นิทานสอนใจ : ขนมในหม้อ
ลิงป่าตัวหนึ่งพลัดหลงจากฝูงเข้ามาในหมู่บ้านที่อยู่ชายป่าแห่งหนึ่ง และพบว่าที่นี่มีอาหารอร่อยๆ สำหรับมันมากมาย หลังจากนั้นมันก็แฝงตัวอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้และไม่ยอมกลับเข้าป่าอีกเลย
ชาวบ้านนั้นเมื่อแรกเห็นลิงตัวนี้ก็นึกเอ็นดู ให้อาหารมันกินบ้าง หยอกเล่นกับมันบ้าง แต่นานวันเข้า พวกเขาก็เริ่มไม่ชอบใจเสียแล้ว เนื่องจากวิสัยของลิงป่านั้นหาได้มีความสำรวมอย่างสัตว์เลี้ยงทั่วไป หากมันจะกินอาหารที่อยู่ในมือของใครมันก็จะขู่และแยกเขี้ยวใส่
นอกจากนั้นความฉลาดตามเผ่าพันธุ์ยังทำให้ลิงเรียนรู้ได้เร็ว เพียงไม่นานมันก็รู้ว่าชาวบ้านแต่ละคนเก็บอาหารไว้ที่ไหน มันจึงเริ่มเข้าไปขโมยอาหารจากในบ้าน และยังรื้อค้นทำลายข้าวของของพวกเขาจนไม่มีชิ้นดี บางครั้งเมื่อลิงหาทางเข้าบ้านไม่ได้เพราะเจ้าของบ้านปิดประตูแน่นหนา มันก็ขึ้นไปขย่มหลังคาบ้านจนพังลงมา หลังจากนั้นก็เข้าไปในบ้านของเขา บางครั้งมันก็กัดลูกเล็กๆ ของเจ้าของบ้านและบางทีก็แย่งอาหารจากพวกเขาซึ่งๆ หน้า
ชาวบ้านอดทนไม่ทำร้ายลิงเพราะสงสาร แต่นานวันเข้า พวกเขาก็ทนไม่ไหว วันหนึ่งหัวหน้าหมู่บ้านจึงเรียกประชุมลูกบ้านเพื่อจัดการกับปัญหานี้
"เอาลูกดอกอาบยาพิษยิงมันให้ตายไปเลย" ชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งถูกลิงตัวนี้เข้าไปรื้อบ้านเมื่อวาน เสนอด้วยความโกรธแค้น
"ไม่ดีหรอก" หัวหน้าหมู่บ้านว่า "มันเป็นลิงป่า พวกเราจะไม่ทำร้ายสัตว์ป่า"
"เว้นเจ้าลิงนี่ตัวหนึ่ง" อีกคนบอก ลูกของเขาก็เพิ่งถูกตัวนี้กัดมาเมื่อเช้า
"ไม่ได้ สัตว์ป่าเป็นของป่า เป็นของเจ้าป่าเจ้าเขา ถ้าเราทำร้ายลิงตัวนั้นอาจเกิดอาเภทร้ายแรงได้" หัวหน้าหมู่บ้านยังคงยืนยันคำเดิม และลูกบ้านอีกหลายคนก็เห็นด้วย ทั้งหมดจึงช่วยกันคิดหาวิธีการขับไล่ลิงตัวนั้นออกไปจากหมู่บ้านโดยไม่ต้องฆ่ามัน
เด็กหนุ่มคนหนึ่งคิดออก เขาร้องบอกทุกคนว่า "เอาอย่างนี้ เราต้องหาทางจับลิงตัวนี้ให้ได้ แล้วพามันไปปล่อยป่าอื่นที่ไกลๆ กว่านี้ มันจะได้ไม่กลับมาอีก"
ชาวบ้านเห็นด้วยกับความคิดนี้ หลังจากวันนั้นพวกเขาก็พากันวิงไล่จับลิงตัวนี้โดยไม่เป็นอันทำอะไร แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครสามารถจับลิงตัวนี้ได้ เพราะมันเป็นลิงป่าที่หลบหลีกได้อย่างแคล่วคล่องว่องไวมาก จนชาวบ้านชักถอดใจ
วันหนึ่งลิงป่าเข้าไปในบ้านหญิงชราคนหนึ่ง หญิงชราคนนี้ทำขนมตาลได้อร่อยที่สุดในหมู่บ้าน นางจะทำขนมตาลลูกใหญ่ไปขายในตลาดและแจกเพื่อนบ้านทุกวัน วันนี้เผอิญมีขนมตาลส่วนหนึ่งเหลือ หญิงชราไม่มีภาชนะสำหรับใส่ขนมที่เหลือจึงเอาไปใส่ไว้ในหม้อเหล็กปากแคบไว้ก่อน
เจ้าลิงป่าลอบมองเหตุการณ์นี้อยู่ตลอด มันเห็นที่ซ่อนขนมแล้ว ครั้นพอหญิงชราเดินออกไปจากครัว มันจึงกระโจนเข้าไปทางหน้าต่างแล้วเอามือล้วงลงไปหาขนมตาลในหม้อ แต่เพราะหม้อนั้นปากแคบมาก ลิงป่าจึงไม่สามารถดึงขนมออกมาจากหม้อได้
ตอนนั้นเองหญิงชราก็เดินเข้ามาเห็นพอดี นางร้องด้วยความโกรธว่า "ชิชะ! เจ้าลิงชั่ว แกมาขโมยขนมของข้าอีกแล้วรึ มาเร้วพวกเรา มาจับมัน มันอยู่ตรงนี้!"
ชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็พากันเฮโลมาจับลิงที่บ้านหญิงชรา เจ้าลิงป่าตกใจรีบกระโจนหนี แต่เพราะความตะกละ มันจึงไม่ยอมปล่อยมือจากขนมในหม้อ และวิ่งหนีชาวบ้านโดยต้องแบกหม้อเหล็กหนักๆ ไปด้วย ในที่สุดเจ้าลิงก็อ่อนแรงและเป็นลม ชาวบ้านจึงจับมันใส่กระสอบแล้วพาไปปล่อยยังป่าลึกที่ไกลจากหมู่บ้านที่สุด หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นเจ้าลิงตัวนี้อีกเลย
บทสรุปของผู้แต่ง
หากเปรียบขนมในหม้อเหล็กปากแคบที่ลิงป่าแบกหนีชาวบ้าน นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากก้อนทุกข์ที่มนุษย์นิยมแบกไว้กับตัวเอง หากถามว่าความสุขกับความทุกข์ใครชอบสิ่งใดมากกว่ากัน ทุกคนคงตอบพร้อมกันว่าความสุข แต่กระนั้นสิ่งที่พวกเขาแบกไว้จริงๆ กลับเป็นความทุกข์ที่หนักอึ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก
ในแต่ละวันของชีวิตเรา เราต้องพบต้องเจอกับเรื่องต่างๆ เป็นร้อยเป็นพัน บางเรื่องทำให้เราทุกข์แสนสาหัส และเราคงไม่มีวันลืมมันไปง่ายๆ แต่เวลายังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ
ผ่านช่วงเวลาที่เกิดทุกข์มานานมาแล้ว แต่ความทุกข์นั้นกลับยังอยู่ มันอยู่เพราะเรายึดติดกับมันทั้งๆ ที่มันทำร้ายเรา มันอยู่เพราะหัวใจของเราไม่ยอมปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนกาลเวลา
อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว เสียใจให้ตาย ร่ำร้องจนน้ำตาเป็นสายเลือด ลองคิดดูว่ามันจะย้อนกลับมาให้แก้ไขหรือป้องกันอะไรได้อีกไหม ทั้งๆ ที่ความจริง มันจากเราไปนานแล้ว แต่ใจปวดๆ ของเราก็ยังจะเอื้อมไปดึงไปรั้งเงาของมันไว้อีก ดังนั้น ถ้าเรารู้จักเรียนรู้ที่จะปล่อยวางจากเรื่องที่ผ่านไปแล้วเสียบ้าง เราก็จะได้ดื่มด่ำกับ รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ แล้วดูนั่นสิ ความสุขอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง..เพียงแค่ปล่อยวาง
018 ขนมในหม้อ ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดีๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
.
-http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9550000089778-
-http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=JJVJgfEK1hU-
.