อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล

เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 19 : ธัมมัฏฐวรรค

(1/2) > >>

ฐิตา:



เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 19 : ธัมมัฏฐวรรค
01.เรื่องมหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัย

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภมหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัย   ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  น  เตน  โหติ  ธมฺมฏฺโฐ   เป็นต้น

ในวันหนึ่ง   พระภิกษุทั้งหลาย  เที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้าน  ใกล้ประตูด้านทิศอุดรของนครพาราณสี  กลับจากบิณฑบาตแล้ว   จะกลับไปที่วัดพระเชตวัน   เกิดฝนตกหนัก   จึงได้แวะไปพักรอฝนหยุดตก  ที่ศาลยุติธรรมแห่งหนึ่ง   ได้เห็นพฤติกรรมของมหาอำนาจผู้วินิจฉัยทั้งหลาย(พวกตุลาการ  หรือพวกผู้พิพากษา)  รับสินบน  ทำให้ผู้ผิดกลายเป็นผู้ถูก  จึงคิดว่า  พวกมหาอำมาตย์เหล่านี้ไม่ตั้งอยู่ธรรม  แต่พวกเรามีความสำคัญว่าเป็นผู้ทำการวินิจฉัยคดีโดยธรรม   เมื่อฝนหายตกแล้ว  มาถึงวัดพระเชตวัน  เข้าไปถวายบังคมพระศาสดา  กราบทูลสิ่งที่ได้พวกตนประสบให้พระศาสดาทรงทราบ  พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย  พวกมหาอำมาตย์ผู้วินิจฉัย   เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจอคติมีฉันทาคติเป็นต้น  ตัดสินคดีความโดยอำเภอใจ  ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม  ส่วนพวกที่ไต่สวนความผิดแล้ว  ตัดสินคดีความโดยปราศจากอคติ  ตามสมควรแก่ความผิดนั่นแหละ   เป็นผู้ชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรม” 
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท   สองพระคาถานี้ว่า

น  เตน  โหติ  ธมฺมฏฺโฐ
เยนตฺถํ  สหสา  นเย
โย  จ   อตฺถํ  อนตฺถญฺจ
อุโภ  นิจฺเฉยฺย  ปณฺฑิโต  ฯ

อสาหเสน  ธมฺเมน
สเมน  นยตี  ปเร
ธมฺมสฺส  คุตฺโต  เมธาวี
ธมฺมฏฺโฐติ  ปวุจฺจติ  ฯ

(อ่านว่า)
นะ  เตนะ  โหติ  ทำมัดโถ
เยนัดถัง  สะหะสา  นะเย
โย  จะ  อัดถัง  อะนัดถันจะ
อุโพ  นิดเฉยยะ  ปันดิโต.

อะสาหะเสนะ  ทำเมนะ
สะเมนะ   นะยะตี  ปะเร
ทำมัดสะ  คุดโต  เมทาวี
ทำมัดโถติ  ปะวุดจะติ .

(แปลว่า)
บุคคลตัดสินคดีความโดยอำเภอใจ
ผู้นั้นไม่ชื่อว่าตั้งอยู่ในธรรม
ส่วนผู้ใดเป็นบัณฑิต
พิจารณาทั้งข้อถูกและข้อผิด
ถึงจะตัดสินคดีความ.

บัณฑิต ไม่ตัดสินคดีความโดยอำเภอใจ
แต่โดยสอดคล้องกับหลักกฎหมาย
เป็นผู้คุ้มครองกฎหมาย
เรากล่าวว่า  เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม.
 
เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริบผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
 

ฐิตา:


02. เรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภภิกษุฉัพพัคคีย์  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  น  เตน  ปณฺฑิโต  โหติ   เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง   พระฉัพพัคคีย์(พระกลุ่ม 6 )   ได้เที่ยวทำให้โรงฉัน  ทั้งในวัดและในบ้าน  เกิดสกปรกเลอะเทอะ  วันหนึ่ง  ขณะที่ภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อย  กำลังฉันภัตตาหารอยู่นั้น   พระฉัพพัคคีย์ก็ได้เข้าไปคุยโวโอ้อวดต่อหน้าภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อยเหล่านั้นว่า  พวกเรานี่แหละเป็นบัณฑิต  จากนั้นก็เริ่มขวางปาสิ่งของต่างๆจนโรงฉันเกิดความเลอะเทอะไปทั่ว   ภิกษุทั้งหลาย  ไปกราบทูลเรื่องนี้แด่พระศาสดา  พระศาสดาตรัสว่า   “ภิกษุทั้งหลาย  เราไม่เรียกคนที่พูดมาก  เบียดเบียนผู้อื่นว่า เป็นบัณฑิต  แต่เราเรียกคนที่มีความเกษม  ไม่มีเวร  ไม่มีภัยเลยว่า  เป็นบัณฑิต”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

น  เตน  ปณฺฑิโต  โหติ
ยาวตา  พหุ  ภาสติ
เขมี  อเวรี  อภโย
ปณฺฑิโตติ  ปวุจฺจติ.

(อ่านว่า)
นะ  เตนะ  ปันดิโต   โหติ
ยาวะตา  พะหุ  พาสะติ
เขมี  อะเวรี   อะพะโย
ปันดิโตติ  ปะวุดจะติ.

(แปลว่า)
บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต
เพราะเหตุเพียงพูดมาก
ส่วนผู้มีความเกษม  ไม่มีเวร  ไม่มีภัย
เรากล่าวว่า  เป็นบัณฑิต.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ฐิตา:


03.เรื่องพระเอกุทานเถระ

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระขีณาสพ(พระผู้สิ้นกิเลส)ชื่อว่าเอกุทานเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  น  ตาวตา  ธมฺมธโร   เป็นต้น

พระเอกุทานเถระ (พระเถระมีคำอุทานบทเดียว) พำนักอยู่ในป่าแห่งหนึ่งองค์เดียว  ท่านชอบกล่าวคำอุทานกถาบทเดียวนี้ว่า “ความโศกทั้งหลาย  ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีจิตมั่นคง  ไม่ประมาท  เป็นมุนี  ศึกษาในทางโมนปฏิบัติ  ผู้คงที่  ระงับแล้ว  มีสติทุกเมื่อ” พอถึงวันอุโบสถ  ท่านพระเอกุทานเถระก็จะป่าวประกาศให้ผู้คนทั้งหลายมาฟังธรรมกัน   แล้ว  ท่านพระเอกุทานเถระก็จะกล่าวอุทานกถาบทนี้    และเมื่อท่านเอกุทานเถระกล่าวอุทานกถาบทนี้จบลง  พวกเทวดาในป่าก็จะส่งเสียงสาธุการดังสนั่นหวั่นไหว  ต่อมา  ในวันอุโบสถวันหนึ่ง  ภิกษุทรงจำพระไตรปิฎก  2  รูป  พร้อมบริวารรูปละ  500  พากันไปยังสถานที่ท่านพระเอกุทานเถระพำนักอยู่นั้น   พระเอกุทานเถระได้นิมนต์พระเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกทั้งสองรูปนั้นแสดงธรรม   พระเถระทรงพระไตรปิฎกสองรูปนั้นได้ถามท่านพระเอกุทานเถระว่า   ที่นี่มีคนฟังธรรมด้วยหรือ   ท่านพระเอกุทานเถระเรียนว่า  มีเทวดามาฟังธรรมและจะส่งเสียงสาธุการทุกครั้งที่การแสดงธรรมจบลง  แต่พอพระทรงจำพระไตรปิฎกทั้งสององค์ผลัดกันแสดงธรรม  พอการแสดงธรรมของแต่ละองค์จบลง  ก็ไม่มีเสียงสาธุการของเทวดาทั้งหลายให้ได้ยิน   พระทรงจำพระไตรปิฎกั้งสององค์เกิดความสงสัยในคำพูดของพระเอกุทานเถระที่บอกว่าเมื่อการแสดงธรรมจบลงก็จะมีเสียงเทวดาส่งเสียงสาธุการสนั่นหวั่นไหว   แต่พระเอกุทานเถระก็ยังยืนยันอย่างแข็งขันว่า  ที่ผ่านมาเมื่อการแสดงธรรมจบลงจะมีเสียงสาธุการของเทวดาในทุกครั้ง 

ดังนั้น   พระทรงจำพระไตรปิฎกทั้งสองรูป   จึงขอให้พระเอกุทานเถระแสดงธรรมดูบ้าง  พระเอกุทานเถระจึงได้จับพัดมาบังหน้าแล้วกล่าวอุทานกถาดังข้างต้นนั้น  พอพระเอกุทานเถระกล่าวอุทานกถาบทนั้นจบลง   ก็มีเสียงเทวดาส่งเสียงสาธุการดังสนั่นหวั่นไหว   พระภิกษุบริวารของพระเถระผู้ทรงจำพระไตรปิฎกทั้งสององค์นั้น  กล่าวหาว่าพวกเทวดาในป่าลำเอียง  จึงได้นำความขึ้นกราบทูลพระศาสดา   เมื่อเดินทางกลับมายังพระเชตวัน  พระศาสดาตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  เราไม่เรียกผู้เรียนมากหรือพูดมากว่า  เป็นผู้ทรงธรรม  ส่วนผู้ใดเรียนคาถาแม้คาถาเดียวแล้วแทงตลอดสัจจะทั้งหลาย  ผู้นี้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม”
จากนั้น  พระศาสดาตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

น  ตาวตา  ธมฺมธโร
ยาวตา  พหุ  ภาสติ
โย  จ  อปฺปํปิ  สุตฺวาน
ธมฺมํ  กาเยน  ปสฺสติ
ส  เว  ธมฺมธโร  โหตุ
โย  ธมฺมํ  นปฺปมชฺชติ ฯ

(อ่านว่า)
นะ  ตาวะตา  ทำมะทะโร
ยาวะตา  พะหุ  พาสะติ
โย  จะ  อับปังปิ  สุดตะวานะ
ทำมัง กาเยนะ  ปัดสะติ
สะ  เว  ทำมะทะโร  โหตุ
โย  ทำมัง  นับปะมัดชะติ.

(แปลว่า)
บุคคล  ไม่ชื่อว่าทรงธรรม
เพราะเหตุที่พูดมาก
ส่วนบุคคลใด  ฟังแม้นิดหน่อย
ย่อมเห็นธรรมด้วยนามกาย
บุคคลใด  ไม่ประมาทธรรม
บุคคลนั้นแล  เป็นผู้ทรงธรรม.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริบผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ฐิตา:


04.เรื่องลกุณฏกภัททิยะ

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระลกุณฏกภัททิยเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  น  เตน  เถโร  โหติ   เป็นต้น

วันหนึ่ง  พระจำนวน 30 รูป  มาเฝ้าพระศาสดา  และพระศาสดาทรงทราบว่า  พระทั้ง 30  รูปนั้นมุอุปนิสัยที่จะได้สำเร็จพระอรหัตตผล   ดังนั้น  พระศาสดาจึงทรงสอบถามพระภิกษุเหล่านั้นว่า   เห็นพระเถระรูปหนึ่งก่อนจะเข้ามาในห้องพระคันธกุฎีหรือไม่  เมื่อพระเหล่านั้นกราบทูลว่าไม่เห็นพระเถระเห็นแต่สามเณรรูปหนึ่ง   พระศาสดาตรัสว่า”  “ภิกษุทั้งหลาย  นั่นไม่ใช่สามเณร  นั่นเป็นพระเถระ”  เมื่อพระเหล่านั้นกราบทูลว่า “องค์เล็กจัง  เป็นพระเถระได้อย่างไร”   พระศาสดาจึงตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  เราไม่เรียกว่า เถระ  เพราะความเป็นคนแก่  เพราะเหตุสักว่านั่งบนอาสนะพระเถระ  ส่วนผู้ใด  แทงตลอดสัจจะทั้งหลายแล้ว   ตั้งอยู่ในความเป็นผู้ไม่เบียดเบียนมหาชน  ผู้นี้  ชื่อว่าเป็นเถระ”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท สองพระคาถานี้ว่า

น  เตน  เถโร  โหติ
เยนสฺส  ปลิตํ  สิโร
ปริปกฺโก  วโย  ตสฺส
โมฆชิณฺโณติ  วุจฺจติ ฯ

ยมฺหิ  สจฺจญฺจ  ธมฺโม จ
อหึสา  สญฺญโม  ทโม
ส  เว  วนฺตมโล  ธีโร
โส  เถโรติ  ปวุจฺจติ ฯ

(อ่านว่า)
นะ  เตนะ  เถโร  โหติ
เยนัดสะ  ปะลิตัง  สิโร
ปะริปักโก   วะโย  ตัดสะ
โมคะชินโนติ  วุดจะติ .

ยำหิ  สัดจันจะ  ทำโม  จะ
อะหิงสา  สันยะโม  ทะโม
สะ  เว  วันตะมะโล  ทีโร
โส  เถโรติ  ปะวุดจะติ.

(แปลว่า)
บุคคล  ไม่ชื่อว่าเถระ
เพราะมีผมหงอกบนศีรษะ
ผู้มีวัยแก่หง่อมแล้วนั้น
เราเรียกว่า แก่เปล่า.

ส่วนผู้ใด  มีสัจจะ  ธรรมะ
อหิงสา  สัญญมะ  และทมะ
ผู้นั้นแล  ผู้มีมลทินอันคายแล้ว
ผู้มีปัญญา เรากล่าวว่า  เป็นพระเถระ.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ภิกษุเหล่านั้น  บรรลุอรหัตตผล.

ฐิตา:


05.เรื่องภิกษุมากรูป

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภภิกษุมากรูป  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า น  วากฺกรณมตฺเตน  เป็นต้น

ในวัดนั้น  ภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อย  จะทำการดูแลอาจารย์ผู้บอกธรรมของตน  ด้วยกิจต่างๆ เช่น การย้อมจีวรเป็นต้น   พระเถระพวกหนึ่งสังเกตเห็นวัตรปฏิบัติเหล่านี้  ก็เกิดความริษยา  และได้คิดแผนอย่างหนึ่งขึ้นมาเพื่อจะให้เกิดประโยชน์แก่พวกตนบ้าง  โดยแผนนี้ก็คือ  พวกพระเถระเหล่านี้จะกราบทูลแนะนำพระศาสดาว่าให้ออกกฎว่า  พวกภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อย  แม้ว่าจะทำวัตรปฏิบัติแก่อาจารย์ของตนแล้ว  ก็จะต้องมาขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากพระเถระเหล่านี้ด้วย   เมื่อพระเถระเหล่านี้ไปกราบทูลเรื่องนี้แด่พระศาสดา  พระศาสดาทรงทราบวัตถุประสงค์แอบแฝงของพระเถระเหล่านั้น  ได้ตรัสว่า  “เราไม่เรียกพวกเธอว่า คนดี  เพราะเหตุสักว่าพูดจัดจ้าน  ส่วนผู้ใด  ตัดธรรมมีความริษยาเป็นต้นเหล่านี้ได้แล้ว  ด้วยอรหัตตมรรค  ผู้นี้แหละชื่อว่าคนดี”
พระศาสดา  ได้ตรัสพระธรรมบท  สองพระคาถานี้ว่า

น  วากฺกรณมตฺเตน
วณฺณโปกฺขรตาย  วา
สาธุรูโป  นโร  โหติ
อิสฺสุกี  มจฺฉรี  สโฐ ฯ

ยสฺส  เจตํ  สมุจฺฉินฺนํ
มูลฆจฺฉํ  สมูหตํ
ส  วนฺตโทโส  เมธาวี
สาธุรูโปติ  วุจฺจติ  ฯ

(อ่านว่า)
นะ  วากกะระนะมัดเตนะ
วันนะโปกขะระตายะ  วา
สาทุรูโป  นะโร  โหติ
อิดสุกี  มัดฉะรี  สะโถ.

ยัดสะ  เจตัง  สะมุดฉินนัง
มูละคัดฉัง  สะมูหะตัง
สะ  วันตะโทโส  เมทาวี
สาทุรูโปติ  วุดจะติ.

(แปลว่า)
นระ  ผู้มีความริษยา  มีความตระหนี่  โอ้อวด
จะชื่อว่าคนดี  เพราะเหตุสักว่าทำการพูดจัดจ้าน
หรือเพราะมีผิวกายงามก็หาไม่.
 
ส่วนผู้ใด  ตัดความริษยาเป็นต้นได้ขาดแล้ว
ถอนขึ้นให้รากขาด
ผู้นั้น  มีโทสะอันคายแล้ว  มีปัญญา
เราเรียกว่า  คนดี.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย   มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
 

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version