แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น

คำสอนของฮวงโป พุทธทาสภิกขุ แปลเรียบเรียง

<< < (7/8) > >>

ฐิตา:


   ๓๐.คำสอนของฮวงโป (เด็กสวาปาม)

   บัด นี้ถ้าเธอมัวแต่สาละวนในการใช้จิตของเธอเอง แสวงหา จิต มัวอยู่แต่จะฟังคำสอนจากผู้อื่น และหวังอยู่แต่จะลุถึงจุดหมายปลายทางด้วยการศึกษาล้วน ๆ แล้ว เมื่อไรเล่า เธอจึงจะประสบความสำเร็จสักที ?
   คนโบราณบางคน มีจิตใจแหลมคม เขารีบสลัดความรู้สึกทั้งหมดเสียได้ ในทันทีที่ได้รับฟังธรรมซึ่งประกาศออกมา ดังนั้นเขาจึงได้นามว่า “ปราชญ์ผู้ซึ่งสลัดการศึกษาเสียได้ แล้วมาอาศัยอยู่กับการโพล่งรวดเดียวถึงตัว ธรรมะ ได้ในตัวมันเอง”

   คนในทุกวันนี้ได้แต่แสวงหาเพื่อจะยัดไส้ตัวเอง  ด้วยความรู้และความสามารถในการใช้เหตุผลทางอนุมาน แสวงหาความรู้ทางพระคัมภีร์อยู่ทุกหนทุกแห่ง และเรียกการทำอย่างนั้น ว่าการปฏิบัติธรรม เขาเหล่านั้นไม่รู้ ว่าความรู้และสติปัญญาชนิดนั้น ยิ่งมีมากก็ยิ่งมีผลในทางตรงกันข้าม คือเป็นการสุมกองสิ่งกีดขวาง ให้สูงยิ่งขึ้นไปอีกนั่นเอง  ลำพังการรวบเอาความรู้ต่าง ๆ เข้าไว้อย่างท่วมหัวนั้น มันเหมือนกับเด็กที่ทำตนให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย เพราะสวาปามเต้าหู้เข้าไปมากเกินไป พวกที่ศึกษาเรื่อง ทาง ทางโน้นตามแบบของพวก ตรียาน นั้น เหมือนกับเด็กคนนี้ทุกอย่าง ทั้งหมดเท่าที่เธอจะเรียกคนพวกนี้ให้ดีที่สุดได้ ก็คือเรียกเขาว่า พวกคนที่เดือดร้อนเพราะท้องเสีย

   เมื่อสิ่งที่เรียกว่า ความรู้และสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดชนิดนั้นเกิดย่อยไม่ได้ขึ้นมา มันก็กลายเป็นพิษขึ้น เพราะมันเป็นได้แต่เพียงของในเครือเดียวกันกับสังสารวัฏเท่านั้น ในฝ่าย ธรรมอันสูงสุด นั้น ไม่มีของชนิดนี้เลย ดังนั้นจึงมีคำกล่าวไว้ว่า “ในคลังแสงสรรพาวุธแห่งราชาธิปัตย์ของข้า หามี ดาบแห่งความเป็นเช่นนั้นไม่” ดังนี้

   ความคิดรูปต่าง ๆ ซึ่งเธอได้ก่อมันขึ้นในอดีต (เหลืออยู่ในรูปแห่งสัญญาต่าง ๆ) นั้นต้องสลัดทิ้งเสียให้หมด แล้วเข้าแทนที่ไว้ด้วยความว่าง เมื่อใดคติทวินิยม สิ้นสุดลง เมื่อนั้นก็มี ความว่างแห่งตถาคตครรภ์
   คำว่า “ตถาคตครรภ์” หมายถึงสิ่งที่ไม่มีเนื้อที่พอให้สิ่งใดซึ่งมีขนาดแม้เท่าเส้นขนที่เล็กที่ สุด ตั้งอยู่ได้ นั่นแหละ คือข้อที่ว่าเหตุใด พระธรรมราชา (พระพุทธเจ้า) ผู้ที่ได้ทำลายความยึดถือว่ามีตัวมีตนลงเสียได้ ได้ทรงแสดงพระองค์ให้ปรากฏออกมาในโลกนี้ และนั่นแหละคือข้อที่ทำไมพระองค์จึงตรัสว่า “เมื่อเราอยู่ในที่เฉพาะพระพักตร์พระพุทธทีปังกร เรารู้สึกว่าไม่มีอะไร แม้แต่อนุภาคเดียวสำหรับเราเพื่อจะบรรลุถึง” ดังนี้

   คำตรัสนี้ เป็นคำตรัสที่มุ่งหมายโดยตรง เพื่อทำให้ความรู้และสติปัญญาชนิดนั้น ของพวกเธอ ให้เป็นของว่างไปเสีย
   มีแต่พวกที่เว้นขาดจากร่องรอย ของการปฏิบัติอย่างคว้าไปคว้ามา เพราะติดแน่นในความรู้ของตน (ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น) ทุกอย่างทุกชนิดเสียได้ และเว้นขาดจากการหวังพึ่งสิ่งใด ๆ ทั้งหมดแล้วเท่านั้นที่จะสามารถเป็นผู้สงบถึงที่สุดได้
   คำสอนตามพระคัมภีร์ ของยานทั้งสามนั้น ก็เป็นแต่เพียงยาบำบัดความเจ็บไข้ ในขั้นปฐมพยาบาลเท่านั้น คำสอนเหล่านั้นถูกสอนไปเพื่อสนองความต้องการในทำนองนั้น ดังนั้นมันจึงเป็นของมีคุณค่าเพียงชั่วคราว และขัดกันไปขัดกันมา อยู่ในตัวมันเอง ถ้าเพียงแต่ความจริงข้อนี้ เป็นที่กระจ่างกันแล้ว ก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่ให้เห็นที่สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป

   ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดก็คือ มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะไม่ไปเลือกเอาคำสอนที่เหมาะเฉพาะบางโอกาส บางเรื่อง แล้วเอามาถือว่ามันเป็นความคิดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกต่อไป เพราะมันจับใจเขา โดยการที่มันปรากฏอยู่เป็นส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ ทำไมจึงเป็นดังนั้นเล่า ? เพราะว่าตามความจริงดังนั้น ไม่มีธรรม (สิ่ง) ใดที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ซึ่งความข้อนี้ พระตถาคตก็ได้ประกาศไว้แล้ว คนในนิกายเราจะไม่แย้งเลย ในข้อที่ว่า สิ่งทำนองนี้คงจะมีได้
   เรารู้จักทำให้การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทางจิต หยุดเสียทั้งหมดเท่านั้น และเพราะเหตุนั้น ย่อมได้รับความสงบอันแท้จริง โดยแน่นอนเราไม่ควรตั้งต้นด้วยการคิดสิ่งต่าง ๆ ออกมามากมาย แล้วจบลงแค่ความฉงนสนเท่ห์นานาชนิด

ฐิตา:


   ๓๑.คำสอนของฮวงโป (มายา)

   ถาม   จากข้อความทั้งหมด เท่าที่อาจารย์ได้กล่าวไปแล้ว ได้ความว่า จิต คือ พุทธะ แต่มันไม่กระจ่างในข้อที่ว่า หมายถึงจิตชนิดไหนในประโยคที่ว่า “จิต” ซึ่งเป็น “พุทธะ” นั้น ?
   ตอบ   เธอมีจิตอยู่แล้วกี่มากน้อยเล่า ?

   ถาม   ก็แต่ว่า พุทธะนั้น เป็นจิตธรรมดา หรือจิตที่ตรัสรู้แล้วเล่า ?
   ตอบ  ก็ในโลกนี้ ที่ตรงไหนเล่า ที่เธอเก็บจิตธรรมดา และจิตที่ตรัสรู้แล้ว ของเธอไว้ ?

   ถาม   ในคำสอนของ ยานทั้งสาม มีกล่าวไว้ว่า มีจิตอยู่ทั้งสองอย่าง ทำไมท่านอาจารย์จึงปฏิเสธมันเสียเล่า ?
   ตอบ  ในคำสอนแห่ง ยานทั้งสาม นั้น มีการอธิบายอย่างกระจ่างอยู่แล้วว่าทั้งจิตธรรมดา และจิตที่ตรัสรู้แล้วนั้น ก็ล้วนแต่เป็นมายา เธอไม่เข้าใจเอง ความยึดมั่นต่อความคิดว่าสิ่งทั้งปวงมีอยู่ทั้งหมดนี้เป็นความสำคัญผิด ไปเอาของลวงเหล่านั้นมาเป็นสัจจะ ความคิดต่าง ๆ ชนิดนั้น จะไม่เป็นมายาได้อย่างไรกัน ? เมื่อเป็นมายา มันก็บังจิตนั้น เสียจากเธอ

   ถ้าเธอเพียงแต่ขจัดความคิดว่ามีจิตธรรมดา มีจิตตรัสรู้แล้วนั้นออกไปเสียจากเธอเท่านั้น เธอจะพบว่าไม่มีพุทธะอะไรที่ไหนอีกนอกจาก พุทธะ ในจิตของตนเอง
   เมื่อท่านอาจารย์โพธิธรรม จากตะวันตกมาถึง ท่านได้ชี้ออกไปว่า สิ่งซึ่งคนทุกคนมีส่วนประกอบร่วมอยู่ด้วยนั่นแหละคือ พุทธะ คนจำพวกเธอ พากันเตลิดไปด้วยความเข้าใจผิด คือไปจับฉวยเอาความคิดเช่นว่า “อย่างธรรมดา” หรือ “อย่างตรัสรู้แล้ว” ขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็บังคับความคิดต่าง ๆ ของเธอให้เตลิดออกไปข้างนอก สู่ที่ซึ่งมันพากันควบห้อไปเหมือนกะม้า ! ดังนั้นฉันจึงขอบอกเธอ ว่า จิต คือ พุทธะ
   ในทันทีที่ความคิด หรือความรู้สึกทางอายตนะเกิดขึ้น พวกเธอก็พลัดตกลงสู่คติทวินิยม กาลเวลาทั้งหมด ซึ่งปราศจากการตั้งต้น และขณะซึ่งเป็นปัจจุบันขณะหนึ่งนั้นเป็นของอันเดียวกัน ไม่มีนี้ ไม่มีโน้น การเข้าใจซึมซาบในสัจจะข้อนี้ เรียกว่าการรู้แจ้งเห็นจริงที่สมบูรณ์และไม่มีอะไรเหนือกว่า

   ถาม   ถ้อยคำที่ท่านอาจารย์กล่าวมานี้ มีรากฐานอยู่บนหลักธรรมอะไร ?
   ตอบ   เอ้า ! หาหลักหาเหลิกกันทำไมอีกเล่า ? พอสักว่าเธอมีหลักเท่านั้นเธอก็พลัดผลุงลงไปสู่ความคิดแบบคติทวินิยมทันที

   ถาม   เมื่อตะกี้นี้เอง ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงอดีตซึ่งไม่มีใครรู้ว่าตั้งต้นเมื่อไร กับปัจจุบันนั้น เป็นของอันเดียวกัน ด้วยการกล่าวอย่างนั้น ท่านอาจารย์หมายถึงอะไร ?
   ตอบ   มันเป็นเพราะการแสวงหาด้วยความอยากของเธอแท้ ๆ นี้ ที่เธอไปทำมันให้มีความแตกต่างกันขึ้น ระหว่างของสองอย่าง ถ้าเธอจะหยุดการแสวงหาด้วยความอยากเสียได้ แล้วมันจะมีความแตกต่าง ๆ ในระหว่างของสองอย่างนี้ได้อย่างไร ?

   ถาม   ถ้ามันไม่แตกต่างกันแล้ว ทำไมท่านอาจารย์จึงใช้คำเรียกมันต่างกันเล่า ?
   ตอบ   ถ้าเธอไม่ไปเอ่ยถึง “อย่างธรรมดา” กับ “อย่างตรัสรู้แล้ว” ขึ้นมาแล้ว ใครเล่าจะอยากลำบาก ไปพูดกันถึงเรื่องชนิดนี้ ในเมื่อสิ่งซึ่งจัดเป็นอย่าง ๆ พวก ๆ เหล่านั้น ก็มิได้มีอยู่จริง แล้ว จิต ก็มิได้เป็น “จิต” จริง และเมื่อทั้ง จิต และทั้งสิ่งซึ่งถูกจัดเป็นอย่าง ๆ พวก ๆ เหล่านั้น โดยแท้จริงเป็นมายา แล้วเธอจะหวังหาสิ่งใด ๆ ได้ที่ไหนกันเล่า ?

ฐิตา:


   ๓๒.คำสอนของฮวงโป (ฉันจะปล่อยเสียทั้งสองมือ)

   ถาม   มายา ได้บัง จิต ของเราเอง เสียจากเรา แต่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ท่านอาจารย์ก็ยังไม่ได้สอนพวกเรา ว่าทำอย่างไร จึงจะกำจัดมายานั้นเสียได้ ?
   ตอบ   การเกิดขึ้นของมายาก็ดี การถอนมายาออกเสียได้ก็ดี ล้วนแต่เป็นมายาด้วยกัน มายามิใช่สิ่งซึ่งมีรกรากอยู่ใน ความจริง มันตั้งอยู่ได้ ก็เพราะความคิดแบบทวินิยมของพวกเธอ ถ้าพวกเธอเพียงแต่หยุดปล่อยตนไปตามความคิดที่ทำให้เกิดของเป็นคู่ตรงกันข้าม เช่น “อย่างธรรมดา” กับ “อย่างตรัสรู้แล้ว” เสียเท่านั้น มายาก็จะสิ้นสุดลงไปได้เองทันที และแล้วถ้าเธอยังขืนอยากจะทำลายมัน ในที่ทุก ๆ แห่งที่มันอาจจะมีอยู่ เธอจะพบว่า ไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย แม้แต่เท่าเส้นขนเดียว ให้เธอเกาะ นี่แหละ คือความหมายของคำที่ว่า “ฉันจะปล่อยเสียทั้งสองมือ” เพราะเมื่อเป็นดังนั้นแล้ว ฉันจะพบ พุทธะ ใน จิต ของฉันโดยแน่แท้ นั่นเอง

   ถาม   ถ้าไม่มีอะไรให้เกาะยึดเสียเลยแล้ว ธรรมะ จะถูกถ่ายทอดได้อย่างไรกัน ?
   ตอบ   มันเป็นการถ่ายทอด จิต ด้วย จิต

   ถาม   ถ้า จิต เป็นสิ่งที่ถูกใช้สำหรับการถ่ายทอด ทำไมท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า จิต ก็ไม่ได้ตั้งอยู่เหมือนกัน ดังนี้เล่า ?
   ตอบ   การไม่ได้รับ ธรรมะ อะไรเลย นั่นแหละ เรียกว่าการถ่ายทอดจิต การเข้าใจซึมซาบ จิต ชนิดนี้ หมายความว่าไม่มี จิต และไม่มี ธรรมะ

   ถาม   ถ้าไม่มี จิต และไม่มี ธรรมะ แล้ว การถ่ายทอด หมายถึงอะไรกันเล่า ?
   ตอบ   พวกเธอได้ยินคนเขาพูดกันถึงการถ่ายทอด จิต แล้วพวกเธอก็พูดกันถึงอะไรบางอย่าง ที่พวกเธอเองหวังว่าจะได้รับ ดังนั้น ท่านอาจารย์โพธิธรรม จึงได้กล่าวว่า ...

   ธรรมชาติแท้ของ จิต นั้น ถ้าเข้าใจซึมซาบแล้ว
   คำพูดของมนุษย์ ไม่สามารถหว่านล้อม หรือเปิดเผยมันได้
   ความตรัสรู้ คือความไม่มีอะไรให้ต้องลุถึง
   และผู้ซึ่งได้ตรัสรู้แล้ว ก็ไม่พูด ว่าเขารู้อะไร

   ถ้าเผอิญอาตมาทำความกระจ่างในข้อนี้ให้แก่พวกเธอ อาตมาสงสัยว่าพวกเธอจะทนมันไหวหรือ ?

ฐิตา:


   ๓๓.คำสอนของฮวงโป (เงาสะท้อน)

   ถาม   ความว่าง ซึ่งเห็นแผ่อยู่ตรงหน้าเรา ในสายตาของเรานั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ว่ามีอยู่จริง เมื่อเป็นดังนั้น มิเป็นว่า ท่านอาจารย์กำลังชี้ไปยังสิ่งบางสิ่ง ซึ่งเห็น ๆ อยู่ และกำลังเห็น จิต อยู่ อยู่ในมันไปหรือ ?
   ตอบ   จิตชนิดไหนกันนะ ! ที่ ฉันจะอาจบอกให้เธอดูได้ ในสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นวิสัยแห่งการดูด้วยตา ? สมมติว่าเธอดูเห็นได้ มันจะเป็นแต่เพียง จิต ส่วนที่เป็นแสงสะท้อนกลับ อยู่ตามสิ่งต่าง ๆ ที่เห็นได้ด้วยตาเท่านั้นเอง เธอจะเป็นเหมือนคนที่กำลังมองดูหน้าตัวเองในกระจกเงา แม้เธออาจจะเห็นมันได้กระจ่างเหมือนของจริงไปทุกอย่าง เธอก็ยังคงเป็นเพียงแต่ผู้มองอยู่ที่เงาสะท้อนล้วน ๆ เท่านั้นเอง นี่มันมีผลคุ้มค่าอะไรที่ไหนกัน ที่ทำให้พวกเธอต้องวิ่งมาหาอาตมา ?

   ถาม   ถ้าไม่ให้เราเห็นด้วยอำนาจของแสงสะท้อนแล้ว เมื่อไรเล่าเราจะเห็นกันได้สักที ?
   ตอบ   ตลอดเวลาที่พวกเธอยังฝากตัวเองไว้กับ “ด้วยอำนาจของ” อยู่ดังนี้ พวกเธอก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งที่เป็นมายาบางสิ่งอยู่ร่ำไป เมื่อไรพวกเธอจะเข้าใจได้สำเร็จกันสักทีนะ ? แทนที่จะปฏิบัติตามผู้ที่บอกให้เธออ้ามือกว้างทั้งหมดทั้งสองมือ เหมือนคนที่ไม่มีอะไรจะปล่อยอีกแล้ว เธอก็มัวไปเสียแรงงานในการเที่ยวโอ้อวด ว่ามีอะไรสารพัดอย่าง

   ถาม   แม้ผู้ที่เข้าใจเรื่องแสงสะท้อนดี แสงสะท้อนก็ยังไม่มีอยู่อีกหรือ ?
   ตอบ   ถ้าของเป็นดุ้น ๆ ก็ยังไม่มีตัวตนที่ตั้งอยู่เสียแล้ว มันจะยิ่งไม่มีมากลงไปอีกสักเท่าไร ในการที่เราจะเอาอะไรกับสิ่งที่เป็นเพียงแสงสะท้อน อย่าเที่ยวได้พูดพร่ำเหมือนคนเดินฝันลืมตา (คนเดินละเมอ) ไปให้มากเลย
   เมื่อก้าวเข้าไปในศาลาธรรมประจำเมือง ท่านอาจารย์ได้ประกาศออกมาว่า “การ มีความรู้ต่าง ๆ มากมายหลายประเภทนั้น ไม่อาจจะเปรียบกับการที่สามารถเพิกถอนเสียได้ซึ่งการแสวงหาทุกสิ่ง ซึ่งการทำได้อย่างนั้น เป็นสิ่งเลิศสุดเหนือสิ่งทั้งปวง จิต มิได้เป็นสิ่งที่มีมากมายหลายชนิด ไม่มีหลักธรรมแท้จริงอะไร ที่อาจจะพูดกันได้โดยทางคำพูด”

   เมื่อไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ก็ต้องเลิกประชุม

ฐิตา:


   ๓๔.คำสอนของฮวงโป (กาฝาก)

   ถาม   สัจจะอย่างโลก หมายความว่าอะไร ?

   ตอบ   เธอจะไปทำอะไรกับไม้กาฝากชนิดนั้นนะ ? ความจริงคือความบริสุทธิ์ถึงที่สุด ทำไมจะต้องไปถกกันถึงคำที่ไม่บริสุทธิ์เหล่านั้นเล่า ? ความที่ปราศจากความคิดนึกต่าง ๆ อย่างเด็ดขาด เรียกว่า ปรีชาของความมีจิตปรกติ
   ทกวันไม่ว่าเดินอยู่ ยืนอยู่ นั่งอยู่ หรือนอนอยู่ก็ตาม หรือในการพูดจาทั้งหมดก็ตาม จงยังคงเป็นผู้มีจิตปราศจากการยึดถือทุก ๆ อย่างในสิ่งแวดล้อมทั้งปวง ไม่ว่าจะพูด หรือแม้เพียงแต่กระพริบตา ขอให้ทำมันไปด้วยความที่จิตปรกติถึงที่สุด

   เดี๋ยวนี้ เรากำลังอยู่ในตอนปลายของระยะห้าร้อยปีที่ ๓ นับแต่พุทธปรินิพพานมา นักศึกษาเซ็นแทบทั้งหมด ได้เอียงไปในทางยึดถือเสียงและรูปทุกชนิด
   ทำไมพวกเธอจึงไม่ลอกแบบเรา ด้วยการปลดเปลื้องความคิดทุกอย่างออกไปเสีย ราวกะว่ามันมิได้มีอยู่เลย หรือราวกะว่ามันเป็นไม้ผุ ๆ ชิ้นหนึ่ง หิน ก้อนหนึ่ง หรือขี้เถ้าที่ชดแล้วเท่านั้นเล่า ? หรือลอกแบบเรา ด้วยการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างแผ่วเบาที่สุด เท่าที่ควรจะทำได้ ในแต่ละโอกาสเล่า ? ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้น และเผอิญตายลงเดี๋ยวนี้ เธอจะถูกทรมานโดยยมบาล

   พวก เธอต้องหลีกเลี่ยงจากคำสอนเรื่องความมีอยู่ และเรื่องความไม่มีอยู่เสียให้หมด เพราะ จิต นั้น เหมือนกับดวงอาทิตย์ในข้อที่มันอยู่ในความว่างตลอดนิรันดร ส่องแสงได้โดยธรรมชาติของมันเอง และส่องแสงโดยไม่ตั้งใจจะส่องแสง นี่ไม่ใช่สิ่งซึ่งพวกเธออาจจะทำให้สำเร็จได้ โดยปราศจากความพากเพียร แต่เมื่อเธอลุถึงขั้นที่ไม่มีความยึดถือต่อสิ่งใด ๆ หมดแล้ว เธอก็จะเป็นผู้ที่ทำอยู่เหมือนที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านทำ
   การทำอย่างนี้ จะเป็นการกระทำที่เข้าร่องเข้ารอยกันได้จริง ๆ กับคำที่กล่าวว่า “จง ทำจิตให้เป็นจิตชนิดที่ไม่อิงอาศัยอยู่บนอะไรเลย เพราะว่านี่แหละ คือ ธรรมกายแท้ ของเธอ ซึ่งเรียกได้ว่า การตรัสรู้ที่สมบูรณ์ถึงที่สุด

   ถ้าเธอไม่สามารถเข้าใจซึมซาบในข้อนี้ แม้เธอจะมีความรู้อย่างลึกซึ้งจากการศึกษาของเธอ หรือแม้เธอจะมีความพากเพียรอย่างสาหัส และบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างตึงเครียดที่สุด เธอก็จะยังคงล้มเหลวต่อการรู้แจ้งถึงจิตของเธอเองอยู่นั่นเอง ความพยายามทั้งหมดของเธอจะเดินทางผิด และเธอก็จะเข้าไปสมทบในครอบครัวของมาร โดยแน่นอน อานิสงส์อะไรกัน ที่เธอจะได้รับจากวัตรปฏิบัติชนิดนี้ ?

   มันเหมือนกับที่ครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์ ชิกุง ได้พูดไว้ว่า “พุทธะ นั้น คือสิ่งซึ่งจิตของเธอเองสร้างขึ้นแท้ ๆ เมื่อเป็นดังนั้น จะแสวงหา พุทธะ นั้น จากพระคัมภีร์ต่าง ๆ ได้อย่างไรกัน ?” ดังนี้
   แม้พวกเธอจะได้ศึกษาถึงเรื่อง ทำอย่างไรจึงจะบรรลุถึงความเป็นพระโพธิสัตว์สามประเภท ความเป็นพระอรหันต์สี่ประเภท และภูมิทั้งสิบแห่งความก้าวหน้า ต่อการตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ จนกระทั่งใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้เหล่านี้แล้วก็ตาม เธอก็จะยังคงทำตัวให้เคว้งคว้างอยู่ตรงกลางระหว่าง “อย่างธรรมดา” และ “อย่างตรัสรู้แล้ว อยู่นั่นเอง

   การที่ไม่ดูให้รู้ว่าวิธีการแห่งการปฏิบัติ เพื่อลุถึง ทาง ทางโน้นทุกวิธี ล้วนแต่กินเวลานิดเดียวทั้งนั้น นั่นเป็นสังสาริกธรรม (คือสิ่งที่ทำให้เวียนว่ายไปในวัฏสงสาร ไม่รู้สร่าง)

   แรงยิงของมัน เมื่อใช้ไปแล้วครั้งเดียว (ก็หมด) ลุกศรก็ตกดิน
   พวกเธอสร้างขึ้นแต่ชีวิตชนิดที่ไม่ทำให้ความหวังของเธอเต็มได้
   ช่างอยู่ต่ำกว่าประตู โคตรภู เสียนี่กระไร
   ซึ่งจากนั้น กระโดดแผล็บเดียว ก็ถึง พุทธเกษตร !

   มันเป็นเพราะว่า เธอไม่อยู่ในพวกที่กระโดดแผล็บเดียวถึง เธอจึงยังคงดันทุรังไปในทางที่จะเรียนให้ทั่วจบถึงวิธีการต่าง ๆ ที่พวกคนโบราณตั้งไว้ เพื่อการมีความรู้ที่ยังอยู่ในระดับของความคิดปรุงแต่ง
   ท่านอาจารย์ ชิกุง ยังได้กล่าวไว้ด้วยว่า “ถ้าเธอไม่พบอาจารย์ชั้นยอด เธอก็กลืนยามหายานเข้าไป เป็นหมันเปล่า ?” ดังนี้

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version