แสงธรรมนำใจ > วัชรยาน

ทังก้า มันดาลา..... พุทธศิลป์ชั้นสูง

(1/4) > >>

ฐิตา:





mandala ที่แม่ชี 4 รูปจากธิเบต มาสร้างขึ้นที่วัดจีนในเมืองไทย
ได้ทำพิธีสลายไปแล้วเมื่อไม่นานนี้เอง






ทังก้า มันดาลา..... พุทธศิลป์ชั้นสูง








“ ทังก้า ” คือภาพวาดแทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เปรียบเสมือนพระพุทธรูป
นั้นเอง โดยปกติแล้วทังก้าจะเขียนบอกเล่าเกี่ยวกับพุทธองค์

เหมือนจิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย แต่เขียนลงบนผ้าแทน ชาวทิเบตไม่มีพระพุทธรูป
แต่จะมีทังก้าเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า

ที่สำคัญในการทำแบบโบราณดั้งเดิม สีที่ใช้เขียนเป็นสีธรรมชาติที่ต้องสรรหาแร่ธาตุ
ตามเทือกเขาหิมาลัย นำมาบดผสมกับยางไม้ เขียนด้วยเกรียงเขาจามรี

ส่วนสีทองก็จะใช้เนื้อทองคำแท้ น้ำที่ใช้ผสมสียังต้องใช้น้ำแร่ผสมกับสีธรรมชาติในการวาด
ภาพทังก้าทุกภาพเป็นงานแฮนด์เมดทั้งสิ้น

ภาพเขียนแต่ละชิ้นใช้เวลานาน มีความประณีตและทนทาน สีและภาพที่เขียน
จะมีความคมชัด สดใสยาวนานกว่าร้อยปี

ภาพที่ดีที่สุดนั้นใช้เวลาในการทำถึง 60 วัน และอยู่ได้นานเป็นเวลาถึง 400 ปีทีเดียว


  http://board.palungjit.com/members/pucca2101-212829







มณฑลศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกว่า มันดาลา ในภาษาญี่ปุ่น เป็นแนวคิด
ของพระพุทธศาสนามหายาน ประเภทตันตระ หรือวัชรยาน หรือมนตรยาน ว่า
เป็นการเรียงแนวของจักรวาลของพระพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์ ในแต่ละพระองค์ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน ในแต่ละพุทธเกษตร

เช่น รูปนี้ แสดงถึงมณฑลศักดิ์สิทธิ์ ของพระพุทธเจ้าไภสัชยคุรุ
(พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งการรักษา โรคทางกาย และโรคกิเลส) ในรูปแบบธิเบต

   http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=7489&sid=bd76a78800538981b15a6dc275438fec


Mandala ( มัน-ดา-ลา ) เป็นรูปวาดในคติพุทธแบบทิเบต กล่าวกันว่า
สืบทอดมาจากอินเดียโบราณ

พระธิเบตจะเป็นผู้วาดเพื่อสื่อหลักการ ปรัชญา และ คติธรรม ของชาวพุทธ
ที่เชื่อมโยงกันในขอบเขตวงกลม

บางทีก็แสดงพระโพธิญาณ หรือบางทีก็รวมจักรวาลเข้าด้วย
คำว่า Mandala มาจากคำสันสกฤต ว่า มณฑล หมายถึง ขอบเขต หรือ วงกลม

การสร้าง Mandala ขึ้นจากเม็ดทรายสีต่างๆ นับเป็นสิ่งสุดยอดของ ศิลปะธิเบต

ต้องใช้เวลา และ สมาธิ อย่างสูงในการทำแต่ละครั้ง และสุดท้าย ก็จะทำการ
ละลาย Mandala ที่สร้างขึ้น
เพื่อเป็นการสอนสัจจธรรมว่า ทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ เสื่อมสลายไป

ดูการสร้างและสลายได้ที่ลิงค์นี้ครับ

   http://blognew.cnbb.com.cn/317792/viewspace-22163

ฐิตา:





มันดาลา หรือ เบญจคุณ
พลวัตแห่งความว่าง: ปัญจพุทธกุล หรือ พลังปัญญาห้าสี 

เบญจคุณ แนวทางการเรียนรู้ภายในอย่างเป็นองค์รวม
 
ไอรีนี่ รอคเวล
 
เวลานี้ เป็นเวลาที่ผู้คนแสดงหาชีวิตที่เต็มเปี่ยม มีความหมาย ทั้งในตัวเองและในความสัมพันธ์กับผู้อื่น มหาวิทยาลัยจึงน่าจะเป็นแหล่งวิทยาการที่จะช่วยให้เกิดการค้นพบและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวของชีวิตทั้งหลายนี้ (สก็อต ๒๐๐๐)
 
การเรียนรู้ของเราเป็นการเดินทางตลอดชีวิต จากทารกสู่ที่สิ้นของชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความท้าทายและโอกาสแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเป็นความสำคัญพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ หากสังคมได้แต่สร้างสถาบันการศึกษาชั้นสูงเพื่อส่งเสริมชีวิตที่เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านและความเครียด ทั้งๆที่สิ่งที่เราปรารถนาคือชีวิตที่ดี มีความสุข สมดุล ที่เรารู้สึกเพียงพอมิใช่หรือ? เราต้องยอมสูญเสียอะไรบ้างในการแลกมาเพื่อความสำเร็จที่สูงยิ่งขึ้นในชีวิตอย่างไม่ลืมหูลืมตา? ทำไมเราจึงติดอยู่ในแบบแผนพฤติกรรมและระบบที่มีแต่จะเพิ่มความสับสนปั่นป่วนให้กับชีวิตเล่า? ทำอย่างไร เราจึงจะสามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่จะเอื้อต่อการเรียนรู้ในการค้นพบและนำเอาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเราออกมา?
 
สถาบันการศึกษาสามารถปรับเปลี่ยนพัฒนาโดยเริ่มจากส่วนที่เป็นโครงสร้างและระบบ งานของผมเน้นพัฒนาในส่วนของตัวมนุษย์ที่สร้างระบบและโครงสร้างที่ว่านี้ โดยเริ่มจากการสำรวจเรียนรู้ความเป็นตัวเราในปัจจุบันขณะ แนวทางที่ผมทำงานในการหลอมรวมปัจเจกเข้ากับองค์รวมเป็นการนำหลักการของเบญจคุณทั้ง ๕ มาใช้ ได้แก่ ความเปิดกว้าง ความกระจ่างชัด ความมั่งคั่ง พลังอารมณ์ และ การลงไม้ลงมือ ซึ่งองค์ประกอบในการเป็นมนุษย์ที่เต็มเหล่านี้เป็นแนวทางสำหรับระบบการศึกษาแนวจิตวิญญาณอันหนึ่ง ทั้งนี้การศึกษาอย่างมีจิตวิญญาณ ที่ความเข้าใจภายในรวมกับความรู้ทางโลกสมัยปัจจุบันในแขนงต่างๆนั้น ได้รับแรงบันดานใจจากหลักการปฏิบัติธรรมแนวพุทธ แนวทางการแสวงปัญญาต่างๆ รวมทั้งโลกทัศน์ที่ว่าด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เช่น แนวทั้งของชนเผ่าพื้นเมือง—ผู้แปล]
 
พลังแห่งเบญจคุณทั้ง ๕
 
หลักการแห่งเบญจคุณทั้ง ๕ เป็นความเข้าใจเกี่ยวกับพลังรูปแบบต่างๆในตัวเรา ที่มีอยู่ในบุคลิกภาพ อาณาบริเวณแห่งอารมณ์ของเรา และการที่เราปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างและกับโลก เราต่างมีวิธีในการแสดงพลังเหล่านี้ออกมาอย่างเป็นตัวของตัวเอง ผ่านแสดงออกทางอากัปกิริยา การแสดงออกทางใบหน้า แบบแผนพฤติกรรม หรือแม้แต่การเลือกใช้คำพูดในโทนเสียงและจังหวะการพูด เราแสดงพลังเหล่านี้มาในทัศนคติ อารมณ์ การตัดสินใจและการกระทำต่างๆ ซึ่งบ่งบอกถึงแบบแผนการรับรู้และการมีปฏิสัมพันธ์กับโลก พลังเหล่านี้ยังครอบคลุมอยู่ในโลกแห่งปรากฏการณ์ และยังแฝงตัวอยู่ในระบบและโครงสร้างทางสังคมที่เราสร้างขึ้นมา
 
แม้ว่า ในแต่ละกลุ่มพลังก็จะมีแฝงไว้ซึ่งปัญญา แต่ก็มีความวิปลาสดำรงอยู่ด้วย การเรียนรู้ในเรื่องนี้จึงเป็นการรับรู้ชื่นชมความเข้มแข็ง และทำงานกับด้านที่อ่อนแอของเราเองด้วย นั่นคือการรับรู้พลังติดขัดเป็นลบในตัวเราอย่างเมตตาและเป็นมิตรอย่างไร้เงื่อนไขใดๆ เพื่อแปรเปลี่ยนพลังลบที่กักขังเรา ให้การเป็นการคลี่คลายขยายออกในตัวเรา การที่เราสามารถเป็นมิตรกับตัวเองได้ คือรู้สึกถึงความอบอุ่น ความรู้สึกผ่อนคลาย และเปิดออก จะเป็นการโอบประคองสิ่งที่มีคุณค่าหรือคุณลักษณะที่ดีที่สุดที่ดำรงอยู่ในตัวเรา เราไม่จำเป็นต้องพยายามตัดคุณลักษณ์ที่เราคิดว่าเลวร้ายในตัวเราทิ้งไป หากโอบประคองสิ่งเหล่านี้ไว้ เพื่อค้นพบว่ามันส่วนที่ดีที่สุดของเรา ภูมิปัญญาของเราคือการโอบประคองไว้ทั้งความสับสนและความดีงามในตัวเราเอง
 
โดยพื้นฐานแล้ว ไม่ว่าเราจะรับรู้ได้หรือไม่ก็ตาม พลังเหล่านี้แผ่ซ่านปกคลุมอยู่ในชีวิตของเรา มันคือความมีชีวิตชีวาแห่งการดำรงอยู่ โดยเป็นคุณลักษณะ เนื้อหนัง สภาพแวดล้อม บรรยากาศ และซุ่มเสียง ของทั้งสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต สิ่งที่มองเห็นและที่มองไม่เห็น มันเป็นพลังชีวิตของการดำรงอยู่ การทำความเข้าใจ รู้จักคุ้นเคยกับพลังเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถหลอมรวมและเจริญงอกงามที่ไปพ้นอัตตาอันคับแคบ และเปิดประตูชีวิตไปสู่ระดับการดำรงอยู่ที่ลึกซึ้งลงไปอีก เราสามารถสัมผัสพลังที่แฝงในตัวเราได้ในความคิดและอารมณ์ของเราเอง และเรียนรู้สัมผัสพลังรอบๆตัวเราผ่านการรับรู้ทางผัสสะ (การเห็น การได้ยินเสียง ได้กลิ่น รับรู้รส และสัมผัสทางกาย)
 
พลังที่มีอยู่ทั้งภายในและภายนอกตัวเรานี้ เป็นสิ่งที่สามารถรับรู้และเข้าถึงได้ทุกเวลา การที่จะทำงานกับพลังเหล่านี้ เราต้องพัฒนาการตื่นรู้เท่าทัน และความใส่ใจต่อปัจจุบันขณะโดยการสังเกตเรียนรู้ปัจจุบันขณะอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นพื้นพรมแดนแห่งอารมณ์ภายในตัวเรา หรือการรับรู้ผู้อื่น เราสามารถฝึกตัวเองได้ การฝึกสติและการรับรู้ที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญนั้นทำได้โดยการนั่งภาวนาซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการช่วยให้จิตตั้งมั่น ทำให้ใจมีความกระจ่างชัดและเข้มแข็ง ทั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถทำงานด้านในและปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกได้ดีขึ้น แต่ถ้าเราไม่สามารถรับรู้พลังเหล่านี้ได้ มันก็อาจมาควบคุมกำหนดชีวิตเราได้ แต่ถ้าเราเท่าทันมัน เราก็จะสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น


                                             พลังทั้งห้าได้แก่

 
ความเป็นพื้นที่ว่าง

ภาวะปกติ: ความสงบ สุขุมรอบคอบ คบหาง่าย เปิดรับ เรียบง่าย เป็นมิตร พอใจในการดำรงอยู่อย่างธรรมดา

ภาวะสับสน: ซบเซา ขี้เกียจ ความหนืดไม่เคลื่อนไหวหรือกระตือรือร้น ขาดอารมณ์ขัน ดื้อรั้น รับรู้ความรู้สึกช้า ชอบปฏิเสธ
ทั่วไป: พลังนี้เกี่ยวข้องกับพื้นที่กว้าง ผัสสะรับรู้ต่างๆ สีขาว
 
ความกระจ่างชัด

ภาวะปกติ: จิตใจผ่องใส ความคิดอ่านฉับไว คมชัดแม่นยำ ปราศจากอคติ เต็มไปด้วยคุณธรรม

ภาวะสับสน: คิดวิเคราะห์มากเกินเหตุ ช่างติ ถือว่าตัวถูกและถือความเห็นของตนเป็นใหญ่ ใช้อำนาจ เรียกร้องให้สมบูรณ์ มีโทสะ
ทั่วไป: ธาตุน้ำ การมองเห็น สีน้ำเงิน
 
ความมั่งคั่ง

ภาวะปกติ: มีความพอพึงใจอย่างลุ่มลึก รู้สึกรุ่มรวย ขยายตัว เต็มไปด้วยศักยภาพ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใจกว้าง มีท่าทีที่ชื่นชม

ภาวะสับสน: ถือตัวเองว่าสำคัญ เย่อหยิ่ง โอ้อวดเอาหน้า กดขี่ โลภ ตามใจตัวเอง มีความต้องการทางอารมณ์สูง ปรารถนาที่จะครอบครอง
ทั่วไป: เกี่ยวข้องกับธาตุดิน สัมผัสของกลิ่นและรส สีเหลือง
 
อารมณ์

ภาวะปกติ: หมายมั่นสัมพันธ์ แผ่กระจายความอบอุ่น ดึงดูด มีเสน่ห์ รับฟังอย่างลึกซึ้ง พูดออกมาจากใจ มีความสามารถในญาณทัศนะ สังเกตหรือมองเห็นสิ่งที่เล็กน้อยได้ sensual

ภาวะสับสน: รู้สึกไม่มั่นคง แสวงหาการได้รับการยืนยัน เจ้าราคะ ยึดติดในการฉวยยึด แสวงหาความพึงพอใจ จัดการครอบงำควบคุมผู้อื่น เจ้าอารมณ์จนเกินเลย
ทั่วไป: เกี่ยวข้องกับธาตุไฟ ผัสสะด้านการฟัง สีแดง
 
กระทำการ

ภาวะปกติ: มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นนักปฏิบัติ เต็มได้ด้วยพลังบวก มั่นใจในความสามารถ กระทำการได้เหมาะสมกับเวลา หลอมรวมเชื่อมประสานกับโลกได้ดี

ภาวะสับสน: ไม่สงบ รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ทำอะไรเร็ว ควบคุม ครอบครอง หิวกระหายในอำนาจ ต้องการแข็งขัน กลัวความล้มเหลว วิตกกังวล อิจฉาริษยา
ทั่วไป: เกี่ยวข้องกับธาตุอากาศ ผัสสะของความรู้สึกทางกาย สีเขียว

ฐิตา:




มันดาลา บวกและลบ
ตรงนี้ก็เป็นหยินและหยางหรือไม่ เมื่อรัตนาเป็นลบ มันคือความต้องการ ความปรารถนาจะมีจะได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภพภูมิของมันเมื่อเป็นลบคือเปรต ปากเล็กท้องโต คือจะต้องการ จะปรารถนาอยู่ตลอดเวลา แต่ในความเป็นบวกของมันก็คือ ความรู้สึกมั่งคั่งพรั่งพร้อม แม้ในสิ่งที่มีอยู่ธรรมดา เช่น เพียงได้ดื่มน้ำเปล่า หรือแม้แต่การได้สูดลมหายใจอันบริสุทธิ์สดชื่น ๆ ธรรมดา ๆ นี่เอง พลังบริสุทธิ์ของมันคืออุเบกขา
 
ส่วนวชิระ หรือวัชรานั้นตีความเป็นคำ ๆ เดียวว่า “ความคิด” รวมความทั้งคิดแบบหมีและอินทรีเอาไว้ ความเป็นบวกของมันก็คือปัญญาแห่งการเป็นกระจกใส สะท้อนความเป็นจริง ความเป็นลบของมันก็คือความแข็งตัวของกรอบคิด ความไม่ยืดหยุ่น ก็คือติดลบของหมี อนุรักษ์นิยม และไม่ยืดหยุ่น ร่างกายของคนที่มีกรอบคิดตายตัวพวกนี้ ไหล่หลังก็จะแข็งทื่อไปด้วย พลังบริสุทธิ์ของมันคือปัญญา
 
ปัทมะ ปัทมาคืออารมณ์ความรู้สึก คือความสัมพันธ์ คือความอ่อนหวานที่ทำให้ความสัมพันธ์ราบรื่น ความเป็นลบของมันคือความเจ้าอารมณ์ และความไม่คงเส้นคงวา ความปรารถนาในความตื่นเต้นและความเข้มข้นทางอารมณ์อย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน แม้ว่า อารมณ์นั้นจะเป็นความเจ็บปวด ก็ยังดีกว่า ไม่มีอารมณ์อันใดเลย เวลาอยู่ในโหมดปกป้อง ปัทมะจะพยายามเอาใจผู้คน ปัทมะต้องการความรัก อย่างไม่มีจบสิ้นเมื่อมันอยู่ในแดนลบ แต่จะให้ความรักได้อย่างใจกว้าง เมื่อมันอยู่แดนบวก พลังบริสุทธิ์ของมันคือกรุณานั่นเอง
 
แล้วกรรมะเล่าเป็นเช่นไร ด้านบวกของมันก็คือทุกสิ่งเป็นไปได้ ทำให้เกิดขึ้นได้ ทำงานกับมันได้ ไม่ทึบตัน แบบเจาะเข้าไปทำอะไรไม่ได้เลย เวลาเข้าแดนลบ มันไปในทางต้องการจะควบคุม เวลาอยู่ในโหมดปกป้อง ความต้องการควบคุมนี้จะเด่นดวงขึ้นมา เวลาเป็นบวก มันคือการจัดทำจัดสรร ที่ก่อให้เกิดสิ่งที่ต้องการได้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ โลกเต็มไปด้วย ความสร้างสรรค์ของพลังแห่งกรรมะ หรือพลังแห่งการก่อเกิด ในด้านลบอีกด้าน ก็คือ มันจะทำโน่นทำนี่ไม่รู้จักหยุดหย่อน ปราศจากสมดุลความพอดี มันจะไปอยู่ในคลื่นสมองแบบเบต้าแก่ ๆ ซึ่งทำให้เป็นเทปม้วนเก่า อันปราศจากปัญญา ที่จะพิจารณาใคร่ครวญ จะขาดวัชระ และเมื่อมัน แก่ ๆ เช่นนี้ การรับฟังความอื่นก็น้อยลง หรือไม่มี ก็เป็นการขาดพุทธะ หรือ การให้พื้นที่แก่คนอื่น ๆ
 
สุดท้ายคือพุทธะจริต พื้นฐานและพลังบริสุทธิ์ของมันคือพื้นที่ หรือความว่าง คือเป็นพื้นที่ให้อะไรต่ออะไรเกิดขึ้นได้ เมื่อเป็นบวกคือการเปิดพื้นที่ให้ผู้อื่น เมื่อเป็นลบ คือความรู้สึกหดแคบลงของพื้นที่ แบบว่า “ไม่เอา ฉันไม่แคร์” คือฉันไม่แคร์และไม่เอาอะไรกับใครทั้งนั้น พื้นที่ หรือ ความว่าง อันนี้คือ ธรรมธาตุ คือตัวความรู้นั้นเอง ตรงกันข้ามของมันคือ “ไม่รู้” สับสน เวลาใครถามอะไร ด้านลบของพุทธะก็จะตอบว่า ไม่รู้ หรือไม่ก็สับสน เมื่อกลับมาสู่ความเป็นปกติ ก็จะเห็นความเป็นไปได้ของทุก ๆ สิ่ง เปิดพื้นที่ให้ และรอคอยได้อย่างเป็นอนันตกาล
 
นี้แลคือลบและบวกของพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ทั้งหลาย

ฐิตา:



เทียบเคียงกับ Voice Dialogue


กระบวนการในวอยซ์ไดอะล็อค หนึ่ง น่าจะให้ความสำคัญกับตัวตนเล็ก ๆ ตัวตนย่อยทั้งหมดที่มี ว่าจะเก็บไพ่ที่ทิ้งไปให้ได้ครบสำรับอย่างไร เอาไพ่มาถือไว้ในมือ พร้อมจะใช้ได้ทุกใบ
 
วิถีแบบมันดาลา ก็คงไม่ได้ปฏิเสธ Totality หรือ ความเป็นทั้งหมด
 
และทั้งสองต่างก็ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของไพ่ใบต่าง ๆ มันดาลาอาจมีไพ่เพียงห้าใบ มั๊ง แต่ว่า แต่ละใบก็ยังแตกออกไปได้ในทางลบ และทางบวกอีกด้วย วอยซ์ไดอะล็อคมีไพ่ได้ไม่จำกัด เพราะไม่ได้ตั้งเอาไว้อย่างตายตัว ยังสำรวจตรวจตรา สืบค้นออกไปได้อีกเรื่อย ๆ กระมัง ที่สำคัญวอยซ์ไดอะล็อคให้ความสำคัญว่า ไพ่แต่ละใบจะมีไพ่ที่เป็นคู่ตรงกันข้าม เป็นหยินกับหยาง เป็นคู่ปรับสมดุลกัน เช่น pusher จะตรงกันข้ามกับ Being หรือแปลไทยก็ว่า คนที่ผลักดันตัวเอง และคนอื่น ๆ จะพยายามทำอะไรให้ได้มาก ๆ ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกับคนที่ ไม่ขวนขวาย หากพอใจกับตัวเองแล้ว ก็จะมีคู่แบบนี้ไปในทุก ๆ ตัวตนย่อย ๆ หรืออวัยวะแห่งจิตต่าง ๆ นี้ ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่า เจตสิกได้ไหม? เอ่ย?
 
Pusher ในมันดาลา อาจเป็น กรรมจริต โดยที่คนที่นิ่งและพอใจ อาจเป็นพุทธจริต นิ่งพอใจ เปิดพื้นที่ให้คนอื่น ในมันดาลา มันเป็นเรื่องสมดุลกระมัง คือกรรมะนั้นต้องการเข้าไปกระทำกับโลก และอยากให้โลกเป็นไปตามความคิดของเรา พุทธะ รู้และพอใจ จะกระทำบ้าง ตามจังหวะที่มันควรจะเป็น ด้วยความรู้ที่ตัวมีอยู่ และพื้นฐานก็ไม่ได้ต้องการผลักดันอะไรมากนัก
 
คือในมันดาลา ไดริน่า รอคเวล (Irina Rockwell) เขียนไว้ว่า สมดุลมันจะได้มาจาก การทำสมดุลของจริตต่าง ๆ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “พลัง” ต่าง ๆ ในห้าพลังนั้น อาจมีตัวหลักตัวรอง เพราะฉะนั้น การเสริมกัน จึงเป็นไปได้







จากภาพ...

คือการสรรสร้าง Sand Mandala
ลวดลายอันสวยงามซึ่งใช้เวลานานนับเดือนในการสร้างสรรค์
แต่สุดท้ายจะถูกลบละลายหายไปกับสายลม
อันเป็นปริศนาธรรมอันล้ำลึกของชีวิต


คำว่า “แมนดาล่า” ในภาษาทิเบตคือ “kyil-khor”
มีความหมายตามรูปศัพท์ว่า “ซึ่งล้อมรอบจุดศูนย์กลาง”
โดยทั่วไปแล้ว แมนดาล่าจะถูกแสดงไว้เป็นรูปแบบสองมิติ
ซึ่งโดยปกติก็จะทำจากกระดาษ สิ่งทอ และผงทรายย้อมสี
และโดยเฉพาะสำหรับแมนดาล่าทรายจะมีชื่อเรียกว่า
dul-tson-kyil-khor ในภาษาทิเบต ซึ่งแปลว่า “แมนดาล่าที่ทำจากผงสี”

แมนดาล่า คือการแสดงออกแห่งสภาวะของการรู้แจ้งอย่างถ่องแท้
และถูกนำมาใช้เป็นเครื่องช่วยในการทำสมาธิ กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ
แมนดาล่าแสดงให้เห็นวิมานสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ของผู้รู้แจ้งอย่างชัดเจน
และในกรณีนี้ก็คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งความเมตตาอันเป็นสากล
ที่รู้จักกันในนามว่า “เชนรีซิก” ในภาษาทิเบต
พระอวโลกิเตศวรในภาษาสันสกฤต และกวนอิมในภาษาจีน
(สำหรับประเทศไทย ก็จะเป็นพระไภษัชยคุรุ)
อย่างไรก็ตาม ในระดับที่เป็นนัยขึ้นไปอีก แมนดาล่าจะเป็นสัญลักษณ์
ของสภาวะอันบริสุทธิ์แห่งจิตใจเรา
ซึ่งสมมติไว้ในรูปแบบของวิมานสวรรค์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
โดยที่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะในเนื้อแท้ของเรา


    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nayrotsung&month=10-03-2010&group=4&gblog=20

ฐิตา:



ระดับความเข้าใจและประสบการณ์
 
เมื่อเราเริ่มรับรู้เท่าทันพลังเหล่านี้ เราจะเห็นรูปแบบพฤติกรรม อารมณ์ ความคิดความรู้สึกของเราที่ตอบสนองต่อพลังเหล่านี้อย่างน้อยหนึ่งอย่างในพลัง ๕ อย่างนี้ การเท่าทันทันนี้จะเป็นพื้นฐานในการฝึกปฏิบัติที่จะพัฒนาการดำรงอยู่ร่วมกับผู้อื่น กับปรากฏการณ์ของโลก และกับตัวเราเอง มันไม่ใช่ว่าเราต้องมานั่งกรองหาพลังเหล่านี้ทุกวี่ทุกวัน อย่างไรก็ตาม เราจะเจอว่าในบางสถานการณ์ หากเราสามารถเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของพลังเหล่านี้ได้ เราจะสามารถทำงานกับพลังเหล่านี้ได้อย่างสอดคล้อง
 
เราสามารถฝึกฝนตัวเองให้สามารถเป็นเครื่องตรวจวัดภาวะทางกายภาพและจิตใจได้อย่างละเอียดประณีต เราสามารถตรวจจับรับรู้ระดับพลังเหล่านี้ได้ในผู้คนในสถานการณ์ต่างๆได้ เมื่อเราเข้าใจถึงสภาวะแห่งพลังภายในตัวเอง เราก็จะสามารถเรียนรู้ที่จะชื่นชมยินดีกับธรรมชาติภายในทั้งของเราเองและผู้อื่น เราสามารถใช้พลังเหล่านี้พัฒนาการรู้เท่าทันตัวเอง การสื่อสารและการแสดงออกที่สร้างสรรค์ในสถานการณ์ต่างๆ การฝึกฝนในการทำงานกับพลังต่างๆนั้นมีหลายวิถีทาง การรับรู้เท่าทันพลังคือก้าวแรก
 
ในการฝึกปฏิบัติที่เข้มข้นลงไปนั้น เป็นการฝึกกับสิ่งแวดล้อมของสีต่างๆอย่างจำเพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกในห้องที่ออกแบบมาให้มีสีใดสีหนึ่งเป็นการเฉพาะ หรือใช้แว่นตาที่มีสี จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดคุณภาพทางจิตตามแบบแผนของพลังใดพลังหนึ่งได้โดยตรงอย่างฉับพลัน แต่ละห้องจะมีลักษณะคล้ายกล่อง ทาสีตามพลังแบบใดแบบหนึ่ง เป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสความยาวด้านละ ๗ ฟุต ฝาผนังทาสีทั่ว และใช้หน้าต่างมีสีตามสีของห้อง และมีรูปเฉพาะไม่เหมือนกัน เพื่อให้ทำให้เกิดแสงสีนั้นๆ ห้องของพื้นที่ว่างจะเงียบสงบ มีแสงแบบอินไดเร็กจากด้านบนเหนือศีรษะ ห้องความกระจ่างชัดมีสีน้ำเงินเข้ม มีหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางแนวนอน ห้องแห่งความมั่งคั่งมีสีเหลือง หน้าต่างเป็นรูปวงกลมใหญ่ ห้องแห่งอารมณ์มีสีแดง หน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง ห้องแห่งการกระทำเป็นสีเขียวสด มีหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสติดด้านบนเพดาน ด้วยองค์ประกอบของพื้นที่ สีและการจัดวางท่าเหล่านี้ จะทำให้คุณลักษณะแห่งพลังชนิดต่างๆจะเกิดขึ้นอย่างเข้มข้น เราอาจรู้สึกว่าห้องเหมือนคุกหรือไม่ก็เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ การนำตัวเราเข้าไปอยู่ในห้องเหล่านี้พร้อมกับการกำหนดอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่งจะเป็นกระบวนการทำงานเพื่อเรียนรู้และผ่านพ้นจุดติดขัดภายใน และเพื่อค้นพบปัญญาที่ดำรงอยู่ในตัวเรา
 
ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่า แต่ละคนจะมีความสามารถ ความถนัดเฉพาะด้านและความต้องการต่างกัน ฉะนั้นแต่ละคนก็มีแนวทางปฏิบัติที่เป็นแบบฉบับของตัวเอง หลายคนสามารถค้นพบปัญญาทั้ง ๕ ที่นำไปประยุกต์ใช้งานได้ทันทีในวิถีชีวิตและในหน้าที่การงานของตนได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่หลายๆคนไม่สามารถซึมซับปัญญาทั้ง ๕ ได้ดีนัก เวลาที่ผมทำงานกับผู้คน ผมพบว่าระยะเวลาหรือความเข้มข้นในการปฏิบัติของแต่ละคนไม่ได้เป็นปัจจัยที่จำเป็นนัก แต่ขึ้นอยู่กับความชอบและความเหมาะสมของแต่ละคนมากกว่า
 
การประยุกต์ใช้
 
การประยุกต์ใช้ปัญญาทั้ง ๕ นั้นมีไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นการนำไปใช้ในชีวิตส่วนตัวหรือหน้าที่การงาน เพราะสามารถปรับประยุกต์ให้เข้ากับเงื่อนไขความจำเป็นและความสนใจของแต่ละสาขาวิชาชีพและการเติบโตภายในของปัจเจกบุคคล ในเมื่อแต่ละสาขาอาชีพมีวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมจำเพาะ ก็ย่อมต้องการชุดภาษาที่จำเพาะ รวมทั้งรูปแบบและกระบวนวิธีที่ต่างกันออกไป ในช่วงระยะเวลา ๒๕ ปีที่ผ่านมา ผมทำงานในเงื่อนไขต่างๆ และได้ออกแบบแนวปฏิบัติและวัตถุดิบให้สอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของแต่ละกลุ่ม ที่มหาวิทยาลัยนาโรปะ (เมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด อเมริกา) ผมสอนและทำงานกับแนวทางปัญญา ๕ ที่มีหลักสูตรเต็มรูปแบบ ที่เปิดสอนในภาควิชาจิตวิทยา การศึกษา ศิลปศึกษา และศาสนศึกษาที่สถาบันการพัฒนาโรงเรียนแห่งชาติ (ในประเทศเนเธอแลนด์) ผมทำงานกับผู้ฝึกอบรมให้กับครูที่ออกไปทำงานอบรมให้กับครูผู้สอนตามโรงเรียนต่างๆ พวกเขากำลังพัฒนาโรงเรียนต้นแบบในระดับประถมและมัธยมอยู่ พวกเรากำลังอยู่ในกระบวนการสนทนาเพื่อหาวิธีนำเอาคุณลักษณะเหล่านี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ของโรงเรียน โครงการฝึกอบรมก็มีความยาวตั้งแต่ ๔ ชั่วโมง ไปจนถึง ๓ ปี โดยจัดให้กับผู้สนใจกลุ่มต่างๆได้แก่ นักการศึกษา ผู้นำองค์กร บุคลากรด้านสุขภาพ ศิลปิน
 
การให้ความรู้เบื้องต้นให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ที่แตกต่างกันตามแต่เงื่อนไขความต้องการในแต่ละอาชีพ ยกตัวอย่างเช่น บุคลากรที่ทำงานด้านสุขภาพจิตจะลองปฏิบัติโดยใช้ระยะเวลายาวหน่อย เพื่อให้เข้าถึงสภาวะจิตหนึ่งที่ชัดเจนถึงขึ้นสุดขั้ว เพื่อจะสามารถเข้าใจสภาพจิตใจของผู้ป่วยของตน พวกเขาจะเน้นไปที่การสำรวจศึกษาอาณาบริเวณแห่งจิตภายใน และรับรู้ถึงประสบการณ์ของกระบวนการแปรเปลี่ยนของพลังเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง ผมยังรู้สึกอัศจรรย์ใจทุกครั้งที่บางคนที่ไม่เคยมีความรู้หรือประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนเลย สามารถบรรยายประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วงปฏิบัติได้อย่างละเอียดราวกับจะเขียนตำราได้เป็นเล่ม แม้ใช้เวลาปฏิบัติเพียงยี่สิบนาทีก็ตาม เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าสู่ภาวะจิตภายในของตนอย่างลึกซึ้งฉับพลัน พวกเขาก็จะเข้าใจและมีความพร้อมที่จะรับรู้สภาวะจิตใจที่สุดขั้วของผู้ป่วยของตนเองได้ดีขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม พวกที่สนใจในกระบวนการสร้างสรรค์มากกว่า ก็จะไม่ค่อยสนใจที่จะสำรวจตรวจตรามิติทางจิตวิทยาที่ลึกลงไป แต่ต้องการที่จะเล่นและเรียนรู้กับพลังต่างๆ ผ่านการทำงานด้านศิลปะของตนเองมากกว่า การฝึกผัสสะด้านต่าง ผ่านการแสดงออกทางศิลป์ เช่น การใช้สี การเต้น การออกเสียง และดนตรี เป็นวิธีการเข้าถึงพลังต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในงานศิลปะนั้น พลังเหล่านี้ดำรงอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การทำงานเชิงสร้างสรรค์ ดังที่การแสดงออกด้วยอวจนะภาษานั้นเสียงดังกว่าถ้อยคำที่พูดออกมา ผู้ปฏิบัติหลายคนได้ประสบกับจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ คือการเปลี่ยนการรับและความเข้าใจเกี่ยวกับตนเองและโลกอย่างสำคัญ
 
ในขณะที่เป้าหมายหลักคือการนำเสนอชุดภาษาที่เรียบง่ายแก่การช่วยให้เกิดการรู้เท่าทันตนเอง การสื่อสารและการร่วมมือนั้นสามารถทำให้สั้นและกระชับได้ ผมได้พัฒนาแนวทางการฝึกปฏิบัติอย่างเป็นลำดับขั้นซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจและนำเอาหลักการของปัญญาทั้ง ๕ ไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น ผมจะอธิบายถึงปัญญาทั้ง ๕ อย่างคร่าวๆ และให้ผู้ฝึกน้อมจิตไปพิจารณาดูว่าพลังเหล่านี้เกิดขึ้นหรือดำรงอยู่ในชีวิตตนอย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่บ้าง แล้วให้พิจารณาต่อไปว่ามีพลังอะไรดำรงอยู่ในชีวิตตัวเองอย่างเด่นชัด แล้วแยกเป็นกลุ่มย่อยตามแบบของพลังต่างๆเพื่อซักถามแลกเปลี่ยนในหมู่เพื่อนว่า “ทำไมเธอถึงอยู่กลุ่มนี้?” พวกเขาสามารถเลือกเข้ากลุ่มอื่นเพื่อสำรวจดูว่าพลังแบบไหนช่วยส่งเสริมสงเคราะห์ชีวิตตน หรือพลังอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ใช่ หรือพลังอะไรในคนอื่นที่ดึงดูดหรือมีเสน่ห์กับเรา แล้วผู้ปฏิบัติก็จะสามารถเริ่มทำงานอย่างสัมพันธ์กับผู้อื่นจากการสังเกตการเลือกเข้ากลุ่มพลังของเพื่อนๆ
 
พลังเบญจคุณในระบบการศึกษา
 
วิถีทางแห่งการรับรู้ทั้ง ๕

ในบริบทของปรัชญาการศึกษาอย่างมีจิตวิญญาณ ปัญญาทั้ง ๕ หมายถึงคุณลักษณะ ๕ ประการที่มีในผู้ที่ได้รับการฝึกฝนหรือผู้ที่การศึกษา ดังที่ปีเตอร์ เฮิร์ส อธิการบดีฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัยนาโรปะ ได้กล่าวไว้ว่า “หลักการของปัญญาทั้ง ๕ มาจากพุทธศาสนานิกายวัชรญาณ ซึ่งสะท้อนถึงคุณลักษณะ ๕ ประการของจิตที่ตื่นแล้ว และเป็นวิถีทางทั้ง ๕ วิธีในการปลุกจิตให้ตื่น...เราพยายามสร้างให้เกิดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการพัฒนาในปัญญาทั้ง ๕ “(เฮิร์ส 1987) ในการเน้นพัฒนาคุณลักษณะทั้ง ๕ นี้ช่วยเอื้อให้เกิดสมดุลระหว่างการมีความเชี่ยวชาญตามสาขาวิชาเฉพาะด้านและเสริมสร้างภาวะความเติบโตภายใน จากมุมมองของปรัชญาการศึกษาเชิงจิตวิญญาณ คุณลักษณะทั้ง ๕ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของบุคคลที่ถือว่ามีความรู้แล้วอย่างสมบูรณ์ เราสามารถมองว่าทั้งห้าเป็นวิถีการเรียนรู้ห้าประการ
 
นอกจากนี้ พันธกิจทางการศึกษาของมหาวิทยาลัยนาโรปะได้ระบุไว้ว่า “เราเชื่อว่าคุณลักษณ์เหล่านี้จะช่วยเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนสามารถดำรงอยู่ในสังคมสมัยใหม่ได้ดีที่สุด ความยากลำบากในการดำรงชีวิตในสังคมปัจจุบันนั้นเกิดจากเครื่องกีดขวางทางจิตวิทยาเสียเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นความไม่สมดุลทางอารมณ์ ความสับสน ความไม่สามารถในการสื่อสารกับผู้อื่น การขาดความชัดเจนในความคิด และความเข้าในชีวิตที่คับแคบ หากเมื่อบุคคลเริ่มเข้าใจและสามารถจัดการกับเครื่องกีดขวางเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วแล้วละก็ หนทางแห่งความสำเร็จ สัมฤทธิ์ผล และความพึงพอใจทั้งในชีวิตและในหน้าที่การงานก็จะเริ่มเปิดออก”
 
เราให้การศึกษาแก่นักศึกษาในฐานะมนุษย์ โดยเราให้ความสนใจใคร่รู้ในการเดินทางชีวิตของนักศึกษาแต่ละคนอย่างแท้จริง เราให้ความสนใจกับชีวิตของนักศึกษาในฐานะมนุษย์มากพอกับระดับการเรียนของเขา การที่เรามีศรัทธาในความดีพื้นฐานภายในของมนุษย์เอื้อให้เกิดบรรยากาศของกัลยาณมิตร อันเป็นฐานในการพัฒนาความไว้วางใจในหมู่นักศึกษาเอง ดังนั้น จุดเน้นจึงอยู่ที่การให้ความสำคัญกับตัวกระบวนการเรียนรู้พอๆกับเนื้อหา นั่นหมายถึง การให้คุณค่าต่อ ความเป็นมนุษย์ มากพอๆกับ การกระทำ หรือการน้อมนำเอาปัญญาเข้าสู่การดำรงชีวิต มากพอๆกับ การสั่งสมเก็บเกี่ยวความรู้
 
คุณลักษณ์ทั้ง ๕ นี้สามารถพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบของการศึกษาเรียนรู้ ได้แก่ สภาพแวดล้อมของสถานศึกษา รูปแบบการสื่อสารของครู การพัฒนาหลักสูตร การประเมินผล และการให้คำแนะนำทางการศึกษาให้กับนักศึกษา ทั้งนี้ เราถือว่าคุณลักษณ์แต่ละอย่างเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นต่อกระบวนการศึกษาเรียนรู้ และเป็นพื้นฐานสำคัญของการเติบโตเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อความเข้าใจและความริเริ่มสร้างสรรค์ตลอดชีวิต
 
จากจุดยืนของการศึกษาอย่างมีจิตวิญญาณนั้น เบญจคุณ เป็นคุณสมบัติที่พึงประสงค์ของผู้มีการศึกษา ปรับประยุกต์มาจากเอกสารอธิบายมหาวิทยาลัยนาโรปะ ในการทำความเข้าใจอย่างมีโยนิโสมนัสิการกับเบญจคุณเหล่านี้ เราจะค้นพบปัญญาทั้ง ๕ ในตัวเรา
 
1. พื้นที่เปิดกว้าง = ความเปิดกว้าง และความเคารพในประสบการณ์ตรงภายในตน

คุณลักษณะนี้ช่วยบ่มเพาะให้เกิดการรับรู้เท่าทันในปัจจุบันขณะ การดำรงอยู่กับที่นี่และเดี๋ยวนี้ การดำรงอยู่ที่ฉับพลันเป็นธรรมชาติ มันจะช่วยให้เรารับรู้ประสบการณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นความคลุมเครือ ความไม่แน่นอน ความปั่นป่วนสับสน ทั้งภายในตัวเราเองและในสิ่งแวดล้อมรอบตัว เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาให้เราสามารถรับรู้กับประสบการตรงเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง ไม่บิดเบือน และสร้างสัมพันธ์ที่เปิดกว้างกับประสบการณ์เหล่านี้ นี่เป็นการฝึกใส่ใจกับวันเวลาของการดำรงชีวิตตลอด ๒๔ ชั่วโมง แม้แต่ในความฝัน ในการดำรงชีวิตด้วยสติปัญญาและความมั่นใจนั้น เราจะต้องวางรากฐานของการรู้เท่าทันและความสนใจใคร่รู้ที่ว่านี้ให้ต่อเนื่องและเข้มแข็ง
 
เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของการศึกษาแนวจิตวิญญาณคือการเน้นความสำคัญของคุณลักษณะประการแรกนี้ คือการเปิดออกและพื้นที่กว้าง เป็นคุณสมบัติที่สถาบันการศึกษาโดยมากอ้างว่าให้ความสำคัญ และเป็นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาคุณลักษณ์อื่นๆตามมา เพื่อจะสัมผัสคุณลักษณ์นี้ได้โดยการปฏิบัติสมาธิภาวนาในรูปแบบต่างๆ
 
การฝึกสมาธิเป็นหัวใจสำคัญของการบ่มเพาะเบญจคุณ
 
การฝึกนั่งสมาธิเป็นการฝึกจิต จะช่วยให้เราเห็นว่าจิตของเราทำงานอย่างไร เรามองหรือมีทัศนะเกี่ยวกับผู้คน โลก รวมทั้งตัวเราเองอย่างไร โดยเริ่มจากการฝึกสติ เพื่อรับรู้ความเป็นไปในปัจจุบันขณะ เราสามารถพัฒนาจิตให้มั่นคงและสงบได้โดยการผ่อนพักจิตและทำจิตให้เชื่อง นี่จะช่วยให้เราสามารถสัมผัสได้ถึงความเปิดกว้าง และช่วยให้เรามีความยืดหยุ่นยิ่งขึ้น แล้วเราก็จะค้นพบว่าจริงๆแล้ว ความเปิดกว้างนี้มีอยู่ในตัวเราอย่างเป็นธรรมชาติ เราจะรู้สึกถึงความเหมาะเจาะลงตัว เข้มแข็งและพอใจลึกๆ เป็นการค้นพบสมบัติอันล้ำค่าที่สุดภายใน เราจะต้องบ่มเพาะให้เกิดความเข้มแข็งแห่งจิตนี้ขึ้น เพื่อว่าความคิดและอารมณ์ทั้งหลายจะได้ไม่สามารถทำให้เราหวั่นไหวสั่นคลอน
 
หลังจากนั้น ก็มุ่งไปที่การรับรู้เท่าทันเชิงกว้าง เป็นการขยายผลแห่งการฝึกสติออกไปรับรู้ความเป็นไปของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราอย่างคมชัดแม่นยำ ซึ่งจะช่วยให้การรับรู้โลกของเรามีความละเอียดประณีตยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนกับสายรับสัญญาณวิทยุที่สามารถรับคลื่นเสียงได้คมชัด เราจะมองเห็น ได้ยินเสียง และรู้สึกกับโลกได้ตรงตามเป็นจริงยิ่งขึ้น สามารถแยกแยะปรากฏการณ์ต่างๆได้ ประสบการณ์ที่เราประสบทั้งหลายจะค่อยๆหลอมความเป็นตัวเราอย่างช้าๆ เราสามารถมีอุเบกขาธรรมได้มากขึ้น ชีวิตและหน้าที่การงานของเราก็เป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
 
การฝึกสมาธินั้นมีอยู่หลายวิธี วิธีที่เรียบง่ายขั้นพื้นฐานที่สุดคือการนั่งสมาธิ และความเรียบง่ายนี้เองเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุด เพียงแค่จัดวางร่างกายให้อยู่ในท่านั่ง และรับรู้การหายใจเข้าออก ปล่อยให้ความคิดทั้งหลายมลายหายไปกับลมหายใจ เพียงเท่านี้ ก็อาจทำให้รู้สึกว่าช่างน่าเบื่อและทำให้หงุดหงิดขึ้นมาอย่างแรงได้ และมักทนกันไม่ได้ทุกคน เป็นการเดินทางด้านในที่ค่อนข้างจะลำบาก ส่วนวิธีอื่นที่กระทำได้คือการเดินภาวนา หรือ การท่องมนต์คาถาบางบท หรือการเพ่งให้เห็นเป็นนิมิตบางอย่าง หลายๆคนฝึกศิลปะแห่งการเคลื่อนไหวตามแบบแผนโบราณ เช่น ไทชิ หรือ โยคะ เป็นต้น บางครั้ง กิจกรรมเหล่านี้อาจไม่ยากเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกว่ามีอะไรให้ทำ ซึ่งก็ทำให้จิตสงบได้
 
อานุภาพของการฝึกสมาธิคือ การช่วยฝึกกาย วาจา ใจของเราให้เป็นหนึ่ง ในความเคลื่อนไหว เรารับรู้และหลอมรวมความเป็นไปของร่างกาย เราใส่ใจกับการพูดโดยการรับรู้ลมหายใจ เพื่อเชื่อมความคิดและอารมณ์ความรู้สึก เพื่อให้การแสดงออกนั้นมาจากสติปัญญามากกว่าความสับสนภายในของเรา การฝึกสมาธิจะช่วยขัดเกลาและตระเตรียมความคิดอ่านให้แหลมคม เพื่อนำไปใช้ในการคิดค้นและเรียนรู้ในสาขาวิชาเฉพาะต่างๆของเรา นอกจากนี้การเชื่อมหลอมกาย วาจา ใจที่ว่านี้ จะช่วยให้เราดำรงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
 
การทำสมาธิทำให้เราพิจารณาตัวเองให้เป็นวิชาในการศึกษา ให้เวลาในการอยู่กับตัวเอง เพื่อทำการศึกษาและเข้าใจตัวเองด้วยอาการที่เรียบง่าย และช่วยทำให้เราแปรเปลี่ยน เพราะคำพูดคำสอนทั้งหลายในโลกมีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันเราอย่างเป็นรากฐานเพียงน้อยนิด ด้วยการแปรเปลี่ยนภายในที่แท้จริงนั้นเกิดจากการปฏิบัติ และการดำรงอยู่ หากเราสร้างมุ่งมั่นในการทำงานฝึกฝนตัวเองอย่างจริงจังแล้ว เราก็จะค้นพบวิถีทางเฉพาะตนในการเติบโตไปควบคู่กับการพัฒนาทางวิชาการเฉพาะด้านต่างๆ เป็นการให้การศึกษาแก่ตนเองใหม่เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายใน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างพลังชีวิตและความรู้สึกมั่นใจด้วย
 
การเรียนสมาธิภาวนาตัวต่อตัวกับผู้สอนจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจในการปฏิบัติยิ่งขึ้น แต่ที่ว่านักศึกษา ผู้ปฏิบัติงานหรืออาจารย์ผู้สอนจะกลายเป็นนักปฏิบัติภาวนาตัวยงหรือไม่นั้น ไม่สำคัญเท่าการสร้างบรรยากาศของกัลยาณมิตรที่มีความเอื้ออาทรอย่างแท้จริง ในฐานะที่เป็นผู้สอนการทำสมาธิภาวนา ผมเคยเจอนักศึกษาหลายคนที่สนใจในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแนวลึก แต่ไม่เคยสนใจที่จะปฏิบัติสมาธิ ซึ่งถือว่าไม่เป็นไร เพราะผมก็จะหาหนทางอื่นๆในการช่วยให้นักศึกษาเหล่านี้ได้ทำงานด้านในกับร่างกายและจิตใจของตนเอง
 
จะขออ้างคำกล่าวของ ริชาร์ด บราวน์ ซึ่งเป็นหัวหน้าภาควิชาการศึกษาด้านลึก แผนกปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยนาโรปะ เขากล่าวว่า “การฝึกสมาธิมีผลต่อการเรียนรู้และความรู้ที่เราได้รับอย่างลึกซึ้ง การเรียนรู้ผ่านการภาวนานี้มีลักษณะเป็นองค์รวม และช่วยให้เรารับรู้ประสบการณ์ตรงได้อย่างรอบด้านหลายมิติ เข้าไปรับรู้อย่างข้ามเขตแดนขององค์ความรู้แขนงต่างๆอย่างเชื่อมโยง และเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตัวเราในฐานะผู้เรียนและความรู้ที่เราเรียนอย่างเป็นองค์รวม คุณลักษณะเชิงจิตวิญญาณที่ข้ามพ้นขอบเขตจำกัดดังกล่าวแฝงอยู่ภายใต้พรมแดนแห่งความรู้ทั้งในมิติที่ลึกซึ้งและมิติที่กว้างใหญ่ไพศาล เนื่องจากธรรมชาติของความเชื่อมโยงขึ้นต่อกันระหว่างตัวผู้รับรู้กับสิ่งที่ถูกรับรู้ (ผู้รู้กับความรู้) หากผู้เรียนสามารถค้นพบความรู้อันศักดิ์สิทธิ์นี้โดยตรง ก็จะช่วยให้ผู้เรียนดำรงอยู่กับโลกนี้ได้อย่างมีศิลปะ มีเมตตาและดูแลโลกได้อย่างเต็มเปี่ยมยิ่งขึ้น”

(บราวน์ 1996)

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version