อริยะสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมอันดี > พระอริยบุคคล

เรื่องย่อในพระธรรมบท บทที่ 20 : มัคควรรค

<< < (2/2)

ฐิตา:


06. เรื่องพระเถระแก่

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพระภิกษุแก่หลายรูป ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า   วนํ  ฉินฺทถ เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง   ในกรุงสาวัตถี   มีชายชราฐานะดีหลายคน   ออกบวชเป็นพระภิกษุ   พระภิกษุชราเหล่านี้ ไม่สามารถเล่าเรียนได้  เพราะความเป็นคนแก่   จึงให้คนสร้างบรรณศาลาไว้ที่หลังวัด   แม้ในเวลา ออกไปบิณฑบาตก็จะไปที่บ้านของบุตรและภรรยาของตน ในหมู่อดีตภรรยาของพระภิกษุแก่เหล่านี้  มีนางหนึ่งชื่อว่า  มธุรปาณิกา  เป็นผู้ทำอาหารเก่งมาก  นางจะคอยดูแลพระแก่เหล่านี้ทุกรูป   พระแก่เหล่านี้เมื่อได้อาหารจากการบิณฑบาตมาแล้วก็จะไปนั่งฉันอยู่ที่บ้านของนาง     อยู่มาวันหนึ่ง  นางมธุปาณิกาล้มป่วยและได้เสียชีวิตอย่างฉับพลัน   ภิกษุแก่เหล่านี้มีความเศร้าโศกร้องไห้รำพึงรำพันถึงนางผู้มีฝีมือในการทำอาหารอร่อย

พระศาสดา เมื่อทรงทราบเรื่องนี้   จากการสนทนาของภิกษุทั้งหลาย  ได้ตรัสว่า   เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตเหมือนกัน  และได้นำเรื่องกากชาดกมาตรัสเล่า   แล้วตรัสกับภิกษุชราเหล่านี้ว่า  “ภิกษุทั้งหลาย  พวกเธออาศัยป่า  คือ  ราคะ  โทสะ  และโมหะ  จึงถึงทุกข์นี้  พวกเธอควรตัดป่านั้นเสีย พวกเธอจักเป็นผู้หมดทุกข์ได้ด้วยอาการอย่างนั้น”
จากนั้น  พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า

วนํ  ฉินฺทถ  มา  รุกฺขํ
วนโต  ชายตี  ภยํ
เฉตฺวา  วนญฺจ  วนฏฺฐญฺจ
นิพฺพนา  โหถ  ภิกฺขโว ฯ

ท่านทั้งหลาย  จงตัดกิเลสดุจป่า
อย่าตัดต้นไม้
ภัยย่อมเกิดแต่กิเลสดุจป่า
ภิกษุทั้งหลาย  ท่านทั้งหลาย  จงตัดกิเลสดุจป่า 
และดุจหมู่ไม้ตั้งอยู่ในป่าแล้ว
เป็นผู้ไม่มีกิเลสดุจป่า.

ยาวฺญฺหิ  วนฏฺโฐ  นะ  ฉิชฺชติ
อณุมตฺโตปิ  นรสฺส  นาริสุ
ปฏิพทฺธมโนว   ตาว  โส
วจฺโฉ  ขีรปโกว  มาตริ  ฯ

เพราะกิเลสดุจหมู่บ้านตั้งอยู่ในป่า
ถึงมีประมาณนิดหน่อยของนรชน
ยังไม่ขาดในนารีทั้งหลายเพียงใด
เขาเป็นเหมือนลูกโคที่ยังดื่มน้ำนม
มีใจปฏิพัทธ์ในมารดาเพียงนั้น.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   พระเถระแก่เหล่านั้น   ได้บรรลุโสดาปัตติผล  พระธรรมเทศนา   มีประโยชน์แม้แก่ชนที่มาประชุมกัน.

ฐิตา:


07. เรื่องสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรเถระ

พระศาสดา   เมื่อประทับในพระเชตวัน   ทรงปรารภสัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรเถระ   ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า     อุจฺฉินฺท   เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง   ชายหนุ่มบุตรนายช่องทองผู้หนึ่ง  เป็นหนุ่มรูปหล่อ   ได้รับการอุปสมบทเป็นภิกษุ  โดยมีพระสารีบุตรเถระเป็นพระอุปัชฌายะ   พระสารีบุตรเถระได้มอบหัวข้อพระกัมมัฏฐานซึ่งมีการพิจารณาสิ่งไม่งามเป็นอารมณ์(อสุภกัมมัฏฐาน)  ให้พระรูปนี้ไปปฏิบัติ   หลังจากรับหัวข้อพระกัมมัฏฐานนี้จากพระอุปัชฌายะแล้ว  พระหนุ่มรูปนี้ก็ได้เข้าไปปฏิบัติพระกัมมัฏฐานอยู่ในป่า  แต่ก็มีความก้าวหน้าในพระกัมมัฏฐานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ดังนั้นท่านจึงกลับไปหาพระสารีบุตรเถระเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม  แต่เมื่อนำไปปฏิบัติ  ก็ยังไม่มีความก้าวหน้าเหมือนเดิม   คราวนี้พระสารีบุตรเถระได้พาภิกษุนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา  และกราบทูลเรื่องราวต่างๆให้พระศาสดาได้ทรงทราบ

พระศาสดา  ทรงทราบว่า  พระหนุ่มนี้เป็นบุตรของนายช่างทอง  และทรงทราบด้วยญาณพิเศษด้วยว่า  ภิกษุนี้เคยเกิดในตระกูลช่างทองมาแล้ว  500 ชาติ  จึงได้ทรงเปลี่ยนหัวข้อพระกัมมัฏฐานให้พระรูปนี้เสียใหม่  คือจากเดิมให้พิจารณาสิ่งที่ไม่งาม  ก็ให้มาพิจารณาในสิ่งที่งาม  โดยพระองค์ได้ทรงใช้พระฤทธิ์เนรมิตดอกบัวซึ่งมีขนาดใหญ่เท่าล้อเกวียน  แล้วให้นำดอกบัวนี้ไปปักไว้ที่กองทรายข้างนอกวัด   ให้นั่งขัดสมาธิหันหน้าไปทางดอกบัว  แล้วทำบริกรรมว่า  “โลหิตกํ  โลหิตกํ(สีแดง  สีแดง)  เมื่อภิกษุหนุ่มเพ่งพินิจดอกบัวใหญ่มีสีแดงสวยและมีกลิ่นหอม  และบริกรรมอย่างนั้น    ก็สามารถขจัดนิวรณ์เครื่องขวางกั้นทั้งหลาย   เกิดความปีติอิ่มเอิบใจ  จนถึงขั้นบรรลุฌานที่ 4(จตุตถฌาน)

พระศาสดา  ประทับในพระคันธกุฎี   ทอดพระเนตรเห็นด้วยญาณพิเศษ  จึงใช้อำนาจฤทธิ์เนรมิตให้ดอกบัวนั้นเหี่ยวแห้งอย่างฉับพลัน   เมื่อภิกษุหนุ่มเห็นดอกบัวเหี่ยวและเปลี่ยนสีเป็นสีดำเช่นนั้น  ก็ได้รับรู้ถึงความไม่เที่ยงของดอกบัวและของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง   และก็นำไปสู่การรู้แจ้งเห็นจริงในความไม่เที่ยง  ความเป็นทุกข์  และความไม่มีตัวตนของสังขารทั้งหลาย

เมื่อถึงตอนนี้  พระศาสดาประทับที่พระคันธกุฎี   ทรงเปล่งพระรัศมีไปปรากฏอยู่เฉพาะหน้าของภิกษุนั้น  แล้วตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อุจฺฉินท  สิเนหมตฺตโน
กุมุทํ  สารทิกํว  ปาณินา
สนฺติมคฺคเมว  พฺรูหเย
นิพฺพานํ  สุคเตน  เทสิตํ  ฯ

เธอจงตัดความเยื่อใยของตนเสีย
เหมือนบุคคลถอนดอกโกมุทที่เกิดในสารทกาลด้วยมือ
จงเจริญทางแห่งสันติทีเดียว
เพราะพระนิพพาน   อันพระสุคตแสดงแล้ว.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   พระภิกษุหนุ่มรูปนั้น  ได้บรรลุอรหัตตผล.

ฐิตา:


08. เรื่องพ่อค้ามีทรัพย์มาก

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภพ่อค้ามีทรัพย์มาก  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า   อิธ  วสฺสํ  เป็นต้น

ในกาลครั้งหนึ่ง   มีพ่อค้าจากเมืองพาราณสีผู้หนึ่ง  นำกองเกวียนบรรทุกสินค้า 500 เล่ม  มาพักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ  คืนนั้นได้เกิดฝนตกหนัก  น้ำล้นตลิ่งตลอด  7  วัน  พ่อค้านั้นคิดจะจอดเกวียนขายสินค้าอยู่ที่นั่นตลอด 3 ฤดู  พระศาสดาทรงทราบด้วยพระอนาคตังสญาณว่า  พ่อค้านี้จะเสียชีวิตภายใน  7 วัน  จึงได้ตรัสบอกพระอานนทเถระ  พระอานนทเถระก็ได้ไปแจ้งพ่อค้าถึงเรื่องที่เขาจะเสียชีวิตภายใน 7  วันดังกล่าว  พ่อค้าพอได้ฟังก็เกิดสลดใจ  ได้อาราธนาพระศาสดาพร้อมภิกษุสงฆ์มารับอาหารบิณฑบาตตลอด 7  วัน  ในวันที่  7 พระศาสดา ได้ตรัสอนุโมทนกถา  ว่า “  อุบาสก  ธรรมดาบัณฑิต  คิดว่า  เราจักอยู่ในที่นี้แหละตลอดฤดูฝนเป็นต้น  จักประกอบการงานชนิดนี้ๆ  ย่อมไม่ควร   ควรคิดถึงอันตรายแห่งชีวิตของตนเท่านั้น  “
จากนั้น   พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

อิธ  วสฺสํ  วสิสฺสามิ
อิธ  เหมนฺตคิมฺหิสุ
อิติ  พาโล   วิจินฺเตติ
อนฺตรายํ  น  พุชฺฌติ ฯ

คนพาลย่อมคิดว่า
เราจักอยู่ในที่นี้ตลอดฤดูฝน
จักอยู่ในที่นี้ในฤดูหนาว และฤดูร้อน
หารู้ถึงอันตรายไม่.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  พ่อค้ามีทรัพย์มากนั้น   ได้บรรลุโสดาปัตติผล   พระธรรมเทศนามีประโยชน์แก่บุคคลที่ประชุมกัน

ฝ่ายพ่อค้านั้นได้เดินตามส่งเสด็จพระศาสดาไปชั่วขณะหนึ่งแล้วเดินทางกลับ  มานอนบนที่นอน  มีความรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเสียชีวิตในเวลาต่อมา  และได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต.

ฐิตา:



09. เรื่องนางกิสาโคตมี

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภนางกิสาโคตรมี  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  ตํ  ปุตฺตปสุสมฺมตฺตํ เป็นต้น

นางกิสาโคตมี   เมื่อคลอดบุตรออกมาแล้ว  บุตรนั้นได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา  นางไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน  คิดว่าบุตรเพียงแค่ป่วยเท่านั้น  จึงได้อุ้มศพบุตรเที่ยวตระเวนหาหมอยา  มีผู้แนะนำให้ไปเฝ้าพระศาสดา  พระศาสดาได้ทรงแนะนำให้นางไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาด  จากบ้านที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อนเลย  เมื่อนางหาไม่ได้  และได้กลับมาทูลพระศาสดาให้ทรงทราบ  พระศาสดาจึงได้ตรัสสอนนางว่า  “ท่านเข้าใจว่า บุตรของเราเท่านั้น  ตายแล้ว  ความตายนั่น  เป็นธรรมเที่ยงแท้ของสรรพสัตว์  เพราะมัจจุราชคร่าสรรพสัตว์  ผู้มีอัธยาศัยยังไม่เต็มเปี่ยมเหล่านั้น  ซัดลงไปในสมุทรคืออบาย  ดุจห้วงน้ำใหญ่   ฉะนั้น”
จากนั้น  พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถานี้ว่า

ตํ  ปุตฺตปสุสมฺมตฺตํ
พฺยาสตฺตมนสํ  นรํ
สุตฺตํ  คามํ  มโหโฆว
มจฺจุ  อาทาย  คจฺฉติ ฯ

มัจจุ  พานระนั้น  ผู้มัวเมาในบุตรและปศุสัตว์
ผู้มีใจข้องในอารมณ์ต่างๆไป
เหมือนห้วงน้ำใหญ่
พัดพาเอาชาวบ้านผู้หลับไป  ฉะนั้น.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง   นางกิสาโคตมี   บรรลุโสดาปัตติผล   พระธรรมเทศนามีประโยชน์  แม้แก่บุคคลผู้มาประชุมกัน.

ฐิตา:



10. เรื่องนางปฏาจารา

พระศาสดา  เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน  ทรงปรารภนางปฏาจารา  ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า  น  สนฺติ  ปุตฺตา  เป็นต้น

เมื่อนางปฏาจาราสูญเสียสามี   บุตรสองคน  ตลอดจนมารดาบิดา   และพี่น้องอีก 3 คน ในเวลาเกือบจะพร้อมกันนั้น   นางก็จึงเกือบจะเสียสติ   เมื่อนางมาเฝ้า   พระศาสดาตรัสกับนางว่า “ปฏาจารา  ชื่อว่าปิยชนทั้งหลายมีบุตรเป็นต้น  ย่อมไม่สามารถเป็นผู้ต้านทานหรือป้องกัน  ของบุคคลผู้ไปสู่ปรโลกได้  เพราะฉะนั้น  ชนเหล่านั้น  แม้มีอยู่  ก็ชื่อว่าไม่มีแท้  การที่บัณฑิตชำระศีลให้หมดจดแล้ว  ชำระหนทางเป็นที่ไปพระนิพพานเพื่อตนนั่นแล  ย่อมสมควร”
จากนั้น  พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท  สองพระคาถานี้ว่า

น  สนฺติ  ปุตฺตา  ตาณาย
น  ปิตา  นปิ  พนฺธวา
อนฺตเกนาธิปนฺนยสฺส
นตฺถิ  ญาตีสุ  ตาณตา  ฯ
เอตมตฺถวสํ  ญตฺวา
ปณฺฑิโต  สีลสํวุโต
นิพฺพานคมนํ  มค์คํ
ขิปฺปเมว  วิโสธเย  ฯ

บุตรทั้งหลาย  ย่อมไม่มีเพื่อต้านทาน
บิดาและพวกพ้องทั้งหลาย  ก็ไม่มีเพื่อต้านทาน 
เมื่อบุคคลถูกความตายครอบงำแล้ว
ความต้านทานในญาติทั้งหลาย  ย่อมไม่มี.

บัณฑิต ทราบอำนาจเนื้อความ
ดังนี้แล้ว  เป็นผู้สำรวมในศีล
พึงชำระทางเป็นที่ไปพระนิพพาน
ให้หมดจดพลันทีเดียว.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง  นางปฏาจารา  บรรลุโสดาปัตติผล  ชนเหล่าอื่นเป็นอันมาก  บรรลุอริยผลทั้งหลาย   มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.


-http://www.oknation.net/blog/dhammapada/page2

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[*] หน้าที่แล้ว

ตอบ

Go to full version