แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

คำสอนของฮวงโป พุทธทาสภิกขุ แปลเรียบเรียง

<< < (3/8) > >>

ฐิตา:


   ๑๐.คำสอนของฮวงโป (การแสวงหา)

   เมื่อ ชาวโลกได้ฟังคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงถ่ายทอด ธรรม คือ จิต, เขาก็พากันเหมาเอาว่า มีอะไรบางสิ่ง ซึ่งจะต้องลุถึงหรือเห็นแจ้งต่างหากไปจาก จิต และเพราะเหตุนั้น เขาจึงใช้ จิต เพื่อการแสวงหา ธรรม โดยไม่รู้เลยว่า จิต และ ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพากันแสวงหานั้น เป็นสิ่งๆ เดียวกัน

   จิต ไม่ใช่สิ่งซึ่งอาจนำไปใช้แสดงหาสิ่งอื่น นอกจาก จิต เพราะ ถ้าทำดังนั้น แม้เวลาล่วงไปแล้ว เป็นล้าน ๆ กัป วันแห่งความสำเร็จก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นอยู่นั่นเอง, การทำตามวิธีนั้นไม่สามารถจะนำมาเปรียบกันได้กับวิธีแห่งการขจัดความคิดปรุงแต่ง โดยฉับพลัน ซึ่งนั่นแหละคือตัว ธรรม อันเป็นหลักมูลฐาน.

   เหมือนอย่างว่านักรบคนหนึ่ง เขาลืมไปว่าได้ประดับไข่มุกของตนไว้ที่หน้าผากตัวเอง เรียบร้อยแล้ว กลับเที่ยวแสวงหามันไปในทุกแห่ง เขาอาจจะเที่ยวหาไปได้ทั่วทั้งโลก แต่ก็มิอาจจะพบมันได้, แต่ถ้าเผอิญมีใครสักคนหนึ่งซึ่งรู้ว่านักรบคนนั้นทำผิดอยู่อย่างไร แล้วไปชี้ไข่มุกที่หน้าผากของเขา ให้เขาเห็น นักรบคนนั้นก็จะเกิดความรู้แจ้งขึ้นในทันทีทันใดนั้น ว่าไข่มุกได้อยู่ที่นั่นแล้วตลอดเวลา.

   ข้อนี้ฉันใด เรื่องของพวกเธอก็เป็นฉันนั้น คือถ้าพวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น กำลังสำคัญผิดเกี่ยวกับ จิต จริงแท้ของตัวเอง คือจับฉวยความจริงไม่ได้ว่า จิต นั่นแหละ คือ พุทธะ ดังนี้แล้ว พวกเธอก็จะต้องเที่ยวแสวงหาพุทธะนั้น ไปในที่ทุกหนทุกแห่ง เฝ้าสาละวนอยู่แต่กับการบำเพ็ญวัตรปฏิบัติ และการเก็บเกี่ยวผลของการปฏิบัติ มีประการต่าง ๆ มัวหวังอยู่แต่การที่จะลุถึงซึ่งความรู้แจ้ง โดยการปฏิบัติที่ค่อยๆ คือ ค่อยๆ คลาน ไปด้วยอาการเช่นนี้เท่านั้น. แต่แม้ว่าจะได้แสวงหา ด้วยความขยันขันแข็งอยู่ตลอดเวลาเป็นกัปป์ ๆ พวกเธอก็ไม่สามารถลุถึงทาง ทางโน้นได้เลย.

   วิธีการอย่างนี้ ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้กับวิธีการชนิดฉับพลัน กล่าวคือการขจัดความคิดปรุงแต่ง โดยอาศัยความรู้อันเด็ดขาด ว่าไม่มีอะไรเลย ที่จะตั้งอยู่อย่างไม่ต้องแปรผัน ไม่มีอะไรเลยที่ควรจะเข้าไปอยู่อาศัย ไม่มีอะไรเลย ที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ.

   มันต้องทำโดยการป้องกัน ไม่ให้ความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้นมาได้เท่านั้น ที่พวกเธอจะสามารถรู้แจ้งเห็นจริงต่อ โพธิ, และเมื่อเธอทำได้ ดังนั้น เธอก็จะเห็นแจ้งต่อ พุทธะ ซึ่งมีอยู่ใน จิต ของเธอเองตลอดเวลาได้จริง!

   ความดิ้นรนตลอดเวลาเป็นกัปป์ ๆ เหล่านั้น จะพิสูจน์ตัวมันเองให้เห็นว่า เป็นความพากเพียรที่เสียแรงเปล่า อย่างมหึมา, เปรียบเหมือนกับเมื่อนักรบผู้นั้นได้พลไข่มุกของเขาแล้ว เขาก็เพียงแต่ค้นพบสิ่งซึ่งแขวนอยู่ที่หน้าผากของเขาเองมาตลอดเวลาแล้วเท่า นั้น, และเหมือนกับการพบไข่มุกของเขานั่นเอง ที่แท้ก็ไม่มีอะรที่ต้องทำเกี่ยวกับความเพียรของเขา ที่ไปเที่ยวค้นหามันทุกหนทุกแห่ง. เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “โดยแท้จริงแล้ว เราตถาคต ไม่ได้ลุถึงผลอะไร จากการตรัสรู้ที่สมบูรณ์ และที่ไม่มีอะไรอื่นยิ่งกว่า.”

   โดยทรงเกรงว่าประชาชนจะไม่เชื่อคำตรัสข้อนี้ พระองค์จึงทรงดึงความสนใจมายังสิ่งซึ่งมนุษย์เห็นได้ โดยการเห็น ๕ วิธี และสิ่งซึ่งมนุษย์พูดกันอยู่แล้ว ด้วยการพูด ๕ วิธีดุจกัน. ดังนั้น คำกล่าวนี้จึงมิใช่คำพูดพล่อย ๆ แต่ประการใดเลย แต่ได้แสดงถึงสัจจะอันสูงสุดทีเดียว.

ฐิตา:


   ๑๑.คำสอนของฮวงโป (ตัวตน)

   นักศึกษา ทาง ทางโน้น ควรจะแน่แก่ใจว่า ธาตุทั้งสี่ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดมี “ตัวตน” ขึ้นมาได้และ “ตัวตน” ก็มิใช่เป็นความมีอยู่จริง และเพราะว่ามันว่างจากข้อเท็จจริงอันนี้เองทำให้ลงสันนิษฐานได้ว่า ร่างกายนั้น ไม่ใช่ทั้ง “ตัวตน” ไม่ใช่ทั้งความมีอยู่จริง

   ยิ่งไปกว่านั้นอีก ส่วนประกอบ ๕ ส่วน ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็น จิต (ตามที่รู้กันอยู่ทั่วไป) ก็ไม่ก่อให้เกิด “ตัวตน” หรือความมีอยู่จริงขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น จึงสันนิษฐานลงไปได้ว่า จิต (ซึ่งเรียกกันว่าตัวตน) นั้น ไม่ได้เป็นทั้ง “ตัวตน” หรือทั้งความมีอยู่จริง

   อวัยวะแห่งอายตนะทั้งหก (รวมสมองอยู่ด้วย) พร้อมทั้งสัญญา ๖ อย่าง และอารมณ์ ๖ ชนิด ของสัญญานั้น ซึ่งได้ก่อให้เกิดโลกทางอายตนะขึ้นมานี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องได้รับการทำความ เข้าใจในทำนองเดียวกันกับที่กล่าวนั้น

   สิ่งทั้ง ๑๘ สิ่ง ซึ่งเนื่องด้วยอายตนะดังที่กล่าวแล้วนั้นจะโดยแยกกันหรือรวมกันก็ตาม ย่อมเป็นของว่าง มันมีอยู่แต่ จิต-ต้นกำเนิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกจำกัดในทุกทิศทุกทาง และประกอบด้วยความไม่มีอะไรเจือปนอย่างเด็ดขาด

ฐิตา:


   ๑๒.คำสอนของฮวงโป (การแบ่งแยก)

   ตามที่กล่าวมาแล้วนี้ ย่อมมีการกินอย่างมีกิเลสตัณหา และการกินอย่างมีสติปัญญา เมื่อร่างกายซึ่งประกอบอยู่ด้วยธาตุทั้งสี่ กระวนกระวายอยู่เพราะการบีบคั้นของความหิว และเธอต้องให้อาหารแก่มัน ถ้าปราศจากการละโมบ ก็เรียกว่าเป็นการกินอย่างมีสติปัญญา

   ในทำนองที่ตรงกันข้าม ถ้าเธอมีความยินดีอย่างตะกละในอาหารที่มีความสะอาดและรสอร่อย ก็ชื่อว่าเธอยอมให้มีการแบ่งแยกเป็นฝักฝ่ายอันเป็นความรู้สึกที่เกิดจากความ เข้าใจผิดขึ้นมาแล้ว การที่เพียงแต่มุ่งจะปรนเปรออวัยวะทางรส โดยปราศจาการรู้แจ้งว่า เมื่อไรหรือเพียงไหน เป็นการบริโภคที่เพียงพอแล้วนั่นแหละ คือการบริโภคอย่างมีกิเลสตัณหา

ฐิตา:


   ๑๓.คำสอนของฮวงโป (วิธีชั้นสุดยอด)

   พวกสาวก(ยาน) ลุถึงการตรัสรู้ โดยการฟังธรรม ดังนั้น เขาจึงถูกเรียกว่า สาวก พวกสาวกเหล่านั้น ไม่มีความเข้าใจอย่างทั่วถึงต่อจิตของตนเอง แต่ก็ได้ยอมให้ความคิดต่าง ๆ เกิดขึ้นจากการฟังธรรมนั้น

   ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้ยินถึงความมีอยู่ของ โพธิ และ นิพพาน โดยทางกำลังจิตที่เหนือธรรมชาติมนุษย์ก็ตาม หรือบังเอิญมีโชคดีก็ตาม หรือจากการได้ยินได้ฟังคำสอนก็ตาม เขาจะลุถึง ความเป็นพุทธะ ได้ ก็ต้องหลังจากเวลาอันยืดยาว ทั้ง ๓ กัปป์ล่วงไปแล้วเท่านั้น วิธีทั้ง ๓ นี้ เป็นวิธีของพวกสาวก(ยาน) ดังนั้นเขาจึงถูกขนานนามว่า สาวกพุทธะ

   แต่การทำตัวเองให้ลืมตาโดยฉับพลันต่อความจริงที่ว่า จิต ของเธอนั่นแหละ คือ พุทธะ และว่า ไม่มีอะไรที่จะต้องบรรลุหรือไม่มีอะไรสักสิ่งเดียวที่จะต้องปฏิบัติ คือวิธีขั้นสุดยอด นี่คือวิธีที่จะทำให้เป็น พุทธะ ได้อย่างแท้จริง
   สิ่งที่ควรกลัวมีอยู่แต่ว่า พวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นเมื่อความคิดเกิดขึ้นแม้แต่เพียงอย่างเดียว ก็จะกลายเป็นว่า เธอได้สร้างสิ่งกีดขวางขึ้น ระหว่างเธอเองกับ ทาง ทางโน้นเสียแล้ว
   จากขณะจิตหนึ่งถึงขณะจิตหนึ่ง ก็ไม่มี (การก่อ) รูป (ของความคิดปรุงแต่ง) จากขณะจิตหนึ่งถึงขณะจิตหนึ่ง ก็ไม่มีการกระทำ (กรรม) นั่นแหละ คือวิธีที่จะเป็น พุทธะ ละ

   ถ้าพวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น ปรารถนาที่จะเป็น พุทธะ พวกเธอไม่ต้องศึกษาคำสอนใด ๆ หมด จงเรียนแต่เพียงว่าทำอย่างไร จึงจะเว้นขาดจากการแสวงหา หรือการผูกพันตัวเองต่อสิ่งทุกสิ่งเท่านั้น เมื่อไม่มีอะไรถูกแสวงหา ข้อนี้หมายความว่า จิต ไม่เกิดเมื่อไม่มีการยึดมั่นถือมั่นอยู่ ข้อนี้หมายความว่า จิต ไม่ถูกทำลาย สิ่งซึ่งไม่เกิดและไม่ถูกทำลาย นั่นแหละ คือ พุทธะ

   วิธีการตั้งแปดหมื่นสี่พันวิธี สำหรับต่อสู้กับสิ่งซึ่งเป็นมายาหลอกลวง จำนวดแปดหมื่นสี่พันอย่างนั้น เป็นเพียงคำพูดอย่างบุคคลาธิษฐาน เพื่อชวนคนให้มาสู่ ประตู นี้เท่านั้น
   ตามที่จริงแล้ว ไม่มีสักอย่างเดียว ที่มีอยู่จริง การสลัดสิ่งทุก ๆ สิ่งออกไปเสีย นั่นแหละ คือ ตัวธรรม ผู้ซึ่งเข้าใจความจริง ข้อนี้นั่นแหละ คือ พุทธะ แต่การสลัดสิ่งที่เป็นมายา ทุกสิ่ง ออกไปเสียนั้น ต้องไม่เหลือธรรมะอะไร ๆ ไว้ให้ยึดถือกันอีกจริง ๆ

ฐิตา:


    ๑๔.คำสอนของฮวงโป (ธรรมกาย)

   ถ้า พวกเธอผู้ซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้น ประสงค์จะได้ความรู้นี้ เรื่องของสิ่งอันเร้นลับใหญ่หลวงนี้ พวกเธอก็เป็นเพียงแต่เว้นขาดจากการยึดมั่นถือมั่นต่อสิ่งทุกสิ่งเสีย เว้นแต่ จิต นั้นอย่างเดียว
   การ กล่าวว่า ธรรมกาย ที่แท้จริงของพุทธะ ย่อมเหมือนกับ ความว่าง นั้น เป็นวิธีกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ของการที่จะกล่าวว่า ธรรมกาย คือ ความว่าง หรือว่า ความว่าง คือ ธรรมกาย ก็ตาม

   คน ทั้งหลายมักจะอวดอ้างว่า ธรรมกาย มีอยู่ในความว่างและว่า ความว่าง บรรจุไว้ซึ่ง ธรรมกาย นี้เป็นเพราะเขาไม่รู้แจ้งเห็นจริงว่าสิ่งทั้งสองนั้นเป็นเพียงของสิ่งเดียว และเป็นอันเดียวกัน แต่ถ้าพวกเธอให้คำจำกัดความลงไปว่า ความว่าง นั้น เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ ถ้าเป็นดังนั้น ความว่าง นั้นก็ไม่ใช่ ธรรมกาย และถ้าพวกเธอให้คำจำกัดความลงไปว่า ธรรมกาย นั้น เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ ถ้าเป็นดังนั้น ธรรมกาย นั้น ก็ไม่ใช่ ความว่าง

   พวก เธอจงเพียงแต่ละเว้นเสียจากความคิด ที่เป็นไปในทางความมีตัวมีตน อันเกี่ยวกับ ความว่าง นั้นเสียเท่านั้น เพราะเมื่อเป็นดังนั้น นั่นแหละ คือ ธรรมกาย และถ้าพวกเธอเพียงแต่ละเว้นเสียจากความคิดที่เป็นไปในทางความมีตัวมีตนใด ๆ อันเกี่ยวกับ ธรรมกาย นั้น เสียเท่านั้นก็พอแล้ว ทำไมเล่า เพราะถ้าเป็นดังนั้น นั่นแหละ คือ ความว่าง
   สิ่ง ทั้งสองนี้ ไม่แตกต่างจากกันและกันเลย หรือนัยหนึ่งก็คือ ไม่มีความแตกต่างใด ๆ ในระหว่างสามัญสัตว์ทั้งปวง กับพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หรือระหว่างสังสารวัฏ กับนิพพาน หรือระหว่างโมหะ กับ โพธิ เมื่อใดรูปบัญญัติเหล่านี้ ถูกเพิกถอนไปแล้วทั้งหมดทั้งสิ้น นั่นแหละ คือ พุทธะ

   คน ธรรมดาสามัญมองดูแต่สิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา พร้อมกันนั้นพวกผู้ปฏิบัติฝ่าย ทาง ทางนี้ ก็มองดูไปยัง จิต แต่ ธรรม ที่แท้จริงนั้น คือ ไม่ใส่ใจมันเลยทั้งสองอย่าง
   อย่าง แรก ง่ายพอใช้ แต่อย่างหลังนั้น ยากมาก คนทั้งหลายไม่กล้าที่จะทำความรู้สึกว่าตนไม่มีจิตของตน โดยกลัวว่าจะตกลงไปใน ความว่าง ซึ่งปราศจากที่เกาะที่ยึด ในการตกนั้น เพราะเขาเหล่านั้นไม่รู้ว่า ความว่าง นั้น ไม่ได้เป็นความว่างอย่างที่พวกเขารู้กันอยู่ตามธรรมดา แต่เป็น “เมือง” แห่ง ธรรม อันแท้จริง

   ธรรมชาติ ที่เป็นความรู้แจ้งทางฝ่ายจิตนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีการเริ่มต้น เป็นของเก่าเท่าความว่าง ไม่อยู่ใต้อำนาจของการเกิดหรือการทำลาย ไม่ตั้งอยู่ หรือไม่ได้ตั้งอยู่ ไม่ใช่ของมีมลทินหรือของบริสุทธิ์ ไม่อึกทึกครึกโครมหรือเงียบสงบ ไม่แก่ไม่หนุ่ม ไม่กินเนื้อที่ ไม่มีภายในไม่มีภายนอก ไม่ขนาด ไม่มีรูปร่าง ไม่มีทั้งสีหรือเสียง

   สิ่ง นี้ เป็นสิ่งซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ หรือเป็นสิ่งที่ถูกแสวงหา ไม่อาจจะเข้าใจได้ด้วยปัญญา หรือความรู้ อธิบายไม่ได้ด้วยคำพูด สัมผัสไม่ได้อย่างวัตถุ หรือไม่อาจลุถึงได้ด้วยการประกอบบุญกุศลใด ๆ
   พระ พุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ รวมทั้งสิ่งซึ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวได้ทั้งหมด ย่อมมีส่วนใน ธรรมชาติของนิพพาน อันใหญ่หลวงนี้ทั้งนั้น ธรรมชาติที่กล่าวนี้ คือ จิต จิต ก็คือ พุทธะ และพุทธะ ก็คือ ธรรม

   ความ คิดใด ๆ ที่ออกไปนอกลู่นอกทาง ของความที่กล่าวนี้ ย่อมเป็นความคิดที่ผิดโดยสิ้นเชิง พวกเธอไม่อาจจะใช้ จิต ให้แสวงหา จิต ใช้พุทธะ ให้แสวงหา พุทธะ หรือใช้ ธรรม ให้แสวงหา ธรรม
   เพราะ ฉะนั้น พวกเธอซึ่งเป็นนักศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นควร จะละเว้นขาดจากความคิดปรุงแต่งเสียทันที ขอให้เข้าใจอย่างเงียบเชียบอย่างเดียวก็เป็นพอ !

   พฤติกรรม ทางจิตไม่ว่าชนิดไหนหมด ย่อมนำเราไปสู่ความผิดพลาดทั้งนั้น มีสิ่งที่ต้องทำอยู่ก็แต่เพียงการถ่ายทอด จิต ด้วย จิต เท่านั้น นี้คือทัศนะอย่างเดียวที่ต้องถือไว้
   จง ระวังอย่าให้เพ่งเล็งไปทางภายนอก ไปยังสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทางวัตถุ การเข้าใจผิดว่าสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ทางวัตถุ มีอยู่เพื่อ จิต นั้น ก็เท่ากับไปเข้าใจโจร ว่าเป็นลูกของเธอ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version