ผู้เขียน หัวข้อ: สมาธิกับญาน? :ภูเตศวร  (อ่าน 1298 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฐิตา

  • ทีมงานดอกแก้วกลิ่นธรรม
  • ต้นสักทองเรืองรองฤทธิ์
  • *
  • กระทู้: 7459
  • พลังกัลยาณมิตร 2236
    • ดูรายละเอียด
สมาธิกับญาน? :ภูเตศวร
« เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2012, 11:00:22 pm »


สมาธิกับญาน? 
 
สิ่งที่อยากจะพูดจะกล่าวในวันนี้คือคำว่า สมาธิกับฌาน  ที่เราท่านต่างได้ยินได้ฟังกันมาชินหู  โดยเฉพาะเวลาสนทนาธรรมและร่วมปฏิบัติธรรม  เช่น การปฏิบัติธรรมให้ได้ผลต้องทำสมาธิภาวนา  หรือคุณได้สมาธิขั้นไหนแล้ว  จิตตั้งมั่นในสมาธิแค่ไหน  ฯลฯ
ส่วนฝ่ายหนึ่งอาจถนัดอยู่กับ  การกล่าวที่เกี่ยวข้องกับ ‘ฌาน’ เช่นพระสงฆ์องค์นี้องค์นั้นได้ฌานแล้ว คุณได้ฌานขั้นไหน ฯลฯ
ดังกล่าวข้างต้นก็ยังมีอีก  “พระองค์นี้ท่านสำเร็จสมาธิขั้นสูง” เพราะประการดังกล่าว จึงทำให้หลายคนสงสัย ‘ฌาน’ กับ ‘สมาธิ’ ต่างกันอย่างไรกันแน่ เพราะบางครั้ง ในการปฏิบัติจิตได้กล่าวถึงสมาธิ บางครั้งบางกล่าวถึงฌาน จนยากแยกแยะกลายเป็นความสับสนไป
ครั้งแรกไม่อยากเขียนถึงเรื่องนี้  เพราะหลายปีที่ผ่านมา ธรรมะ ๕ นาทีได้เดินทางมายาวไกลจนรู้สึกว่าปัญหาแห่งคำถามนี้เป็นปัญหาที่ตื้นเขิน  แต่เมื่อทบทวนไปมาหลายคราก็ได้ความรู้ว่า ‘ปลาใหญ่มักตายน้ำตื้น’ เหมือนหลาย ๆ ครั้งของการปฏิบัติภาวนาที่ไม่ประสบความสำเร็จ มักเกี่ยวข้องกับความวิตกลังเลสงสัยในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ เหมือนเครื่องยนต์กลไกใหญ่ที่ไม่อาจทำงานได้ เพียงแค่เม็ดทราย เล็ก ๆ เข้าไปอยู่ในเครื่อง
 
สมาธิและฌาน ในพระพุทธศาสนามีมากมายหลายประเภทและพิสดาร  แต่ที่พระบรมศาสดาทรงตรัสไว้เป็นมาตรฐานในการเจริญเพื่อทิพยอำนาจนั้น  ได้แก่  ฌาน ๔ ประการ  ที่เรียกตามลำดับว่า  ปฐมฌาน  ทุติยฌาน  ตติยฌาน  และจตุตถฌาน
‘ฌาน ๔ ประการนี้ตรัสเรียกว่า สัมมาสมาธิ
สมาธิกับฌาน  มีความหมายกว้างแคบกว่ากัน  คือสมาธิมีความหมายกว้างกว่าฌาน  จากความสงบของใจตั้งแต่ขั้นต่ำ ๆ เพียงชั่วขณะหนึ่งจนถึงขั้นสงบสูงสุดไม่มีอารมณ์กำหนดสามารถเรียกว่าสมาธิได้ทั้งนั้น เช่น  ความสงบเล็กน้อยชั่วขณะ  เรียกว่า  ขณิกสมาธิ  สมาธิระดับนี้เกิดขึ้นได้น้อย  เช่นเวลาทำงานอ่านหนังสือ  ขับรถอย่างมีสติจดจ่อ  เป็นสมาธิที่มีได้แต่สามัญชนทั่วไป
อุปจารสมาธิ  ความสงบใกล้ต่อความเป็นฌาน  หรือที่เรียกว่าสมาธิขั้นเฉียดฌาน   อัปปนาสมาธิ  ความสงบแน่วแน่เป็นฌาน
สุญญตสมาธิ  สงบว่างโปร่ง  อนิมิตตสมาธิ  สงบไม่มีอารมณ์ปรุงแต่ง  อัปปณิหิตสมาธิ  สงบไม่มีที่ตั้งลงคือหาฐานรองรับความสงบเยี่ยงนั้นไม่มี  สมาธิเหล่านี้เป็นสมาธิชั้นสูงมีได้แก่คนบางคนเท่านั้น
ส่วน ‘ฌาน’ มีความหมายจำกัดวงแคบ ๆ คือมีองค์หรืออารมณ์เป็นเครื่องกำหนดโดยเฉพาะเป็นอย่าง ๆ ไปเช่น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน สี่อย่างนี้เป็นรูปฌาน สูงขึ้นไปเป็นอรูปฌาน เช่นอากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญยตนะ อากิญจัญญายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ข้อกำหนดแห่งฌานมีอารมณ์ขึ้นต้นไม่กำหนด  แต่มีองค์เป็นเครื่องหมาย  คือจิตเพ่งพินิจจดจ่ออยู่ในอารมณ์เดียวจนสงบลง  มีองค์แห่งฌานปรากฏขึ้นครบห้าก็เป็นปฐมฌาน  ดังคำแปลจากพระบาลีดังนี้
สงัดเงียบจากกามสงัดเงียบจากกุศลธรรมแล้วเข้าปฐมฌาน  ซึ่งมีวิตก  วิจาร มีปีติและสุขเกิดจากความวิเวกอยู่
ทุติยฌาน  ระงับวิตก  วิจาร แล้วเข้าทุติยฌาน  ซึ่งมีความผ่องใสภายใน  มีความเด่นเป็นดวงเดียวของจิตใจมีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่   ตติยฌาน  สำรอกปีติแล้วเข้าตติยฌาน  ซึ่งเป็นผู้วางเฉย  มีสติสัมปชัญญะและเสวยสุขด้วยกายที่พระอริยเจ้ากล่าวว่า  ผู้วางเฉยมีสติอยู่เป็นสุขดังนี้
จตุตถฌาน  ละลุขละทุกข์ได้  ดับโสมนัสโทมนัสแล้วเข้าจตุตถฌาน  ซึ่งไม่มีสุขไม่มีทุกข์   มีแต่อุเบกขากับสติและความบริสุทธิ์ของจิตเท่านั้น
 
คำว่า ‘อารมณ์ของฌาน’  ยังต้องทำความเข้าใจต่ออีกถ้าผู้บำเพ็ญกำหนดอารมณ์ขั้นต้น  โดยมี อสุภะเป็นอารมณ์เรียกว่าอสุภฌาน  เมตตาฌาน  กำหนดเมตตาเป็นอารมณ์  เรียกว่าเมตตาฌาน  มีสติปัฏฐานเป็นอารมณ์  อนุสสติเป็นอารมณ์  เช่นพุทธานุสติ  เทวตานุสติ  อานาปานสติ เป็นต้น
 
อุตส่าห์ว่ามาถึงตรงนี้แล้วก็ขอพูดถึงการเข้าถึงฌานแบบง่าย ๆ เข้าใจง่าย ๆ กันดีกว่า ว่าการจะทำอะไรให้สำเร็จได้  ก่อนอื่นก็ต้องทำความเข้าใจในอุปสรรคนั้นเสียก่อน  อุปสรรคแห่งฌานมี นิวรณ์ ๕ คือ ‘กามฉันทะ’  ความติดใจในกามคุณ  ‘พยาบาท’ คือความขุ่นแค้น  ‘ถีนมิทธะ’ ความท้อแท้ซึมเซา  ‘วิจิกิจฉา’ ความลังเลสงสัย  กิเลสห้าประการนี้แม้อย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาครองใจ  จะเสียอำนาจ เสียกำลัง  เสียปัญญาไปทันที
ในนิวรณ์ ๕   ข้อแรกคือกามคุณ  และกามคุณมีอยู่ ๕ อย่าง คือ รูป  รส  กลิ่น  เสียง  โผฏฐัพพะ  พระพุทธเจ้าตรัสเรียกกามคุณนี้ว่า ‘สัมพาธ’ คือสิ่งคับแคบ เมื่อใจไปอยู่กับสิ่งคับแคบก็เกิดความรู้สึกคับแคบขึ้นในใจ ฉะนั้น ฌานตั้งแต่ปฐมฌานไป ตรัสเรียกว่า ‘โอกาสาธิคม’ คือความว่างโปร่งหรือช่องว่าง ใจที่เข้าไปถึงความสงบว่างโปร่ง

เมื่อกามคุณทั้ง ๕ ยังมีอำนาจยั่วใจให้เกิดกำหนัด  ขุ่นแค้น  ท้อใจ  อ่อนใจ  ทำให้ใจอ่อนเปลี้ย  เป็นสองจิตสองใจขึ้น  เหมือนทางแยกที่ไม่รู้จะไปทางไหนถูก  กามคุณและกิเลสลักษณะดังกล่าวนี้ยังมีอำนาจเหนือใจ  จิตจะสงบเป็นสมาธิเป็นฌานไม่ได้อย่างแน่นอน
และถ้าเมื่อใดกามคุณ ๕ สงบลง  นิวรณ์ ๕ ดังกล่าวถูกขจัดได้  เมื่อนั้นจิตจะสงบเป็นสมาธิเป็นฌาน  ถึงสภาพโปร่งใจที่เรียกว่าโอกาสาธิคมทันที
ปฐมฌานที่กำหนดลักษณะเบื้องต้นว่า  สงัดจากกามและอกุศลธรรมก็หมายถึงสงัดจากกามคุณ ๕ นิวรณ์ ๕ นั่นเอง
ใครทำได้อย่างนี้ในเวลาปฏิบัติสมาธิภาวนานั่นแหละถึงจะเรียกว่า ‘ได้ฌาน’ ครับผม
ไม่ใช่เห็นอะไรวูบ ๆ วาบ ๆ ก็เหมาส่ง  ตัวข้าสำเร็จแล้ว  รู้แล้ว  ทั้ง ๆ ที่ความจริงข้านั่นแหละเสร็จตัวกิเลสซะแล้ว  เพราะมัวแต่ปรุงแต่ง  วิตกวิจารณ์ไปตามอารมณ์ปราศจากสมาธิสัมปชัญญะอันแน่วแน่คอยควบคุม
ท้ายสุดกลายเป็นนั่งปรุงนั่งแต่งหลงผิดเสียเวลาอันมีค่าไปเปล่า ๆ !


ภูเตศวร -http://www.dhamma5minutes.com/webboard.php?id=38&wpid=0019