แสงธรรมนำใจ > ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น
คัมภีร์เต้า เต๋อ จิง (เต๋า เต็ก เก็ง) : เหลาจื่อ
ฐิตา:
เหลาจื่อ
คัมภีร์เต้า เต๋อ จิง (เต๋า เต็ก เก็ง)
ถูกเขียนขึ้นในยุคสมัยใกล้เคียงกับพระพุทธเจ้า
แนะนำ เต๋า เต็ก เก็ง
สุดยอดคัมภีร์อภิปรัชญาแห่งชีวิต ผลงานของท่านเล่าจื้อ ผู้เป็นนักคิดแบบธรรมชาติ
ผู้ซึ่งขงจื๊อได้กล่าวถึงว่า "การได้เสวนากับท่านเล่าจื้อ ถือว่า
เป็นการศึกษาที่ล้ำลึก และดีเยี่ยมกว่าการอ่านหนังสือในห้องสมุดเสีย อีก"
เชิญ สัมผัสกับความล้ำลึกสุดหยั่งคาดของคัมภีร์โบราณเล่มนี้ ซึ่งเป็นเบื้องหลัง
ที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในชีวิตของคนดังในประวัติศาสตร์มานานกว่าสองพันปี
พร้อมคำอธิบายที่กระชับ และได้ความหมาย...
ปล. ขออนุญาตผู้แปลคือ คุณ พจนา จันทรสันติ เพื่อนำมาลงไว้เป็นวิทยาทาน
แก่บรรดาผู้ใฝ่รู้ทุกคน เพราะสำนานที่ลุ่มลึก และเข้าใจง่าย ตรงตามสไตน์ของเต๋าอย่างแท้จริง
อ่านมาหลายสำนวนแล้ว ไม่ชอบใจเท่าสำนวนของคุณ พจนา
จึงขออนุญาต คุณ เซโร่ ผู้ให้ข้อมูลด้วย
:http://www.pantown.com/board.php?id=21821&area=3&name=board5&topic=1&action=view
เกร็ดประวัติชีวิตของเหลาจื่อนั้นยากที่หาข้อพิสูจน์ เรารู้เพียงแต่ว่าเหลาจื่อ แซ่ หลี่ ชื่อตัวว่า เอ๋อร์ มีสมญาว่า ตาน เป็นคนอำเภอขู่ แคว้นฉู่ (ปัจจุบันคือเมืองลู่ในมณฑลเหอหนาน แม้แต่เรื่องที่เหลาจื่ออยู่จนถึงอายุเท่าไหร่ ก็ยังไม่มีใครบอกได้ชัดเจน บ้างว่า ท่านเป็นปราชญ์ร่วมยุคสมัยกับขงจื่อ ช่วงราวๆสมัยของโจวเหวินหวาง เคยเข้ารับตำแหน่งเป็น “ซีป๋อ” ดูแลแผ่นไม้ไผ่(เปรียบเหมือนหนังสือในสมัยนั้น)ที่มีอยู่ในบ้านเมือง (เท่ากับห้องสมุดแห่งชาติ ) เมื่อโจวอู่หวางขึ้นครองราชย์ เหลาจื่อก็มีหน้าที่จดบันทึกข้อคิดเห็นในการคุยของราชการที่ท้องพระโรง ในขณะนั้นเข้มงวดเรื่องชนชั้นมาก มีเพียงโจวอู่หวางที่สามารถก้มหรือนั่งได้ ส่วนเหล่าขุนนางได้เพียงแต่นั่งกับพื้นไม่มีที่เท้าหรือที่พิง แต่เหลาจื่อกลับถูกแต่งตั้งพิเศษให้เป็น “จู๋เซี่ยลี่” สามารถนั่งพิงเสาบันทึกข้อราชการได้
เมื่อถึงสมัยที่โจวเฉิงหวางปกครองบ้านเมือง เหลาจื่อให้การเผยแพร่ความรู้แก่ผู้คนไปทุกหนทุกแห่ง สรรเสริญคุณงามความดีของราชวงศ์โจว เนื่องจากผู้อาวุโสท่านนี้ เป็นพหูสูตร มีความรู้ลึกซึ้งและกว้าง ผู้คนเคารพและเลื่อมใสศรัทธา ดังนั้นท่านจึงถูกยกย่องให้เป็น “กู่เซียนเซิง” เมื่อถึงสมัยโจวจาวหวาง เรื่องราวของเหลาจื่อก็มีอายุเกือบจะถึง 100 ปี ในสมัยนั้น เหลาจื่อคาดคะเนว่าจะเกิดการสู้รบขึ้นทุกหนทุกแห่ง ทำอย่างไรก็ไม่สามารถหยุดยั้งการต่อสู้ที่ใช้กลอุบายครั้งนี้ได้ ดังนั้น ท่านจึงออกจากราชการ ขี่วัวหนุ่ม มุ่งหน้าทางทิศตะวันตกผ่านหานกู่กวาน ไปบำเพ็ญเพียรที่เขาคุนหลุน (คุนลุ้น) เมื่อตอนที่ผ่านด่านหานกู่กวาน หยินสี่หัวหน้าด่าน หานกู่กวานพอรู้ว่าเหลาจื่อจะผ่านมาก็แอบไปพบ และขอให้เหลาจื่อเขียนหนังสือให้เป็นที่ระลึก เหลาจื่อจึงเขียนหนังสือไว้ 5,000 ตัวอักษร ซึ่งก็คือคัมภีร์ “เหลาจื่อ” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” (เต๋าเต็กเก็ง) ซึ่งเป็นผลงานอันลือเลื่องและได้รับการยกย่องทั่วโลก นักปราชญ์ในรุ่นหลังได้แบ่งเต๋าเต็กเก็งเป็น 81 บท
เต๋าตามความหมายศัพท์ที่มักแปลกันคือ หนทางหรือวิถี ทว่าความหมายของเต๋าจริงๆนั้น ยากยิ่งแก่การอธิบาย ดังที่บทที่ 1 ของคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งว่าคือ ‘เต๋าที่อธิบายได้ มิใช่เต๋าที่อมตะ’ ปราชญ์ลัทธิเต๋าพยายามเสนอวิถีทางที่จะนำไปสู่สังคมสันติภาพ โดยเชื่อว่า เต๋านั้นยิ่งใหญ่ครอบคลุมคุณธรรม เมตตาธรรม ความชอบธรรม ดังที่ในคัมภีร์เต๋าเต็งเก็งบทที่ 38 บอกว่า ‘เมื่อรักษาเต๋าไว้ไม่ได้ จึงต้องหันไปสร้างกรอบคุณธรรม เมื่อรักษาคุณธรรมไว้ไม่ได้ จึงต้องหันไปสร้างกรอบเมตตาธรรม เมื่อรักษาเมตตาธรรมไว้ไม่ได้ จึงต้องหันไปสร้างกรอบความชอบธรรม เมื่อรักษาความชอบธรรมไว้ไม่ได้ จึงต้องหันไปสร้างกรอบแบบแผนจารีต...’
คนรุ่นหลังยกย่องให้เหลาจื่อเป็นปฐมาจารย์แห่งลัทธิเต๋า เปรียบตัวของเหลาจื่อดั่งมังกรในร่างมนุษย์ เป็นผู้ลึกลับ ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ ความคิดของเหลาจื่อกว้างขวางและลึกซึ้งมาก มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขงจื่อเดินทางไปพบสนทนากับเหลาจื่อ และกลับสำนักด้วยอาการอ้ำอึ้ง บรรดาศิษย์เห็นอาจารย์นิ่งเงียบไปนานถึงวันสองวัน จึงถามขึ้นว่า เหลาจื่อเป็นอย่างไร ขงจื่อบรรยายถึงเหลาจื่อว่า ‘เปรียบดั่งพญามังกรผู้มีภูมิธรรมลึกซึ้งสุดหยั่ง มักโลดแล่นอยู่ในท้องนภากาศ เหาะเหินเล่นลม ซ่อนกำบังกายในหมู่เมฆ นานๆจึงปรากฏตัวเพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว และไม่มีใครเคยจับตัวได้’
แม้ในปัจจุบันซึ่งมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมาก ก็ยังมีนักวิจัยมากมายที่ทำการศึกษาวิจัยแนวคิดของเหลาจื่ออย่างไม่ขาดสาย ทั้งยังนำไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ คัมภีร์เต๋าเต็กเก็งแพร่หลายมากในโลกตะวันตก มีฉบับแปลภาษาอังกฤษมากกว่า 100 สำนวน สำหรับฉบับแปลภาษาไทยขณะนี้ มีประมาณ 20 สำนวน
[ส่วนนี้นำข้อมูลมาจาก -http://www.sg2527.com/info/know_011_China_kong_gue.htm]
อ่านต่อ : http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=571836#ixzz1zd8hG94L
ตอนที่ ชื่อตอน
บทที่ 1 เต๋าอันสูงสุด
บทที่ 2 สิ่งต่างๆอุบัติขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
บทที่ 3 การปกครองของปราชญ์
บทที่ 4 รูปลักษณ์แห่งเต๋า
บทที่ 5 ประโยชน์ของสูบลม
บทที่ 6 มารดาอันมหัศจรรย์
บทที่ 7 มิได้อยู่เพื่อตนเอง
บทที่ 8 ความดีอันสูงสุด
บทที่ 9 สำรวมชีวิต
บทที่ 10 สู่สภาวะธรรม
บทที่ 11 ความว่างเปล่า
บทที่ 12 เปลือกกับแก่น
บทที่ 13 การยกย่องและการดูแคลน
บทที่ 14 ตามรอยเต๋า
บทที่ 15 ผู้ชาญฉลาดในสมัยโบราณ
บทที่ 16 สรรพสิ่งล้วนกลับสู่ต้นกำเนิดเดิม
บทที่ 17 ผู้ปกครองประเทศที่ดี
บทที่ 18 เกิดขึ้นเพราะความเสื่อม
บทที่ 19 ธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์
บทที่ 20 ผู้อื่นกับตัวข้าพเจ้า
บทที่ 21 พลังแห่งเต๋า
บทที่ 22 การไม่แก่งแย่งแข่งขัน
บทที่ 23 เข้าร่วมกับเต๋า
บทที่ 24 กากเดนของคุณความดี
บทที่ 25 ความยิ่งใหญ่สี่ชนิดในจักรวาล
บทที่ 26 ความหนักแน่นและความสงบ
บทที่ 27 ช่วยสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
บทที่ 28 แสดงออกด้วยความง่าย
บทที่ 29 ใครจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงโลก
บทที่ 30 สงคราม
บทที่ 31 ชัยชนะอันน่าโศกเศร้า
บทที่ 32 มหาสมุทรแห่งสรรพสิ่ง
บทที่ 33 รู้จักตนเอง
บทที่ 34 เต๋าอันยิ่งใหญ่
บทที่ 35 ลักษณะเด่นคือความสามัญ
บทที่ 36 ชนะแข็งด้วยอ่อน
บทที่ 37 ปกครองด้วยความเรียบง่าย
บทที่ 38 เมื่อเต๋าสูญหายไป
บทที่ 39 ขอเป็นระฆังหิน
บทที่ 40 วัฏฏะ
บทที่ 41 ระดับสูง
บทที่ 42 คำสอนประจำใจ
บทที่ 43 การไม่กระทำ
บทที่ 44 รู้จักพอ
บทที่ 45 คล้าย
บทที่ 46 ม้าลากเกวียน
บทที่ 47 หยั่งรู้
บทที่ 48 ความรู้ฝ่ายเต๋า
บทที่ 49 ปราชญ์
บทที่ 50 อาณาจักรแห่งความตาย
บทที่ 51 คุณความดีอันล้ำลึก
บทที่ 52 ปิดประตูแห่งตน
บทที่ 53 ทางใหญ่
บทที่ 54 นำเอาไปใช้
บทที่ 55 กลับเป็นเด็กทารก
บทที่ 56 เหนือโลก
บทที่ 57 การปกครอง
บทที่ 58 รัฐบาลที่เกียจคร้าน
บทที่ 59 หลักการสงวนกำลัง
บทที่ 60 ปกครองประเทศ
บทที่ 61 ประเทศใหญ่
บทที่ 62 สมบัติของโลก
บทที่ 63 ยากกับง่าย
บทที่ 64 เริ่มทำเมื่อยังง่าย
บทที่ 65 รู้ให้น้อย
บทที่ 66 ที่ต่ำ
บทที่ 67 แก้วสามประการ
บทที่ 68 การไม่แข่งขัน
บทที่ 69 ยุทธธรรม
บทที่ 70 ใครอาจเข้าใจ
บทที่ 71 ผู้รู้
บทที่ 72 ใช้ความนุ่มนวล
บทที่ 73 ร่างแหแห่งฟากฟ้า
บทที่ 74 การลงโทษ
บทที่ 75 ไม่เข้ายุ่งเกี่ยว
บทที่ 76 ของสูง
บทที่ 77 วิถีแห่งเต๋า
บทที่ 78 ความอ่อนโยนมีชัยต่อทุกสิ่ง
บทที่ 79 หนทางอันยุติธรรม
บทที่ 80 ประเทศในฝัน
บทที่ 81 ถ้อยคำที่แท้
ฐิตา:
ฉบับแปลไทย
เต้าเต๋อจิงเริ่มมีการแปลตั้งแต่ พ.ศ. 2506-ปัจจุบัน มีการแปลไม่ต่ำกว่า 20 สำนวน ได้แก่
ลำดับ ปีที่พิมพ์ ผู้แปล ชื่อหนังสือ แปลจากภาษา
1 2506 เสถียร โพธินันทะ เมธีตะวันออก จีน
2 2510 จำนงค์ ทองประเสริฐ บ่อเกิดลัทธิประเพณีจีน อังกฤษ
3 2516 จ่าง แซ่ตั้ง เต้า จีน
4 2517 เลียง เสถียรสุต คัมภีร์เหลาจื้อ จีน
5 2521 พจนา จันทรสันติ วิถีเต๋า อังกฤษ
6 2527 สมเกียรติ สุขโข, เนาวรัตน์ พงไพบูลณ์ คัมภีร์คุณธรรม อังกฤษ
7 ไม่ทราบ สมภพ โรจนพันธุ์ เต๋าที่เล่าแจ้ง อังกฤษ
8 ไม่ทราบ ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ คัมภีร์เต๋า ฉบับสมบูรณ์ พร้อมอรรถกถา อังกฤษ
9 2529 ทองสด เมฆเมืองทอง เต๋าคือเต๋า จีน
10 2530 ทองแถม นาถจำนง เหลาจื่อสอนว่า... จีน
11 2530 จ่าง แซ่ตั้ง ปรมัตถ์เต๋า จีน
12 2534 บุญมาก พรหมพ้วย เต๋าย่อมไร้นาม อังกฤษ
13 2536 มงคล สีห์โสภณ เต๋า อังกฤษ
14 2537 โชติช่วง นาดอน (ทองแถม นาถจำนง) เต๋าเต็กเก็ง จีน
15 ไม่ทราบ สุขสันต์ วิเวกเมธากร ปรัชญาเหลาจื๊อ จีน
16 2538 บัญชา ศิริไกร คัมภีร์ ปรัชญาเหลาจื่อ จีน
17 2538 บุญสิริ สุวรรณเพ็ชร์ แสงสว่างแห่งสัจธรรมและคุณธรรมเต๋า จีน
18 2538 ทองหล่อ วงษ์ธรรมา ปรัชญาจีน อังกฤษ
19 2539 ประยงศ สวรรณบุปผา คัมภีร์ เต๋า เต้ จิง อังกฤษ
20 2541 อาจารย์สัมปันโน สามลัทธิศาสนาที่น่าสนใจ อังกฤษ
21 2543 ชาตรี แซ่บ้าง ศีกษาคัมภีร์เต้าเต๋อ จีน
22 2546 กลิ่นสุคนธ์ อริยฉัตรกุล เต้าเต๋อจิง จีน
23 2547 ภาวิช ทองโรจน์ วิถีเต๋าของท่านเล่าจื๊อ อังกฤษ
24 2547 ปกรณ์ ลิมปนุสรณ์ คัมภีร์เต๋าของเหลาจื๊อ จีน
25 2548 ประชา หุตานุวัตร ผู้นำที่แท้ : มรรควิธีของเล่าจื๊อ อังกฤษ
26 2548 ชาตรี แซ่บ้าง ปรัชญาเต๋า : วิถีแห่งธรรมชาติ วิถีคน วิถีใจ จีน
27 2549 ทองหล้อ วงษ์ธรรมา เต๋าทางแห่งธรรมชาติ อังกฤษ
28 2558 สรวงอัปสร กสิกรานันท์ เต้าเต๋อจิง : คัมภีร์เต๋า ไม่ทราบ
..
..
บทวิเคราะห์และข้อวิจารณ์
แม้ว่า "คัมภีร์เต้าเต๋อจิง (道德经)" จะได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือขนาดเล็กที่มีอิทธิพลกว้างไกลที่สุดเล่มหนึ่ง แต่ก็มิได้หมายความว่าคัมภีร์นี้จะรอดพ้นข้อวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการไปได้ ประเด็นสำคัญที่มักจะถือกันว่าคือข้ออ่อนด้อย ได้แก่ ความคลุมเคลือไม่ชัดเจนว่า "เต้า (道)"" หมายถึงอะไรกันแน่ และลักษณะรหัสยลัทธิ (mystical) ซึ่งดูเหมือนว่าจะแฝงเร้นอยู่ในคัมภีร์โดยทั่วไป[19] แต่ผู้เขียนกลับมีความเห็นว่าประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้คัมภีร์นี้มีลักษณะ "คลุมเคลือไม่ชัดเจน" น่าจะมาจากกระบวนวิธีทางตรรกะพื้นฐานของ "คัมภีร์เต้าเต๋อจิง (道德经)" มากกว่า ความหมายของคำว่า "ชัดเจน" ในทางปรัชญา บ่อยครั้งอิงอยู่บนตรรกะซึ่งถือว่า A และ -A เป็นสิ่งที่แตกต่างและ
แยกแยะจากกันได้เด็ดขาด ตามหลักตรรกวิทยาแบบอริสโตเติล การคิดในกรอบนี้ย่อมมีความ "ชัดเจน" เพราะเป็นการกำหนดความหมาของสิ่งหนึ่ง โดยแยกแยะสิ่งนั้นออกจากสิ่งอื่นได้ในตัวของมันเอง แต่ถ้ากระบวนวิธีคิดในระดับตรรกะพื้นฐานนั้นไม่ได้วางอยู่บนหลักตรรกะแบบอริสโตเติล ความ "ชัดเจน" อาจจะเป็นสิ่งที่ซับซ้อนยากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง หากจะพบว่า ตรรกะพื้นฐานของ "คัมภีร์เต้าเต๋อจิง (道德经)" มีลักษณะอย่างไรบ้าง ก็คงพอจะเป็นข้อสังเกตได้อย่างน้อย 3 ประการต่อไปนี้ คือ "1.การกลับคืนสู่ภาวะตรงข้าม (Return to opposite)" "2. การอิงอาศัยกันของภาวะตรงข้าม (Interdependence of opposite)" และ "3. การให้ค่าแก่ภาวะเชิงอ่อน (Value the soft)" ซึ่งข้อสังเกตทั้ง 3 ประการนี้มาจาก "คัมภีร์เต้าเต๋อจิง (道德经)" เป็นที่น่าสังเกตว่า กระบวนวิธีการมองภาวะตรงข้าม (สูง-ต่ำ ดี-ชั่ว แข็ง-อ่อน) ใน "คัมภีร์เต้าเต๋อจิง (道德经)" มีอยู่ถึง 3 ลักษณะด้วยกันคือ มองว่าภาวะตรงข้ามเกิดขึ้นจาก
การแยะแยะเปรียบเทียบ การกำหนดเกณฑ์ให้สิ่งหนึ่งเท่ากับเป็นการกำหนดภาวะตรงข้ามโดยปริยาย ด้วยเหตุนี้ภาวะตรงข้ามจึง "อิงอาศัยกัน" เกิดขึ้น สมมติ ในสังคม ก กำหนดความสูงสำคัญสำหรับสตรีซึ่งถือว่า "งาม" ไว้ที่ 160 เซนติเมตร สตรีที่สูงไม่ถึงเกณฑ์ดังกล่าวย่อมถูกถือว่า "เตี้ย" และ "ไม่งาม" โดยปริยาย นอกจากนี้ ภาวะตรงข้ามใน "คัมภีร์เต้าเต๋อจิง (道德经)" ยังมีลักษณะเคลื่อนไหวไปมาระหว่างกัน จากภาวะ "คม" ไปสู่ "ทื่อ" จาก "สูง (高)" มา "ต่ำ (低)" ประเด็นนี้มีปัญหาที่จำเป็นต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม กล่าวคือ หากภาวะตรงข้ามย่อยแปรเปลี่ยนไปสู่กันโดยธรรมชาติ การให้ค่าแก่ภาวะเชิงอ่อน (the soft, the weak) ย่อมมิใช่สิ่งจำเป็น แต่ดูเหมือนว่าการให้ค่าแก่ภาวะเชิงอ่อนใน "คัมภีร์เต้าเต๋อจิง (道德经)" เป็นประเด็นทางปรัชญาที่มีความสำคัญมาก การตีความข้อสังเกตประการที่ 2
ในที่นี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ศาสตราจารย์ดี ซี เลา ได้อภิปรายประเด็นนี้ว่าเราควรเข้าใจตรรกะแห่งการแปรเปลี่ยนไปสู่ภาวะตรงข้าม ในแง่ที่ว่า สิ่งซึ่งอยู่สูงย่อมตกต่ำลงโดยธรรมชาติ แต่การแปรเปลี่ยนจากที่ต่ำสู่ภาวะ "สูง (高)" เป็น "การกระทำ (动作)" โดยจงใจและพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป[20] ประเด็นของศาสตราจารย์เลาเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากไม่อธิบายประเด็นนี้ให้ชัดเจน อาจเป็นได้ว่า การเสนอให้กระทำโดย "ไม่กระทำ (不做)" หรือปกครอง โดย "ไม่ปกครอง" จะเป็นเรื่องที่ "ขัด" ธรรมชาติ โดยไม่จำเป็น เพราะภาวะตรงข้ามย่อมแปรเปลี่ยนสู่กันและกันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ข้อสังเกตประการที่ 3 อันได้แก่การให้ค่าแก่ภาวะเชิงอ่อนนั้นเป็นประเด็นสืบเนื่องจากข้ออภิปรายของศาสตราจารย์เลา กล่าวคือ เป็นข้อเสนอทางปรัชญาที่ค่อนข้างชัดเจนและสำคัญยิ่งใน "คัมภีร์เต้าเต๋อจิง (道德经)"
ทั้งในฐานะที่เป็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการดำเนินไปของธรรมชาติ และในฐานะที่เป็นข้อเสนอสำหรับการปกครอง หากการใช้กำลังหรืออำนาจเชิงแข็ง เป็นสิ่งที่ "ขัด" กับธรรมชาติ (自然) และมีแต่จะนำพาสู่ความปราชัยและอันตรายต่อผู้ใช้อำนาจเอง การให้ค่าแก่ภาวะเชิงอ่อน ย่อมเป็นการหลีกเลี่ยงอันตรายอันมาจากการใช้อำนาจ เพราะเป็น "การไม่กระทำ" ซึ่งสอดคล้องกับภาวะธรรมชาตินั่นเอง "คัมภีร์เต้าเต๋อจิง (道德经)" มิใช่แม่พิมพ์หรือสูตรสำเร็จสำหรับการแก้ปัญหาของมนุษย์ ความลุ่มลึกและซับซ้อนทางความคิดในตัวของมันเอง อาจเป็นอุปสรรคต่อการเข้าใจ "เต้า (道)" สำหรับบุคคลทั่วไป แต่ในขณะเดียวกัน การมองข้ามคัมภีร์เล่มเล็กอันสำคัญยิ่งนี้ก็คงมิใช่การแสดงภูมิปัญญาอันสูงส่งของมนุษย์เช่นกัน จากข้อเท็จจริงที่ว่าได้มี ปราชญ์ ผู้รู้ ผู้สนใจจำนวนมากทั้งในประวัติศาสตร์จีนและอารยธรรมอื่น ซึ่ง
ใฝ่ศึกษาเรียนรู้คัมภีร์เล่มเล็กนี้ คงพอจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า "คัมภีร์เต้าเต๋อจิง (道德经)" สามารถมี "ชีวิต (生活)" มีความหมายอันสำคัญยิ่งต่อวิกฤตการณ์ต่างๆ ของโลกทั้งในอดีตและปัจจุบัน ถึงแม้ว่าลัทธิเต้า (道家) มิได้เป็นแกนหลักแห่งอารยธรรมจีน (中国文明) ดังเช่นลัทธิขงจื่อ (儒家) ซึ่งให้คำตอบทางจารีตและจริยธรรมอันเป็นรูปธรรมสำหรับสมาชิกทุกหมู่เหล่าในสังคมจีน (中国社会) แต่ "คัมภีร์เต้าเต๋อจิง (道德经)" ก็สามารถจุดประกายประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กระแสอารยธรรมที่เป็นอยู่ได้อย่างสำคัญและสมสมัยมาตลอดและคงจะธำรงไว้ซึ่งบทบาทนี้ต่อไปอีกนาน[21]
>>https://th.wikipedia.org/wiki/เต้าเต๋อจิง
บทที่ 1 เต๋าอันสูงสุด
เต๋าที่อธิบายได้มิใช่เต๋าอันอมตะ
ชื่อที่ตั้งให้กันได้ก็มิใช่ชื่ออันสูงส่ง
เต๋านั้นมิอาจอธิบายและมิอาจตั้งชื่อ
เมื่อไร้ชื่อทำฉันใดจักให้ผู้อื่นรู้
ข้าพเจ้าขอเรียกสิ่งนั้นว่า " เต๋า " ไปพลางๆ
เมื่อไร้นามไร้สภาวะจึงเป็นบ่อเกิดแห่งฟ้าและดิน
เมื่อมีนามมีสภาวะจึงเป็นมารดาแห่งสรรพสิ่ง
ดำรงตนอยู่ในความไร้สภาวะ
จึงทราบบ่อเกิดแห่งจักรวาล
ดำรงตนอยู่ในสภาวะ
ย่อมแลเห็นปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างสรรค์
ทั้งความมีและความไร้ มีบ่อเกิดแห่งเดียวกัน
แต่แตกต่างกันเมื่อปรากฏออก
บ่อเกิดนั้นสุดแสนล้ำลึก
ความลึกล้ำสุดแสนนั้น
คือประตูที่เปิดไปสู่ความรู้แจ้งแห่งสรรพชีวิต
เต๋าไม่ใช่ปรัชญา แต่เป็นชีวิต เป็นคำสอนที่ให้เรามองดูทุกสิ่งทุกอย่างให้ลึกซึ้งกว่าที่ตามองเห็น เป็นการมองสิ่งที่เห็นอย่างเข้าใจ และหยั่งรู้ถึงสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างรู้แจ้ง ดังที่ไอสไตน์กล่าวไว้ว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ นี่คือความหมายของเต๋า... หมื่นลี้
ฐิตา:
-2-
สิ่งต่างๆอุบัติขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย
ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น
เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น
มีกับไม่มี เกิดขึ้นด้วยการรับรู้
ยากกับง่าย เกิดขึ้นด้วยความรู้สึก
ยาวกับสั้น เกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ
สูงกับต่ำ เกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง
เสียงดนตรีกับเสียงสามัญ เกิดขึ้นด้วยการรับฟัง
หน้ากับหลัง เกิดขึ้นด้วยการนึกคิด
ดังนั้นปราชญ์ย่อม กระทำด้วยการไม่กระทำ
เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา
การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง
ท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ
ประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้
เหตุที่ท่านไม่ปรารถนาในเกียรติคุณ
เกียรติคุณของท่านจึงดำรงอยู่ไม่สูญสลาย
-3-
การปกครองของปราชญ์
มิได้ยกย่องคนฉลาด
ประชาราษฎร์ก็จะไม่แก่งแย่งชิงดี
มิได้ให้คุณค่าแก่สิ่งของที่หายาก
ประชาราษฎร์ก็จะไม่ลักขโมย
ขจัดตัวตนแห่งความอยาก
ดวงใจแห่งประชาราษฎร์ก็จะบริสุทธิ์
ดังนั้นปราชญ์ย่อมปกครองโดย
ทำให้จิตใจของประชาราษฎร์ ว่าง สะอาด
บำรุงเลี้ยงให้อิ่มหนำ ตัดทอนความทะยานอยาก
เสริมสุขภาพแห่งร่างกาย
ความคิดและความปรารถนาของประชาราษฎร์
ก็จะถูกชะล้างให้บริสุทธิ์
คนฉ้อฉลก็มิอาจหาญ เข้ากระทำการทุจริต
ปราชญ์ย่อมปกครอง โดยการไม่ปกครอง
ดังนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะถูกปกครอง
และดำเนินไปอย่างมีระเบียบ
-4-
รูปลักษณ์แห่งเต๋า
เต๋านั้นคือความเวิ้งว้าง
แต่คุณประโยชน์ของเต๋า มิรู้สิ้นสุด
คล้าย..
ต้นกำเนิดของน้ำพุ แห่งสรรพสิ่ง
ลึกสุดหยั่งคาด
เวียนวน ยุ่งเหยิง ซับซ้อน แผ่วเบา
แจ่มกระจ่างดุจแก้วผลึก
ใสสะอาด ดุจน้ำอันสงบนิ่ง
ข้าพเจ้ามิรู้ว่าเต๋ากำเนิดจากแห่งใด
คล้ายกับดำรงอยู่ก่อนธรรมชาติ
-5-
ประโยชน์ของสูบลม
ฟ้าดินนั้นไร้เมตตา
ปฏิบัติคล้ายดั่งสรรพสิ่งเป็นหุ่นฟาง
ปราชญ์นั้นไร้เมตตา
ปฏิบัติคล้ายดั่งผู้คนเป็นหุ่นฟาง
แท้จริง ฟ้า ดิน และปราชญ์
มิได้ไร้เมตตา เมตตานั้นมีอยู่
เพียงแต่ไม่เข้าไป ก้าวก่ายในสรรพสิ่ง
ทำตนว่างเหมือนสูบลม มีความว่างและความไร้
ครั้นเคลื่อนไหว กลับให้พละกำลัง
ยิ่งพูดมากยิ่งไร้ประโยชน์ พูดมากคำยิ่งเหน็ดเหนื่อย
มิสู้เก็บคุณค่านั้นไว้ แต่เพียงภายใน
ฐิตา:
-6-
มารดาอันมหัศจรรย์
มหิทธานุภาพอันล้ำลึกนั้นมิเคยดับสูญ
เป็นมารดาอันมหัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดานี้เอง
ได้ก่อเกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน
นานแสนนานสืบมา สิ่งนี้ยังคงดำรงอยู่
มีคุณประโยชน์มากมาย ใช้ได้มิรู้หมดสิ้น
-7-
มิได้อยู่ด้วยตนเอง
ฟ้ามีอายุยาวนาน ดินมีอายุยาวนาน
เหตุเพราะฟ้าและดิน มิได้ดำรงอยู่ เพื่อตนเอง
จึงอาจอยู่ได้คงทน
ดังนั้นปราชญ์ย่อมตั้งตนอยู่รั้งท้าย
และก็จะกลับกลายเป็นหน้าสุด
ละเลยตนเอง แต่กลับมีชีวิตอยู่ได้ด้วยดี
เพราะปราชญ์มิได้อยู่เพื่อตนเองหรือมิใช่
ตัวตนของท่านจึงถึงซึ่งความสมบูรณ์
-8-
ความดีอันสูงสุด
ความดีอันสูงสุดนั้นคล้ายกับน้ำ
น้ำให้คุณแก่สรรพสิ่ง มิได้แย่งชิงสิ่งใด
น้ำตั้งตนอยู่ในที่ต่ำ อันทุกคนรังเกียจเหยียดหยาม
ดังนั้นจึงนับว่าได้เข้าไปใกล้กับเต๋า
ในการอยู่อาศัย ปราชญ์เลือกสถานที่อันควร
ในดวงใจ ท่านถือความสงบงัน
ในความเป็นมิตร ท่านถือคุณความดี
ในวาจา ท่านถือความจริงใจ
ในการปกครอง ท่านถือความสงบเรียบร้อย
ในกิจการงาน ท่านถือความสามารถ
ในการกระทำ ท่านเลือกเวลาที่เหมาะสม
เหตุว่าท่านมิได้แก่งแย่งชิงดีกับผู้ใด
คำติเตียนว่าร้ายจึงมิได้แผ้วพานท่าน
-9-
สำรวมชีวิต
โก่งคันศรจนสุดล้า ย่อมมีเวลาที่มันจะคืนกลับ
ลับดาบจนแหลมคม ย่อมมีเวลาที่มันจะทื่อ
เมื่อท่านมีทองและหยกอยู่เต็มห้อง
ย่อมไม่อาจรักษาไว้ได้โดยปลอดภัย
ภาคภูมิใจกับเกียรติยศและความมั่งคั่ง
ย่อมโศกเศร้าเมื่อความตกต่ำมาถึง
ถอนตัวออก เมื่อกิจการงานได้เสร็จสิ้นลง
นี่คือวิถีทางแห่งสรวงสวรรค์
-10-
สู่สภาวะธรรม
รักษาดวงวิญญาณให้พ้นจากความมัวหมอง
ทำจิตใจให้แน่วนิ่งเป็นหนึ่งเดียวได้หรือไม่
หายใจอย่างละเอียดอ่อนแผ่วเบา
เหมือนลมหายใจของเด็กอ่อนได้หรือไม่
ชำระล้างญาณทัศนะให้หายมืดมัว
จนอาจแลเห็นกระจ่างชัดได้หรือไม่
มีความรักและปกครองอาณาจักร
โดยไม่เข้าไปบังคับบัญชาได้หรือไม่
ติดต่อรับรู้ และเผชิญทุกข์สุข
ด้วยความสงบนิ่ง ไม่ทุกข์ร้อน ได้หรือไม่
แสวงหาความรู้แจ้ง เพื่อละทิ้งอวิชชาได้หรือไม่
ให้กำเนิด ให้การบำรุงเลี้ยง
ให้กำเนิด แต่มิได้ถือตนเป็นเจ้าของ
กระทำกิจ แต่มิได้ยกย่องตนเอง
เป็นผู้นำในหมู่คน แต่มิได้เข้าไปบงการ
เหล่านี้คือ คุณความดี อันลึกล้ำยิ่ง
ฐิตา:
-11-
ความว่างเปล่า
ล้อรถนั้นประกอบด้วยไม้สามสิบซี่
รวมกันอยู่ที่แกน
วงรอบนอกของล้อและไม้ทั้งสามสิบซี่นั้น
คือ ความ " มี "
ดุมล้อนั้นกลับกลวง คือ ความ " ว่าง "
จากความว่างนี้เอง คุณประโยชน์ของล้อก็เกิดขึ้น
ปั้นดินเหนียวขึ้นเป็นภาชนะ
จากความว่างเปล่าของภาชนะนี้เอง
คุณประโยชน์ของภาชนะก็เกิดขึ้น
เราได้ใช้ประโยชน์จากความมี
และได้รับคุณประโยชน์จากความว่าง
12-
เปลือกกับแก่น
สีทั้งห้า ทำให้ดวงตาพร่ามัว
เสียงทั้งห้า ทำให้โสตประสาทเลอะเลือน
รสทั้งห้า ทำให้ลิ้นชาด้าน
การพนันและการล่าสัตว์
ทำให้จิตใจของคนขุ่นหมอง
ของมีราคาและหายาก
ทำให้เกิดอันตรายแก่ความประพฤติของผู้คน
ดังนั้นปราชญ์จึงกระทำการ
เพียงเพื่อให้ท้องอิ่มเท่านั้น
มิใช่เพื่อความสำราญของ ตา หู และลิ้น
ท่านละเลยในรูปแบบอันเป็นเปลือก
หันมาเอาใจใส่ในแก่นแท้
ภาพวาด “ทรงมังกร”บนผืนผ้าไหม
จากสุสานโบราณสมัยจั้นกั๋ว ถือเป็นภาพเขียนรูปมังกรที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในปัจจุบัน
-13-
การยกย่องและการดูแคลน
" เมื่อได้รับการยกย่องและการดูแคลน
ย่อมทำให้ผู้คนหวาดผวา
สิ่งที่เราชมชอบและสิ่งที่เรากลัวเกรง
ย่อมอยู่ภายในตัวของเราเอง "
" เมื่อได้รับการยกย่องและเมื่อได้รับการดูแคลน
ย่อมทำให้ผู้คนหวาดผวา "
นี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า
ผู้ที่ได้รับการยกย่องจากเบื้องบน
ย่อมตื่นเต้นเมื่อได้รับ และย่อมหวาดผวาเมื่อสูญเสีย
" สิ่งที่เราชมชอบและสิ่งที่เรากลัวเกรง
ย่อมอยู่ภายในตัวของเราเอง "
นี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า
เมื่อเราไม่นำพาต่อตัวตน
มีอะไรที่เราจะต้องเกรงกลัวอีก
ดังนั้นผู้ที่ให้คุณค่าแก่โลกเทียบเท่ากับตน
ย่อมได้รับความไว้วางใจให้ปกครองโลก
และผู้ที่รักโลกเทียบเท่าตน
ย่อมได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ดูแลโลก
-14-
ตามรอยเต๋า
จ้องมอง แต่มิอาจเห็น นี่เรียกว่า ไร้รูป
สดับฟัง แต่มิอาจได้ยิน นี่เรียกว่า ไร้เสียง
ไขว่คว้า แต่มิอาจจับต้อง นี่เรียกว่า ไร้ตัวตน
สิ่งทั้งสามนี้ อยู่เหนือ คำอธิบายใดๆ
ทั้งหมดนี้ประสานกลมกลืนกัน และกลายเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อปรากฏขึ้น ก็ปราศจากแสงสว่าง
เมื่อจางหายไป ก็ปราศจากความมืด
เป็นรูปที่ไร้รูป เป็นตัวตนที่ว่าง
มีความต่อเนื่อง และไม่แปรผัน
สิ่งนี้มิอาจตั้ง นิยาม ให้ได้
หวนกลับไปสู่อาณาจักรแห่งความว่างเปล่า
จึงเรียกว่า ความไร้
มีภาพพจน์แห่งความว่างเปล่า
จึงเรียกว่า ความว่าง
ตามติดไปเบื้องหน้า แต่มิอาจเห็นหน้า
ติดตามไปเบื้องหลัง แต่มิอาจเห็นหลัง
ผู้ที่ปฏิบัติภารกิจในปัจจุบัน
โดยยึดมั่นในหลักการแห่งเต๋า แต่โบราณกาล
ย่อมสามารถ หยั่งรู้ ถึงต้นกำเนิดเดิม
นี่คือ วิถีแห่งเต๋า
-15-
ผู้ชาญฉลาดในสมัยโบราณ
บุคคลผู้ชาญฉลาดแต่โบราณกาล
เปี่ยมล้น ไปด้วยปรีชาญาณ
ล้ำลึก ไปด้วยความรอบรู้
ลึกซึ้ง จนมิอาจหยั่งถึง
และด้วย มิอาจหยั่งถึง นี้เอง
จึงจำเป็นจะต้องบรรยายลักษณะดังนี้
มีความรอบคอบ
คล้ายกับกำลังข้ามแม่น้ำที่แข็งตัวในฤดูหนาว
มีความระมัดระวัง
คล้ายกับกำลังป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในทุกที่
มีความสำรวม คล้ายกำลังปฏิบัติตนเป็นอาคันตุกะ
มีความอ่อนน้อม คล้ายกับหิมะที่เริ่มจะละลาย
มีความเปิดเผยซื่อตรง คล้ายกับไม้ที่ยังไม่ได้แกะสลัก
มีความว่าง คล้ายกับหุบเขา
และโง่งม คล้ายกับสายน้ำอันขุ่นข้น
ใครจะสามารถสงบอยู่ได้
ภายในโลกอันสับสนคล้ายโคลนตม
ด้วยอาศัยความสงบนิ่ง ก็กลับกระจ่างชัดขึ้น
ใครจะสามารถสงบอยู่ได้นาน
จนอาจ นำไปสู่ การกลับฟื้นคืนชีวิต
ผู้ที่ยึดมั่นในหนทางแห่งเต๋า
ย่อมหลีกเลี่ยงความเปี่ยมล้น
และเพราะการหลีกเลี่ยงจากความเปี่ยมล้นนี้เอง
ย่อมทำให้รักษาตนไว้ได้
พ้นจากความเสื่อมโทรม
และมิต้องแสวงหาสิ่งทดแทน
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
Go to full version