อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล

เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 20 : มัคควรรค

(1/2) > >>

ฐิตา:



เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 20 : มัคควรรค
01.เรื่องภิกษุห้าร้อยรูป

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน   ทรงปรารภภิกษุ 500 รูป  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า    มคฺคานฏฺฐงฺคิโก เป็นต้น

ภิกษุ  500 รูป หลังจากที่ได้ตามเสด็จพระศาสดา  ไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งแล้ว ก็ได้กลับมาที่วัดพระเชตวัน  ในตอนเย็น  ภิกษุเหล่านี้ได้สนทนากันเกี่ยวกับหนทางที่พวกตนเที่ยวไป  เช่น  หนทางไม่เรียบ  มีกรวด  ไม่มีกรวด  เป็นต้น   พระศาสดา  ทรงเห็นอุปนิสัยที่จะบรรลุอรหัตตผลของภิกษุเหล่านั้น  ได้เสด็จมายังที่นั้น  ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาปูลาดไว้   ตรัสถามถึงเรื่องที่ภิกษุเหล่านั้นสนทนากันแล้ว  ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ทางที่พวกเธอพูดถึงนี้   เป็นทางภายนอก  ธรรมดาภิกษุควรสนใจเฉพาะอริยมรรค ด้วยว่า  ภิกษุเมื่อทำอย่างนั้น  ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  สี่พระคาถานี้ว่า

มคฺคานฏฺฐงฺคิโก  เสฏฺโฐ
สจฺจานํ  จตุโร  ปทา
วิราโค  เสฏฺโฐ  ธมฺมานํ
ทิปทานญฺจ  จกฺขุมา ฯ

บรรดาทางทั้งหลาย  ทางมีองค์ 8 ประเสริฐ
บรรดาสัจจะทั้งหลาย  บท  4  ประเสริฐ
บรรดาธรรมทั้งหลาย  วิราคะ ประเสริฐ
บรรดาสัตว์สองเท้าทั้งหลาย  พระตถาคต ผู้มีจักษุ  ประเสริฐ.

เอโสว  มคฺโค  นตฺถญฺโญ
ทสฺสนสฺส  วิสุทธิยา
เอตัญฺหิ  ตุมฺเห  ปฏิปชฺชถ
มารสฺเสตํ ปโมหนํ ฯ

ทางนั่นเท่านั้น
เพื่อความหมดจดแห่งทัสสนะ
ทางอื่นไม่มี
เพราะฉะนั้น  ท่านทั้งหลายจงดำเนินทางนั่น
อันเป็นที่ลุ่มหลงแห่งมารและเสนามาร.

เอตมฺหิ  ตุมฺเห  ปฏิปนฺนา
ทุกฺขสฺสนฺตํ  กริสฺสถ
อกฺขาโต เว มยา  มคฺโค
อญฺญาย  สลฺลสนฺถนํ ฯ

ด้วยว่า  ท่านทั้งหลายดำเนินทางนั่นแล้ว
จักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้  
เราทราบทางเป็นที่สลัดลูกศรได้แล้ว
จึงบอกแก่ท่านทั้งหลาย.

ตุมฺเหหิ  กิจฺจมาตปฺปํ
อกฺขาตาโร  ตถาคตา
ปฏิปนฺนา  ปโมกฺขนฺติ
ฌายิโน  มารพนฺธนา ฯ

ท่านทั้งหลาย  พึงทำความเพียรเครื่องเผากิเลส
เพราะตถาคตทั้งหลาย  เป็นแต่ผู้บอก
ชนทั้งหลายผู้ดำเนินไปแล้ว  มีปกติเพ่ง    
ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องผูกของมาร.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ภิกษุเหล่านั้น  บรรลุพระอรหัตตผล  พระธรรมเทศนา มีประโยชน์  แม้แก่บุคคลผู้ประชุมกัน.


ฐิตา:



02. เรื่องภิกษุ  500  รูปอื่นอีก

ภิกษุ 500 รูป  เรียนหัวข้อพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดา  แล้วก็พากันเข้าป่าไปปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน   แต่เมื่อปฏิบัติแล้วไม่สามารถบรรลุพระอรหัตตผล   จึงได้กลับมาเฝ้าพระศาสดาเพื่อทูลขอหัวข้อพระกัมมัฏฐานใหม่ที่มีความเหมาะสมแก่ตน   พระศาสดาทราบด้วยญาณพิเศษว่า  ภิกษุเหล่านี้ ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า   ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานในหัวข้อลักษณะความไม่เที่ยง(อนิจจลักษณะ)  เป็นเวลานานถึงสองหมื่นปี   เพราะฉะนั้นจึงควรที่จะให้พระภิกษุเหล่านี้พิจารณาอนิจจลักษณะ  จึงตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  สังขารแม้ทั้งปวงในภพทั้งสามมีกามภพเป็นต้น  เป็นสภาพไม่เที่ยงเลย  เพราะอรรถว่ามีแล้วไม่มี”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

สพฺเพ  สงฺขารา  อนิจฺจาติ
ยทา  ปญฺญาย  ปสฺสติ
อถ  นิพิพินฺทติ  ทุกฺเข
เอส  มคฺโค  วิสุทฺธิยา  ฯ

เมื่อใด  บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า
สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง
เมื่อนั้น  ย่อมหน่ายในทุกข์
ความหน่ายในทุกข์นั่น  เป็นทางแห่งความหมดจด.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ภิกษุ  500 รูปเหล่านั้น  บรรลุอรหัตตผลแล้ว   พระธรรมเทศนา  มีประโยชน์  แม้แก่บริษัทที่ประชุมกัน.


เรื่องภิกษุ  500 รูปอื่นอีก

ภิกษุ 500 รูป  เรียนหัวข้อพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดา  แล้วก็พากันเข้าไปปฏิบัติพระกัมมัฏฐานในป่า  แต่เมื่อปฏิบัติแล้วไม่มีความก้าวหน้าถึงขั้นบรรลุพระอรหัตตผล   จึงได้กลับมาเฝ้าพระศาสดาเพื่อทูลขอหัวข้อพระกัมมัฏฐานใหม่ที่มีความเหมาะสมยิ่งขึ้นแก่ตน   พระศาสดาทราบด้วยญาณพิเศษว่า  ภิกษุเหล่านี้ ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า   ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานในหัวข้อกำหนดสังขารโดยความเป็นทุกข์  จึงตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  ขันธ์แม้ทั้งปวง  เป็นทุกข์แท้  เพราะอรรถว่าถูกทุกข์บีบคั้น”
จากนั้น  พระศาสดาตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

สพฺเพ  สงฺขารา  ทุกฺขาติ
ยทา  ปญฺญาย  ปสฺสติ
อถ  นิพฺพินฺทติ  ทุกเข
เอส  มคฺโค  วิสุทฺธิยา ฯ

เมื่อใด  บัณฑิต ย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า
สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
เมื่อนั้น  ย่อมหน่ายในทุกข์
ความหน่ายในทุกข์นั่น
เป็นทางแห่งความหมดจด.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ภิกษุ  500 รูปเหล่านั้น  บรรลุอรหัตตผลแล้ว
 

เรื่องภิกษุ  500 รุปอื่นอีก

ภิกษุ 500 รูป  เรียนหัวข้อพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดา  แล้วก็พากันเข้าไปปฏิบัติพระกัมมัฏฐานในป่า   แต่เมื่อปฏิบัติแล้วไม่มีความก้าวหน้าถึงขั้นบรรลุพระอรหัตตผล   จึงได้กลับมาเฝ้าพระศาสดาเพื่อทูลขอหัวข้อพระกัมมัฏฐานใหม่ที่มีความเหมาะสมแก่ตนมากยิ่งขึ้น   พระศาสดาทราบด้วยญาณพิเศษว่า  ภิกษุเหล่านี้ ในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า   ได้ปฏิบัติกัมมัฏฐานในหัวข้อกำหนดสังขารโดยความเป็นอนัตตา  จึงตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  ขันธ์แม้ทั้งปวงเป็นอนัตตาแท้  เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ”
จากนั้น  พระศาสดาตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

สพฺเพ  ธมฺมา  อนตฺตาติ
ยทา  ปญฺญาย  ปสฺสติ
อถ  นิพฺพินทติ  ทุกฺเข
เอส  มคฺโค  วิสุทฺธิยา  ฯ

เมื่อใด  บัณฑิต   ย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
เมื่อนั้น  ย่อมหน่ายในทุกข์
ความหน่ายในทุกข์นั่น
เป็นทางแห่งความหมดจด.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ภิกษุ  500 รูปเหล่านั้น  บรรลุอรหัตตผลแล้ว

ฐิตา:


03. เรื่องพระปธานกัมมิกติสสเถระ

พระศาสดา   เมื่อประทับอยู่ในพระเชตะวัน  ทรงปรารภพระปธานกัมมิกติสสะเถระ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  อุฏฺฐานกาลมฺหิ  เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง  ชายหนุ่ม  500 คน  ในกรุงสาวัตถี  ได้รับการอุปสมบทจากพระศาสดา  หลังจากที่ได้เรียนหัวข้อพระกัมมัฏฐานจากพระศาสดาแล้ว  ภิกษุบวชใหม่เหล่านี้ต่างก็ได้เข้าป่าไปปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน   มีแต่พระปธานกัมมิกติสสเถระเท่านั้นที่ไม่ยอมไป   พระภิกษุที่เข้าป่าไปแล้วก็ได้มุ่งปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์   เมื่อกลับมาถวายบังคมพระศาสดา  พระศาสดาได้ทรงทำการต้อนรับ และทรงแสดงความยินดีด้วย   ฝ่ายพระประธานกัมมิกติสสเถระ   อยากเห็นพระศาสดาทรงแสดงท่าทีอย่างเดียวกันนั้นกับตนบ้าง  จึงได้เริ่มความเพียรอย่างหนัก  โดยได้เดินจงกรมตลอดคืนยันรุ่ง  จนถึงกับเป็นลมล้มลงขาหักคาแผ่นหินที่ใช้จงกรมนั่นเอง   พระภิกษุอื่นๆ  ที่เป็นพระอรหันต์  ได้ยินเสียงร้อง  ก็พากันรีบมาช่วยเหลือ ทำให้พลาดโอกาสไปฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านอุบาสกคนหนึ่ง   พระศาสดาเมื่อทรงสดับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว   ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย   ภิกษุนั่น  ทำอันตรายลาภของพวกเธอในบัดนี้เท่านั้น  หามิได้  แม้ในกาลก่อน  เธอก็ได้ทำแล้วเหมือนกัน”   และทรงนำเรื่องวรุณชาดกมาตรัสให้ฟัง  แล้วตรัสว่า   “ภิกษุทั้งหลาย  ก็บุคคลใด  ไม่ทำความขยัน  ในกาลควรขยัน  เป็นผู้มีความดำริอันจมแล้ว  เป็นผู้เกียจคร้าน   บุคคลนั้น  ย่อมไม่บรรลุคุณวิเศษต่างๆมีฌานเป็นต้น”
จากนั้น   พระศาสดา  ได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อุฏฐานกาลมฺหิ  อนุฏฺฐหาโน
ยุวา  พลี  อาสยํ  อุเปโต
สงฺสนฺสสงฺกปฺปมโน  กุสีโต
ปญฺญาย  มคฺคํ  อลโส  น  วินฺทติ  ฯ

ก็บุคคลยังหนุ่มแน่นมีกำลัง
แต่ไม่ขยัน  ในกาลที่ควรขยัน
เข้าถึงความเป็นผู้เกียจคร้าน
มีใจอันประกอบด้วยความดำริอันจมแล้ว
ขี้เกียจ  เกียจคร้าน  ย่อมไม่ประสบทาง  ด้วยปัญญา”

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย   มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ฐิตา:


04. เรื่องสูกรเปรต

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน   ทรงปรารภสูกรเปรต  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  วาจานุรกฺขี เป็นต้น

ครั้งหนึ่ง  พระมหาโมคคัลลานเถระ  เดินลงมาจากเขาคิชฌกูฏ   พร้อมด้วยพระลักขณเถระ  ได้แลเห็นเปรตที่ร่างเป็นมนุษย์แต่มีศีรษะเป็นสุกร  เมื่อเห็นเปรตตนนี้แล้ว  ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ได้ยิ้มออกมา   แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับพระลักขณะเถระ   เมื่อเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว  ก็ได้นำเรื่องเปรตตนนี้มาทูลพระศาสดาให้ทรงทราบ  พระศาสดาตรัสว่าพระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรเห็นเปรตตนนี้ที่ควงต้นโพธิ์เหมือนกันในช่วงที่ตรัสรู้ใหม่ๆ  แต่ก็ไม่ได้ตรัสบอกแก่ใครๆ  เพราะกลัวว่าผู้คนจะไม่เชื่อ และจะไม่บังเกิดผลดีอะไร  จากนั้นพระศาสดาได้นำเรื่องบุรพกรรมของเปรตตนนั้นมาทรงเล่าว่า

ในสมัยของพระกัสสปพุทธเจ้า  เปรตตนนี้เป็นภิกษุผู้สอนธรรม  มีอยู่คราวหนึ่ง  ได้มาที่วัดแห่งหนึ่ง  พบพระภิกษุ 2 รูปพักอยู่ด้วยกันในวัดแห่งนี้   หลังจากที่ได้มาพักอยู่ที่วัดนี้ไม่นาน  ก็พบว่ามีญาติโยมมาขึ้นท่านมาก ท่านจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่า   ท่านควรจะหาทางให้พระสองรูปที่อยู่มาแต่เดิมออกไปจากวัดเสีย  แล้วท่านจะได้อยู่ในวัดนี้เพียงรูปเดียว   ท่านจึงได้พยายามยุแหย่พระทั้งสองรูปนั้น   จนพระสองรูปเกิดทะเลาะกันและออกจากวัดนั้นไปคนละทิศละทาง  เพราะผลกรรมชั่วครั้งนั้น  ทำให้ท่านไปเกิดในอเวจีนรก  และด้วยเศษของกรรมนั้น  ท่านได้มาเกิดเป็นเปรตตนที่พระมหาโมคคัลานเถระเห็น  จากนั้น  พระศาสดาตรัสว่า  “ภิกษุทั้งหลาย   ธรรมดาว่าภิกษุ  พึงเป็นผู้เข้าไปสงบด้วยกาย  วาจา และใจ”
จากนั้น  พระศาสดาตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

วาจานุรกฺขี   มนสา  สุสํวุโต
กาเยน  จ  อกุสลํ  น  กยิรา
เอเต  ตโย  กมฺมปเถ  วิโสธเย
อาราธเย  มคฺคํ  อิสิปฺปเวทิตํ ฯ

บุคคลผู้มีปกติรักษาวาจา  สำรวมดีแล้วด้วยใจ
และไม่ควรทำอกุศลด้วยกาย
พึงยังกรรมบถทั้ง 3 เหล่านี้ให้หมดจด
พึงยินดีทางที่ท่านผู้แสวงหาคุณประกาศแล้ว. 
 
เมื่อพระธรรมเทศฯจบลง  ชนเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย  มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.

ฐิตา:


05. เรื่องพระโปฐิลเถระ

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระเถระนามว่าโปฐิละ  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  โยคา  เว  เป็นต้น

พระโปฐิลเถระ   ได้ศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฎกจนเชี่ยวชาญ  และได้เป็นอาจารย์สั่งสอนธรรมแก่ภิกษุ 500  รูป เพราะมีความเข้าใจว่าตนรู้พระไตรปิฎกมาก  พระโปฐิละจึงมีความทะนงตัวมาก  พระศาสดาทรงทราบจุดอ่อนจุดนี้ของพระโปฐิละ  และทรงมีพระประสงค์จะแก้ไขให้ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้อง   ดังนั้น  ในทุกครั้งที่พระโปฐิละมาเข้าเฝ้า   พระศาสดาก็จะตรัสเรียกพระโปฐิละว่า  “พระใบลานเปล่า”  เมื่อพระโปฐิละได้ยินพระศาสดาตรัสเรียกเช่นนี้   ก็เกิดความตระหนักว่า  ที่พระศาสดาตรัสเรียกเช่นนี้ก็เพราะมีพระประสงค์จะทรงกระตุ้นให้พระโปฐิละมีความเพียรรีบเร่งปฏิบัติพระกัมมัฏฐานจนบรรลุมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนั้น ท่านจึงเดินทางออกจากวัดพระเชตวันโดยไม่ได้บอกให้ผู้อื่นรู้  ได้ไปที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากวัดพระเชตวันประมาณ  20 โยชน์  ที่วัดแห่งนี้มีภิกษุอยู่ 30 รูป ในเบื้องแรกนั้น  พระโปฐิละเข้าไปหาพระเถระที่มีอาวุโสทางพรรษามากที่สุด  แล้วขอให้ท่านพระเถระผู้มีอาวุโสทางพรรษามากที่สุดนี้เป็นผู้สอนธรรมแก่ท่าน  แต่พระเถระผู้มีอาวุโสมากนั้นต้องการจะให้พระโปฐิละคลายทิฏฐิความดื้อรั้น   จึงได้แนะนำให้ไปพบกับพระเถระผู้มีอาวุโสทางพรรษาน้อยกว่ารูปรองๆลงมา   และพระเถระอาวุโสรูปรองลงมาก็ได้แนะนำให้ไปพบกับพระเถระอาวุโสรองลงไปเรื่อยๆ  จนถึงสามเณรอายุ  7  ขวบ  สามเณรรูปนี้ได้รับท่านพระโปฐิลเป็นศิษย์  หลังจากที่ประโปฐิลเถระรับปากว่าจะปฏิบัติตามคำแนะนำของสามเณรอย่างเคร่งครัด  เมื่อได้รับคำแนะนำจากสามเณรนั้นแล้ว  พระโปฐิลเถระก็ได้ปฏิบัติพระกัมมัฏฐานอย่างคร่ำเคร่งจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์

พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระโปฐิลเถระด้วยพระจักษุทิพย์  จึงได้ทรงเนรมิตพระกายทิพย์ไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าพระโปฐิละ  ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

โยคา  เว  ชายตี  ภูริ
อโยคา  ภูริสงฺขโย
เอตํ  เทวธาปถํ  ญตฺวา
ภวาย  วิภวาย  จ
ตถตฺถานํ  นิเวเสยฺย
ยถา  ภูริ  ปวฑฺฒติ  ฯ

ปัญญาย่อมเกิดจากการประกอบแล
ความสิ้นไปแห่งปัญญา เพราะการไม่ประกอบ
บัณฑิตรู้ทาง  2  แพร่งแห่งความเจริญ
และความเสื่อมนั้นแล้ว
พึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้รู้.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   พระโปฐิละ  บรรลุอรหัตตผล.

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

ตอบ

Go to full version