดยอธิบายถึงเหตุแห่งทุกข์ และจะแสวงหาความสุขอย่างไร ทรงสอนถึงกฎแห่งกรรม ทำอะไรได้อย่างนั้น เราก็จะรู้จักหลีกเลี่ยงสิ่งที่ นำความทุกข์มาให้ได้
 
หลักงจากที่ริมโปเชสอนภาคทฤษฎีแล้ว ก็มีคำถามมากจากผู้ที่เข้ารับความรู้ คุณหมอท่านหนึ่งถามถึงเรื่องการที่หมอพยายามช่วย คนไข้ไกล้ตายด้วยวิธีของเทคนิคทางการแพทย์เช่นการปั้มหัวใจเป็นต้น ท่านริมโปเชอธิบายว่าสำหรับคนเจ็บที่ปฏิบัติมาดี มีจิตตั้งมั่นแล้ว เขาก็จะมีวิธีการดูแลจิตของเขาได้ การปั้มหัวใจก็ไม่น่าจะเสียหาย แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ปฏิบัติมาก่อน จิตอาจจะกระทบกระเทือน ทำให้สับสนได้
 
สำหรับคำถามที่ถามเรื่องการฉีดยาดองศพ ซึ่งตามที่ถือปฏิบัติในประเทศไทย จะฉีดยาในวันที่ผู้ตายเสียชีวิต แต่ความเชื่อของทิเบตจะต้อง รออย่างน้อย ๓ วัน เพื่อให้ธาตุสีขาวและแดงรวมตัวกันที่หัวใจ ดังที่อธิบายมาแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน ริมโปเชท่านบอกว่าท่านไม่เข้าใจวิธีปฏิบัติ ของคนไทย แต่เน้นว่าควรเป็นวิธีธรรมชาติที่สุด ท่านแนะนำว่าให้หมอปฏิบัติด้วยจิตที่เต็มไปด้วยความกรุณา หมอจะรู้เองว่า ควรทำอย่างไร
 
เรื่องการฉีดยานี้ ในทิเบตให้รอ ๓ วันได้เพราะอากาศหนาวเย็นมาก แต่ถ้าเป็นศพในประเทศไทย เราจะไม่สามารถรักษาร่างไว้โดยวิธี ธรรมชาติได้ ผู้เขียนเคยไปฮาวาย บังเอิญไปพักบ้านชาวญี่ปุ่นแต่เขานับถือศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน พอดีแม่เขาตายในคืนก่อนที่ผู้เขียน ไปถึง เขาก็ใช้วิธีการเก็บศพไว้ ๓ วัน โดยไม่ไปถูกต้องร่างศพ เปิดแอร์ให้เย็นเฉียบ และเปิดพัดลมช่วยเขาด้วยซ้ำไป เพราะอากาศที่ฮาวาย ก็เหมือนบ้านเรา แล้วค่อยแจ้งทางการเมื่อครบ ๓ วันแล้ว ทั้งนี้ การเก็บศพในลักษณะนั้น ถือว่าผิดกฏหมายบ้านเมืองที่นั่น มีการนิมนต์ พระมาสวดและอ่านคัมภีร์ที่ว่านี้เป็นการบอกทางแก่ผู้ตายตลอด ๓ วัน
 
อีกคำถามหนึ่งที่น่าสนใจ ถามว่าคัมภีร์บาร์โดนี้เป็นภาษาทิเบตที่หน้างานก็มีทำเป็นซีดีพร้อมพระคัมภีร์ทั้งชุดขนาดพกพาไว้จำหน่าย แต่ผู้ตายไม่รู้ภาษาทิเบต การอ่านหรือสวดให้ฟังจะได้ประโยชน์อย่างไรหรือไม่
 
ท่านริมโปเชตอบว่า การเอ่ยพระนามของพระพุทธเจ้าแม้ให้สัตว์เดรัจฉานฟัง ก็ช่วยให้สัตว์นั้นไม่ต้องตกไปในอบาย ดังนั้นไม่ว่าภาษาใด ก็น่าจะได้อานิสงส์เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อผู้ตายอยู่ในบาร์โดช่วงที่ ๔ ที่เรียกว่า ภวบาร์โด นั้น สามารถกำหนดทำความเข้าใจได้ด้วยจิต เช่นเดียวกับที่สามารถกำหนดไปไหน ๆ ได้ ทะลุกำแพง ผ่านน้ำ ฯลฯ
 
บังเอิญช่วงที่ริมโปเชสอนนั้น เป็นช่วงครบรอบ ๑ ปีสึนามิ จึงมีคำถามเรื่องการตายหมู่ ว่าจะเผชิญบาร์โดแบบเดียวกันหรือไม่
 
ริมโปเชอธิบายว่า สำหรับผู้ปฏิบัติมาแล้ว การเผชิญความตายที่ฉับพลัน หรือเจ็บเป็นเวลานานแล้วตายจะมีค่าเท่ากัน แต่สำหรับการตายหมู่นั้น เป็นเพราะมีกรรมหมู่มาร่วมกัน แต่ขณะเดียวกันก็มีกรรมเฉพาะตน เมื่อตายแล้ว แม้มาตายพร้อมกัน ที่เดียวกันแต่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป โดยการกำหนดของกรรมของบุคคลนั้น ๆ เปรียบได้กับพวกเรา ๕o- ๖o คน ที่มานั่งเรียนอยู่กับท่าน เราร่วมกันในที่เดียวกัน ตกเย็น เราต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับไปคนละทิศคนละทาง
 
ช่วงของการตอบคำถามนี้ยาวนาน และตอบไม่หมดต้องยกไปวันรุ่งขึ้น แต่ในตอนท้ายท่านริมโปเชสอนการภาวนาแบบโพธิสัตต์ที่งดงาม โดยกำหนดว่าศัตรูของเราอยู่เบื้องหน้า พ่อแม่อยู่เบื้องขวาและซ้าย สรรพสัตว์ทั้งหลายห้อมล้อมอยู่โดยรอบ ให้กำหนดลมหายใจออกเป็น แสงสีขาวเพื่อเยียวยารักษาความทุกข์ยากของสรรพสัตว์ทั้งหลาย และกำหนดแสงสีดำที่เป็นความทุกข์ยากของสรรพสัตว์นั้น ดังเข้ามา พร้อมลมหายใจเข้า เพื่อช่วยเยียวยารักษาความทุกข์ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
 
นึกถึงพี่น้องที่ทุกข์ยากอยู่ทางภาคใต้ ช่วยกันซึมซับความทุกข์ยากของพี่น้องทางภาคใต้ในลมหายใจของเรา และเผื่อแผ่ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีไปด้วยลมหายใจออกของเรา
 
- คัด จาก หนังสือ ธรรมลีลาจากศรีลังกาไปทิเบต โดย ภิกษุณีธัมมนันทา -

http://board.agalico.com/showthread.php?t=32549
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 03, 2016, 12:52:42 am โดย มดเอ๊กซ »
" มันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
ความเฉยชา คือ ผู้พิฆาต ความคิดดีนับร้อยพันและแผนการอันวิเศษ
ณ บัดหนึ่ง มีผู้มุ่งมั่นตั้งใจลงมือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมอำนวยชัย

มิว่าสู ทำสิ่งใด หรือ ฝันจะทำอะไร ทำ ณ บัดนี้
ความทรนงองอาจ มีพรสวรรค์ พลังอำนาจ และ มหัศจรรย์แห่งตน "

เกอเธ่...

ออฟไลน์ ดอกโศก

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมั่นคงดั่งภูผา
  • *
  • กระทู้: 862
  • พลังกัลยาณมิตร 595
    • rklinnamhom
    • ดูรายละเอียด

ออฟไลน์ แก้วจ๋าหน้าร้อน

  • สิ่งใดคือธรรมะ สิ่งนั้นย่อมดีแล้วสูงสุด
  • ทีมงานกวาดลานดิน
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 6503
  • พลังกัลยาณมิตร 1741
  • ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครอง
    • kaewjanaron
    • facehot
    • ดูรายละเอียด
    • ใต้ร่มธรรม
 :13: อนุโมทนาสาธุครับ ขอบคุณครับพี่มด
การโพสภาพโดยใช้เว็บฝากไฟล์ภาพ imageshack.us/ (เว็บกบ)
การปรับแต่งห้องสมาชิกไร้ขีดจำกัด Ultimate Profile + ห้องเพลงส่วนตัว
การตั้งกระทู้และการโพสกระทู้ในเว็บใต้ร่มธรรมครับ
การแก้ไข้ข้อมูล ชื่อ ระหัส ส่วนตัวของสมาชิกใต้ร่มธรรมครับ
การใส่รูปประจำตัวเรา Avatar รวมทั้งลายเซ็นต์ ในกระทู้หรือโพสของเราครับ
เพิ่มไอคอน ทวิสเตอร์ เฟชบุ๊ค ยูทูบ ในโปรโปรไฟล์ของเรา
การสร้างอัลบั้มภาพส่วนตัวในห้องสมาชิก Profile Pictures
การเพิ่มเพื่อน กัลยาณมิตรใต้ร่มธรรม ในห้องสมาชิกส่วนตัว
การดูกระทู้ทั้งหมดที่เรายังไม่ได้อ่านครับ
โค้ดสี bb color code ไว้สำหรับโพสกระทู้ครับ
*วิธีเคลียร์แคชในทุกเว็บเบราว์เซอร์ครับ เมื่อคอมอืด*

ห้องประชุมของทีมงาน
~ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ~